ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตกับความรัก/ของขวัญวันสงกรานต์ :ระพี สาคริก  (อ่าน 1435 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก
ของขวัญวันสงกรานต์ มอบให้แก่เพื่อนรักทุกคน
ระพี สาคริก

ชีวิตกับความรัก
พื้นฐานการจัดการศึกษาที่ควรจะเป็น
บทนำ
หากนึกถึงสัจธรรมบทหนึ่ง ซึ่งชี้ไว้ให้เห็นความจริงว่า ถ้าไม่มีวันนั้น ย่อมไม่มีวันนี้ หากแต่ละคนมีความรู้สึกลักษณะนี้อยู่ในใจ เราคงสามารถค้นพบเหตุผลได้จากทุกเรื่อง
คนไม่ลืมความจริงซึ่งอยู่ในใจตนเอง ย่อมมีโอกาสค้นพบคำตอบ จากคำถามที่ว่า เราเป็นใครและเกิดมาจากไหน อีกทั้งมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร หลังจากสิ้นไปแล้ว จะไปอยู่ในที่ไหนและจะไปเป็นอะไรกันแน่
อนึ่ง แต่ละคนที่เกิดมาสู่โลกใบที่เรายืนนี้ ต่างก็มีพื้นฐานแตกต่างกัน ดังนั้นในแต่ละช่วงของการดำเนินชีวิต ถ้าใครคิดว่าทุกคนควรเหมือนตัวเอง ย่อมเป็นสิ่งฝืนธรรมชาติซึ่งได้รับผลกระทบจากเงื่อนไขต่างๆทำให้ภายในจิตใจแตกต่างกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนหาใช่มีเพียงร่างกายที่มีชีวิตเท่านั้น หากยังมีจิตใต้สำนึกซึ่งมีทั้งเหตุและผลเป็นสิ่งกำหนดความคิดเพื่อนำปฏิบัติ ดังนั้นการคิดแบบฝืนธรรมชาติ หากถือเป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิต ย่อมสร้างความทุกข์ใจให้กับตนเองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ในชั้นนี้จึงขออนุญาตสรุปว่า ผู้ที่คิดหนีความทุกข์ ย่อมนำชีวิตตัวเองไปพบความทุกข์หนักมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งถึงระดับที่สอนให้ตนหวนกลับมาพบความจริงจากอีกด้านหนึ่งได้เองจึงจะมองเห็นวิถีทางในการปฏิบัติที่จะนำตนไปสู่ความสุข
อนึ่ง ภายในรากฐานจิตใจคนนับแต่ช่วงเริ่มต้นเกิดมา ย่อมมีเงื่อนไขอันหมายถึงกิเลส เพื่อหวังผลสองด้านร่วมกัน ด้านหนึ่งเพื่อกำหนดพฤติกรรมให้รู้จักเอาตัวรอด ส่วนอีกด้านหนึ่งเพื่อต้องการให้ชีวิตสามารถอยู่รอดปลอดภัย รวมถึงการมีโอกาสคิดและนำปฏิบัติเพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับสังคมอีกทั้งยังมีผลกลับมาสนองความต้องการให้แก่ใจตนเองร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม ช่วงเริ่มต้นชีวิต อาจคิดเอาตัวรอดมากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากช่วงนั้นสภาพร่างกายและจิตใจยังไม่อาจพึ่งตนเองได้ คงต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อม เริ่มจากชีวิตซึ่งอยู่ใกล้ตัวใกล้ใจตนมากที่สุด อันได้แก่ การพึ่งพาแม่และพ่อ
ส่วนในด้านของแม่กับพ่อ หากชีวิตผ่านการเรียนรู้มาถึงระดับหนึ่งแล้ว ควรมีจิตใต้สำนึกที่รับผิดชอบ โดยการนึกถึงอนาคตของลูกในขณะที่ตัวเองจำต้องจากไปก่อน จึงกำหนดแนวคิดและวิธีปฏิบัติซึ่งมีผลให้โอกาสธรรมชาติที่อยู่ในใจลูกฝึกฝนตนเองเพื่อการเรียนรู้ความจริงจากความจริงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ภายนอก ช่วยให้ชีวิตลูกมีการปรับเปลี่ยนมายืนอยู่บนฐานตนเองได้อย่างเข้มแข็ง เพื่อการดำเนินชีวิตอนาคตที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยในขณะที่ตัวเองจำต้องจากไปก่อน ซึ่งประเด็นนี้ก็คือการคืนจิตใจให้กับธรรมชาติหรือคืนความรักให้กับพื้นดินถิ่นเกิดซึ่งถือเป็นสื่ออย่างลึกซึ้ง

ดังนั้นภายใต้วิถีการเปลี่ยนแปลงเท่าที่ได้กล่าวมาแล้ว จำเป็นต้องมีพลัง เพื่อใช้เป็นพื้นฐานการขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในองค์รวม ซึ่งอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงของชีวิตอันมีจิตใจเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด
ดังนั้นพลังภายในจิตใจตนเอง อันหมายถึง วิญญาณและความรักที่อยู่บนพื้นฐานความจริง ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจใช้วัตถุเป็นเครื่องมือสัมผัสได้ นอกจากรู้สึกได้จากใจ ที่มีความอิสรภาพเป็นพื้นฐาน

ซึ่งสภาพดังกล่าวย่อมมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือพื้นฐานที่อยู่ในใจตนเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งหมายถึง พื้นฐานซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจเพื่อนมนุษย์ทุกคน อันควรถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจระหว่างตนกับเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังซึ่งที่อยู่ร่วมกันเป็นสัจธรรม

ความรักระดับพื้นฐานอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั้น
ภายในองค์รวมของชีวิตมนุษย์ที่เกิดมาสู่โลก ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยพื้นโลกเป็นสื่อความรักระหว่างกันและกัน อันควรถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่กำหนดวิถีทางมุ่งไปสู่ความสุขถึงที่สุดจุดจบ
จากสัจธรรมที่ชี้ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า เหตุของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งปรากฏเป็นความจริงอยู่ในโลกใบที่เรายืนอยู่นี้ ล้วนมีเหตุผลอยู่ในรากฐานจิตใจมนุษย์ทุกคน นอกจากนั้นการดำเนินชีวิตของแต่ละคน พึงควรมีการปฏิบัติจากความจริงที่อยู่ในใจตนเองและผลที่ได้รับจากการกระทำ ย่อมหวนกลับมาสู่ความรู้สึกของแต่ละคนเป็นวัฏจักร ดังเช่นที่มีการกล่าวไว้ว่า กรรมย่อมสนองด้วยกรรม

ดังนั้นเราแต่ละคนจึงควรเข้าใจว่า ระบบการดำเนินชีวิตที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด คือความจริงของกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งอยู่ในวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษยชาติ
ในเมื่อชีวิตมนุษย์ทุกคนเกิดมาจากพื้นดิน ดังนั้นสิ่งแรกอันพึงต้องคำนึงถึง น่าจะได้แก่ วิญญาณความรักที่มอบให้แผ่นดินถิ่นเกิด ซึ่งทุกคนควรมีจิตใต้สำนึกที่รำลึกรับผิดชอบในการอนุรักษ์ทรัพยากรภายในพื้นดินเป็นปฐมเหตุ เราจึงกล่าวได้ว่า ความหมายของพื้นดินในวิสัยทัศน์ของมนุษย์แต่ละคน ควรหมายถึงพื้นดินซึ่งมีความรักและความรับผิดชอบเป็นเงื่อนไขแฝงอยู่ในรากฐานจิตใจของทุกคนไม่ว่าใครมีมากมีน้อยแค่ไหนมันก็เป็นความแตกต่างระหว่างตัวบุคคล โดยเหตุที่หยั่งรู้ได้ว่าธรรมชาติได้มอบมาให้โดยกำเนิดแล้ว

สิ่งดังกล่าว น่าจะถือว่าคือการดำเนินชีวิตของแต่ละคนซึ่งมีธรรมชาติของความรักที่อยู่ในใจตนเองเป็นพื้นฐาน และจำเป็นต้องมีไว้ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นบูรนาการ เพื่อการอยู่รอดปลอดภัย ไปจนถึงวันอันเป็นที่สุดจุดจบของชีวิตตัวเอง
อนึ่ง เมื่อมนุษย์ที่เกิดมาจำเป็นต้องมีการอยู่ร่วมกัน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันของมวลมนุษยชาติที่อยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากความจริงได้พิสูจน์ไว้ว่า ในด้านปริมาณซึ่งเป็นผลจากวิถีการเปลี่ยนแปลง หาใช่เป็นสิ่งอันควรถือว่ามีตัวตนให้ยึดติดได้ไม่

มวลมนุษยชาติที่อยู่ร่วมกันในโลกใบนี้ ไม่ว่ากลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ หากมองจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง ถ้ามองสู่ทิศทางที่เป็นอนาคต ย่อมมีการแตกกิ่งก้านสาขา ตามวิถีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีเหตุผล
แต่การเรียนรู้เหตุรู้ผลได้ลึกซึ้งถึงความจริง อันถือได้ว่าคือรากฐานซึ่งเป็นศูนย์รวมของด้านบนที่มีการแตกกิ่งก้านสาขาและช่วยให้การมุ่งสู่อนาคตมีการกระจายเหตุและผลทำให้ภายในภาพรวมทั้งหมดสามารถเรียนรู้ได้อย่างเด่นชัดและบังเกิดความสามัคคีร่วมกัน เราควรมีจิตใต้สำนึกซึ่งหวนกลับมาทบทวนสู่อดีตเพื่อหยั่งรู้ที่มาที่ไปของชีวิตตนเองอย่างลืมเสียมิได้
แม้ในด้านศาสนา อันหมายถึงแนวคิดความเชื่อที่มีร่วมกันของแต่และกลุ่ม หากมองสู่ด้านบนหรือในมุมกว้างย่อมมีการแบ่งแยกเป็นกิ่งก้านสาขาทำให้เกิดความหลากหลาย ซึ่งแต่ละคนผู้หวังความสุขและความสงบ ควรรู้เท่าทันโดยไม่ยึดติดอยู่กับสาขาใดสาขาหนึ่ง
ซึ่งประเด็นนี้จะเกิดขึ้นได้ แต่ละคนควรละความโลภ โกรธ หลง ช่วยให้มองเห็นโอกาสที่จะหวนกลับมาทบทวนตนเอง เพื่อเห็นความจริงซึ่งมีอยู่แล้วในรากฐานจิตใจ มิฉะนั้นแล้วอาจทำให้เกิดภาวะสับสน จนถึงขั้นยากที่จะสานกลับมาสู่ความจริงซึ่งอยู่ในใจตนเองเป็นหนึ่งเดียวกันได้

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า รากฐานแนวคิดความเชื่อของคนทุกหมู่เหล่า แม้ทุกชาติศาสนา ถ้าสามารถมองเห็นความจริงซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจตนเองของแต่ละคนและสามารถเข้าใจรวมทั้งยอมรับได้อย่างลึกซึ้ง ย่อมหยั่งรู้ได้ว่าคือความรักอันจะนำไปสู่ความสงบสุขในอนาคต ซึ่งถือเป็นที่สุดของความแตกต่างระหว่างคนทุกชาติทุกศาสนา จึงช่วยให้สามารถเข้าใจได้ว่าความแตกต่างนั้นคือพื้นฐานทางวัตถุที่ปรากฏเปลี่ยนแปลงอยู่ท่ามกลางบรรยากาศภายนอก ส่วนภายในจิตใต้สำนึกย่อมมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน

ความจริงที่พบได้ในปัจจุบัน
ภาพที่พบเห็นได้ในปัจจุบัน หลังจากการเปลี่ยนแปลงร่วมกันของทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งอยู่บนพื้นฐานธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติของจิตใจคนในสังคม มีการก้าวไกลห่างจากความจริงเพิ่มมากยิ่งขึ้น จึงมีผลทำให้คนจำนวนมาก ตกอยู่ในสภาพลืมความจริงซึ่งมีอยู่ในรากฐานจิตใจตนเองมาโดยกำเนิด
หลายคนจึงคิดได้ไม่ถึงว่า ตนเป็นคนซึ่งเกิดมาจากพื้นดินเหมือนทุกคน ดังนั้นนับวันจึงทำให้รากฐานความคิดตื้นเขินยิ่งขึ้น จนกระทั่งไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงความรักอันเป็นสัจธรรมของชีวิตตนเอง

อนึ่ง เมื่อมีสิ่งนั้นเกิดขึ้นย่อมมีสิ่งนี้เกิดขึ้นร่วมด้วย ดังนั้นจึงพบความจริงได้ว่า ทุกวันนี้คนในสังคมนับตั้งแต่สองคนขึ้นไป ส่วนใหญ่กำลังพบกับภาวะร้าวฉานระหว่างกันและกันรุนแรงยิ่งขึ้น นับตั้งแต่ความเข้าใจที่ห่างจากกัน ระหว่างผู้ใหญ่กับชนรุ่นหลัง ระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ระหว่างผู้ร่วมงานไม่ว่ากลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ไปจนกระทั่งถึงความร้าวฉานภายในครอบครัว
ทั้งนี้ ย่อมมีเหตุผลสืบเนื่องมาจากวิถีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจทำให้บังเกิดความรุนแรงชัดเจนยิ่งขึ้นจนกระทั้งถึงทำลายล้างสังคมทุกวันนี้
ภายในรากฐานจิตใจคนแต่ละฝ่ายที่มีการสัมผัสกันและกัน แม้ว่าในอดีตจะมีธรรมชาติแตกต่างกัน แต่ก็ยังไม่ห่างกันจนถึงขั้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรง จึงยังคงมีเหตุผลที่เชื่อมโยงถึงซึ่งกันและกันได้ไม่ยาก เช่นที่กล่าวกันว่า พูดกันด้วยเหตุและผลให้เข้าใจกันได้

ในช่วงก่อนๆ หากขุดค้นปัญหาความแตกต่างระหว่างกันของเงื่อนไขที่อยู่ในใจมนุษย์กับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากระดับความรักพื้นดิน ซึ่งแต่ละคนควรมีอยู่ในรากฐานแม้จะต่างระดับกัน หากพบว่าแต่ละฝ่ายมีความแตกต่างระหว่างกันไม่มากนัก ควรรักษาสภาพดังกล่าวเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ จึงมีผลช่วยให้การร่วมมือร่วมใจกัน บังเกิดความมั่นคงในระยะยาว
มาถึงช่วงนี้ หากฝ่ายหนึ่งสามารถอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นเอาไว้ในรากฐานจิตใจให้มั่นคงอยู่ได้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งมีความอ่อนแอ หลังจากได้รับผลกระทบโดยอิทธิพลวัตถุ ทำให้หลุดจากความจริงอันควรมีอยู่ในจิตวิญญาณตนเองได้ง่าย ฝ่ายที่ยังมั่นคงอยู่ได้ อาจช่วยประคับประคองกันไว้ได้ แม้ต้องทนทุกข์ทรมานใจมากแค่ไหน ทั้งนี้เนื่องจากมีความอดทนสูงกว่า
อนึ่ง ธรรมชาติภายในจิตใต้สำนึกของแต่ละคนย่อมมีข้อจำกัดมากน้อยแตกต่างกัน ดังนั้นถ้ามีรากฐานจิตใจอ่อนแอด้วยกันทั้งสองฝ่าย ย่อมเกิดภาวะร้าวฉานบานปลายออกไปจนกลายเป็นเรื่องหันหลังให้กันได้ไม่ยาก และคงไม่ใช่เพียงในครอบครัวเท่านั้น แม้ในกลุ่มงานอาชีพจนถึงขั้นระดับชาติซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายถืออำนาจบริหารกับประชาชนคนทั่วไป ย่อมมีผลทำให้เกิดการนองเลือด

มีกรณีตัวอย่างความตื้นเขินทางความคิดที่พบเห็นได้ทั่วไปในขณะนี้ หากมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโอกาสวันแห่งความรัก โดยเหตุที่คนไทยได้รับอิทธิพลครอบงำจากวัฒนธรรมทางวัตถุซึ่งถูกถ่ายทอดมาจากชนชาติตะวันตกมีผลทำให้รากฐานจิตใจคนส่วนใหญ่ขาดการพึ่งตนเองได้อย่างเข้มแข็ง
เมื่อกล่าวถึงวันแห่งความรัก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จากด้านทางการ ซึ่งมีการสนับสนุนให้ความร่วมมือแก่หญิงและชายเข้าสู่พิธีมงคลสมรส ช่วยให้อ่านได้ว่า ทุกวันนี้ เมื่อกล่าวถึงความรัก เรามักมุ่งมองไปยังความรักระหว่างเพศ เพราะคนส่วนใหญ่ตกอยู่ในความประมาททำให้เกิดการลืมตัวจึงมองได้ไม่ถึงความรักสัจธรรม อันควรมีอยู่ในรากฐานจิตใจของแต่ละคน
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอะไร เมื่อมีด้านหนึ่งก็ย่อมมีอีกด้านหนึ่ง กล่าวคือ หลังจากแต่งงานแล้วก็หย่าร้างกันได้ไม่ยาก ทุกวันนี้เราจึงพบว่ามีความแตกแยกเกิดขึ้นในครอบครัวไทยแทบจะทั่วไปหมด ผู้ซึ่งอยู่นอกแวดวงที่มีความแตกแยกเกิดขึ้น หากใครสามารถเข้าถึงใจคนทั่วไปได้อย่างลึกซึ้ง อาจได้รับการระบายความในใจให้มีโอกาสรู้ความจริงได้เอง

เรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมไม่มีในโลก
หลังจากกล่าวมาถึงประเด็นนี้ คิดว่ามีสิ่งน่าสนใจอย่างหนึ่ง นั่นคือรู้จัก ชีวิตคนเราไม่ว่าร่างกายจะอยู่ห่างกันแค่ไหน อีกทั้งไม่เคยรู้จักกันเป็นส่วนตัวมาก่อน หากการปฏิบัติสะท้อนให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ได้ว่า เป็นที่ไว้วางใจได้สนิทถึงระดับหนึ่ง สิ่งที่ซ่อนเร้นเป็นความลับในใจตนเอง แม้กระทั่งระหว่างสามีกับภรรยาซึ่งถือเป็นความลับส่วนตัว ก็ยังสามารถระบายให้รู้ความจริงได้ไม่ยาก ดังเช่นสัจธรรมได้ชี้ไว้ว่า ความลับไม่มีในโลก

ดังนั้น ความหมายของคำว่าความลับไม่มีในโลก จึงหาใช่ หมายถึง การสอดรู้สอดเห็นในสิ่งซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการให้รู้ เพราะนั่นคือการเสียมารยาทที่ดี หากหมายถึงรากฐานจิตใจที่สามารถสื่อถึงผู้คนทั่วไปได้อย่างปราศจากกรอบกำหนด
แม้กระทั่งสิ่งที่บางคนเรียกว่า ความลับภายในครอบครัว ซึ่งหลายคนถือเป็นเรื่องส่วนตัว หลังจากสังคมเปลี่ยนแปลงมาถึงยุคนี้ แม้ผู้ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หากมีใจศรัทธาถึงกัน ย่อมสามารถเปิดเผยความจริงให้รู้กันได้ไม่ยาก

ดังนั้นคำว่าความลับไม่มีในโลก จึงควรให้ความสำคัญแก่ประเด็นหลังมากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากมีผลสืบเนื่องมาจากรากฐานจิตใจระหว่างทั้งสองฝ่ายซึ่งสามารถเชื่อมโยงถึงกันและกันได้โดยแท้ จึงไม่ก่อให้เกิดการปิดบังอำพรางจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจึงช่วยให้สามารถสัมผัสกับได้อย่างมีความสุข
ขออนุญาตสรุปประเด็นสำคัญไว้ชั้นหนึ่งก่อนว่า ผู้ที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้อย่างชัดเจนแล้ว ย่อมไม่มีการคิดแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมออกจากกัน อีกทั้งรู้ความจริงว่าความลับหาใช่เป็นสิ่งมีตัวตนให้ยึดมั่นถือมั่นไม่ คงมีแค่ความจริงใจซึ่งมอบให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนอันถือเป็นอมตะของชีวิตตนเอง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 14, 2013, 12:24:02 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด

ความรัก-รากเหง้าของทุกศาสนา
บนพื้นฐานวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่อยู่ในรากฐานจิตใจคนอย่างเป็นธรรมชาติ กับสิ่งซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อหวังใช้ประโยชน์ หลังจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลกผ่านพ้นมาถึงช่วงนี้ หลายสิ่งหลายอย่างได้ปรากฏให้เห็นเป็นความจริงอย่างชัดเจนว่า สิ่งใดก็ตามที่มนุษย์ทำขึ้นมา เริ่มจะส่งผลสะท้อนกลับมาสอนให้รู้ว่าหาใช่ของจริงไม่ หากใครยึดมั่นถือมั่นย่อมส่งผลทำลายจิตใจตนเองชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้เรื่องประเพณีซึ่งคนในสังคมเคยถือว่าสำคัญที่สุด ถึงขนาดมีสิ่งใดก็ตาม อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากผิดเพี้ยนไปจากประเพณีเท่าที่เป็นมาแล้ว ย่อมถือว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรง

มาถึงช่วงนี้ สิ่งซึ่งขัดต่อวัฒนธรรมที่สะท้อนออกมาปรากฏให้รู้ได้เห็นได้ แม้เรื่องประเพณีทางสังคมรวมถึงศาสนา ย่อมมีผลสอนให้เราแต่ละคนรู้ว่า แท้จริงแล้ว หาใช่เป็นเรื่องอันควรยึดมั่นถือมั่นแต่อย่างใดไม่ แม้สิ่งเหล่านี้อาจมีแนวคิดความเชื่อที่สืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานแค่ไหน
ดังนั้น ช่วงหลังๆเริ่มมีผู้มองเห็นความจริงได้ว่า แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ต่างก็ไม่มีทั้งความผิดและความถูกต้อง หากมีสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือการนำปฏิบัติอย่างรู้เหตุรู้ผลจากใจตนเอง อันถือได้ว่าคือจิตสำนึกรับผิดชอบต่อตนเองร่วมกับสังคม จากรากฐานการตัดสินใจอย่างอิสระ

ฉันมีตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องศาสนา ซึ่งใคร่ขออนุญาตหยิบยกมาฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ ณ โอกาสนี้ โดยที่เชื่อว่า สิ่งใดก็ตามที่แสดงออกจากความรู้สึกซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจคน ควรถือว่าคือความจริง แม้อาจกระทำไปเพราะความมืดบอด
ฉันยังจำได้ว่า เมื่อประมาณ 25 ปีมาแล้ว วันหนึ่งมีนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง จากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มาเยี่ยมที่บ้านและขอร้องให้ฉันเข้าร่วมเป็นกรรมการพิจารณาเสนอมหาวิทยาลัยวิทยานิพนธ์ เรื่อง พุทธศาสนากับความรัก สำหรับใช้พิจารณาเพื่อความสมบูรณ์ในหลักสูตรปริญญาโทร่วมกับโอกาสในการเรียนรู้ของผู้ปฏิบัติ ซึ่งฉันก็ได้ตอบรับไปด้วยความเต็มใจ

หลังจากนั้นมา เธอก็ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของเหตุและผลจนกระทั่งถึงช่วงซึ่งมีการทดสอบความรู้จากความคิดและผลงานเท่าที่ได้ปฏิบัติมาแล้วทั้งหมด
อยู่มาวันหนึ่ง มีบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งสังคมยอมรับว่ามีการศึกษาสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว แม้ไม่กี่คนที่รับทราบเรื่องนี้ ได้ถามฉันว่า “พุทธศาสนาไปเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องความรัก ?
ประเด็นคำถามดังกล่าว เสมือนจุดประกายใจให้ฉันคิดค้นหาความจริงอย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้น ตัวฉันเองจึงมองเห็นโอกาสที่จะนำแง่คิดเกี่ยวกับความรักโดยใช้บทความเรื่องนี้เป็นกระแสที่เสนอให้สังคมได้นำไปคิดค้นหาเหตุผลเพื่อ
สอนให้คนมีโอกาสนำไปคิดให้ถึงความจริง

ประเด็นคำถามที่หยิบยกมากล่าวเป็นตัวอย่าง แม้เกิดจากคนไม่กี่คนหากฉันรู้ความจริงแล้วว่า ถ้าอยู่บนพื้นฐานสัจธรรม แม้มีไม่กี่คนหรือคนจำนวนมาก ย่อมไม่ต่างกัน
กับอีกเรื่องหนึ่ง ขณะที่ถึงช่วงวันแห่งความรัก ซึ่งปกติแต่ละปีจะใกล้เคียงกันกับวันมาฆบูชา มีอยู่ปีหนึ่ง ซึ่งวันแห่งความรักกับวันมาฆบูชาตรงกันพอดี

ค่ำวันนั้นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์จากสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง หลังจากทำหน้าที่อ่านข่าวก่อนจบรายการได้พูดทิ้งท้ายว่า ปีนี้วันแห่งความรักกับวันมาฆบูชาตรงกันได้ยังไง? พร้อมทั้งแสดงให้เห็นอาการซึ่งบ่งบอกถึงความรู้สึกแปลกใจ
พฤติกรรมดังกล่าว มีผลสะกิดใจให้ฉันคิด หลังจากนั้นจึงมองเห็นคำตอบว่า เป็นเพราะคนจำนวนไม่น้อยยังเข้าใจความหมายของความรักลงไปไม่ถึงสัจธรรมของชีวิต หากยึดติดอยู่แค่ความรักทางเพศระหว่างหญิงชายเป็นส่วนใหญ่
ฉันหวนกลับมานึกถึงความจริงซึ่งแต่ละคนควรมองเห็นได้ชัดเจนว่า รากฐานของคนที่ไม่อาจหยั่งลงสู่พื้นดินได้อย่างลึกซึ้ง น่าจะมีผลทำให้สังคมจำต้องพบกับภาวะล่มสลายได้ไม่ยาก สิ่งนี้น่าจะสอดคล้องกับสภาพครอบครัวแตกแยก ซึ่งปัจจุบันมีผลลุกลามไปอย่างกว้างขวาง

ทั้งนี้และทั้งนั้น แม้ในกรณีความรักระหว่างหญิงชายที่เริ่มต้นรักกัน ส่วนใหญ่ไม่อาจแยกแยะความรักสัจธรรม อันควรมีอยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง กับความรักอันเกิดจากอารมณ์ทางเพศออกจากกัน จึงไม่สามารถรู้ว่าด้านไหนคือพื้นฐานรองรับความมั่นคงของอีกด้านหนึ่ง
ดังนั้น หลังจากความรู้สึกที่เกิดจากอารมณ์ทางเพศผ่านพ้นไปแล้ว ย่อมจึงทำให้ชีวิตตกอยู่ในสภาพขาดรากฐานที่แท้จริง ทำให้จำต้องพบกับภาวะล่มสลายในที่สุด

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า พื้นดิน คือสื่อความรักอันควรมีอยู่ในรากฐานจิตใจมนุษย์ทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดภาษาใด แม้ศาสนาและลัทธิใดก็ตาม ทั้งนี้และทั้งนั้นเนื่องจากแต่ละชีวิตต่างก็อยู่บนพื้นโลกใบเดียวกันทั้งหมด จึงควรมีภูมิปัญญาที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันและกันได้ทุกรูปแบบ

ช่วงหลังๆ การเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างศาสนาและลัทธิความเชื่อของมนุษยชาติชัดเจนยิ่งขึ้น สะท้อนให้รู้ความจริงได้ว่า แม้ในด้านศาสนาซึ่งเริ่มต้นจากการเรียนรู้ความจริง อันมีสัจธรรมอยู่บนพื้นดินโดยตรง
หลังจากการถ่ายทอดความรู้แบบแบ่งแยก ซึ่งมีการแยกแยะกิ่งก้านสาขาออกไป โดยที่คิดว่าน่าจะช่วยให้เข้าใจได้ยิ่งขึ้นชัดเจน อีกทั้งยังมีการพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ในด้านวัตถุ แม้การสร้างโบสถ์ สร้างวิหารเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่
ในที่สุดรากฐานความจริงของผู้ปฏิบัติย่อมตกอยู่ในสภาพห่างไกลจากใจตนเองมากขึ้น จนถึงขั้นมีการแบ่งแยกศาสนาชัดเจนยิ่งขึ้น แม้เกิดปัญหาก็ยากที่จะกลับมาค้นหาความจริงจากใจตนเองได้อย่างลึกซึ้ง ดังที่ฉันเคยเขียนบทความเรื่อง ก้อนหินหล่นลงน้ำ ซึ่งมีการตีพิมพ์ไว้ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ คอลัมภ์จุดประกาย

หวนกลับมานึกถึงความแตกแยกที่เกิดขึ้นในครอบครัว ซึ่งคนส่วนใหญ่พูดว่า คือกลุ่มเล็กที่สุดของสังคม ขณะนี้ เราได้พบความขัดแย้งที่แยกออกเป็นสองขั้ว จากการเชื่อว่า ครอบครัวอยู่ได้ สังคมย่อมอยู่ได้ ส่วนอีกขั้วหนึ่งเชื่อว่า สังคมอยู่ได้ ครอบครัวย่อมอยู่ได้ ในขณะที่ระหว่างกลางมีช่องว่างซึ่งหาความเข้าใจเชื่อมโยงถึงกันได้ยาก
แท้จริงแล้วเกิดจากความรู้สึกยึดติดกันคนละขั้วภายในภาพรวมของการกระจายความหลากหลายบนพื้นฐานธรรมชาติทั้งหมด

ดังนั้นหากความคิดมีรากฐานอิสระ ทำให้เปิดกว้าง สามารถครอบคลุมได้สองด้านร่วมกัน ย่อมรู้ว่าทำให้ การเชื่อมโยงทั้งสองด้านอยู่บนพื้นฐานความจริงโดยมีศูนย์รวมอยู่ที่ใจได้อย่างชัดเจน จึงเข้าใจธรรมชาติได้ทั้งหมด
ซึ่งประเด็นนี้ หากแต่ละคนสามารถรักษารากฐานจิตใจให้มั่นคงอยู่ได้ ย่อมเข้าใจได้ เช่นเดียวกันกับสิ่งซึ่งคนแต่ก่อนเคยตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบความคิดว่า ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่

บุคคลผู้รู้เท่าทันย่อมมองเห็นคำตอบได้ว่า สิ่งนี้คือวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงซึ่งอยู่บนพื้นฐานธรรมชาติ เพียงแต่ว่าบุคคลผู้มีรากฐานความรักอันบริสุทธิ์เป็นศูนย์รวมที่ครอบคลุมระหว่างสองด้านไว้ได้ ย่อมมองเห็นความจริงได้ทั้งหมด
นอกจากนั้นยังรู้ต่อไปอีกว่า โอกาสใดควรมองจากด้านไหนไปสู่อีกด้านหนึ่งอย่างสอดคล้องกันกับเหตุผล ทั้งนี้และทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการรู้ความจริงว่า ขณะนั้นความรับผิดชอบของตนกำลังยืนอยู่บนพื้นฐานอะไร เพื่อนำการปฏิบัติไปสู่การสร้างสรรค์ แทนที่จะส่งผลทำให้เกิดภาวะสับสน จนกระทั่งหวนกลับมาทำร้ายตัวเองและสังคม

ปัญหาความแตกแยกที่เกิดขึ้นในกลุ่มบุคคลยุคปัจจุบัน
จากเหตุผลที่กล่าวมาแล้วทุกแง่ทุกมุม น่าจะช่วยให้เห็นคำตอบได้ว่า ความแตกแยกในครอบครัวก็ดี ในกลุ่มบุคคลผู้ทำงานร่วมกันก็ดี รวมถึงในชุมชนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ภาพที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนอีกทั้งรุนแรงขึ้นในขณะนี้ น่าจะมีผลสืบเนื่องมาจากรากฐานจิตใจคนอันควรหยั่งลงสู่พื้นดินได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข จำต้องตกอยู่ในสภาพร้าวฉานรุนแรงยิ่งขึ้น จนกระทั่งประสบความแตกแยกน่าจะมีผลสืบเนื่องมาจากอิทธิพลวัตถุ ซึ่งมนุษย์ผู้ขาดความรู้สึกรับผิดชอบอันควรจะเข้าใจได้ว่า แต่ละคนต่างก็คือคนเหมือนตน เป็นผู้สร้างวัตถุนำออกมาใช้หาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างขาดการรู้เหตุรู้ผล
ดังนั้นขณะที่อิทธิพลวัตถุรุนแรงยิ่งขึ้น ย่อมมีผลทำให้คนผู้ซึ่งจิตใจถือครองวัตถุเอาไว้ ถูกกำหนดโดยธรรมชาติในตัวเอง ให้เป็นผู้มีจิตใจอ่อนแอทำให้มีใจเหี้ยมโหดยิ่งขึ้น

ในเมื่อทุกอย่างมีสองด้าน อีกทั้งภายในภาพรวมยังมีความจริงให้รู้ได้ว่า เมื่อด้านหนึ่งลดน้อยลง อีกด้านหนึ่งย่อมเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น เมื่อภายในจิตใจมีความเหี้ยมโหดแทนความเมตตากรุณา ด้านที่ปรากฏออกมาภายนอกอาจแสดงมายาภาพเพื่อกลบเกลื่อนความจริง อย่างที่กล่าวกันว่า คนทุกวันนี้ ปากกับใจไม่ตรงกัน หรืออีกนัยหนึ่ง หน้าไหว้หลังหลอก
อนึ่ง สิ่งเหล่านี้บุคคลผู้มีรากฐานจิตใจมั่นคงแข็งแกร่งอยู่กับสัจธรรม ย่อมอ่านความจริงได้ไม่ยาก
ทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องจากผู้มีคุณสมบัติดังกล่าวย่อมมีจิตใจเปิดกว้าง จึงช่วยให้มีความทรงจำที่แม่นยำอยู่เสมอ เช่นที่ความจริงได้ชี้ไว้ว่า เป็นผู้มีจิตใจมั่นคงอยู่กับการรู้อดีต ทั้งของตนและเพื่อนมนุษย์ จึงสามารถอ่านความจริงจากภูมิหลังของบุคคลผู้ซึ่งตนเห็นพฤติกรรมอยู่ในขณะนั้นได้ไม่ยาก

สภาพที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ได้มีเรื่องระบายความรู้สึกออกมาจากใจบางคนในอดีต ที่กล่าวว่าคนไทยลืมง่าย หรือคนไทยมักได้ใหม่ลืมเก่า
สิ่งดังกล่าว หากนำมาคิดค้นหาความจริง แม้เพียงจากประเด็นหนึ่งย่อมรู้ได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่ขาดการรู้เท่าทันคนอื่น จึงมีแนวโน้มถูกหลอกได้ง่าย แม้แต่สิ่งซึ่งกล่าวกันว่าพลังต่อรอง หากรากฐานจิตใจไม่อาจหยั่งลงสู่พื้นดินได้อย่างลึกซึ้ง ย่อมยากที่จะชี้แจงแสดงเหตุและผลให้ผู้อื่นยอมจำนนได้โดยง่ายคงมีแต่การทำอะไรทำตามกัน หรือไม่ก็มีความขัดแย้งกันจนกระทั่งเกิดความแตกแยก
ผู้มีรากฐานจิตใจที่พึ่งตนเองได้อย่างมั่นคง ย่อมมีความเชื่อมั่นในเหตุและผลสูง อีกทั้งยังมีการแสดงออก ซึ่งแม้ภายนอกอาจอ่อนน้อมถ่อมตน โดยยกผู้อื่นไว้เหนือตนเอง แต่ภายในรากฐานจิตใจย่อมมีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว อีกทั้งมีบุคคลิกภาพอันสง่างามให้เป็นที่เกรงขามแก่ผู้อื่นอย่างเป็นธรรมชาติ

บทสรุป
สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด น่าจะสะท้อนให้เห็นภาพรวมของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบ ที่ช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างมีคุณค่า รวมถึงการรู้หน้าที่ในการปฏิบัติตน ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
นอกจากนั้นภายในรากฐานจิตใจ ย่อมไม่คิดทะเยอทะยานอยากได้สิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นสิทธิของผู้อื่น แม้รากฐานจิตใจรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งตนควรได้ แต่มีผู้อื่นมาฉกฉวย ย่อมเห็นเป็นโอกาสที่จะมองย้อนกลับไปสู่ความจริงจากใจบุคคลผู้นั้นได้ โดยไม่คิดเรียกร้องหรือยื้อแย่งวัตถุกลับคืนแต่อย่างใด หากเป็นเพราะเข้าใจแล้วว่าใครทำดีย่อมได้สิ่งที่ดี ซึ่งมีผลสนองตอบแก่ใจตนเอง

10 เมษายน 2546

..
..

ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก /27 พฤษภาคม 52557
ปรัชญาพุทธศาสนา ชี้ให้เห็นอะไร? ระพี สาคริก

ผู้เขียนยอมรับว่า ตนยังไม่รู้เรื่องราวของพุทธศาสนาลึกซึ้งมากนัก ทำให้ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวมาโดยตลอด แต่สิ่งที่คนรุ่นก่อนเคยกล่าวฝากไว้ ตนก็อดที่จะตั้งคำถาม ถามตัวเองไม่ได้ว่า ปรัชญาพุทธศาสนาชี้ให้เห็นอะไร?

หากสิ่งซึ่งนำปฏิบัติจากใจจริงเท่าที่ผ่านพ้นมาแล้ว ควรทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่า สิ่งซึ่งตนสัมผัสมาแล้วน่าจะส่งผลเป็นความจริงให้เชื่อถือได้ ยิ่งในยุคนี้ดูแล้วมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คนรุ่นปู่ย่าตายายเคยพูดฝากไว้ว่า คนที่กระทำความดีย่อมไปสู่สวรรค์ ส่วนคนที่กระทำความชั่วย่อมตกนรก บ้างก็กลายเป็นเปรต

มีเหตุอย่างหนึ่ง หากมองทุกสิ่งทุกอย่างให้ถึงจิตใจตนเอง น่าจะรู้ความจริงได้ว่า สิ่งซึ่งคนยุคก่อนเคยพูดฝากไว้คงไม่ได้มาลอยๆ หากมีเหตุสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขที่อยู่ในจิตใจคน

โดยสัจธรรม ภายในรากฐานจิตใจคนย่อมมีอดีต เว้นไว้แต่ว่าถ้าเป็นคนลืมตัว ย่อมไม่อาจหวนกลับมาค้นหาอดีตจากใจตัวเองจึงรู้ได้ไม่ถึง เพราะฉะนั้นถ้าปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ ย่อมหมายความว่าตัวเองยังเป็นคนด้อยสติปัญญา


อย่างไรก็ตามคนด้อยปัญญาหรือมีปัญญา ก็เป็นธรรมชาติของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ใครสนใจแสวงหาย่อมได้รับความรู้ใส่ใจตัวเองไว้เป็นกำไรชีวิต

ส่วนคนที่ด้อยสติปัญญา ย่อมปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปโดยไม่นำมาคิด แถมยังอาจดูถูกอีกด้วย จึงสูญเสียโอกาส ในการพัฒนาจิตใจตนเอง

ดังนั้นโอกาสก็คือสิ่งที่อยู่ในใจของแต่ละคน หากบุคคลใดมองโอกาสไปยังสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกย่อมไม่อาจพบความจริง นอกจากฉกฉวยสิ่งสมมติไปเรื่อยๆ จึงเรียกได้ว่า คนลักษณะดังกล่าวคือผู้ที่ไม่รู้จริง หากคิดฉกฉวยโอกาสจากผู้อื่นมาเป็นของตน

ฉันเคยได้ยินคนแต่ก่อนพูดให้ฟังว่า เปรตเป็นสิ่งมีจริง แถมยังบอกต่อไปอีกว่ามีลักษณะหัวสูงๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน อีกทั้งมีจิตใจโหดเหี้ยมและมีนิสัยสูบเลือดเนื้อมนุษย์กินเป็นอาหาร

เรื่องราวที่กล่าวมาแล้ว แต่แรกฉันก็เคยรู้สึกว่าเป็นเพียงสิ่งสมมติที่ผู้ใหญ่หลอกเด็กให้เกิดความกลัว เพื่อที่จะไม่ทำอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน

หลังจากชีวิตผ่านพ้นมาถึงช่วงนี้ ฉันยังคงปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างโดยให้ความรักความจริงใจกับทุกคน จนกระทั่งสามารถแยกแยะร่างกายที่แสดงออกกับเงื่อนไขที่อยู่ในรากฐานจิตใจคนออกให้รู้ถึงความจริงซึ่งอยู่บนพื้นฐานที่อิสระ เพื่อว่าหากมีสิ่งใดซึ่งตนไม่พึงพอใจ จะได้ไม่คิดทำร้ายใครต่อใครให้ร่างกายจำต้องเดือดร้อนจนเป็นนิสัย

ช่วงหลังๆ ฉันมักมองสิ่งต่างๆ โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบที่เห็นได้ด้วยตา เพราะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่มีตัวตน หลังจากเวลาผ่านพ้นมาแต่ละสิ่งก็เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ

แม้แต่ตัวเองยืนส่องกระจกเงา แต่ก่อนรูปร่างหน้าตาก็เป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง นอกจากนั้นเงื่อนไขที่เคยอยู่ในใจตัวเอง ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่ได้มีบทบาทช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างลึกซึ้งเช่นเดี๋ยวนี้

หวนกลับไปนึกถึงชีวิตเพียงช่วงจบจากมหาวิทยาลัย ฉันถูกราชการส่งไปเป็นนักเกษตร ต่อมาฉันรู้สึกท้าทายที่จะทำเรื่องกล้วยไม้ เนื่องจากเห็นค่านิยมจากการปฏิบัติของคนทั้งสองด้านซึ่งไม่ชอบด้วยเหตุผล

เนื่องจากมีผู้คนร่ำรวยด้วยวัตถุและเงินกลุ่มหนึ่งนำกล้วยไม้มาปลูกเล่น แถมยังใช้เป็นเครื่องมือดูถูกคนจนกับเด็กอีกด้วย ส่วนคนทั่วไปซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งกลับมองว่ากล้วยไม้เป็นของเล่นสำหรับเศรษฐี จึงรู้สึกรังเกียจว่าเป็นของทำลายเศรษฐกิจ

ฉันรู้สึกไม่เห็นด้วยทั้งสองด้าน เพราะคนซึ่งยืนกันอยู่คนละขั้วหลงยึดติดกล้วยไม้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทำให้รู้ความจริงได้ว่าปัญหานี้มีเหตุอยู่ที่คน แต่ตนก็ไม่ชอบพูดขัดแย้งกับใครเพราะมันทำให้เป็นทุกข์ หากลงมือทำจากความจริงซึ่งอยู่ในใจตนเอง ช่วยให้รู้ความจริงที่อยู่ในใจตนเองจึงมีความสุข แม้ใครจะขัดขวางฉันก็ยังมั่นคงอยู่ได้ เนื่องจากเป็นโอกาสให้สู้กับใจตนเองโดยไม่ต้องพูด

แต่ก่อนฉันเคยคิดว่าเทวดาอยู่บนท้องฟ้าจริงๆ ส่วนเปรตคงอาศัยอยู่ใต้ดิน แต่ชีวิตที่ผ่านพ้นมาแล้วตนก็ไม่เคยพบทั้งเทวดาและทั้งเปรต หากประสบการณ์ชีวิตได้สอนให้ฉันเป็นคนรู้เหตุรู้ผล จนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก

ช่วงหลังๆ มีคนเชิญไปพูดในที่ต่างๆ โดยกำหนดหัวข้อมาให้พิจารณา จึงช่วยให้พบความจริงว่า หัวข้อเหล่านั้นมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย แสดงว่าคนหลายกลุ่มมองเห็นฉันว่าเป็นอะไรก็ได้ ถัดจากนั้นมาจึงมีคนมองฉันว่าเป็นนักปรัชญาบ้าง เป็นนักเขียนบ้าง และก็นักอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง

ฉันไม่สนใจแม้ถูกมองว่าตัวเองจะเป็นนักอะไรต่อมิอะไร หากรู้ความจริงว่าธาตุแท้ของเราน่าจะเป็นคนเหมือนกันทุกคนมากกว่า แทนที่จะไปยึดติดอยู่กับสิ่งสมมติที่คนอื่นมองเห็น ฉันจึงดำเนินชีวิตโดยไม่นำพากับสิ่งเหล่านั้น หากคิดว่า สิ่งที่อยู่นอกตัวเราควรเป็นเรื่องของคนอื่นมากกว่าที่จะเอามาใส่ใจ

สังคมเปลี่ยนแปลงมาถึงช่วงหลังๆ ทำให้รู้สึกว่า แม้นิสัยอันเป็นธรรมชาติของตนที่แสดงออกมาปรากฏแก่สายตาคนทั่วไปก็เปลี่ยนแปลง จากแต่ก่อนฉันยังไม่มีความละเอียดอ่อนมากอย่างยุคนี้ ดังนั้นการทำงานจากใจจริง อีกทั้งคิดต่อสู้กับชีวิตแม้จะยากลำบากแค่ไหนก็ไม่ค่อยจะบ่น เพราะสู้กับใจตัวเองได้อย่างเข้มแข็ง

มาถึงยุคนี้สิ่งต่างๆซึ่งล่อตาล่อใจ พร้อมที่จะครอบงำให้คนหลงตนลืมตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงทำให้มีบางคนในสังคมคิดโลภมาก ยิ่งได้มากก็ยิ่งไม่รู้จักพอ แต่ฉันก็ยังไม่คิดโลภโมโทสัน นอกจากนั้นยังสามารถแยกแยะสิ่งต่างๆที่มีโอกาสสัมผัสให้มองเห็นพื้นฐานได้อย่างอิสระ

ดังนั้นคนยุคนี้ส่วนใหญ่ ยิ่งเห็นผู้อื่นเติบโตขึ้นไปสู่ความพร้อมมูลด้วยสิ่งที่ให้ความสะดวกสบายอีกทั้งได้รับการยกยอปอปั้น ก็ยิ่งคุมตัวเองได้ยาก จึงทำให้ตกอยู่ในสภาพลืมตัว ทำให้เกิดความอยากได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

สังคมที่เปลี่ยนแปลงสภาพซึ่งเคยเป็นจริงมาถึงช่วงนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่คนยุคก่อนเคยกล่าวไว้ว่า เทวดาอยู่บนฟ้า และมีความเมตตาต่อมนุษย์ ส่วนเปรตโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน มีร่างกายสูงๆและมีจิตใจโหดเหี้ยม อีกทั้งมีนิสัยสูบเลือดสูบเนื้อคนที่ไม่อาจรู้เท่าทันกินเป็นอาหาร

ฉันเริ่มเกิดจินตนาการที่มองเห็นความจริงและเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้วสภาพความหลากหลายของคนดังกล่าวล้วนมีปรัชญาของสิ่งที่เป็นจริงตามแนวคิดทางพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานรองรับทั้งสิ้น

หมายความว่าผู้ที่มีรากฐานจิตใจอิสระทำให้เปิดกว้าง อีกทั้งไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบใดๆทั้งสิ้น จึงช่วยให้เกิดจินตนาการมองเห็นความจริงจากสิ่งต่างๆที่เชื่อมโยงถึงกันบนพื้นฐานจิตใจคนได้ทุกรูปแบบ น่าจะสอดคล้องกันกับปรัชญาทางพุทธศาสนาซึ่งกล่าวไว้แล้ว

ปรัชญาคือความจริงซึ่งอยู่บนพื้นฐานจิตวิญาณมนุษย์ที่มองได้ถึงรากเหง้าหาใช่เรื่องสมมติ หรือสิ่งที่มองเห็นรูปแบบแล้วนำมาอุปมาอุปมัยไม่

หากเป็นเรื่องอุปมาอุปมัย ย่อมแสดงให้รู้ว่าผู้ที่พิจารณายังมีจิตใจที่เข้าไม่ถึงความจริง หากยึดติดอยู่กับรูปร่างเท่านั้น ส่วนพื้นฐานปรัชญาน่าจะได้แก่รากเหง้าความคิดที่ลงถึงแก่นซึ่งมีอยู่ในจิตใจ อันถือเป็นศูนย์รวมของความหลากหลาย

ฉันคิดว่าสภาพแวดล้อมในสังคมปัจจุบัน สิ่งที่มนุษย์ต้องการนำมาใช้ประโยชน์ กำลังตกอยู่ในสภาพซึ่งทำให้มนุษย์ในสังคมมีโอกาสใช้เป็นเครื่องมือเอารัดเอาเปรียบกันอย่างหลากหลาย โดยที่คุมจิตใจตัวเองไว้ได้ยากยิ่งขึ้น

จากอดีตที่ควรเชื่อมโยงเหตุผลถึงปัจจุบัน มนุษย์สร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาสนองความสะดวกสบายเพิ่มมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีผลครอบงำจิตใจทำให้หลงอยู่กับมัน ในที่สุดมันก็หวนกลับมาทำร้ายจิตใจตัวเอง

ฉันเริ่มเข้าใจได้ว่าเทวดาก็คือมนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้เอง เปรตก็คือมนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้เช่นเดียวกัน อย่างที่กล่าวกันว่าเป็นคนเหมือนกันแต่จิตใจต่างกัน เพราะด้านหนึ่งสามารถควบคุมจิตใจตัวเองไว้ได้ จึงไม่ต้องการความหรูหราและความมีหน้ามีตา

เพราะรู้เท่าทันสิ่งเหล่านั้นจึงมีจิตใจเมตตาอารี ให้น้ำใจที่ดีงามแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนภาษาไหน เนื่องจากเข้าใจได้ว่าความแตกต่างในเรื่องชาติภาษาและอากับกิริยาล้วนเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นได้อย่างนี้วันหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอื่นได้ แต่ใจยังมั่นคงไม่ยอมเปลี่ยนหากหยั่งรากฐานลงสู่ด้านล่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ส่วนเปรต หมายถึงกลุ่มบุคคลซึ่งคนแต่ก่อนกล่าวว่า “พวกหัวสูง” คิดไม่ซื่อต่อแผ่นดินและคนอื่น ชอบเอารัดเอาเปรียบ สิ่งที่คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำได้รับผลประโยชน์โดยอาบเหงื่อต่างน้ำ คนเหล่านี้ก็ยังสูบกินได้ลงคอ

คนที่มีจิตใจเป็นเปรต ย่อมมีนิสัยชอบเครื่องประดับอันหรูหราซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติ อีกทั้งมีความภูมิใจเมื่อได้สิ่งเหล่านี้มาประดับร่างกาย อย่างเช่นที่นิทานอีสปบทหนึ่งได้กล่าวไว้ในเรื่อง “กิ้งก่าได้ทอง” ได้แล้วก็ลืมตัวยิ่งขึ้น เพราะหลงอยู่กับมัน แทนที่จะพิจารณาเห็นว่าเป็นของที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

สังคมปัจจุบันหากมองที่ภาพรวมจะเห็นได้ว่า เวลานี้ผีเปรตผุดขึ้นมา ยิ่งมีงานหรูๆ เราจะมีโอกาสเห็นเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด แต่เบื้องหลังทำให้คนเดินดินทั่วไปจำต้องเดือดร้อนหนักมากยิ่งขึ้น ส่วนเทวดาก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะสัจธรรมได้ชี้ไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่สูญสิ้นไปหมด

สิ่งที่กล่าวมาแล้วไม่ได้หมายความว่ามีคนดีคนเลว หากชี้ให้เห็นว่ามันเป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานสังคมอันเป็นสัจธรรม

วันหนึ่งรูปแบบมันก็เปลี่ยนไปใหม่ ตราบใดที่ยังมีโลกนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเกิด การดำรงค์อยู่ร่วมกัน และการดับสูญของชีวิต

สิ่งที่กล่าวมาแล้วน่าจะเป็นผลพวงทั้งหมดของการเรียนรู้ความจริงจากโลกนี้เท่านั้น ถ้าเราไม่ยึดติดอยู่กับมันก็คงไม่เกิดอันตรายแก่จิตใจตัวเองให้จำต้องทุกข์หนัก

ชีวิตคนและสัตว์ตลอดจนพืชพรรณทั้งหลายก็เช่นกัน หากเกิดมาได้ก็ตายได้เป็นธรรมดา แต่ระหว่างมีชีวิตอยู่จึงไม่น่าจะละโอกาสทำงานในสิ่งซึ่งตนเชื่อว่าน่าจะมีผลสร้างสรรค์สังคมเพื่อการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างให้ถึงความจริงอันเป็นที่สุด ซึ่งแท้จริงแล้วสามารถจบได้ที่ใจตัวเองนั่นแหละ

31 สิงหาคม 2547

              -http://www.facebook.com/pages/ศาสตราจารย์-ระพี-สาคริก/461091197241853

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 19, 2014, 08:24:12 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ดอกโศก

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 862
  • พลังกัลยาณมิตร 595
    • rklinnamhom
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณพี่แป๋ม สำหรับสาระดีๆที่นำมาปันให้อ่านค่ะ

แต่ว่า...ขอทยอยอ่านนะคะเพราะว่าเนื้อหาค่อนข้างเยอะเนอะ  :43:

 :13: