ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129527 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #250 เมื่อ: มกราคม 26, 2014, 08:48:05 pm »
7 คุณประโยชน์ “ผลไม้ไทย” ช่วยต้านอนุมูลอิสระ-ลดเสี่ยงมะเร็ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 มกราคม 2557 17:57 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000009547-

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกิน “ผลไม้” เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายจริงๆ เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ซึ่งคนส่วนมากก็จะรับรู้เพียงเท่านี้ หรืออาจจะรู้เพิ่มขึ้นมาอีกนิด เช่น มะเขือเทศ มีไลโคปีน ส้ม มีวิตามินซี




    แต่หลายคนอาจสงสัยว่ากินผลไม้แล้ว จะช่วยทั้งต้านสารอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ป้องกันโรคนั้นโรคนี้ได้ มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ถ้าจริงแล้วหลักฐานล่ะอยู่ที่ไหน วันนี้ ASTVผู้จัดการออนไลน์ มีคำตอบ
       
       ในงานประชุมวิชาการแห่งชาติด้านอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพ ครั้งที่ 1 ศ.เกียรติคุณ ดร.นันทวัน บุณยะประภัศร จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) อธิบายว่า ผลไม้ไทยอุดมไปด้วยพฤกษเคมีมากถึง 7 ชนิด ได้แก่
       
       1.ใยอาหาร มีประโยชน์ในการขับถ่าย ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้เร็วจึงลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดอนุมูลอิสระ ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวาน
       
       2.คาโรตินอยด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันโรคตาในผู้สูงอายุ เนื่องจากช่วยกรองแสงยูวีสีน้ำเงิน ลดความเสี่ยงในการเป็นต่อกระจก
       
       3.ฟลาโวนอยด์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ฟลาโวนอยด์กลุ่มไอโซฟลาโวนอยด์มีฤทธิเหมือนฮอร์โมนเพศหญิง กลุ่มแคทธิชิน ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก และกลุ่มแอนโทไซยานิน ซึ่งมีสีแดงยังช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันเซลล์ประสาท และบำรุงสายตา
       
       4.กรดฟินอลิค มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นเอนไซม์ที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ลดปริมาณออกซิไดซ์แอลดีแอล ต้านการก่อกลายพันธุ์
       
       5.กรดอินทรีย์ เป็นสารที่ให้รสเปรี้ยว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
       
       6.เทอร์ปีน เป็นสารที่ให้กลิ่นหอมมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง
       
       และ 7.พรีไบโอติก ประกอบด้วย อินนูลิน และโอลิโกแซคคาไรด์ ช่วยให้แบคทีเรียก่อโรคและมีประโยชน์สมดุลกัน และทำให้เกิดเมตาโบไลท์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
       
       “ผลไม้ที่มีสารพฤกษเคมีเหล่านี้เป็นจำนวนมาก อาทิ ส้ม ส้มโอ มีวิตามินซีสูง มีสารคาโรทินอยด์ ฟลาโวนอยด์ และกรดอินทรีย์, สับปะรด มีสารคาโรทินยอด์ ใยอาหาร กรดอินทรีย์, กล้วย มีแคทธิชิน ฟลาโวนอยด์ ใยอาหาร อินนูลิน และทับทิม มีแอนโทไซยานิน กรดฟินอลิค เป็นต้น ที่สำคัญผลไม้บางชนิดมีการวิจัยในคนชัดเจนว่ามีประโยชน์จริงๆ เช่น ส้ม ป้องกันเส้นเลือดเปราะ กล้วย ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร มะเฟือง ยับยั้งการอักเสบและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ดีทั้งในหลอดทดลองและการศึกษาในผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งปริมาณการกินแนะนำว่าควรกินให้เหมาะสม และกินแบบสดๆ ไม่ผ่านการแปรรูปซึ่งต้องผ่านความร้อน จะส่งผลให้สารเคมีในผลไม้เหล่านี้เปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนสภาพไป ก็จะไม่ได้รับประโยชน์เท่ากินสดๆ” ศ.เกียรติคุณ ดร.นันทวัน กล่าว



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #251 เมื่อ: มกราคม 27, 2014, 09:42:38 pm »
กินอะไรดีไม่ให้ (ผิว) เหี่ยว

-http://club.sanook.com/22232/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%B5-


สาวๆ ท่านใดที่ไม่อยากต้องเผชิญกับผิวและร่องร่อยที่เหี่ยวย่น Sanook Club มีเคล็ดลับ 3 ผลไม้ต้านรอยย่น มากฝาก






    ‘เกรปฟรุต’ เป็นผลไม้จำพวกเดียวกับส้มและมะนาว อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดซิตริก และไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นประโยชน์กับตับ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ปรับค่าพีเอชของเลือดและของเหลวในร่างกายให้มีความเป็นด่าง ทั้งยังมีกรดซาลิไซลิก ที่สามารถละลายแคลเซียมซึ่งตกผลึกอยู่ตามข้อ บรรเทาโรคข้อต่ออักเสบ

 

    ‘กีวี’ อุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง หากรับประทานในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงจะไม่ทำให้เป็นโรคหวัด

 

     ‘สัปปะรด’ มีโบรเมลิน เอ็นไซม์ที่ช่วยรักษาค่าพีเอชของร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล สัปปะรดอุดมไปด้วย วิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยย่อยโปรตีนได้ดี

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

ภาพประกอบจาก www.photos.com

-----------------------------------------------------------------------------



ประวัติ มาการอง ขนมหลากสีสันสุดฮิต

-http://cooking.kapook.com/view80363.html-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เมื่อไม่นานมานี้ ขนมรูปทรงกลม ๆ สีสันหลากสีสวยเตะตา สอดไส้ไปด้วยครีมรสชาติต่าง ๆ กลายเป็นขนมหวานสุดฮิตของบ้านเราไปแล้ว หลายคนมักจะเห็นภาพมาการององผ่านโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่าง อินสตราแกรม เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ อยู่บ่อย ๆ เพราะไม่ว่าใครที่ได้ซื้อมาการองมากิน สีสันสวยหวานของมาการองจะสะกดจิตให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแชะรูป อวดให้คนทั้งโลกได้รับรู้กันสักหน่อย ดังนั้นกระปุกดอทคอมจึงอดใจไม่ไหวบ้าง เลยขอนำประวัติความเป็นมาของขนมมาการองสีสันสวย ๆ มาให้ทุกคนได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังกันค่ะ

           มาการอง (Macaron) เป็นขนมสัญชาติฝรั่งเศส ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงนั้นเศรษฐกิจของฝรั่งเศสค่อนข้างย่ำแย่ ถือเป็นยุคข้าวยากหมากแพงเลยก็ว่าได้ มีมิชชั่นนารีชาวอิตาเลียนอยู่คนหนึ่ง นำอัลมอนด์ ไข่ขาว และน้ำตาล มาปรุงเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิต เพราะวัตถุดิบเหล่านี้ราคาไม่แพง แถมยังมีคุณค่าทางสารอาหารเทียบเท่าเนื้อสัตว์ด้วย และหนึ่งในอาหารเหล่านั้นก็มีขนมมาการองอยู่ด้วย ที่ใช้อัลมอนด์บด น้ำตาลทราย และไข่ขาว มาตีรวมกันจนได้เนื้อเนียนละเอียด จากนั้นนำไปอบในเตาอบจนส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ นำมาประกอบขึ้นเป็นรูปร่างคล้ายจานบินเล็ก ๆ มีรสชาติหอมหวาน กรอบนอก แต่ด้านในนิ่มละลายในปาก ความอร่อยที่ลงตัว แถมราคาถูกแบบนี้ จึงส่งผลให้มาการองกลายเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาก ๆ ในยุคนั้น

          ต่อมา ปิแอร์ เออร์เม่ (Pierre Hermé) เจ้าพ่อวงการขนมหวานได้สรรค์สร้างไส้มาการองจากผลไม้หลากหลายชนิดทั่วโลก แล้วนำมาการอง 2 ชิ้นมาประกบกันเหมือนแซนด์วิช เพิ่มความกลมกล่อมลงตัวให้ขนมมาการองมีความโดดเด่นขึ้นอีกมาก จนฮิตติดใจคนทั่วโลก จนได้ยกให้เป็นมาการองที่อร่อยที่สุดในโลกไปเสียแล้ว

          เสน่ห์ของขนมมาการองไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเพียงเท่านั้น แต่มาการองที่ดีต้องมีรูปร่างคล้ายกับโดมแบน ๆ มองดูจากด้านบนเป็นวงกลม ผิวด้านบนของขนมเรียบมันจากความละเอียดของอัลมอนด์บด ที่สำคัญรอยหยักคล้ายลูกไม้ชายกระโปรงต้องบางกรอบ รวมทั้งต้องมีกลิ่นหอมหวาน รสชาติไส้ต่าง ๆ ต้องซึมซาบเข้าสู่ชั้นของคุกกี้ ซึ่งกระบวนการนี้ต้องอาศัยเคล็ดลับนำมาการองไปแช่เย็น 1 คืน ก่อนนำมารับประทาน เพราะความชื้นจากไส้จะทำให้มาการองมีความนุ่มหนึบเวลาเคี้ยวนั่นเองค่ะ

          พอรู้ที่มาและประวัติที่น่าสนใจแบบนี้แล้วก็อยากจะรีบไปซื้อมาการองมากินเสียเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว ว่าแต่มีสี มีไส้ให้เลือกเยอะแยะขนาดนี้ จะเลือกซื้ออันไหนดีนะ อิอิ ^^

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขนมมาการอง -https://sites.google.com/site/khnmmakarxng/prawati-khnm-ma-kar-xng-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #252 เมื่อ: มกราคม 28, 2014, 05:57:25 am »
ผมว่า ไม่เกี่ยวกันกับหัวข้อเรื่อง

แต่ขอลงน๊ะครับ



--------------------------------------------------------------------------

อาหารมงคล ทานแล้วจะโชคดี


-http://horoscope.sanook.com/1396134/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5/-



คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากในช่วงต้นปีแบบนี้จะเห็นผู้คนส่วนใหญ่นิยมเสริมดวงด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะทำบุญ ไหว้พระ รวมไปถึงการทานอาหารมงคลที่แต่ละประเทศมีความเชื่อกันว่าเมื่อทานแล้วจะเกิดมงคล ความโชคดีและสำหรับคนที่อยากรู้ข้อมูลของอาหารมงคลแต่ละชนชาติ Sanook! Horoscope รวบรวมอาหารมงคล 11 อย่าง ที่ทานแล้วจะโชคดีมาฝากกันค่ะ

ไทย ขนมตระกลูทอง เช่น ทองเอก ฝอยทอง ทองหยด เพราะมีความเชื่อว่าจะเพิ่มสิริมงคล โชคลาภเงินทอง

ญี่ปุ่น นิยมทานกุ้งตามความเชื่อแล้วว่าจะมีอายุยืนยาว

บราซิล คือซุปถั่วเพราะถั่วถือเป็นอาหารนำโชคและนำมาซึ่งเงินทอง

โปรแลนด์ เลือกปลาแฮร์ริ่งเสิร์ฟขึ้นโต๊ะต้อนรับโชคดีวันปีใหม่

เดนมาร์ก นิยมกินสตูผักคะน้าโรยน้ำตาลและชินนามอน(อบเชย)ตามความเชื่อที่จะช่วยให้ร่ำรวยเงินทอง

นอร์เวย์ มีประเพณีกินพุดดิ้งข้าวสอดไส้ถั่วอัลมอนด์มีความเชื่อว่าหากตักเจอเมล็ดถั่วก็จะโชคดี

คนเยอรมัน นิยมกินกะหล่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าและมีความเชื่อว่ารูปร่างใบกะหล่ำที่เรียงตัวซ้อนกันเปรียบเสมือนปึกธนบัตร

ตุรกี จะกินผลไม้สีแดงสวย เช่น ทับทิม ซึ่งจะนำโชคมาให้ในปีใหม่

ชาวยุโรป เชื่อว่ากินโดนัทจะโชคดี บางคนว่าจะได้กลับไปคืนดีกับคนรู้ใจ

ฮังการี ออสเตรีย สวีเดน อเมริกา จะกินเลกูมส์หรืออาหารรวมถั่วหลายชนิดจะได้ร่ำรวยเงินทอง

อิตาลี นิยมทานริชอตโตเพราะเป็นเมนูนำโชคดีรับปีใหม่ นอกจากนี้ยังมีประเพณีการกินไส้กรอกกับถั่วเมล็ดแบนหลังเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม เพราะเป็นอาหารนำโชคนำความสุขความโชคดีมาให้



ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #253 เมื่อ: มกราคม 29, 2014, 09:22:19 pm »
1 DAY DETOX

-http://men.sanook.com/1724/1-day-detox/-


ดูดีจากภายใน คำนี้คงได้ยินกันจนชินหู แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะดูดีจากภายใน ให้โดดเด้งออกมาถึงภายนอกได้ งั้นลองมาเริ่มจากการดีท็อกซ์ หรือ ขับสารพิษกันมั้ยครับ เริ่มง่ายๆ ด้วยการล้างพิษร่างกายใน 1 วัน ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปถึงสปาครับ

คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 kcal เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียน และสับปะรด

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไปครับ

 

ข้อมูลจาก : คลินิกหมอสมุนไพรออนไลน์



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #254 เมื่อ: มกราคม 29, 2014, 09:23:57 pm »
3 ประโยชน์เลิศของโยเกิร์ตไม่ได้โม้!


-http://campus.sanook.com/1370335/3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%89/-


ถ้วยเล็กๆ อัดแน่นด้วยประโยชน์มากมาย แม้บางเรื่องจะดูเวอร์ไปนิด แต่เชื่อเถอะว่า จุลินทรีย์...ทำได้

1. สงบอารมณ์ปรี๊ด จะเครียด เหวี่ยง หรือวีนก็หยิบโยเกิร์ตมากินสักถ้วย นักวิจัยจาก UCLA พบว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคุมอารมณ์จะทำงานได้ดี แล้วอารมณ์ด้านลบทั้งหลายก็จะอยู่ใต้คอนโทรล

2. ป้องกันช่องคลอดแห้ง นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ชี้ว่าการขาดจุลินทรีย์แล็กโตบาซิลัสซึ่งมีอยู่มากในโยเกิร์ตเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะช่องคลอดแห้งของผู้หญิงตั้งแต่วัยเลข 3 ไปจนถึงวัยทอง

3. ลดโอกาส "ฉี่" เจ็บ หากกินโยเกิร์ตเป็นประจำ งานวิจัยจากศูนย์การแพทย์แมรี่แลนด์ชี้ว่าโอกาสติดเชื้อจนทางเดินปัสสาวะอักเสบจะลดลงประมาณ 30-40%

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #255 เมื่อ: มกราคม 30, 2014, 10:37:41 pm »
พริก กับความเผ็ดร้อน ที่ไม่ได้มีอยู่จริง



-http://campus.sanook.com/1370653/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87/-




ใครชอบกินเผ็ดบ้างครับ? ใครกินเผ็ดไม่ได้เลยบ้าง? เชื่อไม๊ครับว่าความเผ็ดร้อนของพริกอาจจะพูดได้ว่า "มันไม่ได้มีอยู่จริง"

เรื่องมันเกิดก็ตอนที่เพื่อนร่วมงานของผมนั่งหน้าเซียวบ่นว่าแสบท้องหลังจาก"จัดหนัก"มื้อกลางวันรสเผ็ดมา ทำไมพริกเม็ดเล็กๆถึงสร้างความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเหมือนโดนไฟลวกได้ ทั้งๆที่ตัวมันเองก็ไม่ได้มีความร้อนอะไรแบบนั้น?(พริกในตู้เย็นก็สร้างความปวดแสบปวดร้อนได้ไม่ต่างจากพริกในน้ำแกงร้อนๆ) ตัวการของความรู้สึกทรมานนี้มีชื่อว่า แคพไซซิน (Capsaisin) ในพริกนั่นเองครับ

แคพไซซิน เป็นสารเคมีที่พบได้ในพริกและผลของพืชที่มีรสเผ็ด ซึ่งจะมีผลออกฤทธิ์สร้างความปวดแสบปวดร้อนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น(ซึ่งคนเราก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็เลยได้อานิสงส์ของแคพไซซินไปด้วย)

ที่บอกว่าความเผ็ดร้อนของพริกนั้นไม่ได้มีอยู่จริงก็เพราะวิธีเกิดความรู้สึกเผ็ดร้อนจากพริก... แบบนี้ครับ... เมื่อเรากินพริก หรือแม้แต่เอาพริกมาทาตามตัว(จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) แคพไซซินที่อุดมอยู่ในพริกก็จะออกมาสัมผัสกับผิวหนัง หรือลิ้นของเรา ที่ผิวหนังและลิ้นของเราก็จะมีหน่วยรับความรู้สึกกระจายอยู่ เมื่อเจ้าแคพไซซินไปจับกับหน่วยรับความรู้สึกเหล่านี้ มันจะกระตุ้นให้เซลล์ประสาทส่ง"สัญญาณลวง"ออกไป ซึ่งโชคไม่ค่อยดีที่"สัญญาณลวง"ที่เกิดจากแคพไซซินนี้ มีหน้าตาไปเหมือนกับสัญญาณของความรู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกไฟลวกหรือเวลาเรามีแผลถลอกครับ เป็นที่มาว่า ทำไมพริกที่ตัวมันเองไม่ได้ร้อนอะไรจึงสร้างความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นได้... ซึ่งเรื่องยังไม่จบตรงแค่นี้ครับ

ร่างกายของเราพอได้รับสัญญาณลวงจากแคพไซซินที่หน้าตาไปพ้องกับสัญญาณของความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแล้วก็หลับหูหลับตาเชื่อไปตามนั้นครับ ร่างกายจึงมีปฎิกิริยากับบริเวณที่ส่งสัญญาณลวงออกมาเหมือนโดนไฟลวกหรือเป็นแผลถลอกจริงๆ นั่นก็คือหลอดเลือดขยาย เพื่อนำเม็ดเลือดขาวมาเตรียมรอต่อสู้กับเชื้อโรค(ที่อาจจะเข้ามาทางแผลนั้น) ทำให้มีเลือดมาคั่ง บวม แดง บริเวณที่โดนพริกนั่นเองครับ

แล้วในเมื่อพริก(อันที่จริงคือแคพไซซินในพริก) ทำให้เกิดความปวดแสบปวดร้อนทรมาณ ทำไมบางคน(เช่นผม)ถึงนิยมชมชอบอาหารรสเผ็ดอันแสนจะทรมานนี้? บางครั้งเห็นพริกแล้วตาลุกเหมือนว่าเสพติดพริกอะไรแบบนันก็มี นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เกิดจากการเชื่อมโยงความรับรู้ผิดๆของเราอีกนั่นแหละครับ... เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่เรากินอาหารรสเผ็ดเข้าไป แคพไซซินก็แผลงฤทธิ์ สร้างความรู้สึกเผ็ดร้อนขึ้นในปากในจมูกท่วมท้นไปหมด เมื่อร่างกายทรมานกับความเผ็ดร้อนที่เกิดขึ้น ก็มีมาตรการรับมือกับความเผ็ดร้อนนี้ โดยจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน(endorphin)ออกมาเพื่อระงับความทรมาน เอนดอร์ฟินเป็นสารแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกเคลิบเคลิ้ม และมีฤทธิ์เสพติด เราซึ่งไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเอนดอร์ฟิน ได้แต่รับรู้ถึงความเผ็ดร้อนและอาการเคลิ้มที่ตามมา จึงเหมาเอาว่า พริกนั้นให้ความรู้สึกดีเวลากินเข้าไปนั่นเองครับ...


By ษัษฐา ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #256 เมื่อ: มกราคม 31, 2014, 05:56:31 am »
เคล็ดวิธีปรับเมนูของไหว้ตรุษจีน กินปลอดไขมันในเลือดสูง
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   29 มกราคม 2557 09:54 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000010598-

By Lady Manager
       
       เทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงที่คนในครอบครัวมาเจอกันพร้อมหน้า เพื่อไหว้บรรพบุรุษ หลังจากนั้นก็จะร่วมกินอาหารไหว้อย่างมีความสุข
       
       สุขปาก ทว่าอาจจะไม่สุขกายสุขใจถ้ายึดกินแต่เป็ด ไก่ หมูสามชั้น ฯลฯ ปัญหาไขมันในเลือดขึ้นสูง จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติผู้ใหญ่สูงวัย หรือแม้แต่คุณๆ วัยทำงานเอง



       “ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่กินกันจนอิ่มเกินพอดี เนื่องจากการกินอาหารหลายมื้อ ประกอบด้วยอาหารหลากหลายที่ส่วนใหญ่ไขมันสูง ยิ่งกินกับลูกหลานยิ่งสนุกจนทำให้กินเพลินจนเกินจำเป็น และอาจมีผลเสียต่อสุขภาพโดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันสูงอยู่แล้ว จะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไขมันในเลือดสูงยิ่งขึ้น”
       
       นฤมล วัฒนาโสภณ นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท (แผนกผู้สูงอายุ) กล่าวว่า โรคนี้มีสาเหตุหลักมาจากการกิน
       
       “การเข้าครัวทำอาหารไหว้ หรือซื้อของกินของไหว้ที่ช่วยลดความเสี่ยงของไขมันสูง จะสามารถช่วยลดปริมาณไขมันที่ผู้สูงอายุรับประทานลงได้มาก”
       
       ของไหว้ขาประจำ คอเลสเตอรอลนำโด่ง แป้งหวานมาเด่น

   


       เริ่มจากการจัดมื้อไหว้เทพเจ้า (ไป๊เล่าเอี๊ย) ซึ่งจะไหว้กันตอนเช้ามืดช่วงเวลา 07.00-08.00 น.มักจะประกอบด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจจะสามหรือห้าอย่าง ซึ่งนิยมไหว้กันด้วย หมูสามชั้นต้ม (คอเลสเตอรอลสูง), ไก่และเป็ดทั้งตัวไม่ตัดขา (คอเลสเตอรอลสูงจากหนังและเครื่องใน), ปลาทั้งตัวไม่ตัดครีบ และหาง, ปลาหมึกแห้ง และตับ (คอเลสเตอรอลสูง) และขนมเข่ง (คอเลสเตอรอลสูงจากน้ำมัน) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
       
       อีกมื้อคือ การไหว้บรรพบุรุษ (ไป๊เป๊บ๊อ) ไหว้กันในช่วง 09.00 น.ถึงก่อนเที่ยง ซึ่งนิยมไหว้กันที่บ้านของพ่อแม่ถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว มักจะไหว้กันด้วยอาหารที่บรรพบุรุษชอบ
       
       นอกจากนี้ยังมีไก่ทั้งตัวต้ม (หนังมีคอเลสเตอรอลสูง), ขาหมูตุ๋น (คอเลสเตอรอลสูง), เส้นหมี่สดเส้นยาวต่อเนื่องผัด (ไขมันสูงจากน้ำมัน), แกงจืด, ผัดผักนิยมใช้ถั่วงอก, มันแกว และขนมต่างๆ เช่น ขนมเข่ง, ขนมถ้วยฟู และน้ำชา ฯลฯ
       
       ส่วนมื้อที่สามที่จะไหว้กันในช่วงบ่าย เป็นการไหว้วิญญาณที่ไม่มีญาติ (ไป๊ฮ้อเฮียตี๋) ซึ่งนิยมไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ 3-5 อย่าง (ซาแซ หรือโหงวแซ) เช่น หมู (คอเลสเตอรอลสูง), ไก่ และเป็ด (คอเลสเตอรอลสูง) และประกอบด้วยของหวาน เช่น ซาลาเปา, ขนมถ้วยฟู, ขนมสาลี่, ขนมไข่, เผือกเชื่อมน้ำตาล (น้ำตาล และแป้ง) และผลไม้ 5 อย่างคือส้มสีเหลืองทอง, องุ่น, กล้วย, สัปปะรด, สาลี่ ฯลฯ
       
       และถ้าจะให้ครบยิ่งขึ้นก็จะมีการไหว้ครั้งที่ 4 คือ การไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิงเอี๊ย) นิยมไหว้ด้วยขนมอี๊ (สาคูต้มสุกน้ำเชื่อม ), ผลไม้ 5 อย่าง, ขนมหวาน 3 อย่าง เช่น ขนมเข่ง, ขนมฮวดก๊วย, ขนมชั้น ฯลฯ
       
       ปรับเมนูไหว้ เลี่ยงเป็ด-เครื่องใน เน้นปลา-ไก่บ้าน
       
       "อาหารตรุษจีนที่เป็นเนื้อสัตว์สามหรือห้าอย่าง ควรเลือกทำจานปลาเป็นจานหลัก เช่น ปลานึ่งกับน้ำจิ้ม ส่วนไก่ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกเป็นไก่บ้าน เพราะไขมันน้อยกว่า และควรให้ท่านรับประทานส่วนเนื้ออกที่ลอดหนังออกเพราะเนื้อส่วนอกมีไขมันน้อย” นักโภชนาการนฤมล ให้ไอเดียปรับเมนูไหว้ เพื่อสุขภาพที่ดีและลดเสี่ยงโรคไขมันในหลอดเลือดในช่วงตรุษจีน



       "ถ้าเป็นไปได้ควรให้ท่านเลี่ยงการรับประทานเป็ด (เป็ดมีไขมันมากกว่าไก่หลายเท่า) แต่ถ้าท่านชอบเนื้อเป็ดควรใช้วิธีการลดมันด้วยการย่างเป็ดแบบรีดน้ำมัน และลอกหนังออก รวมถึงหลีกเลี่ยงเครื่องในทุกชนิดเพราะมีคอเลสเตอรอลสูง
       
       หมูสามชั้นก็ควรลอกหนังและชั้นไขมันออกก่อนทำอาหารให้ท่านทานเพราะไขมันหมูเป็นไขมันอิ่มตัว”
       
       นำหมี่มาคลุกน้ำมันแทนการผัด เลือกขนมหวานไม่ใส่มะพร้าว
       
       "จานหลักอีกมื้อคือหมี่ผัด ควรเลี่ยงจากการผัดมาเป็นการคลุกด้วยน้ำมันรำข้าวเพราะการคลุกสามารถควบคุมปริมาณน้ำมันได้ดีกว่าการผัด และน้ำมันรำข้าวยังดีต่อผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันเพราะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดปริมาณไขมันเลว (แอลดีแอล) และเพิ่มไขมันชนิดดี (เอชดีแอล)
       
       ควรใส่ผักเยอะๆ จะได้เป็นการลดปริมาณเส้นที่ท่านอาจทานมากเกินไป เพราะเส้นจากแป้งจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ซึ่งจะไปสะสมในเส้นเลือด”




       สำหรับขนมหวานชนิดต่างๆ โดยเฉพาะขนมเทียน ขนมเข่ง นฤมลแนะนำว่า
       
       "ควรเลือกขนมเข่งแบบไม่มีมะพร้าวเป็นส่วนผสม เพราะในมะเพร้าวก็มีไขมัน และควรทำหรือซื้อที่เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อควบคุมการทานของท่าน ควรดูแลไม่ให้ท่านทานมากเกินไป ส่วนขนมสาลี่ ขนมถ้วยฟู และซาลาเปาก็เช่นเดียวกัน ควรเลือกซื้อแบบขนาดเล็ก เพราะแป้งก็จะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และสะสมในเส้นเลือดได้เช่นเดียวกัน”
       
       เคล็ดวิธีกินให้ปลอดภัย กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว
       
       "วิธีในการควบคุมปริมาณการกินที่ได้ผล คือแบ่งอาหารออกมาแค่บางส่วนแค่พอดีรับประทานในแต่ละมื้อจากของไหว้ทั้งหมด ถ้าไหว้ในปริมาณมากสามารถใช้เทคนิคการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้รับประทานในวันอื่นๆ ก็ได้ หรือถ้าคิดว่ารับประทานไม่หมดควรแบ่งให้เพื่อนบ้านเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
       
       เทศกาลตรุษจีนเป็นเทศกาลมงคล เป็นเทศกาลของครอบครัวที่ทุกคนมาเจอกันอยู่ร่วมกัน แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น การเลือกหรือเตรียมอาหารของไหว้จึงเป็นสิ่งสำคัญ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสุขภาพที่ดีควบคู่ไปด้วยกัน" เธอฝากปิดท้าย



       *คนไทยมีไขมันในเลือดสูงถึง 25.5 ล้านคน*
       
       ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงถึง 25.5 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2556) พบมากในผู้ชายที่อายุ 55 ปีขึ้นไป และผู้หญิงที่อายุ 45 ปีขึ้นไป
       
       ไขมันสูงที่เราชอบพูดถึงกันนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะไขมันตัวร้าย (แอลดีแอล) จะไปฝังตัวในผนังหลอดเลือดซึ่งยิ่งสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นผนังหลอดเลือดหนา ตีบ หรือตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่ได้หรือไม่เพียงพอ
       
       ยิ่งไปเกิดในบริเวณที่เป็นอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หรือหัวใจ ก็อาจทำให้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ หรือตัน และถ้าไปอุดตันที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้
       




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #257 เมื่อ: มกราคม 31, 2014, 06:00:55 am »
เคล็ดลับกินตรุษจีน ให้สวยและรวย!
ASTVผู้จัดการออนไลน์
   6 กุมภาพันธ์ 2556 08:21 น.

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000014754-

By Lady Manager













     อุบ๊ะ เทศกาลตรุษจีนหมูเห็ดเป็ดไก่จัดมาเต็ม แถมขนมเข่งขนมไข่ ฯลฯ สารพัดขนมของโปรดสาวเราอีกตรึม! ล้วนเป็น อาหารคาวหวานเมนูมงคล สำหรับไหว้และต้องกินเอาเคล็ดทั้งนั้น
       
       แต่ทำไงดี! กลัวอ้วน เกรงเบาหวานความดันโลหิตขึ้น!!
       
       เรามีเคล็ดลับการตะลุยกินตรุษจีนจากคุณหมออายุรวัฒน์ นพ.กฤษดา ศิรามพุช มาบอกต่อค่ะ
       
       จัดซาแซ เสียบกุ้งปลาแทนหมูเป็ด


       ปกติไหว้ของคาว 3 อย่าง เรียกว่า ชุดซาแซ ประกอบด้วย หมู เป็ด ไก่ แต่ถ้าไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า ชุดโหงวแซ ประกอบด้วยหมู เป็ด ไก่ ตับ ปลา ซึ่งแนะนำให้ไหว้เพียงชุดซาแซ จัดของคาวสัก 3 อย่างพอ เอาเงินไปเน้นซื้อผลไม้ดีกว่านะคะ
       
       “ตัดเป็ดออกเลยครับ เพราะเป็ดมีไขมันมากกว่าไก่” หมอกฤษดาจัดให้
       
       “เอาปลากับกุ้งแทนเป็ดกับหมู”
       
       เพราะปลาหมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์ ยิ่งเป็นกุ้งมังกร หัวใหญ่มีก้าม ส่งเสริมให้มีอำนาจวาสนา
       
       “เป็นลูกชิ้นปลาก็ได้นะครับ” ให้ความรู้สึกถึงอำนาจวาสนา
       
       ถ้าเป็นลูกชิ้นปลา ตามภาษาจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า ฮื้อ-อี๊ แปลว่า ลูกปลากลมๆ ได้มงคลสองเด้ง เหลือกินเหลือใช้กับกลมๆ ซึ่งคนจีนตีความว่า เป็นความราบรื่น ทำกิจการงานใดก็ไม่สะดุด
       
       ปลิงทะเล หัวหมู บาทาไก่ กับน้ำจิ้มซีฟู้ด ดูดซึมคอลลาเจนได้ดี


       อย่ายี้ค่ะ ถ้าเราจะแนะให้คุณสาวๆ กินตีนไก่ หรือหัวหมู หรือบ้านไหนร่ำรวยจัดปลิงทะเลไหว้เจ้า และนำมาทำเมนูเด็ด ไม่ว่าปลิงทะเลตุ๋นหม้อดิน หรือปลิงทะเลน้ำแดง เพื่อนสาวห้ามพลาดเลยนะคะ
       
       “คนมักคิดว่าหัวหมูตัวอ้วน แต่จริงๆ แล้ว มันคือ แหล่งคอลลาเจน คนฝรั่งเศสถึงขนาดเอาหัวหมูไปเคี่ยวและทำเยลลีหัวหมู” คุณหมอกฤษดา เผยต่อ
       
       “ปลิงทะเล บาทาไก่ ก็มีคอลลาเจนเยอะ รวมทั้งอาหารทะเลต่างๆ กุ้งหอยปูปลา แต่วิธีกินให้ได้ผลดูดซึมคอลลาเจนได้ดีคือ ต้องกินร่วมกับวิตามินซี
       
       การกินร่วมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่บีบมะนาวเป็นวิธีดีที่สุดครับ หรือกินเสร็จกินส้มล้างปากด้วยก็ได้ครับ”
       
       โห ถูกใจมากเลยค่ะ เนื่องจากสาวส่วนใหญ่ชอบรสเปรี้ยวต้องจิ้มแก้เลี่ยนอยู่แล้ว
       
       เน้นขนมไหว้ที่ประกอบไปด้วยธัญพืช แกล้มน้ำชาน้ำสมุนไพร

เคล็ดลับกินตรุษจีน ให้สวยและรวย!
       หากดูรายชื่อขนมไหว้ อุ้ย มากมายหลากหลายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนมเทียน ขนมเข่ง ขนมไข่ ขนมจันอับ ขนมถ้วยฟู และซาลาเปา เป็นต้น
       
       “ขนมพวกนี้หนักแป้ง และออกหวานด้วย” คุณหมอกฤษดา แนะ
       
       “ควรเน้นขนมที่มีถั่ว มีธัญพืช อย่าง ขนมจันอับที่มีงาถั่วธัญพืช ขนมคอเป็ดที่เป็นงา ขนมตุ๊บตั๊บที่ใส่ถั่ว หรือเม่งทึ้งที่ทำจากงาดำ จำง่ายๆ ขนมที่ต้องเคี้ยวเยอะๆ เพราะว่ามันมักจะมีใยอาหารเยอะด้วยครับ และอาหารพวกนี้จะช่วยดักน้ำตาลครับ และดักคราบไขมันทั้งหลายด้วยครับ”
       
       และหากกินขนมเหล่านี้ พร้อมจิบชาด้วย ยิ่งเพิ่มคุณประโยชน์แก่สุขภาพ
       
       “สังเกต คนจีนจะกินขนม เขาจะเจียะเต๊ด้วย เออมันตัดรสหวานดีนะ แต่จริงๆ แล้ว มีเหตุผลมากกว่านั้น ตัวน้ำชามีสารแทนนิน (Tannin) เป็นตัวช่วยลดการอักเสบ และมีกลุ่มของโพลีฟีนอล (Pholyphenols) คือ ตัวที่ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดไขมันด้วยครับผม”
       
       คุณหมอยังบอกด้วยว่า นอกจากชาจีน จะเป็นชาเขียว หรือชาสมุนไพรอื่นๆ อาทิ ชาตะไคร้ ชามะตูม หรือแม้กระทั่งเก๊กฮวยก็ได้
       
       “พวกนี้ช่วยลดความดันลดไขมันด้วยครับ”
       
       กินเลี้ยงตรุษจีนเสร็จขยับกาย จัดวันล้างพิษ


       หลังกินเลี้ยงตรุษจีนแล้ว คุณหมอกฤษดาแนะว่า ควรขยับร่างกายออกไปเดินย่อยอาหารบ้าง
       
       สาวๆ อาจไปเดินช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า เพื่อลดอันตรายจากไขมันและส่วนเกินจากอาหารมื้อมงคล
       
       “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อถัดไป ควรลดพวกที่เราหนักไปมื้อแรก เช่น มื้อแรกกินไก่ต้ม มื้อถัดไปอาจจะไปหนักที่ผลไม้ เพราะในชุดไหว้ก็มีผลไม้ อย่างส้ม เป็นผลไม้มงคลด้วยและช่วยล้างพิษไขมันด้วย” ที่สำคัญ คุณหมอกฤษดา แนะให้จัดวันล้างพิษทันทีหนึ่งวัน
       
       “คือ ในวันนี้ไม่กินเนื้อแดงเลย หลีกเลี้ยงพวกแป้งได้เลยยิ่งดี เน้นทานผักผลไม้ หรือกินแอปเปิ้ลอย่างเดียว หรือส้มอย่างเดียว หรือสัปปะรดอย่างเดียว ล้างพิษไปเลยหนึ่งวัน”
       
       ไอเดียเริ่ด! จัดเต็มกินผลไม้มงคลปิดท้าย แอปเปิ้ล แปลว่า โชคดีราบรื่น ส้มสีทองเป็นมหามงคล สับปะรดก็นำโชคลาภเข้ามาหา แถมเสริมวิตามินได้สุขภาพ
       
       ขอเพียงรู้จักเลือก รู้จักตัดใจ และรู้จักบังคับตัวเอง
       
       ตรุษจีนปีนี้ รับรองคุณสาวๆ เฮง เฮง รวย รวย และสวย สวย สุขภาพแข็งแรงทุกคนค่ะ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #258 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2014, 10:06:47 am »
มาสร้างนิสัยกิน “กากใย” บรรเทาท้องผูกกัน

-http://club.sanook.com/23203/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%A2-

6 วิธีสร้างนิสัยกิน “กากใย” บรรเทาท้องผูก

การขับถ่ายที่ไม่ค่อยจะปกติ มักจะสร้างปัญหาและความรำคาญใจให้คุณๆอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ นั่นอาจเป็นเพราะเรากินอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป อาหารที่มีกากใยสูงนั้นจะช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ถ้าหากเรากินกากใยน้อยเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก ริดสีดวง ทวาร และความผิดปกติอื่นๆ ในลำไส้ได้เช่นกัน เรามี 6 วิธีง่ายๆ เพื่อช่วยสร้างนิสัยในการกินกากใยอาหารให้ได้มากมาแนะนำค่ะ


1.     สร้างเป็นนิสัยการกินประจำบ้าน โดยเน้นกินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีท ซึ่งจะมีกากใยอาหารมากกว่าขนมปังขาวถึง 3 เท่า รวมถึงมองหาร้านอาหารสุขภาพที่มีข้าวกล้องขายสำหรับมื้ออื่นๆ นอกบ้านด้วย

2.     กินผักและผลไม้ให้มากๆ ควรล้างผลไม้ให้สะอาด และถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกผลไม้ชนิดที่รับ ประทานได้ทั้งเปลือก เช่น แอปเปิล ฝรั่ง และองุ่น

3.     พยายามกินผักที่กินทั้งต้นและก้านให้มากขึ้น เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ถ้ารู้ว่าก้านผักนั้นแข็ง ให้ปอก เปลือก ออกบ้าง แล้วฝานหรือหั่นให้เล็กลง นอกจาก นั้นอย่าลืมหัดกินผักดิบ โดยกินร่วมกับน้ำพริก ใส่สลัด หรือกินเป็นของขบเคี้ยวเล่นก็อร่อยและได้ประโยชน์

4.     กินผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้คั้น ส้มสดหนึ่งผลนั้นมีกากใยอาหารมากกว่าน้าส้มคั้นถึง 6 เท่า

5.     เติมถั่วชนิดต่างๆ ลงในอาหาร เช่น ใส่ถั่วลันเตา ถั่วแขกในอาหารผัด แกงต่างๆหรือสลัด

6.     เลือกกินขนมที่ทำจากผลไม้ เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วแดงต้ม ฟักทอง หรือเผือกต้ม เพียงเท่านี้คุณจะลืมเรื่องท้องผูกไปได้เลย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก กรมประชาสัมพันธ์


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #259 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2014, 10:12:54 pm »
เม็ดพริกไทยดำทำอะไรได้อีกบ้างนะ

-http://campus.sanook.com/1370651/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B0/-




คุณรู้หรือไม่ว่าเมล็ดพริกไทย นอกจากเป็นเครื่องปรุงรสแล้ว พริกไทยดำยังมีประโยชน์ในงานบ้านด้วยวิธีต่อไปนี้

- ผสมพริกไทยป่น 1 ช้อนชา ลงในกะละมังซักผ้าสี พริกไทยจะช่วยรักษาให้ผ้าของคุณคงสีสันสดสวย และไม่ซีดจางง่ายๆ

- โรยเม็ดพริกไทยดำไว้ในบริเวณที่มดใช้เป็นทางผ่าน จะช่วยไล่มดออกจากเขตที่คุณโรยพริกไทยกั้นไว้ หรือจะใช้ผงอบเชยก็ได้เหมือนกันนะ

- ส่วนของบ้านใครที่มักมีแมลงต่างๆ และกระรอกแวะมาป้วนเปี้ยนและทำให้ต้นไม้เสียหาย ผสมพริกไทยดำในอัตราส่วนเท่าๆ กับน้ำ แล้วฉีดพ่นลงบนต้นไม้ในสวน นอกจากนี้ พริกป่นปาปริก้าก็ช่วยป้องกันสวนของคุณจากสัตว์เล็กๆ เช่นกระรอกน้อยได้ด้วย





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)