ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129476 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2011, 09:53:08 pm »
สูตรเด็ด น้ำผักผลไม้บำรุงสายตา



'กินดี' สัปดาห์นี้ต่อเนื่องเรื่องดวงตา ด้วยน้ำดื่มสูตรที่ช่วยบำรุงสายตา จากผักและผลไม้ที่หาได้ไม่ยาก ราคาก็ไม่แพง โดยสูตรนี้เลือกใช้ ผักและผลไม้ 4 ชนิด อย่าง แครอต แคนตาลูป หัวไช้เท้า และผักกาดหอม ซึ่งคุณค่าของผักและผลไม้เหล่านี้ช่วยเสริมเติมเต็มความแข็งแรงให้ดวงตา

อย่าง 'แครอต' อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน หากสกัดเป็นน้ำยังจะมีซัลเฟอร์ และคลอรีน ล้วนแล้วแต่ดีต่อสายตา รวมกับคุณค่าของ 'แคนตาลูป' ที่เปี่ยมไปด้วยกรดโฟลิก เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกำมะถัน พร้อม 'หัวไช้เท้า' ซึ่มีวิตามินเอ แคลเซียม ไนอาซิน ช่วยล้างพิษได้ดี แถมท้ายด้วย 'ผักกาดหอม' มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรง

ก่อนลงมือทำ เตรียมผักและผลไม้ตามส่วนต่อไปนี้..

    * หัวไช้เท้า ครึ่งถ้วย
    * ผักกาดหอม 1 ถ้วย
    * แครอต 1 ถ้วย
    * แคนตาลูป 2 ถ้วย


ขั้นตอนในการทำ ให้หั่นหัวไช้เท้าและผักกาดหอมเป็นชิ้นหยาบๆ ส่วนแครอตให้ขูดออกเป็นเส้นเล็กๆ ขณะที่แคนตาลูปหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที หรือจะเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่นก็ได้.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com



http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=123301

.



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:19:56 am »
 :07:หลานชอบกินซอสมะเขือเทศ :45:

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 08:05:55 pm »
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์



อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่า “กรดยูริก” คือ สารที่เป็นตัวการทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ สาเหตุสำคัญก็มาจาก “สารพิวรีน” ทั้งที่มีอยู่ในร่างกายและที่มีอยู่ในอาหาร และวิธีการจำกัดอาหาร จะช่วยควบคุมกรดยูริกได้เฉพาะกรดยูริกที่เกิดจากสารพิวรีนที่ได้มาจากอาหาร ที่รับประทานเท่านั้น
   
ในผู้ป่วยโรคเกาต์เอง เมื่อมาพบแพทย์ก็มักจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์กลับไป ในเรื่องการปฏิบัติตัว การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานบางอย่างที่มีข้อยกเว้น และข้อแนะนำที่สำคัญก็คือ การปฏิบัติตัวให้เกิดขึ้นกับพฤติกรรมการกิน ที่ผู้ป่วยหลายคนบอกว่า เปลี่ยนไปเพราะโรคเกาต์
   
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงอาหารที่เหมาะและไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ตามปริมาณของสารพิวรีนในอาหาร
   
1. อาหารที่มีสารพิวรีนมาก
   
อาหารที่มีสารพิวรีน มาก จะมีผลต่อการอักเสบของโรคเกาต์ และมีผลอย่างมากต่อการเกิดโรคเกาต์ สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนมากที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดเว้นและหลีกเลี่ยง ได้แก่
   
ตับ, น้ำต้มเนื้อ, น้ำเกาเหลา, ไต, น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น, ตับอ่อน
   
น้ำซุปใส, ปลาไส้ตัน, น้ำปลาและกะปิจากปลาไส้ตัน
   
ปลาซาร์ดีน, ยีสต์และอาหารหมักจากยีสต์ เช่น เบียร์
   
หอยเชลล์, ปลาทู, ปลารัง, เนื้อไก่, เป็ด, นก และ ไข่ปลา
   
2. อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง
   
อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง ก็ยังถือว่าต้องควบคุมปริมาณการรับประทาน
   
ซึ่งหมายถึงการรับประ ทานอาหารชนิดนี้ในปริมาณจำกัดผู้ป่วยโรคเกาต์ทานได้ในปริมาณจำกัด สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนปานกลางที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดเว้นและหลีกเลี่ยง ได้แก่
   
เนื้อวัว, กระเพาะ, ผ้าขี้ริ้ว, เอ็น, เนื้อหมู, เนื้อปลา
   
ปู, กุ้ง, หอย, ถั่วเหลือง, ถั่วดำ, ถั่วแดง, ถั่วเขียว                   
   
ผัก, หน่อไม้ฝรั่ง, ผักโขม, เห็ด, ดอกกะหล่ำ, ชะอม รวมทั้งกระถิน
   
3. อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลย
   
อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบจะไม่มีสารพิวรีนเลย เป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้โดยไม่แสลง สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลยที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรควบคุมปริมาณการรับประทาน ได้แก่
   
ข้าวขาว, ขนมจีน, เส้นก๋วยเตี๋ยวทุกชนิด, วุ้นเส้น
       
บะหมี่, เส้นหมี่, ขนมปังปอนด์, มะกะโรนี, ข้าวโพด
     
แคร็กเกอร์สีขาว, ไข่, นม, ผลิตผลจากนม เช่น เนยแข็ง ไอศกรีม
   
น้ำมัน, น้ำมันพืช, กะทิ, เนย, น้ำมันหมู
     
ผัก, ผลไม้ทุกชนิด, เกาลัด, เม็ดมะม่วงหิมพานต์
   
ขนมหวานต่าง ๆ ได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เค้ก คุกกี้
   
เครื่องดื่ม เช่น กาแฟ, ชา, โกโก้ และ ช็อกโกแลต
   
ทั้งนี้ นอกจากการงดรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการปฏิบัติตัวอื่น ๆ ที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ ดังนี้
   
1) ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
   
2) ดื่มน้ำวันละมาก ๆ เพื่อช่วยขับถ่ายกรดยูริก
   
3) งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้าชนิดต่าง ๆ เบียร์
   
4) หากจะต้องทำการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเป็นโรคเกาต์ เพื่อป้องกันโรคเกาต์กำเริบหลังผ่าตัด
   
5)  หลีกเลี่ยงภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ พยายามทำจิตใจให้สงบ.

ผศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
หน่วยโรคภูมิแพ้ อิมมูโนวิทยา และโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=506&contentId=123563

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #63 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2011, 09:08:11 pm »
สุขภาพดีด้วย เบต้า แคโรทีน



ขภาพดีด้วย บีต้า แคโรทีน (Mix Magazine)

          อาจ มีบ้างที่มีข่าวลือเรื่องเกี่ยวกับการกินวิตามิน เบต้า แคโรทีน จำนวนมาก แล้วทำให้ผิวเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลือง ดูเหมือนเป็นโรค อ่อนแอ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น

          เหตุผล ที่เมื่อเรากิน เบต้า แคโรทีน สะสมเข้าไปในร่างกายจำนวนมากแล้วร่างกายเราเปลี่ยนสีนั้น เป็นเพราะเบต้า แคโรทีนเป็นเม็ดสีที่เรามองเห็นมากที่สุดรอบ ๆ ตัว เกิดจากพืชสาหร่ายและแบคทีเรีย เป็นสีที่เราพบมากในอาหารที่เรากิน เช่น แครอต ฟักทอง หรือแม้กระทั่งส้มก็ตาม และยังอยู่ในกลุ่มเม็ดสีที่เรียกว่า คาโรทีนอยด์ อีกด้วย แต่ในกลุ่มคาโรทีนอยด์นั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้วิตามินเอเกิดประโยชน์ได้เท่าเบต้า แคโรทีน เช่นนั้นแล้วถ้ามองถึงประโยชน์ที่ได้รับจาก เบต้า แคโรทีน ย่อมมีค่ามากกว่าการอยากได้ตัวขาว ๆ แบบไร้ เบต้า แคโรทีนแน่ ๆ

          เบต้า แคโรทีน ยังเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เป็นสารที่มีความสำคัญในการดูแลสุขภาพ และยังเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งยังสามารถเปลี่ยนเบต้า แคโรทีน ให้กลายเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระอีกด้วย

          นอก จากนั้นแล้ว เบต้า แคโรทีน ยังช่วยให้ผิวพรรณของเราดูผ่องใส และไม่เหี่ยวย่นง่าย แถมยังบำรุงสุขภาพของดวงตา ทำให้มีส่วนช่วยในการมองเห็นเวลากลางคืน ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก


คะน้า


          ปริมาณการกินเบต้า แคโรทีนเข้าไปในร่างกายแล้วเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพก็คือ อย่างน้อย ๆ 5,000 หน่วยสากล (IU) หรือเท่ากับเบต้า แคโรทีน 3 กรัม แต่ถ้าจะให้แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี ต้องระดับ 15 มิลลิกรัมขึ้นไป และถ้าหากต้องการใช้ในการบำบัดโรค ก็ต้องได้รับในปริมาณที่มากขึ้นกว่านี้

          เบ ต้า แคโรทีน นั้นสามารถมีได้ในพืชที่มีสี ๆ เช่น สีเหลือง สีส้ม รวมทั้งผักที่มีสีเขียวบางชนิดด้วย เช่น แครอต ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก บร็อกโคลี่ มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม คะน้า ตำลึง เป็นต้น

          ปัจจุบัน ยังไม่มีผลงานวิจัยที่ออกมาแน่ชัดถึงผลกระทบของการรับเบต้า แคโรทีน เข้าร่างกายมากเกินไป ยกเว้นแต่สีผิวที่จะดูเปลี่ยนไปกลายเป็นสีเหลือง เพราะเบต้า แคโรทีน จะเข้าไปเก็บสะสมที่ผิวหนัง ซึ่งตรงนี้นับเป็นข้อดีด้วยซ้ำ เพราะเบต้า แคโรทีน จะเป็นตัวที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวของเราโดนสารพิษต่าง ๆ และทำให้ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังลดลง

          ใครที่อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น ลองหันมากินอาหารที่มีส่วนประกอบของเบต้า แคโรทีน เพราะเป็นสารที่หากินได้ง่าย และมีอยู่ในผักผลไม้ไทย ๆ

.
http://www.mixmagazine.in.th/content.php?c=cid&v=648

http://health.kapook.com/view21924.html


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: มีนาคม 01, 2011, 07:47:31 pm »
กินผิดน้ำ สุขภาพเต็มโรคร้าย



คืนวานนำเสนอเรื่องราวของ 'ธาราอาพาธ' ป่วยเพราะน้ำ ในส่วนของโรคจากการขาดน้ำไปแล้ว วันนี้ต่อเนื่องกันด้วย โรคจากการผิดน้ำ หรือดื่มน้ำที่ไม่เหมาะสมเข้าไป ซึ่ง นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้สำรวจมาเตือนผู้อ่านรักษ์สุขภาพว่า มี 5 น้ำ ที่ควรเลี่ยงดื่ม...

อย่างแรกใครจะคิดว่า เป็น 'น้ำดื่ม' ชนิดที่ระบุว่ามีฟลูออรีน,คลอรีนปะปนอันเป็นของช่วยฆ่าเชื้อได้ดี แต่ถ้ามีมากไปกลับกลายเป็นพิษ อย่าง ฟลูออรีนที่มากไปในน้ำส่วนหนึ่งจะแตกตัวเป็นฟลูออไรด์ไปจับกับเคลือบฟันจนด่างดำเปรอะไปเหมือนคราบช็อกโกแลตติดฟัน (Dental fluorosis) แก้กันลำบากเมื่อโตขึ้น

ต่อมา คือ 'น้ำปนเปื้อน' อาจเกลื่อนไปด้วยโลหะหนัก,ตะกั่ว,สารหนู ,หินปูน บางทีน้ำดื่มบรรจุขวดที่ดูใสสะอาดก็อาจมีของปนเหล่านี้ได้ไม่อาจมองเห็น เพราะในอเมริกามีการสำรวจพบ น้ำขวดที่รองมาจากน้ำประปาธรรมดามากอย่างน่าตกใจ หรือแม้ในน้ำบาดาลก็ปนเข้ามาด้วยของแถมมีพิษเหล่านี้ได้

อีกทั้ง 'น้ำกลั่น' ขอ ให้ตั้งจุดยืนในการดื่มน้ำไว้ครับว่า น้ำธรรมชาตินั้นอาจมีแร่ธาตุเล็กน้อยปนมาได้บ้าง น้ำสะอาดไม่จำเป็นต้องถูกกรองล้างเสียจนหมดจดเติมรถแทนน้ำกลั่นได้เพราะจะทำ ให้ร่างกายเสียสมดุลย์ไปได้ครับ  การได้น้ำกลั่นใสแบ๊วนานเข้าจะทำให้เกลือแร่ในตัวผิดปกติไปได้ครับ

ยังมี 'น้ำหวาน' เป็น น้ำที่ดื่มกันประจำ แต่ต้องระวังชนิดที่ “หวานมรณะ” อย่าง น้ำผลไม้สังเคราะห์,น้ำเชื่อมผสมสี หรืออย่างน้ำวิตามินเกลือแร่กินแก้กระหาย ซึ่งมีน้ำตาล ข้าวโพด (HFCS) อยู่สูง แม้แต่น้ำผลไม้ที่กรองกากออกก็เสมือนกับกินน้ำเชื่อมอย่างแรงจะทำให้ยิ่งหิว น้ำและน้ำตาลไปสร้างเป็นพุงให้สุขภาพโทรมเร็วขึ้น!

รวมถึง 'น้ำเมา' ไม่ บอกก็รู้ว่าน้ำอย่างนี้มีพิษ แต่เมื่อดื่มไปแล้วก็ขอให้พยายามล้างพิษในภายหลังด้วยการดื่มน้ำเปล่าตาม เข้าไปให้มาก และให้ดื่มน้ำผลไม้เปรี้ยว อย่าง ส้ม, มะนาว, แครนเบอรี่ เข้าไปเพราะจะช่วยแก้อาการ “เมาค้าง” ได้ดี

มีเคล็ดแก้เมาค้างอีกนอก จากกินกล้วยหอมปั่น ก็คือ ต้มซุปไก่หรือทำไข่ตุ๋นร้อนๆ ซดครับ รับรองว่า ดีเพราะมีกรดอะมิโน “ซิสทีน(L-Cysteine)” ช่วยแก้พิษจากน้ำเมาอยู่

ดูไปจะเห็นว่า พิษภัยจากน้ำล้วนมาจากการใช้น้ำผิด เมื่อคิดให้ดีก็มาจากน้ำมือมนุษย์นี้เองที่เร่งใช้น้ำกันจนธรรมชาติสร้าง น้ำดีกลับมาไม่ทัน  เลยทำให้น้ำเสียล้อมรอบตัวเราเข้ามาทุกทีแม้จะมีเทคโนโลยี “ล้างน้ำ” อย่างไรก็สู้น้ำที่แม่พระธรณีให้เรามาไม่ได้เลยครับ  เพราะน้ำธรรมชาตินั้นบริสุทธิ์สะอาดได้ผ่านการกรองง่ายๆแต่ได้ประสิทธิภาพ นั่นคือชั้นหินและกรวดน้อยใหญ่ทั้งหลายเลยได้เบี้ยบ้ายรายทางเป็นเกลือแร่ เติมเข้ามาไม่ต้องไปหาไกลที่ใส่ขวดแพงๆ  แหล่งน้ำแร่ชั้นดีในประเทศเราก็มีครับ  ปัจจุบันก็ได้ถูกนำขึ้นมาใช้แล้ว  ส่วนน้ำประปาตามบ้านหลวงท่านก็ทำสะอาดจนใช้ดื่มได้  ขอให้ล้างก๊อกน้ำและท่อประปาเก่าที่บ้านให้ดีจะได้ไม่มี “ผิดน้ำ” จากตะกรันสนิมปนเปื้อนมา

แม่พระคงคาท่านเมตตาหาน้ำดีให้เราฟรีๆอยู่รอบตัว แต่ที่น่ากลัวคือพิษจากการใช้น้ำผิดเสียมากกว่าจาก “น้ำมือ” ของมนุษย์ด้วยกันเองครับ!.

takecareDD@gmail.com


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=124063


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #65 เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 06:16:50 am »
ลูกพลัม-องุ่นม่วง ล้างพิษต้านมะเร็ง



ไหนๆ สัปดาห์นี้ก็เน้นหนักนำเสนอเรื่องของน้ำที่ดื่มกินเข้าไป 'มุมสุขภาพ-กินดี' ขอส่งท้ายด้วย น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ช่วยล้างพิษให้ร่างกาย และต้านโรคมะเร็ง โดยอาศัยสรรพคุณจาก 'ลูกพลัม และ องุ่น' ที่ธรรมชาติมอบให้เป็นตัวช่วยลดพิษภัยให้กับสุขภาพ

ลูกพลัม หรือบางคนเรียก ลูกไหน หากนำไปตากแห้ง ก็จะเปลี่ยนชื่อเรียกไปเป็น ลูกพรุน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็ง ชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ทำให้การสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เสมือนเป็นภูมิคุ้มกันต้านแบคทีเรีย ทั้งยังมีไฟเบอร์หรือใยอาหารสูง เสริมระบบขับถ่าย

สำหรับ องุ่น เป็นตัวช่วยเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญ ช่วยล้างพิษ คุมน้ำหนัก เพราะมีกรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก และกรดทาร์ทาริก  ฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก รวมทั้งวิตามินบี 1 บี 2 และซี นั่นเอง

ส่วนผสม ประกอบด้วย...

    * ลูกพลัม 1 ถ้วย
    * องุ่นม่วง 1 ถ้วย



หลังจากล้างทำความสะอาดผลไม้ทั้งสองชนิดเรียบร้อยแล้ว ให้ผ่าครึ่งองุ่นโดยไม่ต้องคว้านเมล็ดออก ส่วนลูกพลัมให้หั่นเป็นชิ้นเล็ก จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ไปสกัดพร้อมกันเพื่อเอาเฉพาะน้ำ ก่อนดื่มสามารถเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นชื่นใจ ซึ่งควรดื่มทันทีหลังสกัดน้ำเสร็จใหม่ๆ.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com




.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=124766


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #66 เมื่อ: มีนาคม 06, 2011, 07:31:12 am »
'น้ำมันปาล์ม' กับ 'สุขภาพ'

คอลัมน์  “X-RAY สุขภาพ” ในสัปดาห์นี้ขอเกาะกระแสปัญหา “น้ำมันปาล์ม”  โดยให้ข้อมูลผู้อ่านเรื่องการใช้น้ำมันปาล์มประกอบอาหารไม่ว่าจะเป็นทอด หรือ ผัด พึงรู้เอาไว้
       
เริ่มจาก รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ  สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล  กล่าวว่า คนใช้น้ำมันปาล์มเยอะ เพราะมีราคาถูก น้ำมันปาล์มให้พลังงาน เหมาะกับการนำมาทอดอาหารเพราะทนความร้อนสูง แต่เนื่องจากมีไขมันอิ่มตัวสูงเช่นกัน ถ้ากินมาก ๆ โอกาสที่คอเลสเตอรอลจะขึ้น ไขมันแอลดีแอล( Low Density Lipoprotein : LDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีจะขึ้นได้ ทำให้มีปัญหาหลอดเลือดที่จะไปเลี้ยงหัวใจ
       
คนไทยต้องเข้าใจว่า ถ้าเป็นการทอดปาท่องโก๋ หมูทอด เนื้อทอด อันนี้พอได้ เพราะเราไม่ได้กินน้ำมัน แค่มีน้ำมันติดอาหารนิดหน่อยไม่มีปัญหา แต่ถ้านำน้ำมันปาล์มมาทำอาหารประเภทผัดน้ำมันเยิ้ม ๆ ไม่เหมาะ ไม่ค่อยดี เพราะเหมือนกับว่าเรากินน้ำมันเข้าไปตรง ๆ ต่อให้เป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน ก็ไม่ดี ที่สำคัญไม่ควรจะนำมาใช้ซ้ำ เพราะน้ำมันปาล์มจะเสียสภาพ เวลากินน้ำมันที่ติดกับอาหารเข้าไปบางครั้งจะทำให้ถ่ายท้อง ถ่ายออกมาแบบเหลว ๆ ได้ แต่ไม่ใช่ท้องเสีย คือถ้าทำให้น้ำมันปาล์มร้อนประมาณ 180 องศาเซลเซียส แล้วลงมาที่อุณหภูมิห้อง พอนำมาใช้ซ้ำโดยทำให้อุณหภูมิร้อนขึ้นอีกโอกาสที่จะเกิดสารแปลกใหม่ได้ซึ่ง ไม่ค่อยดี
       
“ช่วงน้ำมันปาล์มราคาแพงเป็นโอกาสดีที่เราจะหันมาพิจารณาว่าเลิกกินน้ำมัน เถอะ กินอาหารต้ม นึ่ง ตุ๋น แทนก็แล้วกัน คือพยายามกินอาหารที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบให้น้อยลง”
       
คนที่ไม่ควรกินน้ำมันปาล์ม คือ คนที่เป็นโรคอ้วน คอเลสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง ควรพยายามหลีกเลี่ยงน้ำมันปาล์ม  ถ้าจะใช้น้ำมันพืชประกอบอาหารควรใช้ประเภทไขมันไม่อิ่มตัวแทน เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน หรือน้ำมันข้าวโพด
       
ทั้งนี้ถ้ากินอาหารประเภทผัด ๆ ทอด ๆ  ควรกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จำพวก ผัก ผลไม้ สีเข้ม ๆ ด้วย อย่างกรณีที่จะผัดผัก ก็ควรใช้ผักสีเข้ม ๆ เช่น บรอกโคลี ถั่วงอก ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จะได้ไม่มีปัญหามะเร็งจากการใช้น้ำมันปรุงอาหาร เพราะในผักมีสารต้านอนุมูลอิสระ  หรือถ้ากินหมูทอด ไก่ทอด ควรกินผัก ผลไม้ตามด้วยเช่นกัน
       
ด้าน  นพ.กฤษดา  ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า น้ำมันปาล์มเป็นน้ำมันทำกับข้าวที่ราคาย่อมเยาที่สุดจึงเป็นที่นิยมสำหรับ การทอดที่ต้องใช้น้ำมันมาก ๆ เช่น ไก่ ปาท่องโก๋ กล้วยแขก หรือของชุบแป้งทอด  นอกจากนี้ยังมีในของกิน เช่น ไอศกรีม ครีมเทียม นมเทียม คุกกี้ เบเกอรี่ นมพร่องมันเนย เนยเทียม อาหารกล่องสำเร็จรูป มีในของใช้ เครื่องอุปโภค เช่น  เทียนไข  ลิปสติก สบู่ ครีมทาผิว
       
น้ำมันปาล์มเหมาะกับอาหารทอดที่ใช้ความร้อนสูง เช่น ทอดน้ำมันท่วม แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาปรุงของเย็น อย่างการทำน้ำสลัดหรือทอดไข่ซึ่งไม่ต้องใช้ความร้อนสูงและไม่เหมาะที่นำ มาทอดซ้ำบ่อย ๆ เพราะกรดไขมันในน้ำมันปาล์มที่ทอดซ้ำมีสิทธิกลายไปเป็นไขมันร้ายทำลายหัวใจ ได้
       
ของดีในน้ำมันปาล์ม เช่น  มีวิตามินเอ วิตามินอี เป็นแหล่งวิตามินธรรมชาติ  กรดไขมัน  มีทั้งอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว  และไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ที่ค่อนข้างเป็นมิตรเช่นเดียวกับในน้ำมันมะพร้าว
       
ข้อเสียน้ำมันปาล์ม คือ 1. กรดไขมันอิ่มตัวสูง มีโอกาสสนับสนุนให้ไขมันร้ายคือแอลดีแอลในเลือดสูงและไขมันดีคือเอชดีแอล ต่ำ  ดังนั้นไม่ควรพึ่งแต่น้ำมันปาล์มทุกมื้อทุกครั้งในการปรุงอาหาร 2. มีโอกาสซ่อนไขมันทรานส์ซึ่งเป็นไขมันอันตราย  3. ยิ่งทอดซ้ำยิ่งเสี่ยงต่อสุขภาพ  เพราะจะทำให้น้ำมันปาล์มเปลี่ยนสภาพ ทำให้มีสารโพล่าร์ที่เกิดจากการทอดซ้ำเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  4. ทำให้เกิดสิว คนที่ใช้น้ำมันปาล์มทอดของอยู่หน้าเตานานๆจะมีไอระเหยน้ำมันออกมาจับหน้าตา พาให้เกิดอักเสบเป็นสิวได้ หรือในคนที่ปวดศีรษะบ่อย ปวดประจำเดือนทรมานอย่ากินน้ำมันพืชมากเกินไปเพราะมีกรดอักเสบ ชื่อโอเมก้าหกอยู่ค่อนข้างมาก
   
น้ำมันแต่ละชนิดมีดีในตัวมันต่างกันออกไปเหมือนกับคนเรา แม้น้ำมันหมูที่คู่คนไทยมาแต่ครั้งยังใช้ครัวไฟก็มีของดี หลักที่อยากฝากไว้คือไม่ควรใช้น้ำมันชนิดใดชนิดหนึ่งแช่ไว้ติดครัวตลอด ให้สลับกันไปบ้าง ยกตัวอย่าง มื้อนี้ใช้น้ำมันปาล์ม มื้อหน้าอาจเป็นน้ำมันรำข้าวหรือน้ำมันหมูบ้างก็ยังได้  ช่วยแก้ปัญหาน้ำมันแพงแถมบางมื้อยังได้ของอร่อยอย่างกากหมูไว้เจริญอาหาร ด้วย.

นวพรรษ บุญชาญ

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=532&contentId=125009

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #67 เมื่อ: มีนาคม 09, 2011, 10:20:35 pm »
5 เชื้อโรคที่อาจปะปนมากับอาหารของคุณ



โดย ธรรมชาติแล้วเชื้อแบคทีเรียจะมีปะปนมากับอาหารทุกชนิด แต่เมื่อนำมาปรุงอาหารผ่านขั้นตอนต่างๆ ที่ถูกต้อง และถูกสุขลักษณะ เชื้อเหล่านี้ก็จะถูสลายไป แต่ในทางกลับกันหากนำไปปรุงไม่ถูกวิธีก็จะเพิ่มปริมาณและส่งผลเสียต่อร่าง กาย และนี่คือ 5 เชื้อโรคที่คุณอาจพบในอาหารโดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ

 

 คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเกนส์ (Clostridium perfringens)

 

            พบ ใน เนื้อสัตว์ แกง อาหารแห้ง เช่น กะปิ น้ำพริกต่างๆ รวมถึงอาหารที่ยังร้อนไม่ได้ที่ หรือแช่แข็งอาหารช้าเกินไป เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ คลื่นไส้ ปวดบิดในท้อง โดยปกติจะไม่มีไข้ เริ่มมีอาการภายใน 1 - 16 ชั่วโมง และจะเป็นนาน 1 - 2 วัน แต่สามารถป้องกันได้โดยการปรุงอาหารร้อนๆ ให้เนื้อสุกเกิน 60 องศาเซลเซียส หรือนำไปอุ่นให้ได้อย่างน้อย 73 องศาเซลเซียส แช่แข็งอาหารทันที และเก็บอาหารในภาชนะที่สะอาดค่ะ

 

 เอสเชอริเซีย โคไล หรือ เชื้ออี.โคไล

 

            จะ พบจากการปนเปื้อนในโรงฆ่าสัตว์ พบมากที่สุดในเนื้อบดที่ปรุงไม่สุก แหล่งอื่นๆ ที่พบ ได้แก่ นมดิบ น้ำผลไม้ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรซ์ อุจจาระ และน้ำสกปรก เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำและถ่ายเป็นเลือดภายใน 24 ชั่วโมง ปวดบิดในท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ บางรายมีอาเจียน แต่ไม่มีไข้ เริ่มมีอาการภายใน 1 - 8 วัน และจะเป็นนาน 5 - 8 วัน ส่วนการป้องกันนั้นทำได้โดยปรุงเนื้อสัตว์ให้เนื้อในสุกถึง 70 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงการดื่มนมดิบหรือน้ำผลไม้ที่ไม่ได้พาสเจอไรซ์ และล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง

 

 ซาลโมเนลลา (Salmonella)

 

            พบ ใน น้ำนม เนื้อสัตว์ดิบหรือปนเปื้อน ไข่แดงปนเปื้อน พบในอาหารที่ปรุงไม่สุก เชื้อโรคมักจะแพร่ไปกับมีด เขียง หรือกับผู้ป่วยติดเชื้อที่รักษาสุขอนามัยไม่ดี เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีอาการท้องร่วงรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้สูงถึง 38 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านั้น เริ่มมีอาการภายใน 6 - 72 ชั่วโมง และจะเป็นนาน 1 - 14 วัน สำหรับการป้องกันควรปรุงเนื้อสัตว์ให้สุก หลีกเลี่ยงการดื่มนมดิบ ไข่ดิบ หมั่นทำความสะอาดมีด เขียง และล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง

 

 สเตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus)

 

แพร่ เชื้อจากการสัมผัสมือ ไอ และจาม เชื้อโรคจะเติบโตได้ดีในเนื้อสัตว์ น้ำปรุงสลัด ครีมซอส ขนมจีน อาหารและขนมที่ใช้มือหยิบจับ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีอาการถ่ายเหลวรุนแรง ปวดบิดในท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด เริ่มมีอาการภายใน 1 - 6 ชั่วโมง และจะเป็นนาน 1 - 2 วัน สามารถป้องกันได้โดยการอย่าวางอาหารที่ติดเชื้อง่ายทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง นานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ล้างมือและเครื่องครัวก่อนนำมาปรุงอาหารทุกครั้ง

           

 วิบริโอ วัลนิฟิคัส (Vibrio vulnificus)

 

พบในอาหารทะเลดิบทุกชนิด โดยเฉพาะหอยนางรม หอยแครง และหอยแมลงภู่ดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
เมื่อ เข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอาการเป็นไข้ หนาวสั่น เป็นโรคผิวหนัง เริ่มมีอาการภายใน 1 ชม. – 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยร้อยละ 50 มีโอกาสเสียชีวิตได้ ส่วนการห้องกันคือให้งดเว้นการกินอาหารทะเลดิบทุกชนิด และต้องปรุงให้สุกทุกครั้งก่อนรับประทาน

 

รู้แบบนี้แล้วอาหารมื้อต่อไปก็ควรปรุงให้สุกก่อนรับประทานจะดีที่สุดนะคะ

http://www.womanstoryonline.com/detail-page-1815.html


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #68 เมื่อ: มีนาคม 10, 2011, 09:35:15 pm »
“ไข่มดแดง” เมนูเด็ดหน้าร้อน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
10 มีนาคม 2554 18:28 น.



 “ไข่มดแดง” เป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารตามฤดูกาล ที่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็มักจะติดอกติดใจกันถ้วนหน้า ส่วนใหญ่แล้วจะได้ยินกันว่าเป็นอาหารจานเด็ดของภาคอีสาน แต่ในทางภาคเหนือและภาคกลางก็มีให้กินเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก หรือยังไม่เคยได้ลองชิม ก็มาทำความรู้จักกับ “ไข่มดแดง” กันเสียหน่อยดีกว่า
       
       ไข่มดแดงจัดว่าเป็นอาหารตามฤดูกาล ในช่วงฤดูร้อน หรือประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ เรื่อยไปจนถึงเดือนมิถุนายน โดยสามารถแบ่งไข่มดแดงออกไปเป็นสองชนิด คือ ไข่ผาก เป็นไข่ที่มดแดงออกมาเพื่อให้เจริญเติบโตเป็นตัวมดแดง จะมีลักษณะเล็ก ลีบ ฝ่อ ไม่เต่งตึง ส่วนใหญ่แล้วไข่ผากจะมีตลอดทั้งปี แต่ก็ไม่นิยมนำมาปรุงอาหาร เนื่องจากมีรสเปรี้ยว และเลือกไข่ออกจากแม่มดแดงได้ยาก ถ้านำมาปรุงอาหารก็จะใช้ใส่ต้มยำ หรือใส่อาหารเพื่อให้มีรสเปรี้ยว
       
       ส่วน ไข่ใหญ่ หรือ ไข่มดแดง จะมีขนาดใหญ่เต่งตึง และมีน้ำในไข่มากกว่าไข่ผาก ไข่ใหญ่จะเจริญเติบโตออกมาเป็นแม่เป้ง ซึ่งเป็นมดแดงอีกแบบหนึ่งที่สามารถบินได้ เมื่อแม่เป้งโตเต็มที่แล้วก็จะออกไข่มาเป็นลูกมดแดง ไข่ใหญ่จะมีเฉพาะในฤดูร้อน เพราะเป็นช่วงที่มดแดงจะเร่งแพร่ขยายพันธุ์ รังมดแดงที่มีไข่ใหญ่ เต่งและตึงจะเริ่มมีไข่ตั้งแต่ช่วงปลายฤดูหนาวประมาณเดือน กุมภาพันธ์ ไปจนถึงเดือนมิถุนายน แต่ช่วงที่นิยมนำมากินกันมากที่สุดคือช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม เพราะไข่มดแดงช่วงนี้จะใหญ่ เต่ง ตึง และอร่อยที่สุด
       
       ไข่มดแดงสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายเมนู อย่างเช่น ต้มกับผักหวานป่า นำไปใส่ไข่เจียว ทำยำไข่มดแดง เป็นต้น ซึ่งไข่มดแดงนั้นก็มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะโปรตีน ฟอสฟอรัส และแคลเซียม มีสรรพคุณทางยาช่วยระบายท้อง ช่วยให้เจริญอาหาร และเป็นอาหารบำรุงธาตุน้ำ แต่มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ ถ้าหากกินมากจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000029397


.



.



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #69 เมื่อ: เมษายน 13, 2011, 09:49:40 am »
‘เฉาก๊วย’ ของว่างมาจากไหน?



“เฉาก๊วย” ขนมหวานสีดำ ที่มีลักษณะหยุ่น ๆ เหมือนวุ้น ต้องรับประทานพร้อมกับน้ำเชื่อมและน้ำแข็ง ใครรู้บ้างว่า จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่วุ้น แต่มันทำมาจากพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งพืชชนิดนั้นก็คือ “ต้นเฉาก๊วย” นั่นเอง

“ต้นเฉาก๊วย” เป็นพืชล้มลุก ประเภทคลุมดิน ลักษณะเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อยขนาดเล็ก ลำต้นกลม เปราะและหักง่าย พืชชนิดนี้เป็นพืชในตระกูลเดียวกับพวกใบสะระแหน่ หรือ มิ้นต์ แต่ใบจะใหญ่และเรียวแหลมกว่า ใบเป็นรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ มีสีเขียวสด ดอกสีขาว ลักษณะคล้ายดอกกะเพรา ออกได้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี คนไทยเรียกว่า “หญ้าเฉาก๊วย” แปลว่า ขนมที่ทำจากหญ้า (“เฉา” แปลว่า “หญ้า”, “ก๊วย” แปลว่า “ขนม”)

พืชชนิดนี้ขยายพันธุ์โดยวิธีปักชำกิ่ง แต่ก็สามารถขึ้นได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ที่ชอบทั้งแดดและความชุ่มชื้น ปลูกได้ทั้งในดินกลางแจ้งและลงกระถาง ใบเมื่อนำไปตากแห้งแล้วเอาไปต้มจนเดือด แล้วกรองเอาแต่น้ำก็จะได้น้ำเฉาก๊วย หรือนำยางไปผสมแป้งให้มันอยู่ตัว ก็จะได้เฉาก๊วยที่เรารับประทานกัน สรรพคุณนอกจากจะช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำแล้ว ยังสามารถควบคุมโรคความดันสูงได้อีกด้วย.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์




.

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ‘เฉาก๊วย’ ของว่างมาจากไหน?

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=132305

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)