ผู้เขียน หัวข้อ: มันเป็นเช่นนี้...  (อ่าน 45407 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
มันเป็นเช่นนี้...
« เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2013, 09:01:38 pm »


ถ้าไม่ใช้สติปัญญา ปรุงแต่งอะไรเลย เป็นฝั่งโน้น(นิพพาน)อยู่แล้ว
จะถามถึงบรรลุ หรือไม่บรรลุอะไรอีกเล่า??
มันเป็นเช่นนี้.....
...โดยความคิดอะไรบางอย่าง เธอย่อมสร้างความมีอยู่ของ"ตน"ขึ้นมา
คิดถึงความมี...เธอก็สร้างความ"มี"ของเธอขึ้นมา
คิดถึงความไม่มี...เธอก็สร้างความไม่มี ของเธอขึ้นมา
จงให้ความคิดผิดๆเช่นนี้สูญสิ้นอย่างเด็ดขาด ก็ไม่มี"อะไร" ให้แสวงหาอีก
.........ไม่มีอะไรบรรลุถึงอะไร ...




พระพุทธเจ้าตรัสว่า"ใครบางคนอาจโยนคบไฟทิ้งลงแม่น้ำได้
และมันยังลุกเป็นไฟจนกว่าร่วงสู่แม่น้ำ
แต่เมื่อลงสู่แม่น้ำ ไฟทั้งหมดจะดับลง เพราะแม่น้ำดับความร้อนของมัน
ตถาคตนั้นได้กลายเป็นแม่น้ำแล้ว หากท่านโยนคำหยาบหยามใส่ตถาคต
มันยังเป็นไฟขณะท่านโยนมา แต่ขณะที่ถึงตถาคต
ด้วยความเย็นของตถาคต ไฟจะดับลงและทำร้ายใครไม่ได้อีก
หากท่านโยนหนามแหลมลงมา มันจะร่วงสู่ความเงียบสงบของตถาคต
แล้วกลายเป็นดอกไม้ที่งดงาม
การกระทำตถาคตมาจากธรรมชาติเดิมแท้ภายในเท่านั้น




ก็เมื่อ"จิต"ไม่มีเสียแล้ว
สภาวะนิพพาน จะปรากฏต่อสิ่งใด




ความคิดดุจมายา ความคิดวิ่งตามความคิด
ดุจระลอกคลื่นไม่รู้จบ ถ้าไม่รู้สึกตัว..
ว่ากำลังคิด จะพบแสงแห่งสัจจะธรรมได้เช่นไร




ธรรมะเป็นเพียงแค่กระจกส่องให้เธอเห็นตัวเธอเอง ให้เข้าใจตัวเธอเอง
เมื่อเข้าใจแล้วเธอก็จะพ้นไปจากตัวเธอเอง และอย่าลืมทุบกระจกทิ้งให้ละเอียดเสียด้วย




เธอเคยสังเกตไหมว่า อะไรที่ครอบงำเธออยู่
ลองสังเกตความรู้สึกนึกคิดของเธอดูซิ
ว่าเธอสามารถคิดจากสิ่งที่เธอไม่รู้ได้ไหม ?




นิพพาน คือ อิสรภาพ
ท่านอาจารย์พุทธทาส กล่าวว่า...บุญกุศลนั้น เป็นเพียงเรื่องโลกๆ
"พระอรหันต์นั้น ท่านไม่ทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลให้ใครแล้ว"
เพราะจิตท่าน หลุดพ้นจากสมมุติบัญญัติ หมดความหมายมั่น ยึดมั่น
ในตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา อย่างเด็ดขาดแล้ว
ย่อมไม่มาปรุงแต่งในพิธีกรรม รูปแบบอีก
ลองตรองดูเถิด ชีวิตที่ไม่ตกอยู่ในข้อวัตร ปฎิบัติใดๆหมด จะอิสระ สักเพียงใด




สัจจะธรรม คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ และเคลื่อนไปกับเธอตลอด จึงไร้กาล ...
แต่เธอคือ ความคิด ความจำ ความรู้สึก ที่ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา จึงโดนมายาบดบัง




ฉันและเธออีกทั้งทุกสรรพสิ่ง มีหรือไม่มีอยู่จริงหรือ
หรือว่ามันเป็นเพียง ตัวอักษร
ถ้อยคำ ภาพมายา ความหมาย ยามที่เธอรู้สึกนึกคิดเอา




ทุกเรื่องของพิธีกรรม ความเชื่อ ความศรัทธา ล้วนถูกประดิษฐ์
สร้างสรรค์มาจากความคิดของมนุษย์
พิธีกรรมก็ยังมีผู้กระทำสิ่งที่ถูกกระทำ ความเชื่อความศรัทธาก็มีผู้เชื่อผู้ศรัทธา
และสิ่งที่ถูกเชื่อถูกศรัทธา จึงมิใช่สัจจะธรรม




แต่สิ่งที่พระพุทธะทรงตรัสรู้นั้น ข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ไปสิ้น
พ้นทวิภาวะ ไร้ทั้งชื่อ ไร้ทั้งภาษา
ไร้ทั้งความหมาย ไร้ทั้งกาล ไร้ทั้งผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า มีสิ่งใดบ้าง ที่เข้าไปกอดรัดแล้วไม่ให้โทษ!!!
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า มีสิ่งใดบ้าง ที่เข้าไปกอดรัดแล้วไม่ให้โทษ!!!
รู้จัก is am are. ป่ะ???
แปลว่า เป็น อยู่ คือ
เมื่อใด.....ไม่เป็น ไม่ดำรงอยู่ ไม่ใช่ ในทุกสรรพสิ่ง
นั่นแหละ"ที่สุดแห่งทุกข์"

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 11, 2015, 10:13:01 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2013, 10:04:58 pm »


เรียนรู้มาแค่ไหน.....ก็ไม่สำคัญ!!!!
วันหนึ่ง ฮาซันไปหาราบิยา เขาเพิ่งเรียนรู้วิธีเดินบนน้ำ เขาจึงบอกกับราบิยาว่า
“เราไปเดินบนน้ำกัน จะได้สนทนาธรรมกันไปด้วย”
การสนทนาธรรมเป็นเพียงข้ออ้าง เขาอยากจะอวดราบิยาว่าเขาสามารถเดินบนน้ำได้
ราบิยากล่าวว่า
“บนน้ำหรือ ฉันไม่สนใจเท่าไหร่หรอก เราไปเดินบนเมฆกันดีกว่า!
เราจะได้นั่งบนก้อนเมฆแล้วสนทนาธรรมกัน”
ฮาซันกล่าวว่า
“แต่ฉันไม่รู้วิธีไปนั่งบนก้อนเมฆนี่”
ราบิยากล่าวว่า
“ฉันก็ไม่รู้! แต่จะสำคัญอะไรเล่า ทำไมเราถึงไม่สนทนาธรรมกันเสียที่นี่
ทำไมต้องไปเดินบนน้ำหรือบนก้อนเมฆด้วย”




สุญญตาทาน คือทานที่ไม่มีผู้รับ ทำให้ไม่ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏ
สละมานะ......ทิฐิ
สละอัตตา.... ตัวกู ของกู
สละแม้ความกระหายใน...พระนิพพาน
ทำได้ข้อนี้ ก็ไม่ต้องไปสนใจ ศีล สมาธิ ปัญญา
เพราะมันพร้อมหมดแล้วใน"สุญญตาทาน"นี้




เธออยู่ด้วยสิ่งที่เธอรู้ แต่อย่าได้ยอมรับหรือปฏิเสธว่า
มันจะต้องเป็นหรือไม่เป็นไปตามนั้น ...
และเพื่อ “อิสรภาพ” อย่าลืมปลดปล่อยสิ่งที่เธอรู้ทิ้งเสียให้หมดด้วย




“คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า สามารถย่อลงเหลือเพียงคำๆเดียว
คำนั้นคืออิสรภาพ นั่นคือคำสอนพื้นฐานของพระองค์
เป็นความหอมในแบบของพระองค์โดยแท้ ไม่มีใครอีกที่ยกอิสรภาพ
ขึ้นสูงส่งเช่นนี้ นี่คือคุณค่าเชิงปรมัตถ์ในมุมมองของพระพุทธเจ้า
เป็นความดีสูงสุดหรือซัมมัม โบนัม ไม่มีอะไรสูงกว่านี้”

สิ่งที่โอโชพูดคือข้อเท็จจริงฟังขึ้น เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
คืออิสรภาพจริงๆเพียงแต่อาจจะมีคำเรียกที่หลากหลายว่า
นิพพาน วิมุติ นิโรธ เป็นต้น แต่โดยสรุปแล้วก็คือความเป็นอิสรหลุดพ้นจากทุกข์นั่นเอง
(คุรุวิพากษ์คุรุ..โอโช หน้า 58)




ความดี...ก็แหลกเหลว...หลอกลวง
ความชั่ว..ก็แหลกเหลว.....หลอกลวง
สุดท้ายก็"สร้างกรง"แห่งความดีและความชั่วขังตัวเอง
มันกดหน่วงจิตใจเท่ากัน แม้ในรูปแบบที่ต่างกัน
พ้นไปจากโลกิยธรรมนี้แล้ว จิตก็ไม่ต้องแบกของหนักอีกต่อไป




ความ โลภ โกรธ หลง บางที่มันก็มาเหนือเมฆ
เมื่อใดพระอริยะเกิด มานะ ทะยาน อยาก ก็เกิดอุปทานขึ้น

พึงอย่าได้ประมาทสร้างความยึดติดตัวตนขึ้นมาอีก ละเสีย
ช่างมัน ทุกอย่างเป็นตถาตา
เป็นเช่นนั้น เป็นอยู่แล้ว อย่าไปยึดติดว่าตัวเป็นอะไรอีก




ค้นหาความสงบ กลับโดนความคิดหลอก
เฝ้าดูความคิดและเข้าใจมัน กลับพบความสงบที่แท้จริง




ศาสนาที่แท้จริงนั้น มิใช่เรื่องของการเอารางวัลมาหลอกล่อ
เอาสวรรค์มาชักจูง เอานรกมาขู่ให้กลัว แต่คือการทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจในตนเอง
ประจักษ์แจ้งในตนเอง และประจักษ์แจ้งในความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและผู้อื่น
เมื่อนั้นสันติภาพและความรักในสังคมจึงจะเกิดขึ้นได้




มาจากธรรมชาติ...ก็ดับไปกับธรรมชาติ
อย่าพยายาม สร้างสิ่งที่มันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว ให้เป็นตัวตน ขึ้นมา
แค่กระแสปรุงแต่งแห่งธรรมชาติ ไหลเคลื่อนไปขณะต่อขณะ
ไม่มีตัวตน สัตว์ เรา เขา บุคคล ใดๆทั้งสิ้น
รู้จักต้นกำเนิดแห่งการเกิด-ดับ ก็จะเข้าใจ ว่าไม่มีอะไรพิเศษกว่าอะไร
ทุกสรรพสิ่งคือสิ่งเดียวกัน....."ธรรมชาติล้วนๆ"




มีกู...มีกรรม มีวิบากกรรม มีชาตินี้ มีชาติหน้า
หมดกู..หมดกรรม หมดวิบากกรรม หมดชาตินี้ หมดชาติหน้า
เชื่อเหอะ...ทำลายตัวตนเสีย
เจ้ากรรมนายเวร อวิชชา ภพ ชาติ ก็ถูกทำลาย หมดสิ้น



>>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 12, 2016, 07:01:41 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2013, 06:26:25 pm »


กระแสแห่งความคิด ก็คือกระแสแห่งนิพพานนั่นแหล่ะ
ขอเพียงเธอเข้าใจมัน ...
กระโดดลงมาเลย อย่าได้หวั่นเกรงใดๆ




พุทธศาสนานั้น เป็นศาสนาแห่งเหตุและผล พระพุทธองค์ทรงค้นพบสิ่งประเสริฐสุด
แม้วิทยาศาสตร์ ก็ยอมรับพระปัญญาญานของพระองค์
ลองศึกษา อิทัปปัจจยตา "เพราะมีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น"
ความงมงาย จะสูญสิ้นไป เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ




สัมมาทิฐินั้น ทำลายสิ้นแม้ภูตผีปีศาจ
เรา..ยังเป็นสักว่า..



.. ธาตุ
ตามธรรมชาติ ที่ปรุงแต่งกัน
อนัตตา ไม่มีตัวตน
แล้ว"ผี"จะมามีตัวตนได้อย่างไร....





จะโปรดสัตว์ ก็ให้วางใจ
ไม่หลงจริงจังในหน้าที่
โปรดแบบทิ้งๆ คลายๆ
ไม่เป็นตัณหาไปซะเอง
เพราะเวลาจริงจัง
สรรพสัตว์เขาก็ดูออกว่า
คนนี้ยึดในการบอกสอน
ยึดกว่ากูอีก จะมาสอนกูได้ยังไง




ความดี...ก็แหลกเหลว...หลอกลวง
ความชั่ว..ก็แหลกเหลว.....หลอกลวง
สุดท้ายก็"สร้างกรง"แห่งความดีและความชั่วขังตัวเอง
มันกดหน่วงจิตใจเท่ากัน แม้ในรูปแบบที่ต่างกัน
พ้นไปจากโลกิยธรรมนี้แล้ว จิตก็ไม่ต้องแบกของหนักอีกต่อไป




พระโพธิธารา(ตั๊กม้อ)เดินทางจากอินเดียมาจีน ในสภาพที่ดูเหมือนขอทาน
แม้รองเท้าก็ไม่มีใส่ เหล่าพระสงฆ์จีนก็สงสัยว่าท่านเรียนรู้ธรรมะ
อะไรบ้างจากอินเดีย จึงถูกเหล่าพระสงฆ์ถามว่า “ท่านพระสงฆ์จากชมพูทวีป
ท่านรู้หรือไม่ว่าตายไปแล้วเจอ นรก สวรรค์ นิพพานจริงหรือไม่”
พระโพธิธารากล่าวว่า “ข้าไม่รู้”

พระสงฆ์ทั้งงง ทั้งเย้ยเยาะ “บวชมาได้อย่างไรไม่รู้จักนรก สวรรค์ นิพพาน
ที่อินเดียเขาศึกษาธรรมอะไรกันบ้าง
สงสัยจะไม่มีข้าวกินเลยพเนจรขอทานมาอยู่ที่นี้ใช่ไหม!?”


พระโพธิธารากล่าวว่า
“…………………ที่ข้าไม่รู้เพราะข้ายังไม่ตาย!”




คนโง่คนปุถุชนธรรมดา ก็จะต้องมีความรู้สึกว่า มีศาสนานั้นศาสนานี้
แล้วไม่เหมือนกันก็เป็นปฏิปักษ์กัน เช่นมีศาสนาคริสต์ มีอิสลาม มีพุทธ ฯลฯ
คำพูดอย่างนี้เรียกว่าคนพูด พูดตามความรู้สึกของคน
มันก็มีศาสนาที่เป็นข้าศึกของกันและกัน ถ้าผู้ที่รู้ธรรมเข้าถึงเนื้อธรรมของศาสนานั้นแล้ว
ก็จะรู้สึกว่าเหมือนกัน แม้จะพูดว่า มีศาสนาคริสต์ มีอิสลาม มีพุทธ ฯลฯ
ก็จะพูดว่า ข้างในมันก็เหมือนกัน
ถ้ารู้ธรรมยิ่งขึ้นอีกจนถึงขั้นสูงสุด ก็จะรู้สึกว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าศาสนาเลย

ไม่มีศาสนาคริสต์ ไม่มีอิสลาม ไม่มีพุทธ ฯลฯ มันจะมีเหมือนกันหรือขัดกันอย่างไรได้
มันก็มีไม่ได้ ฉะนั้น คำพูดที่พูดว่า “ ไม่มีศาสนาเลยนั้นแหล่ะ คือภาษาธรรมขั้นสูงสุด “




มีพระองค์เดียวแขวนคอ ป้องกันได้ทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์ คลาดแคล้วปลอดภัยหมด
"พระตถตา"ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง
พระพุทธเจ้าทรงแทนพระองค์เอง ว่า ตถาคต แปลว่าผู้ถึงแล้วซึ่ง ตถตา!!!




คุณคิดว่าพระอรหันต์ยังต้องพึ่งพิงสิ่งใดอยู่หรือ
ปุถุชนนั้น..ยังวนเวียนอยู่ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ย่อมมีความสะดุ้งกลัว และขวนขวาย
หาที่ยึดเกาะ แต่พระอรหันต์นั้น ท่านก้าวผ่าน การเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้ว
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็รวมมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท่าน
อยู่ในใจท่านทุกอิริยาบถ ในฐานะ สิ่งประเสริฐของโลก
ภูตผี เทวดา พรหม เทพหรือ"สิ่งศักดิ์สิทธิ"อันใดก็ไม่ใช่สิ่งยึดเกาะ
พระอรหันต์นั้น...ท่านไม่พึ่งพิงสิ่งใด นอกจากเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นเสียเอง!!!


ไม่มีหนทางสู่สัจจะ สัจจะเป็นดินแดนที่ไร้หนทาง สัจจะไม่ได้อยู่ในวัด ในโบสถ์ ในวิหารอันโอฬาร ไม่ได้อยู่ในรูปเคารพอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มใด ๆ ไม่ได้อยู่ที่คุรุท่านไหน เธอต้องจารึกออกไปแล้วค้นหาด้วยตัวเธอเอง

“ การมีชีวิตอยู่เป็นปัจจุบันขณะเสมอ “ แต่เพราะว่าภายในส่วนลึกของเธอขลาดกลัว พร่อง เธอจึงต้องพึ่งอะไรบางอย่าง พึ่งพิงความเชื่อ นักบวช พิธีกรรม หรืออะไรต่ออะไร แต่หากเธอไม่สืบสวนให้กระจ่างชัด เธอย่อมติดกับดักและถูกจับตัวไว้ในสิ่งเหล่านี้

เธอจะต้องเป็นแสงสว่างของตัวเอง แสงสว่างนี้เองคือกฎเกณฑ์ ไม่มีกฎอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้ เพราะเหตุที่กฎอื่น ๆ ล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากความคิด มันจึงเพียงเป็นเศษเสี้ยวที่ไม่สมบูรณ์ และขัดแย้งกันเอง

การเป็นแสงสว่างของตนเองนั้นหมายถึง การไม่อิงอาศัยแสงสว่างของผู้อื่น ไม่ว่าจะดูมีเหตุผลเพียงใด มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์หรือน่าเชื่อถือเพียงใด เธอจะไม่สามารถเป็นแสงสว่างของตนเองได้เลย ถ้าเธอยังตกอยู่ในเงามืดของอำนาจ ของทฤษฎีและข้อสรุป




Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 24, 2015, 01:46:22 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2013, 09:52:37 pm »



เธอคือสิ่งใด ถ้ามิใช่ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ มากมาย
ที่เกิดสืบต่อกันไปไม่ขาดสาย จากความทรงจำทั้งหลายที่สั่งสมไว้
แล้วก็ให้ค่าให้ความหมายต่าง ๆ ขึ้นมา ในความเป็นทวิภาวะ




มนุษย์ กลัวความตาย เพราะต้องการ...การดำรงอยู่
"ฉัน"ผู้อยู่มานาน มีครอบครัว ลูกหลาน ไปทำงานวันแล้ววันเล่า
ทะเลาะวิวาท สุขในเพศรส สมบัติ หน้าที่ เกียรติยศ ชื่อเสียง
ที่สร้างสมมากมายให้ยังห่วง หวง
เรารู้ว่าเราต้องตาย แต่เราต้องการ"ความสืบเนื่อง"




ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีความเชื่อ มีความศรัทธาการกลับชาติมาเกิด
การเวียนว่ายและการดำรงอยู่ของชีวิตในรูปแบบใดแบบหนึ่งหลังความตาย
แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่สนใจว่า"อะไร"เป็นต้นเหตุแห่งการสืบเนื่อง!!!
แน่นอน...ความสืบเนื่องนี้มาจากความคิดแห่งการเป็น"ตัวตน"ของคุณ





พิธีกรรม...ไม่ใช่ศาสนาแน่นอน
เพราะว่า...ในการกระทำพิธีกรรมต่าง ๆ
เธอเพียงแต่ทำซ้ำในสูตรเก่า ๆ
ซึ่งถ่ายทอดมาถึงเธอ

หากเธอได้ทำพิธีกรรมต่าง ๆ
โดยไม่รู้ถึงสาระของมันเลย
พ่อของเธอ
ปู่ของเธอ...ได้ทำอย่างนั้น

ดังนั้น...เธอก็ทำตาม
และหากเธอไม่ทำ
พวกเขาก็จะตำหนิติเตียนเธอ
นี่...ย่อมไม่ใช่ศาสนามิใช่หรือ

การบูชา...รูปปั้นแกะสลักในวัด
ก็มิใช่...ศาสนา
รูปปั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์
แต่มันก็เป็นเพียง...แค่รูปปั้น
มันไม่ใช่สิ่งที่แท้
มันเป็นตัวแทนของ
ความจริงเท่านั้น...

แต่...ก็มีผู้คนที่ทะเลาะเบาะแว้ง
ต่อสู้ เข่นฆ่ากัน...
เพื่อ...สัญลักษณ์เหล่านั้น

ทั้ง ๆ ที่... พระเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่เลย
พระเจ้าจะไม่อยู่ในสัญลักษณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ดังนั้น...การแสดงความคารวะบูชา
ต่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ หรือ รูปปั้นต่าง ๆ
จึง..ไม่ใช่...ศาสนา...

กฤษณะมูรติ...




....คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเพียงพ่วงแพ ซึ่งช่วยให้เธอข้ามลำน้ำ
หรือเป็นเพียงนิ้วที่ชี้ไปยังดวงจันทร์
จงอย่าเข้าใจผิดว่านิ้วชี้เป็นดวงจันทร์ พ่วงแพก็มิใช่ฝั่ง หากเรายึดติดกับนิ้วมือ
เราจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่ควรฆ่าฟันกันและกัน
ในนามของนิ้วมือและพ่วงแพ ชีวิตของมนุษย์ย่อมมีค่ามากกว่า
อุดมการณ์และลัทธิใด ๆ ทั้งสิ้น.....ท่าน...ติช นัท ฮันท์....

โดย: ติช นัท ฮันห์




ควบคุม"ผัสสะ"ได้ ก็ควบคุมโลกได้
แค่สักแต่ว่า ในทุกการกระทบของ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ
"ตัวกู"โผล่มาเป็น คราวๆเมื่อเกิด ผัสสะ แล้วปรุงต่อจนเกิดตัณหา
ไม่มีตัวกู ก็ไม่มีโลก ....แค่นั้นเอง
ดังคำกล่าว พระพุทธองค์ที่ว่า "โลก ความดับสนิท ของโลก
และหนทาง แห่งความดับสนิท
ตถาคตกล่าวว่าอยู่ใน กายยาววา หนา คืบนี้"
..
..
เธอจงจาริกไป.....
เพื่อประกาศพรหมจรรย์ ....
ให้งดงามในเบื้องต้น งดงามในท่ามกลาง
และงดงามในเบื้องปลาย




เธอถูกจับไว้
ด้วย
ตาข่ายของความคิด




“ ถ้อยคำความหมาย “ จำเป็นเพื่อการสื่อสาร
เพื่อความเข้าใจ
แต่มันไม่ใช่สิ่งนั้น..
แต่ถ้าเธอ...
.. ไม่สามารถทะลุผ่านมันไป
เธอจะถูกจับไว้และติดกับดักของมัน



พวกเราส่วนมาก มีชีวิตอยู่ในกรงขังของอิทธิพล อิทธิพลเป็นซึ่งที่สลับซับซ้อน ไม่เพียงอิทธิพลของสังคม ของจารีต แต่รวมถึงอิทธิพลของ คัมภีร์ ของนักบวช ของโบสถ์ ของวัด และแม้ว่าคุณจะปฏิเสธอิทธิพลทั้งหมดนั้นแล้ว ก็ยังมีอิทธิพลของประสบการณ์ของคุณเองด้วย

แต่ชีวิตเป็นกระบวนการของสิ่งท้าทายและสนองตอบ การสนองตอบต่อสิ่งท้าทายของคุณคือประสบการณ์ แต่ประสบการณ์ของคุณถูกบงการด้วยอิทธิพล ดังนั้น ประสบการณ์ก็ยิ่งเพิ่มพลังให้แก่อิทธิพลที่ครอบงำอยู่แล้วมากขึ้น

จะต้องมีการปฏิวัติภายในอย่างสมบูรณ์ เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่อย่างสมบูรณ์สิ้นเชิงในความคิดคุณ ในชีวิตทั้งหมดของคุณ เพราะการอ้างอิงอยู่กับอิทธิพล ไม่ว่าเมื่อไร จะทำลายความสามารถที่จะค้นหาว่า สัจจะคืออะไร




Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >> Devilgirl Suratthani
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 13, 2015, 10:06:27 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2013, 03:26:59 pm »


คนโน้นพอ.. คนนี้พอ..
..เมื่อต่างถึง..ซึ่งความพอ ..
..ก็ไม่เหลือใคร .. ให้ทุ่มเถียงกัน ..


จักอาศัยโลกเพียง...กาย
แต่ใจนั้น จักเป็นอิสระจนถึงที่สุด
เพื่อพบความบริสุทธิ์นั้น
.....ไม่เกาะเกี่ยวร้อยรัดกับสภาวะใดๆหมด.....



....จักอาศัยโลกเพียง...กาย
แต่ใจนั้น จักเป็นอิสระจนถึงที่สุด
เพื่อพบความบริสุทธิ์นั้น
.....ไม่เกาะเกี่ยวร้อยรัดกับสภาวะใดๆหมด.........




การกลั่นกรอง ไม่ได้เกิดจากการถูกบังคับ
หรือฝืนใจทำ
การกลั่นกรอง ย่อมมาจาก
จิตเราเอง
ที่ปล่อยวางทุกอย่างหมด
ทั้งจากอิทธิพล ความกลัว ริษยา
การฝืนใจ ถูกบังคับ ไม่อาจจะเกิดปัญญาใด
รังแต่จะทำให้  งมงาย  กับความกลัว




มีคำกล่าวสวยหรู"ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม"
แต่แท้ที่จริง
กรรมก็ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง อนิจจัง
ส่งผลก็ได้ ไม่ส่งผลก็ได้ ตามเหตุ ตามปัจจัย
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
"เจตนาคือกรรมและผัสสะเป็นแดนเกิดของกรรม"
ถ้าผัสสะ...ไม่มี!!!! แล้วกรรม เกิดจากสิ่งใด??????



ในบาลี อังคุตตรนิกาย ยืนยันในข้อที่ว่า
กรรมหมดไปเอง
เมื่อว่างจากโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่างจาก..
ตัวกู ของกู
ถ้ามันว่างจาก ความยึดมั่นถือมั่น
ว่าเรา..ว่าของเรา กรรมจะหมดไปเอง
หมายความว่า
หมดทั้งกรรม หมดทั้งวิบากกรรม หมดทั้งกิเลส
ซึ่งเป็นเหตุ..
ให้ทำกรรม  มันหมดพร้อมๆกัน
ดังนั้น ไม่ต้องไป กลัวกรรม สนใจกรรม
ให้สนใจแต่ความว่าง
แห่งตัวกู ของกู
" กรรมย่อมสลายไปหมดสิ้น"
....ท่านพุทธทาส......




"ศักดิ์สิทธิ์"
ธรรมะ ที่แท้จริงเป็นสัจธรรม เราไม่ต้องพูดถึงศักดิ์สิทธิ์หรอก
เพราะมันยิ่งกว่าศักดิ์สิทธิ์
คำว่าศักดิ์สิทธิ์นี้ มีค่านิดเดียวหรือน้อยลงไปทันที
เมื่อเอาเข้าไปเทียบกับคำว่าธรรมะ เพราะธรรมะนี้ มันยิ่งกว่าศักดิ์สิทธิ์



เพราะฉะนั้น เลิกวัตถุศักดิ์สิทธิ์ พิธีศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
อะไรกันอย่างนั้นเสียบ้างก็จะดี
เพราะว่าถ้าเราไปมัว
ศักดิ์สิทธิ์อยู่แต่ที่นั่นแล้ว จะไม่พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง คือธรรมะ
พุทธทาส อินทปัญโญ




หลุดแล้วต้องหลุดให้จริง!!!!!
เมื่อยังอยู่ในขั้นที่มี "ตัวเรา" ก็ยังมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
และความทุกข์อยู่
เรายังต้องพึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แต่พระพุทธองค์ท่านสอนให้เรา..
ทำตัวเองให้สูงขึ้น ถึงขั้น หมด "ตัวตน"
ถ้าหมดตัวตนแล้ว
ใครจะทุกข์ ใครจะเดือดร้อน.. จนหาที่พึ่งพา
เราบินออกไปอยู่ฝั่งโน้น
ไม่มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพึ่งอะไรกันอีกเล่า
พระอรหันต์ยังต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือ???
ในเมื่อทั้ง3อย่างนี้
มันพร้อมอยู่ในตัวท่านเองเสียแล้ว
ในเมื่อ..การถึงสรณะแบบทุกท่านในวันนี้
เพื่อข้ามฝั่งออกไปฝั่งโน้น
ก็อย่าติดแจ จนไม่กล้าก้าวขา ติดอยู่แต่พิธีกรรม
พระคัมภีร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
อยู่ในสังสารวัฎ ก็ต้องอยู่เรื่อยไปไม่มีสิ้นสุด
แต่ถ้าออกไปได้ก็ต้องวางทุกอย่างหมด
แต่ถ้าเลือกจะอยู่ก็ได้ ไม่มีใครบังคับ
แต่อย่านอนขวางกั้นคนอื่นๆ ไม่ให้เขาไป
พอเขาข้าม..ก็โกรธ
พระพุทธเจ้ารวมทั้งพระอรหันต์ ท่านกล่าวว่า
ชาติสิ้นแล้ว กิจที่ต้องทำจบแล้ว
คิดดูสิ ท่านจะพึ่งอะไร เพื่ออะไร ท่านทุกข์ร้อนอะไร??
สิ่งที่ท่านเคารพ
ก็คือเคารพธรรมะ ซึ่งเป็นความจริงที่ท่านลุถึง
ในฐานะ เป็นของประเสริฐของโลก




ความคิด มักนำหน้าเราหนึ่งก้าวเสมอ




แต่ละขณะล้วนจบในขณะจิตเดียว แต่..
ความคิดของเธอเองนั่นแหล่ะ
ที่ไปใส่ชื่อ ใส่ค่า ใส่ความหมาย ใส่อะไรต่ออะไร..
ให้ดำเนินต่อไปเอง ...
เอามาจากไหนล่ะ..
เรื่องราวและข้อมูลทั้งหลาย




เต๋าเชื่อในปรัชญาของการปล่อยวาง เชื่อว่า..
เราไม่จำเป็นต้องว่าย
เพียงแค่ไหลไปเรื่อยๆ ปล่อยให้แม่น้ำนำพาท่านไป
ยังที่ที่มันกำลังจะไป
เพราะในที่สุดแล้ว แม่น้ำทุกสายก็ล้วนแต่ไหลลงไปยัง
มหาสมุทร
ดังนั้น อย่ากังวลไปเลย ถึงอย่างไรท่านก็
ไปถึงมหาสมุทรอยู่ดี
>>>> (จากหนังสือ “เต๋า: มรรควิถีที่ไร้เส้นทาง" ของ Osho)




Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >> Devilgirl Suratthani
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 13, 2015, 11:03:52 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2013, 07:32:47 pm »


ชีวิตนี้แสนสั้น เราย่อมไม่อาจที่จะใช้ชีวิตที่มีเวลาอยู่นี้
ไปในการขบคิดใคร่ครวญเรื่องทางอภิปรัชญา
อย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะอภิปรัชญาไม่อาจนำไปสู่..
.. สัจจะอันยิ่งใหญ่ได้เลย



ชีวิตของเราจะสูญเปล่าไป หากเราหลีกหนี..
.. การใช้ชีวิตตามความจริง
เมื่อไปอยู่ในโลกแห่งความคิดอันล้ำลึกแล้ว
เราก็จะเป็นเพียงวิญญาณพเนจร
หากยังวุ่นวายอยู่ด้วยความคิด
ว่ามีหรือไม่มี ชีวิตก็จะสูญเปล่าไปเสีย



ให้ดูทุกข์ และความไม่มีทุกข์ ที่มีอยู่ในใจ
จึงจะเข้าถึงธรรมที่ปราศจากทุกข์ได้
ปาฏิหาริย์ที่แท้
อยู่ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ นี่เอง
ให้กิจวัตรประจำวัน
ดำเนินไปตามครรลองของมันอย่างเป็นธรรมชาติ



ชีวิตคุณมีอยู่เพียงขณะเดียว
อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ในขณะปัจจุบันเท่านั้น



เดี๋ยวนี้ คือสิ่งที่เรา เป็น มันไม่สามารถจะเป็น เป้าหมาย
หรือ ภาวะ ที่เราจะต้อง มุ่ง ไปให้ถึง
เดี๋ยวนี้ คือการกระทำ หรือ ความเคลื่อนไหว
ซึ่งปรากฏอยู่ในขณะนี้ ก่อนที่ ความคิด จะปิดบังมันไว้เสีย




พระเจ้ามีจริงหรือไม่
นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่
บุญกุศลคืออะไร
จงหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ โดยเห็นว่า
เป็นเรื่องไร้สาระ
หากแต่..มุ่งในการทำตัวเอง
ให้แจ่มแจ้งในปัจจุบันขณะนั้นก็พอ




แสวงหาธรรม แล้วมุ่งเข้าหาวัดกลับติดในวัด ติดในพิธีกรรม
ความเชื่อ ความศรัทธา
เข้าหาคัมภีร์ กลับติดในตัวอักษร ถ้อยคำ ความหมาย
ปรุงแต่งไปไม่จบสิ้น
เข้าหาคุรุ กลับติดในคุรุ ยกย่องชื่นชมศรัทธา จนกลายเป็นอัตตางมงาย
ธรรมะแท้จริงอยู่ที่ไหน ? หรือธรรมะมิใช่อยู่ที่เธอ ?




นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง




เกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ของชายผู้หนึ่ง
คนเชื่อดวงบอกว่า...เขาดวงไม่ดี
คนเชื่อเรื่องผีเทวดาบอกว่า...เพราะไม่บูชาเทวดาประจำตัว
คนเชื่อกรรมบอกว่า...เป็นเวรกรรมของเขาจากชาติก่อน
แต่หมอ...บอกว่า เมาจึงขับขี่ประมาท
......สรุปแล้วความจริงอยู่ที่ความเชื่อแต่ละบุคคล....
แล้วอะไรคือมาตรฐาน"แห่งความจริง"




“ ถ้า “ นิพพานคือการพ้นกรอบ
ดังนั้น.. เธอกล้าแหกกรอบหรือไม่ ?




มีกฎธรรมชาติสูงสุดว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้อง..
..มีเหตุมีปัจจัยมาปรุงแต่งเสมอ
ถ้าอยากศึกษาพุทธศาสนาที่แท้จริง อันดับแรก
วางความเชื่อทั้งหมดลงก่อน ทำใจให้เป็นอิสระ
อันดับต่อมา ทำความเข้าใจขันธ์5 และปฎิจจสมุปบาท
ให้รู้จักต้นกำเนิดของการเกิดความรู้สึกว่าเป็นเรา
อันดับสาม ทดลองปฎิบัติโดย ปล่อยวางความยึดถือว่ามีตัวตน
จนพบความเย็นสงบ
ถ้าดับทุกข์ด้วยตนเองได้แล้ว ก็มีดวงตาเห็นธรรม
ความเชื่อเรื่องกรรมจากชาติก่อนจะหายไป

ไม่มีหรอก ที่ตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง ไปเกิดใหม่
เพราะวิญญาณเกิดขึ้น เมื่อมีการกระทบของผัสสะเป็นครั้งคราว
เช่น ตากระทบรูป ก็เกิดจักษุวิญญาณ ปรุงเป็นตัวกูผู้เห็น
แล้วปรุงต่อ ว่าสวย หรือ น่าเกลียด ปรุงต่อไปเป็นตัณหา กูรัก...
..กูอยากได้ หรือ กูเกลียด กูอยากทำลาย
พอสิ้นสายเป็นกรรม คือการกระทำ ก็เกิดวิบากกรรม
คือรับผล จากการกระทำ เป็นอันจบ สังสารวัฎ1สาย



จากนั้น...ก็เกิดการกระทบใหม่ เกิดตัวกูใหม่ ปรุงใหม่
ไม่จบสิ้นตามผัสสะ ที่มากระทบ
หากเข้าใจ ว่ากูก็ไม่ใช่กู จิตก็ไม่ใช่จิต แค่ธาตุต่างๆตามธรรมชาติ
ทำปฎิกิริยาต่อกัน แค่ขณะต่อขณะ
ความยึดมั่นถือมั่น ความเชื่อ ความกลัว ความงมงายจะหายไป
เหตุที่พระอริยเจ้า บอกว่าชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว กิจที่ควรทำจบแล้ว
เพราะท่านเข้าใจ ปฎิจจสมุปบาทนี่แหละ.......
ตัวกู.... ไม่มี แล้วอะไรๆที่เกี่ยวเนื่องจากตัวกูจะมีได้อย่างไร
สัมมาทิฐินั้น ทำลายอวิชชา ชาติ ภพ กรรม วิบากกรรม
เจ้ากรรมนายเวร ตัวตน เรา เขา สัตว์ บุคคล หมด.....สาธุ สาธุ




ไม่มีใคร ไม่มีอะไร ขังเธอไว้ได้หรอก
มีแต่เธอขังตัวเธอเองเท่านั้น

ขังไว้ใน ความเชื่อ ความศรัทธา ความงมงาย
ความรู้ทางธรรมอีกมากมาย
ความกลัว ความปรารถนาทั้งหลาย แม้กระทั่ง
ความปรารถนาในนิพพาน
ที่ความรู้สึกนึกคิดของเธอปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งสิ้น





Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >> Devilgirl Suratthani
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 22, 2017, 02:39:24 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 05:52:59 pm »


ธรรมกาย มิใช่ลักษณะ
"สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?
สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?"
สุภูติทูลตอบว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น
สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุภูติ ! หากสามารถ
เห็นตถาคตด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็คือตถาคตซิ"

สุภูติทูลตอบพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !
ตามที่ข้าพระองค์ได้เข้าใจ.. ในความหมายที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไปนั้น
ไม่ควรที่จะเห็นตถาคตได้ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เลย"


โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นโศลกว่า
หากอาศัยรูปเห็นเรา อาศัยเสียงวอนเรา
บุคคลนี้คือผู้เจริญมิจฉาธรรม ไม่อาจเห็นตถาคตได้




อนาคต...เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย
ท่านต้องมีชีวิตอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ
....อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น....
ช่วงเวลาข้างหน้ามันจะมาด้วยตัวของมันเอง
มันก็เหมือนเด็กการเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
เราไม่ต้องวางแผนใดๆทั้งสิ้น
มันเหมือนกับแม่น้ำไหลไปลงมหาสมุทร
คนเรา..ก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เลื่อนไหลไป..และอยู่กับขณะ ต่อ ขณะ




สิ่งที่เรียกว่าตัวตนนั้น ไม่ใช่อะไร
หากมันคือเปลวไฟ ที่ถูกจุดให้เร่าร้อนด้วยไฟปรารถนา
เมื่อแรงปรารถนาหายไป เทียนก็หายไปด้วย
เปลวไฟจึงไม่มีอะไรให้เผาไหม้อีก
มันจึงหายสาบสูญไปเช่นกัน
ไม่ทิ้งร่องรอย....และหามันไม่พบ
มันยังอยู่ที่ตรงนั้นเอง เพียงแต่มันตายไปจากตัวตน สมมุติบัญญัติ
และข้อจำกัดใดๆหมด




ทำไม..ต้องรอให้อายุ 80 ปีแล้วมาบอกว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะ...
กินไอติม...เมื่ออยากกิน
กินข้าวขาหมู กะ ทองหยอด
เล่นน้ำฝน...เมื่อฝนตก
ปั่นจักรยานขึ้นภูเขาและล่องแก่ง
ให้เวลากับคน..ที่รักเรามากขึ้น
ไปเที่ยวทุกแห่ง...ที่อยากไป
ถ้า...ถ้า....ถ้า........ทำไม ไม่ทำวันนี้



ชีวิตและความตาย คล้ายปีก2ข้างของนก มันเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
ชีวิต เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีการตาย
ความตาย ก็มีไม่ได้ ถ้าไม่มีชีวิต



พวกมัน เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลเดียวกัน
แท้จริง..ไม่มีการเริ่มต้น แลไม่มีการสิ้นสุด
อย่ากังวล..อย่ากลัวความตาย แค่การไหลเคลื่อนแห่งเหตุปัจจัย
............จงร่ายรำและมีความสุขกับชีวิต..............


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 24, 2015, 03:40:18 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 07:56:50 pm »



อันความคิดนั้น เป็นเพียงสภาวะแห่งธรรมชาติ ที่เกิดกันเอง
และดับกันเองอยู่แล้ว....ส่วนกระแสแห่งจิตทุกชนิดนั้น
ก็เป็นเพียงสภาวะธรรมชาติที่เกิดกันเองและดับกันเองอยู่แล้วเช่นกัน...
ดังนั้น ทั้งความคิด และจิตดวงนี้ เป็นเพียงกระแสแห่งธรรมชาติเท่านั้น
ที่ไม่สามารถมีคำว่าตัวเราเข้าไปควบคุมหรือบังคับมันได้เลย..



*จงปลดปล่อยความสำคัญในตัวเราเสียเอง ก็เพื่อไม่ให้เข้าไปก้าวก่าย
และยึดมั่นในความคิดรวมทั้งกระแสแห่งจิตมายาดวงนี้...
....และเมื่อเราได้รับความอิสระจากความผันแปรของความคิด
และของจิตมายาดวงนี้ เราก็สามารถดำริน้อมความคิดนั้น
มาใช้กับการเป็นการอยู่แบบไม่ทุกข์ และสามารน้อมใช้อารมณ์ความรู้สึก
ไปในทางที่สงบเย็นเป็นแบบอย่างแก่ผู้คนทั้งหลาย
ซึ่งท่านเหล่านี้ จะดำเนินชีวิตอยู่บนเนื้อหาของ มโนสุจริต วจีสุจริต และกายสุจริต
และทั้งหมดนี้ คือการดำรงอยู่โดยวิหารธรรม
ที่มีสุญญตารองรับอยู่แล้วตลอดเวลา..............
(จิตที่ปลงในจิต ความคิดที่ปลงในความคิด ต่างก็ว่างอยู่แล้วในตัวมันเอง)........
โดย: นิรทุกข์ รัตนจักร




ธรรมชาติเดิมแท้ .. ไม่มีการปลอบใจตัวเอง..
ไม่มีคำถามซ้ำซ้อน ..
ทุกอย่างตรงๆ ... “อิสระ”..ที่ใจรู้แจ้ง ..




เซน..นั้น มีจุดมุ่งหมายคือ
"ซาโตริ"  คือประสบการณ์ตรัสรู้
หมายถึง การตื่นอย่างสมบูรณ์ มีแนวคิด
ไปทางธรรมชาติ
ตามบทบาทที่เรียบง่ายในชีวิตประจำวัน
ดังโศลกที่ว่า
"เมื่อหิวก็กิน เมื่อง่วงก็นอน"




เต๋านั้น...แสดงหนทางอิสระ จากเหตุผล
และกฎเกณฑ์ต่างๆ
แสดงความแตกต่างที่กลมกลืนของหยินและหยาง
และการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหลของธรรมชาติ
สรรพสิ่งทุกอย่างในจักรวาลคือการเปลี่ยนแปลง
เต๋า..มองเห็นกฎเกณฑ์ทุกอย่างเป็นเรื่องน่าขำ
กฎเกณฑ์เดียวที่เขายึด...คือการดำเนินชีวิตอย่างไร้กฎเกณฑ์




การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ ..
หากไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสิ .. สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ยาก ..



Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >> นิรทุกข์ รัตนจักร
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 09, 2013, 12:22:04 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2013, 09:01:29 pm »


ความสงบในความเงียบหาใช่ความสงบที่แท้จริงไม่
เมื่อท่านสามารถทำใจให้สงบได้ "ท่ามกลางกิจกรรมต่างๆ"
นั่นจึงเป็นสภาวะสงบที่แท้จริงของธรรมชาติ
เฉกเช่นเดียวกับความสุขจากความสะดวกสบาย
ย่อมไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
หากแต่เมื่อท่านสามารถมีความสุข ท่ามกลาง..
..ความยากลำบาก
นั่นแหละคือท่านได้เข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของจิตแล้ว




แม้เพียง เศษเสี้ยว ของอัตตา ..
เธอก็  ยังเป็น  คนแปลกหน้าอยู่ดี




ดอกไม้..จะสวยงามที่สุดหากดำรงอยู่..
ตามธรรมชาติ
จงจำไว้ว่า....เมื่อใดก็ตาม...
..ที่ท่านได้  ครอบครอง  สิ่งใด
ท่านกำลัง  ทำลาย  สิ่งนั้น............
ครอบครอง.... ผู้หญิง... ท่านก็...



.....ทำลาย.....
......ความงามและจิตวิญญาน ของเธอ
ครอบครอง.. ดอกไม้..
ท่านก็ทำลาย ความเบิกบาน ของมัน
ครอบครอง ความรัก ก็เพื่อ.. เปิดทาง
ให้ความเป็น...
..เจ้าของ  ทำลายคุณค่าของมัน
..............จงให้เสรีภาพระหว่างกัน...............




เมื่อถึงครา...
บรรลุ ..
กลับไม่มีอะไร...
ให้บรรลุ ..




"วิปัสสนาญาน ทำให้เกิดการละวิจิกิจฉา
เลิกพึ่งพาสิ่งใดๆนอกจากตน"
ไม่มี อะไรที่เป็นตัวตนจริงๆ
ตามอย่างที่ดวงตาเราเห็น และจิตนึกด้วยความเข้าใจผิด...
ทุกสรรพสิ่งเป็นเกลียวเคลื่อนตัว แปรเปลี่ยนไป
ด้วยเหตุนี้เอง คนที่พอจะเข้าใจ..
..ความจริงนี้ได้บ้างอย่างเล็กน้อย
คนคนนั้นก็เริ่มที่จะคลาย... ข้อสงสัย
ใน ชีวิต ในธุรกิจ ในครอบครัวไปได้มากมายอักโข
คนคนนั้นจะเกิดอาการละวิจิกิจฉา และเห็นความสำคัญของ
สติปัญญาตนเองที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและอนาคต ของตน
...เขาจึงเลิกพึ่งพิงสิ่งใดอีกต่อไป




โลกียะ หรือ ศีลธรรม ก็ยังจำเป็น!!!!
ปุถุชนก็จำเป็นที่จะต้องยึดถือ หรือมีอะไรให้ยึดถือกันไปพลาง
ป้องกันอย่าให้ไปทำชั่ว อย่าทำให้เลวไปกว่านั้น
มิฉะนั้นเขาจะไปทำเลวไปกว่านั้นหรือทำอะไรที่ตรงกันข้ามไปหมด
แล้วโลกนี้มันก็วินาศได้เหมือนกัน
ถ้าคนมันบ้าความไม่มีตัวตนกันทั้งโลก
แล้วถือโอกาสทำตามใจตน โลกวินาศได้เหมือนกัน


Bermuda Triangle Whirlpool

ฉะนั้นเราจึงรู้จักว่าเรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตานี้
เป็นเรื่องจริงแท้ ไม่ได้เป็นเรื่องสมมุติ
แต่ต้องพูดกันแต่ในหมู่ผู้ที่เห็นความจริง หรือว่าละสมมุติได้
(คำกล่าวท่านพุทธทาส หนังสือเรื่องจิตว่าง หน้าที่ 41)




ในโลกนี้...มีผู้บรรลุธรรมมากมาย แต่ผู้เป็นครูมีเพียงน้อยนิด
การบรรลุธรรมไม่ได้แปลว่าจะเป็นครูได้ด้วย
การเป็นครู แปลว่า ต้องมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ ที่จะไม่เดินบนความงดงามเพียงลำพัง
....พระพุทธองค์ ทรงสอนว่า เมื่อปิติเกิดขึ้นแล้ว
จงอย่ายึดมั่นกับมัน แต่จงแบ่งปัน
สิ่งที่ควรแบ่งปันมากที่สุด คือให้ผู้อื่นรู้ว่า ไม่เหลือวิสัย ไม่ควรสิ้นหวัง
ทุกคนมีศักยภาพเหมือนกัน เพราะการบรรลุธรรมนั้น
ไม่ได้เลิศเลอ...มหัศจรรย์
แค่เพียง กลับมารู้จักธรรมชาติในตัวตนของเรา...อย่างแท้จริงนั่นเอง




Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา >> ท่านพุทธทาส
นำมาแบ่งปันโดย >>> F/B ธรรมดีที่น่าทำ >> Isara Tong

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 22, 2017, 03:03:12 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: มันเป็นเช่นนี้...
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มิถุนายน 17, 2013, 09:06:10 pm »



เมื่อเธอเข้าใจ แก่นแท้ ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
เธอจะเข้าใจแก่นแท้ของทุกศาสนา

สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




จิตที่หลงยึดถือ อุปาทานแห่ง..
..การเป็นตัวตนเท่านั้น...จึงจะมี"กรรม"
แค่กระแสปรุงแต่ง..
แห่งธรรมชาติตามเหตุ.. ตามปัจจัย(ปฎิจจสมุปบาท)
สร้างตัวตนไปรับทำไมว่า"กรรมของกู"

โดย: Devilgirl Suratthani




ไม่มีสิ่งใดในชีวิต
จะน่าปิติยินดียิ่งไปกว่า
การได้รู้จักตัวเอง

There is no other greater ecstasy
than to know who you are.
Osho



โดย: New Heart New World
- โลกเปลี่ยนไป เมื่อใจเปลี่ยนแปลง




อย่างย่อ....เรื่องชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า
..............................
ดูก่อน..อุทายิ ผู้ใดถึงละลึกขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่
ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง จนชั่วกัลป์
มีชื่ออย่างนี้ มีโคตร มีวรรณะ เสวยสุข ทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้
ดูก่อน..อุทายิ ผู้ใดมีจักษุเป็นทิพย์
เห็นสัตว์ทั้งหลาย จุติ บังเกิด ทราม ประณีต ทุกข์ สุข ในเบื้องหน้า
ดูก่อนอุทายิ...ขันธ์ในอดีต ยกไว้ก่อน ขันธ์ในอนาคตยกไว้ก่อน
เราจักแสดงธรรมแก่ท่านว่า
"เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้มี เพราะความเกิดสิ่งนี้ สิ่งนี้เกิด
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ไม่มี เพราะความดับ สิ่งนี้ดับ"
เป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอที่รู้อย่างนี้ จะคิดว่า ในกาลอดีตยืดยาว เรามีไหมหนอ
เป็นอะไรหนอ แล้วเป็นอะไรต่อหนอ
เป็นไปได้ไหมว่า พวกเธอที่รู้อย่างนี้ จะคิดว่า
ปัจจุบันและอนาคต เรามีไหมหนอ เป็นอะไรหนอ แล้วจะไปสู่ไหนอีกหนอ



หากรู้ ปฎิจจสมุปบาท ก็หายตาบอดกระทันหัน
ไม่มีอะไรเกิดอะไรตายมาแต่แรก
ที่วนเวียนไม่ใช่เรา หากแต่เป็นความหลง
อุปาทานที่ยึดว่า เรา จุติ กาละ เวียนว่าย
หลุดพ้นจากกรอบ..อุปาทานที่หมายมั่นนี่แล้ว
อานิสงส์คือ"อนุปาทิเสสนิพพาน

โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เข้าถึงแล้วซึ่ง อวิชชา
ถ้าเขาปรุงแต่งสังขารอันเป็นบุญ วิญญาณก็เข้าถึง
วิบากอันเป็นบุญ
ถ้าปรุงแต่งสังขารอันมิใช่บุญ วิญญาณก็เข้าถึงวิบากอัน
ไม่ใช่บุญ
ถ้าปรุงแต่งสังขารอเนญชา(สมาบัติอรูปพรหม)
วิญญาณก็เข้าถึงวิบากอเนญชา
..................
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอวิชชาละได้แล้ว
การเกิดขึ้นของวิชชา
ย่อมไม่ปรุงแต่งอภิสังขาร
อันเป็นบุญ, ไม่ใช่บุญและ อเนญชา
เมื่อไม่ปรุงแต่ง เธอย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆในโลก
ไม่สะดุ้งหวาดเสียว
เธอย่อม"ปรินิพพาน"เฉพาะตนนั่นเทียว เธอย่อมประจักษ์ว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อันเราอยู่จบแล้ว
กิจควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้.....ไม่มี!!!

โดย: Devilgirl Suratthani




Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุม ธรรมดีที่น่าทำ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 13, 2015, 08:19:57 pm โดย ฐิตา »