ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129564 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #50 เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 10:27:40 pm »
"สะเดา" ประโยชน์จากความขม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
18 สิงหาคม 2552 16:20 น.



 โบราณเขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย
       
       เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน ส่วนสรรพคุณด้านยาสมุนไพรนั้น สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย
       
       สะเดายังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น เป็นสารธรรมชาติที่ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างได้ผล และคนโบราณยังเชื่อว่าสะเดาเป็นไม้มงคล นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยเชื่อกันว่าจะป้องกันโรคร้ายต่างๆ และภูติผีปีศาจได้

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093948
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #51 เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 10:36:33 pm »
 :13: สะเดาขมครับถ้าทานเปล่าๆ แต่ถ้าจิ้มน้ำพริก อร่อยเลยครับ ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ สายลมที่หวังดี

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 840
  • พลังกัลยาณมิตร 319
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #52 เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 11:08:14 pm »
สะเดาลวกทานกะน้ำปลาหวานแจมด้วยปลาดุกย่าง ของโปรดเลยค่ะ :19:

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #53 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2011, 06:21:18 am »
‘แคนตาลูป’กินดีซ่อมแซมเนื้อเยื่อ



ด้วยต้นสัปดาห์ ‘มุมสุขภาพ’ กล่าวถึงเรื่องการเจาะ-การสักที่รบกวนผิวหนังและเนื้อเยื่อ วันนี้ ‘กินดี’ จึงส่งผลไม้เพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ แถมยังช่วยแก้ปัญหาผิวอีกด้วย ซึ่งก็คือ ‘แคนตาลูป’ พืช ตระกูลแตง บางคนเรียก แตงเทศ, แต่งฝรั่ง หรือแตงคุณหนู เพราะไม่ใช่ผลไม้ไทยแท้ๆ ระหว่างกาเพาะปลูกในบ้านเรา เกษตรกรก็ยังต้องดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ

สำหรับสรรพคุณของแคนตาลูป อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อโดยเฉพาะ อย่าง วิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและรักษาสิว วิตามินซี จะทำให้แผลหายเร็ว ส่วน สารอาหารอื่นๆ ที่มีในแคนตาลูป ประกอบด้วย กรดโฟลิก โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม แคลเซียม เบต้าแคโรทีน และวิตามินบี1 บี2 และบี6 จัดเป็นผลไม้ที่ล้างพิษได้อย่างอ่อนโยนกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ช่วยดับร้อน ลดไข้ รักษาการอักเสบของลำไส้ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ

ส่วนเครื่องดื่มสุขภาพจากแคนตาลูป ปรุงดื่มได้ไม่ยาก เพียงแค่เตรียม...

    * แคนตาลูป 3 ถ้วย
    * น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


ขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแคนตาลูป โดยจะปอกเปลือกหรือไม่ปอกก็ได้ หั่นพอหยาบ ไม่ต้องเอาเมล็ดออก จากนั้นนำไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเทใส่แก้วเติมน้ำแข็ง ดื่มทันที.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=119260

.



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #54 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2011, 08:00:36 pm »
น้ำมันปลาป้องกันโรคเหงือก

จากการวิจัยโดยศึกษาผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่าหมื่นคน ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปพบว่า หากทานกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นประจำอาจช่วยป้องกันโรคเหงือก เพราะผู้ที่ทานกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นประจำจะเป็นโรคเหงือกน้อยกว่าผู้ที่ไม่ทานเลยถึงร้อยละ 30 เนื่องจากสารในกรดไขมันโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยลดการเกิดโรค

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดแนะนำให้ทานกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นประจำแต่ไม่ควรทานมากเกินไปเพราะจะไม่เกิดประโยชน์  เด็กและผู้หญิงควรบริโภคในประมาณจำกัด โดยควรทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้งจะส่งผลดีต่อสภาพร่างกายโดยรวม ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ลดระดับโคเลสเตอรอลและช่วยในการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาท

กรดไขมันโอเมก้า 3 พบมากในปลาทะเล เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาน้ำจืดบางชนิด รวมถึงถั่วและเมล็ดพืชพวกวอลนัท.



.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=119858

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #55 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 05:43:25 pm »
หั่นหัวหอมน้ำตาไม่ไหล

การหั่นหัวหอมมักทำให้แสบตาจนน้ำตาไหล เดลินิวส์ออนไลน์จึงนำวิธีหั่นหัวหอมที่ทำให้เกิดอาการแสบตาน้อยที่สุดมาฝาก

เริ่มจากหั่นหัวหอมออกเป็น 2 ซีก จากนั้นแช่ลงในน้ำเปล่า 15 นาที แล้วจึงนำมาหั่นตามปกติ เพียงเท่านี้การหั่นหัวหอมก็จะไม่ทำให้น้ำตาไหล

ส่วนหัวหอมที่เหลือใช้ เก็บไว้ใช้นานๆ ได้โดยห่อหัวหอมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ วางไว้ในที่แห้งและเย็น หัวหอมก็จะสดใหม่เก็บไว้ใช้ได้นาน.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=120274
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #56 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 05:42:16 pm »
“ดอกไม้บำรุงหัวใจ” สวยทั้งรูป จูบก็หอม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
10 กุมภาพันธ์ 2554 11:54 น.
 
 หัวใจ เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะสูบฉัดเลือดไปหล่อเลี้ยงทั้งร่างกายแล้ว หัวใจยังได้รับการเปรียบเปรยไปกับความรู้สึกต่างๆ โดยเฉพาะความรัก “108 เคล็ดกิน” ก็เลยอยากจะชวนทุกคนมาดูแลหัวใจ เอาไว้สำหรับเผื่อแผ่ความรักให้แก่คนรอบข้างในช่วงวาเลนไทน์นี้
       
       และดอกไม้สวยๆ ที่มีหลากสีสัน หลากหลายพันธุ์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีที่จะมาบำรุงหัวใจให้แข็งแรง แต่จะมีดอกอะไรบ้างนั้นก็ต้องมาดูกัน
       
       กุหลาบมอญ - มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงหัวใจ แก้อ่อนแพลีย และช่วยระบาย สามารถนำกลีบดอกสดไปแช่ลอยน้ำทำขนม หรือทำเป็นอาหารได้หลากหลายจาน ใช้ดอกแห้งหรือเกสรไปชงเป็นชากุหลาบก็ได้ แต่ต้องระวังกุหลาบที่ไม่ได้ปลูกเอง เพราะอาจจะมีสารเคมีอันตรายตกค้างอยู่
       
       บัวหลวง - สรรพคุณของดอกช่วยแก้ไข้ แก้เสมหะ บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต บำรุงครรภ์ ส่วนเกสรก็ช่วยแก้ไข้ แก้เสมหะ แก้คลื่นเหียน ใช้ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท และชูกำลัง สามารถใช้กลีบดอกและเกสรมาทำยำรสอร่อย หรือจะใช้เฉพาะเกสรบัวหลวงมาชงเป็นชาร้อนๆ ดื่มแก้ร้อนในกระหายน้ำ
       
       เก๊กฮวย - สรรพคุณเป็นยาเย็น ดับพิษร้อน แก้ร้อนใน เป็นยาแก้ปวดท้องและช่วยระบาย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดตีบ และโรคหัวใจ บำรุงตับ บำรุงสายตา บรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ วิธีกินเก๊กฮวยที่เราคุ้นเคยกันก็คือนำไปต้มแล้วใส่น้ำตาลดื่มแบบเย็นชื่นใจ หรือจะนำไปชงแบบชาร้อนก็อร่อยเช่นกัน
       
       ลำดวน - แพทย์แผนไทยจะใช้ดอกลำดวนแห้งมาทำเป็นยา เนื่องจากสรรพคุณทางสมุนไพรที่ช่วยชูกำลัง บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้เป็นลม วิงเวียน แก้ไข หรือจะใช้นำมาผสมกับยาหอมเพื่อแก้วิงเวียน และช่วยบำรุงหัวใจ
       
       คำฝอย - ส่วนดอกจะช่วยบำรุงโลหิต แก้แสบร้อนตามผิวหนัง บำรุงหัวใจ ขับระดู แก้ดีพิการ ลดไขมันในเส้นเลือด และป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะใช้ดอกคำฝอยมาชงเป็นน้ำชา แต่มีข้อควรระวังคือ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่ควรกินดอกคำฝอย เนื่องจากเป็นยาบำรุงโลหิตและขับระดู ถ้ากินมากๆ อาจทำให้แท้งได้
       
       ไม่น่าเชื่อว่าดอกไม้ที่ทั้งสวยทั้งหอม จะมีสรรพคุณหลากหลายชนิดขนาดนี้ เห็นทีคงต้องสรรหามาบริโภคกันโดยไว หัวใจจะได้แข็งแรง ไม่ถูกหักอกเอาง่ายๆ


http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000017665
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #57 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 08:15:37 pm »
"น้ำมันรำข้าว"คุณค่าเพื่อสุขภาพ



การ ใช้ชีวิตที่รีบเร่งของชาวเมืองใหญ่ทุกวันนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จากการรับประทานอาหารไม่เต็มคุณภาพ ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหาร

ข้าวกล้องเป็นธัญญาหารที่อุดมด้วยคุณค่า สารอาหาร มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งในด้านป้องกัน บำบัด และรักษา อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกาย เกิดความสมดุล โดยกลุ่มสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิดมีอยู่ในส่วนเยื่อหุ้ม เมล็ดข้าว หรือที่เรียกว่ารำข้าว และจมูกข้าว

จากการศึกษาทางการ แพทย์ พบว่า ปัจจุบันการเปลี่ยน แปลงของโลกทำให้สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากโรคภัย ไข้เจ็บเปลี่ยนไป จากเดิมที่มนุษย์เคยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อเป็นหลัก กลายเป็นว่าอัตราการเสียชีวิตของมนุษย์ 90% มีสาเหตุมาจาก "โรคเสื่อม" หรือภาวะความผิดปกติของร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อ ซึ่งสามอันดับแรกของโรคเสื่อมที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทย ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

น.พ.มีชัย อินวู�ด ที่ปรึกษาด้านการแพทย์ บริษัท ไบโอโกรว์ (ทีเอช) จำกัด กล่าวว่า "การวิจัยพบว่ามี สารแกมม่า-โอไรโซนอล (Gamma-Oryzanol) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีคุณสมบัติเป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ พบมากที่สุดในข้าว โดยเฉพาะในส่วนผิวที่มีสีน้ำตาลอ่อนของข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี หรือรำข้าว ดังนั้น แกมม�า- โอไรโซนอล จึงพบในน้ำมันรำข้าวด้วย สารดังกล่าวจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันในร่างกาย มีวิตามินอีคอมเพล็กซ์ ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์, เอนไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดพิษจากตับและเซลล์อื่นๆ ทั่วร่างกาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม น้ำมันรำข้าวไม่ได้เป็นยารักษาอาการของโรค เพียงแต่สารอาหารที่อยู่ในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่างกายจึงสร้างภูมิต้านทานต่อโรค หรือบำบัดอาการของโรคเรื้อรังต่างๆ ด้วยตัวเอง การรับประทานควรคำนึงถึงจุดสมดุลของร่างกายด้วย โดยเฉพาะควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดจะดีที่สุด" น.พ.มีชัยกล่าว

ข้าวกล้องนับว่าเป็นธัญญาหารแห่งแผ่นดินที่มีความ มหัศจรรย์ มีคุณค่าอยู่บนทุกอณูของเมล็ด หากมีเวลาใส่ใจในการบริโภค หรือรับประทานอาหารเสริมทดแทนได้ ชีวิตก็จะแข็งแรง สดใส ห่างไกลโรคร้ายอย่างแน่นอน

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNakUyTURJMU5BPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB4Tmc9PQ==

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #58 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2011, 09:43:30 pm »
มีอะไรอยู่ใน “ซอสมะเขือเทศ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
24 กุมภาพันธ์ 2554 16:23 น.



  “ซอสมะเขือเทศ” นับว่าเป็นเครื่องปรุงรสอีกอย่างหนึ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ในทุกครัวเรือน เวลาที่กินไส้กรอก สเต๊ก ของทอด หรืออาหารจานอื่นๆ หลายคนก็มักจะเลือกซอสมะเขือเทศมาเป็นเครื่องจิ้ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้ถูกปากมากยิ่งขึ้น
       
       แต่รู้กันหรือไม่ว่า ในซอสมะเขือเทศที่เรากินกันนั้น มีอะไรผสมอยู่บ้าง “108 เคล็ดกิน” เลยอยากจะบอกเล่าเก้าสิบให้ได้รู้กันไว้ จะได้กินซอสมะเขือเทศกันอย่างถูกต้อง และปลอดภัย
       
       เมื่อเทียบกับเครื่องปรุงรส หรือเครื่องจิ้มประเภทอื่นๆ แล้ว เวลาที่กินซอสมะเขือเทศในแต่ละครั้ง เรามักจะจิ้มกินในปริมาณที่มากกว่า เนื่องมาจากซอสมะเขือเทศมีรสหวานนำ ความความเปรี้ยวและความเค็มผสมอยู่ จึงทำให้รู้สึกอร่อย แต่ก็ทำให้มีโอกาสได้รับส่วนผสมประเภท น้ำตาล และเกลือ หรือ โซเดียม เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากกว่าปกติ
       
       เคยมีการทดสอบซอสมะเขือเทศ 10 ยี่ห้อ พบว่ามีปริมาณน้ำตาลโดยเฉลี่ย 25.95 กรัม ต่อซอส 100 กรัม และพบว่ามีโซเดียมโดยเฉลี่ย 741 มิลลิกรัมต่อซอส 100 กรัม
       
       ซึ่งเท่ากับว่า หากกินซอสมะเขือเทศในปริมาณ 100 กรัม (หรือ 1 ขีด) จะได้รับปริมาณน้ำตาลถึง 25.95 กรัม แต่ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดปริมาณการบริโภคน้ำตาลว่าไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา หรือประมาณ 24 กรัม ต่อวัน
       
       สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ จึงต้องระวังเป็นอย่างยิ่งในการกินซอสมะเขือเทศ โดยเฉพาะเด็กๆ หากชอบรสชาติของซอสหรือเครื่องปรุงอื่น ก็จะเริ่มติดหวานตั้งแต่เด็ก และเมื่อเติบโตขึ้นก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพ
       
       ส่วนมะเขือเทศที่เป็นส่วนประกอบหลักในซอสนั้น ก็จะต้องผ่านความร้อนในกระบวนการแปรรูปมากกว่า 72 องศาเซลเซียส ทำให้สารอาหารต่างๆ ในมะเขือเทศที่เราควรจะได้รับสูญเสียไป
       
       ฉะนั้น จึงควรจะกินมะเขือเทศสดๆ มากกว่า เพราะจะทำให้ได้คุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากจะกินซอสมะเขือเทศ ก็ควรกินอย่างพอเหมาะพอดี และควรเลือกซอสมะเขือเทศที่ได้มาตรฐาน โดยดูจากฉลากรับรองขององค์การอาหารและยา เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000024509

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #59 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2011, 10:32:16 pm »
สสส.แนะเคล็ดลับ'กินอาหาร'ถูกวิธี ช่วยเผาผลาญ'ส่วนเกิน'



ความ รู้สึกว่ากินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ยิ่งกินยิ่งเหนื่อยล้าอ่อนแรง ง่วงนอนตลอดเวลา อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายว่าระบบเผาผลาญพลังงานกำลังเสื่อมสภาพ ล่าสุด สสส.และเว็บไซต์วิชาการดอตคอม นำเสนอข้อมูลแนะนำวิธีกินอาหารที่ถูกต้องเพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญด้วยดี

สสส.ให้ข้อมูลว่า การออกกำลังกายถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเร่งเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน แต่วิธีหนึ่งที่สามารถช่วยได้อีกแรงก็คือการกินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ

อันดับแรกควรลดแป้ง น้ำตาล ไขมัน เพราะการกินอาหาร ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงมากๆ จะทำให้ปริมาณอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายลดลง นอกจากนี้การกินไขมันมากก็ยังทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานเชื่องช้าลงด้วย ฉะนั้นควรเน้นกินโปรตีนและผัก เนื่องจากการย่อยอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นกิจกรรมที่ร่างกายต้อง ใช้พลังงานอย่างมาก ดังนั้น การกินเนื้อปลา เนื้อหมูไม่ติดมัน เนื้อไก่ไม่ติดหนังก็จะช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าโปรตีนที่เหลือจากการใช้งานจะกลายเป็นไขมัน ดังนั้นอย่าทานมากเกินไป นอกจากนี้ควรกินผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงทุกวันเพราะวิตามินซีมีส่วน ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงาน

นอกจากเรื่องของอาหารแล้วยังควรปรับพฤติกรรมการกินอาหาร คือ กินน้อย แต่บ่อยขึ้น เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายมีกิจกรรมย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานตลอดทั้ง วันอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งควรดื่มน้ำที่ไม่เย็นจัดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ข้อนี้สำคัญที่สุด เพราะน้ำเย็นจะไปลดประสิทธิภาพการทำงานของน้ำย่อย ร่างกายต้องใช้น้ำในกิจกรรมย่อยอาหาร การดื่มน้ำน้อยอาจทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งระบบเผาผลาญพลัง งานติดขัดได้ แต่ก็ไม่ควรดื่มน้ำไปกินอาหารไป เพราะจะยิ่งไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารที่กินเข้าไปก็ไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้เท่าที่ควร

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVEkwTURJMU5BPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB5TkE9PQ==

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)