ผู้เขียน หัวข้อ: นิทานสีขาวเรื่อง "น้ำกับทิฐิ" :ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา  (อ่าน 1265 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




นิทานสีขาวเรื่อง "น้ำกับทิฐิ"
ของท่าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อว่า ทิฐิ
เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ
เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว
ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน
และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด
แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเอาจริงเอาจังและเคร่งครัดกับชีวิต
แต่บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล
และทำให้สูญเสียสิ่งดีๆ ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน

เนื่องจากทิฐิไม่ใช่คนร่ำรวย
ดังนั้นเขาจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย
จนกระทั่งมีฐานะขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว
ทิฐิจึงคิดที่จะหยุดพักตัวเองจากการงาน
แล้วเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อเที่ยวชมโลกกว้าง

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ทิฐิจึงจัดการฝากบ้านไว้กับญาติพี่น้อง
แล้วเก็บสัมภาระออกเดินทางทันที

ทิฐิเดินทางไปยังที่ต่างๆ ชมนั่นแลนี่
และพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในที่เหล่านั้นมากมาย
การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดีๆ
หรือเกิดทัศนคติใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง
แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา
ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คนๆ นั้นทันทีว่า

" นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก"

สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา
แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย


จนกระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง
และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน
จนกระทั่งอาหารและน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด
ทิฐิจึงเดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง

แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้
ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน
แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเฝ้ากล่าวคำภาวนา
ขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยเหลือเขาด้วย

" ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร
ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี
"

แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา
ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า

" โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด"

ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือของเขาให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า

" นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ"

แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ
ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาลจากชายแปลกหน้าคนนั้น
ชายคนนั้นจึงเดินจากไป

ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ

" นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่" ทิฐิถามชายชาวจีน

" นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ" ชายชาวจีนตอบ

ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว
แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า
ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป

ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่ง
มาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที

" เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด"
ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก

" นี่คือ ปานี จงดื่มเสียสิ" หญิงชาวอินเดียกล่าว
พร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ
แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า

" ข้าไม่เอาของๆ เจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!"

หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน
ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว

จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ
แล้วในตอนนั้นเอง เสียงๆ หนึ่งก็ดังแว่วๆ ให้ได้ยินว่า


" ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย
หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง
เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น
"

เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันที..  เธอทั้งหลาย...

เรื่องราวของทิฐินั้น สอนให้เราเปิดตาตนเองให้กว้าง
แล้วมองสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยสายตาและหัวใจที่ไร้อคติ
หากเธอปิดกั้นหัวใจและสายตาของเธอไว้
เธอก็อาจพลาดสิ่งดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย
ซึ่งบางครั้งสิ่งดีๆ เหล่านั้นก็อาจจะไม่หวนกลับมาหาเธออีกแล้ว


หรืออีกนัยหนึ่ง นิทานเรื่องนี้กำลังบอกเธอทุกคนซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน
แต่กำลังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน
จงอย่าลืมว่า ศาสนาทุกศาสนานั้นถือกำเนิดขึ้น
ด้วยความปรารถนาที่จะให้มีคนดีๆ อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก
แม้คำสอนบางประการจะแตกต่างกัน
แม้เสียงสวดมนต์จะเป็นคนละเสียง
และธรรมเนียมปฏิบัติก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
แต่เธอทุกคนล้วนได้รับการปลูกฝังให้เติบโตเป็นคนดีเหมือนกัน

ดังนั้นขอให้เธอเปิดใจตัวเองให้กว้าง และเคารพในคำสอนของศาสนาอื่นๆ
แม้เธอจะไม่ได้เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น
เธออาจจะนำคำสอนของเขามาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้าง
ถ้าพบว่ามันเข้ากันได้ดีกับการดำเนินชีวิตของเธอ
ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากเธอจะนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติ
ในเมื่อทุกศาสนาล้วนหมายมั่นที่จะพิชิตยอดเขาเดียวกัน
นั่นคือ "ยอดเขาแห่งความดี ความรัก และความเมตตา"


                  -http://emptydaily.blogspot.com/search/label/นิทานธรรมะ