สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยันผลตรวจภาพ “ไอ้คำกกสาว” ของแท้ไร้ตัดต่อ - พ่อแม่หนีตรวจ DNA ปูดรถหรู 22 คัน มูลค่ากว่า 100 ล้าน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 10 กรกฎาคม 2556 18:30 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000084299-
ภาพถ่าย พระเณรคำขณะกำลังนอนกับผู้หญิง ที่ถูกเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตก่อนหน้านี้ ล่าสุดสถาบันนิติวิทยาสาสตร์ออกมายืนยันผลการตรวจสอบภาพดังกล่าวเป็นภาพจริงที่ไม่ได้มีการตัดต่อแต่อย่างใด
ดีเอสไอแถลงผลการเก็บพิสูจน์เนื้อเยื่อลูกเมีย “เณรคำ” เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่สามารถนำตัวตัวอย่างเยื่อพ่อแม่ “เณรคำ” มาเทียบเคียงได้เพราะไม่สามารถติดต่อได้ พร้อมเผยบัญชี “ไอ้คำ” ครอบครองรถหรู 22 คัน มูลค่า 100 ล้านบาท! ด้านสถาสบันนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันรูป “ไอ้คำกกสาว” ของแท้ไร้ตัดต่อ!!
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (10 ก.ค.)พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงแนวทางการสอบสวนหลังดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษว่า ได้ตั้งประเด็นหลักตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีมีข้อมูลว่าหลวงปูเณรคำอ้างว่าไปพบพระอินทร์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เท่ากับนำข้อความเท็จลงในระบบคอมพิวเตอร์ ในลักษณะน่าจะเกิดความเสียหาย มีโทษจำคุก 5 ปี ซึ่งฐานความผิดดังกล่าวเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติ ส่วนคดีอื่นอีก 7 ฐานความผิด เป็นคดีเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันที่ถูกโอนมาเป็นคดีพิเศษ โดยแนวทางการสอบสวนหลังจากนี้ทีมเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ลงพื้นที่ อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีษะเกษ เพื่อตรวจดีเอ็นเอเด็กชายที่ น.ส.เอ ให้การว่าเป็นลูกของหลวงปู่เณรคำ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของพ่อแม่หลวงปู่เณรคำ นอกจากนี้ดีเอสไอจะรับจากความกรณีกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ตามมาตรา 217และพรากผู้เยาว์ ตามมาตรา 317 ประมวลกฎหมายอาญา พร้อมจะส่งชุดสอบสวนคดีรถหรูลงพื้นที่เพื่อสอบสวนขยายผล เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานทุกด้านให้กระชับ โดยดีเอสไอ กองปราบ ปปง.ป.ป.ส.จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กล่าวว่า ขณะนี้ตนเห็นว่าหลวงปู่เณรคำพ้นจากความเป็นพระตั้งแต่ได้เสพเมถุนกับ น.ส.เอ จนมีลูกด้วยกัน ตามแนวทางการสอบสวนของดีเอสไอ รวมทั้งทราบข่าวว่าผลตรวจภาพถ่ายต้องสงสัยที่มีพระคล้ายหลวงปู่เณรนอนหนุนกับสีกาเป็นภาพจริงไม่ได้ตัดต่อ จึงไม่ต้องไปจับสึกหรือรอให้มีการออกคำสั่งให้พ้นจากความเป็นพระ เพราะขาดจากความเป็นพระอยู่แล้วตามพระธรรมวินัยถ้าพระได้เสพเมถุน หรืออวดอุตริ ก็จะพ้นจากการเป็นพระทันที หากเจ้าหน้าที่เจอที่ไหนและพบยังสวมจีวรก็เข้าถอดจีวรได้ทันที ที่ผ่านมาเมื่อปี 2553 เคยมีตัวอย่างคดีอดีตเจ้าคณะอำเภอแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเลยถูกร้องเรียนต่อมูลนิธิปาวีณาว่าล่วงละเมิดทางเพศสามเณร ต่อมาถูกปลัดจังหวัดเลยในขณะนั้น ได้สั่งเจ้าหน้าที่ อส.ถอดจีวรในห้องประชุมทันที ก่อนที่อดีตพระรูปดังกล่าวจัถูกด้ำนินคดี เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน หากยังพบหลวงปู่เณรคำสวมจีวรก็จะมีความผิดฐานแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ตามประมวลกฎหมายอาญาอีกคดี
ต่อมา เมื่อเวลา 14.00 น.วันเดียวกัน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีิเอสไอ พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดีีดีเอสไอ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ พร้อมด้วย น.ส.มาลัย นาคทอง นักวิชาการคอมพิวเตอร์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายธนันท์พงศ์ ปิยะวรรณะกูล ผอ.ส่วนสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย ดีเอสไอ รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา( สกอ.) ร่วมแถลงความคืบหน้าคดีเกี่ยวกับพฤติกรรรมและการกระทำโดยมิชอบของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิระพล สุขผล ประธานสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม หลังจากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษสอบสวน 8 ข้อหา
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีิเอสไอ กล่าวว่า เมื่อเช้า พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังใสย์ รอง ผบ.สำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบว่าหลวงปู่เณรคำเกี่ยวข้องเรื่องรถหรูหรือการฟอกเงินหรือเปล่า หรือมีการเลี่ยงภาษีศุลกากรหรือไม่ โดยชุดสอบสวนได้เข้าตรวจสอบข้อมูลกับศูนย์จำหน่ายรถเบนซ์ อุบลราชธานี พบว่ามีการใช้ชื่อพระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ซื้อรถเบนซ์รุ่นต่างๆ จำนวน 21 คัน และใช้ชื่อลูกศิษย์อีก 1 คัน รวมมูลค่า 95,232,000 บาท โดยใช้ทั้งเช็คและเงินสดซื้อ ชุดสิบสวนสำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ กำลังตรวจสอบว่าหลวงปู่เณรคำซื้อรถเบนซ์ไปไหนหรือไปให้ใคร ส่วนการจะอายัดรถเบนซ์ทั้งหมดหรือไม่อยู่ระว่างการตรวจสอบ แต่ตอนนี้ดีเอสไอสนใจว่ารถเบนซ์ทั้งหมดอยู่ที่ไหนมากกว่า
อธิบดีีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 11 ก.ค.เวลา 13.00 น.พระพุทธอิสระ ได้ติดต่อขอนำข้อมูลลับในหลายเรื่องๆ เกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำ ซึ่งเดิมจะใช้ในศาลแต่เมื่อศาลไม่รับฟ้องจึงอยากนำข้อมูลมามอบให้ดีเอสไอขยายผล ส่วนเรืิ่องการตรวจดีเอ็นเอเด็กชาย ที่ น.ส.เอ ให้การว่าเป็นลูกของหลวงปู่เณรคำ วันนี้เจ้าหน้าที่สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสำนักงานพระพุทธศาสนา(พศ.) ได้ลงพื้นที่ตรวจเก็บดีเอ็นเอของเด็กชายคนดังกล่าวและ น.ส.เอ แล้ว แต่เมื่อประสานไปยังพ่อแม่หลวงปู่เณรคำ ที่บ้านพักแต่ติดต่อไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จะหาวิธีที่จะตรวจสอบดีเอ็นเอยืนยันความสัมพันธ์ว่าเด็กชายเป็นลูกของหลวงปู่เณรคำหรือไม่ โดยจะทำความจริงให้ปรากฎภายใน 2-3 วัน ส่วนกรณีหลวงปู่เณรคำ มี ดร.นำหน้า ได้รับปริญญาเอก ดีเอสไอตรวจสอบพบว่า หลวงปู่เณรคำได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขาพัฒนาสังคมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2553 โดยไม่พบความผิดปรกติ
นายธาริต กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีกลุ่มลูกศิษฐ์และกลุ่มที่มีจิตศัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำ กระทำการหลายอย่างในลักษณะข่มขู่พยานหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ขอเตือนว่าเรากำลังจับตาคนกลุ่มนี้ว่ากระทำการเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 138 ประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ ฐานผู้ใดขัดขวางเจ้าพนักงานกำลังปฎิบัติหน้าที่มีโทษอาญา ดังนั้นลูกศิษย์ หรือคนใกล้ชิดกลจะพูดศัทธาในหลวงปู่เณรคำก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าพูดขัดขวางการทำงานของ 5 หน่วยงาน เราก็จะดำเนินคดีทันที ส่วนประวัติหลวงปู่เณรคำ ขณะนี้ อายุ 34 ปี พบว่าบวชเป็นเณรตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่วัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2537 จากนั้นบวชเป็นพระเมื่ออายุ 20 ปี ที่วัดดอนธาตุ ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2542
น.ส.มาลัย นาคทอง นักวิชาการคอมพิวเตอร์ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงผลการตรวจสอบภาพคล้ายหลวงปู่เณรคำนอนหนุนหมอนกับสีกาว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ตรวจสอบภาพชายขณะนอนหลับหนุนหมอนมีหน้าบุคคลเสี้ยวเดียวอยู่ใกล้ จากกาีตรวจพิสูจน์พบว่า 1.การวิเคราะห์ด้วยตาไม่พบเม็ดสีผิดปรกติ 2.ดูการสะท้อนของแสงในทางเดียวกัน และวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพซึ่งจะบันทึกข้อมูลของกล้อง รุ่น ยี่ห้อ วันเวลาที่ถ่ายภาพ แต่กรณีภาพดังกล่าวตรวจไม่พบข้อมูลข้างต้นเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการบันทึกซ้ำๆ 4.วิเคราะห์เม็ดสีของภาพไม่พบอาจมีการเออร์เลอร์ ผลสรุปว่าภาพแล้วไม่พบการตัดต่อหรือแก้ไขแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจนเพราะมีบันทึกและมีการส่งภาพต่อๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ท ภาพจึงอาจไม่สมบูรณ์ ได้รายงานให้ พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทราบผลการตรวจสอบแล้ว
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ กล่าวให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ระหว่างลงพื้นที่อีสานตรวจสอบเบาะแสหลวงปู่เณรคำซื้แรถหรูจำนวนมากว่า ดีเอสไอมาตรวจสอบตามเบาะแสที่ศูนย์จำหน่ายเบนซ์อุบลราชธานีว่าหลวงปู่เณรคำได้มาซื้อรถเบนซ์บางหรือไม่ ปรากฎพบว่าหลวงปู่เณรคำเคยมาซื้อรถเบนซ์ถึง 22 คัน รวมเป็นเงินกว่า 95 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์จำหน่ายเบนซ์ฯ ได้ให้การว่าหลวงปู่เณรคำ ได้ทยอยขายรถเบนซ์ที่ซื้อไปคืนให้ศูนย์เป็นล็อตๆ ละ 6-7 คัน วนไปวนมาดีเอสไอกำลังตรวจสอบรายละเอียดว่าหลวงปู่เณรคำซื้อขายรถเบนซ์ในลักษณะดังกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์อะไร เพราะซื้อรถเบนซ์ไปก็ไม่ได้นำไปจดทะเบียนกับขนส่ง ใช้แต่รถป้ายแดง รวมทั้งจะตรวจสอบข่าวว่าหลวงปู่เณรคำ ยังได้นำเงินไปซื้อรถหรูอีกหลายแห่ง จึงขอเวลาทำงานอีกสักพักจะมีความชัดเจน โดยจะเปิดแถลงข่าวผลการตรวจสอบรถหรูของหลวงปู่เณรคำในวันที่ 11 ก.ค.ที่ศูนย์ปฎิบัติการคดีพิเศษภาค 4 ดีเอสไอ จังหวัดขอนแก่น
มีรายงานข่าวจ่กดีเอสไอว่า จากการตรวจสอบรถหรูหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิระพล สุขผล จากศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถเบรซ์ ที่จ.อุบลราชธานี พบว่าหลวงปู่เณรคำ ใช้เงินจำนวน95,232,000 บาท ไปกับการซื้อรถเบนซ์ จำนวน 22 คัน โดยซื้อรถเบนซ์รุ่น เอส 300 แอล จำนวน 1 คัน ในชื่อคุณพรรณ์แสง ชูมัง เมื่อวันที่ 21ต.ค.2551 จำนวนเงิน 7,599,000 บาท และซื้อในชื่อของพระวิระพล สุขผล เอง จำนวน 21 คัน ดังนี้ รถเบนซ์ รุ่น ซี 200 เค อีแอล จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่20 ก.พ.2552 ราคา 2,799,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น วีโต้ จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่25 ก.พ.2552 ราคา 2,600,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น ซี 200 เค อีแอล จำนวน 2 คัน ซื้อเมื่อวันที่23 ก.ค.2552 ราคาคันละ 2,799,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น ซี 200 เค เอวี จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่23 ก.ค.2552 ราคา 2,999,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 200 เค เอวี จำนวน 2 คัน ซื้อเมื่อวันที่13 ส.ค.2552 ราคาคันละ 3,699,000 บาท
รถเบนซ์ รุ่น อี 220 ซีดีไอ จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2552 ราคา 3,950,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 200 เค เอวี จำนวน 2 คัน ซื้อเมื่อวันที่16 ก.ย..2552 ราคาคันละ 3,749,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น เอส 300 แอล จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 24 พ.ย..2552 ราคา 6,300,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น วีโต้ จำนวน 3 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2552 ราคาคันละ 3,300,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น เอส 500 เค เอวี จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2553 ราคา 11,199,000 บาท
รถเบนซ์ รุ่น อี250 ซีจีไอ เอวี จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2554 ราคา 4,150,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 250 คูเป้ จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่20 เม.ย.2554 ราคา 5,400,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 250 ซีจีไอ เอวี จำนวน 1 คัน ซื้อเมื่อวันที่ 16มิ.ย.2554 ราคา 4,750,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น อี 250 ซีจีไอ เอสเตท ซื้อเมื่อวันที่ 1 ก.ค..2554 จำนวน 2 คันในวันเดียวกัน แต่ราคาต่างกัน โดยคันหนึ่ง ราคา5,544,000 บาท และอีกคันราคา 6,048,000 บาท รถเบนซ์ รุ่น เอ็มแอล 350 (ยูสคาร์) ซื้อเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2552 จำนวน 1 คัน ราคา1,500,000 บาท โดยรถทั้งหมดไม่มีการนำไปจดทะเบียนกับขนส่ง
ส่วนเรื่องการตรวจสอบมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก หลังดีเอสไอพบว่าตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( สกอ.) และมีการมอบปริญญาเอกให้กับ นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ลูกศิษย์
พระวิระพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ความคืบหน้า วันเดียวกัน นายธนันท์พงศ์ ปิยะวรรณะกูล ผอ.ส่วนสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย ดีเอสไอ กล่าวว่า รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการ กกอ.ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อดีเอสไอให้ดำเนินคดีกับนายสวัสดิ์ บรรเทิงสุข ผู้ก่อตั้งและอธิบกาีบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เนื่องจากการตรวจสอบพบกรณีที่มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกอ้างว่าขออนุญาตจัดตั้งกับสถาบันในต่างประเทศ ปรากฎว่าไม่มีการขออนุญาตจริง แต่เป็นการทำเอกสารปลอมว่าขออนุญาตหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ
ผอ.ส่วนสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย ดีเอสไอ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบขณะนี้พบว่ามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก มี 35 สาขา ทั้งในจังหวัดนนทบุรี ขอนแก่น นาราธิวาส สงขลา บุรีรัมย์ ศรีษะเกษเชียงใหม่ ขณะนี้กำลังตรวจสอบแต่ละสาขา ส่วนการมอบปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกพบมีการมอบไป 18 ครั้ง โดยมีการเชิญดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์โดยให้ตำแหน่งทางวิชาการนำหน้าชื่อ ส่วนนายสวัสดิ์ บรรเทิงสุข อธิกาีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ที่นักดีเอสไอเข้าให้การในวันนี้ ได้ติดต่อขอเลื่อนเข้าให้การออกไปเป็นวันที่ 17 ก.ค.เวลา 10.00 น.
รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการ กกอ.กล่าวว่า เรื่องการรับปริญญาเป็นค่านิยมของสังคมไทยจึงมีผู้นำเป็นช่องทางใช้หลอกลวง ในการแจกปริญญากิตติมศักดิ์มีดอกเตอร์นำหน้าชื่อหรือศาสตร์ตราจารย์กิตติคุณ มี ศาสตราจารย์นำหน้าชื่อ จึงขอเตือนว่าใครไปรับปริญญาโดยไม่ถูกต้องจะมีความผิด เพราะครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกยืนยันกับตนว่าการแจกปริญญาไม่ผิดและจะทำต่อไป จึงขอเตือนประชาชนว่าอย่าไปรับจะมีความผิด ส่วนที่มีข่าวว่าสถาบันการศึกษาของรัฐถูกใช้เป็นสถานที่รับปริญญาของมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ตนได้สั่งห้ามไปแล้วถ้าพบมีสถาบันใดให้ใช้พื้นที่จะเอาผิดกับสภาบันนั้นๆ แน่นอน กรณีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลกจะอ้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานต่างประเทศไม่ได้ เพราะการตัดการเรียนการสอนในไทยต้องผ่านการตรวจสอบรับรองจาก กกอ.จะอ้างเป็นการศึกษารูปแบบใหม่ไม่ได้ ขณะนี้กำลังตรวจสอบการแจกปริญญาอ้างสถาบันในต่างประเทศไม่ถูกต้องอีก 2 แห่ง ซึ่งจะร่วมกับดีเอสไอกวาดล้างสิ่งเหล่่านี้ให้พ้นนากแผ่นดินไทย เพราะทราบว่าเหมือนมีการขายปริญญา
---------------------------------------------------------------------------------------
กองปราบจ่อออกหมายจับ "ไอ้คำ"แล้ว หลักฐานชัดผิดจริง
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 10 กรกฎาคม 2556 18:21 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000084430-
กองปราบจ่อออกหมายจับ "ไอ้คำ"แล้ว หลังพบหลักฐานชี้ชัดในการกระทำความผิดหลายกระทง!
วันนี้ ( 10 ก.ค) ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.วรวุฒิ คุณะเกษม ผกก.3 บก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก หรือพระวิรพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.เข้าสอบปากคำผู้เสียหายและพยาน 2 ประเด็น โดยประเด็นแรกให้สอบปากคำพยานที่อ้างว่าเป็นผู้บริจาคที่ดินใน จ.ศรีสะเกษ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบเป็นหลักฐานในเรื่องที่มาที่ไปของทรัพย์สินของหลวงปู่เณรคำ อีกประเด็นหนึ่ง คือให้เข้าสอบปากคำหญิงสาวที่อ้างว่าเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลวงปู่เณรคำ โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งนี้ ในส่วนของคดีพรากผู้เยาว์นั้น หากสอบปากคำผู้เสียหายและพยาน จนมีข้อมูลชัดเจนแล้ว ก็สามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับได้ทันที โดยไม่ต้องออกหมายเรียกมารับทราบข้อหา เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหายังพำนักอยู่ต่างประเทศ
พ.ต.อ.วรวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับเอกสารต่างๆ ที่ยึดได้จากบ้านพักของบิดาและมารดาของหลวงปู่เณรคำ ที่ จ.อุบลราชธานี ภายหลังนำหมายศาลเข้าตรวจค้น เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ระหว่างตรวจสอบอย่างละเอียด โดยจะแยกแยะประเภทของเอกสาร และพิจารณาว่าเอกสารชิ้นใดที่เกี่ยวข้องและมีผลในการตรวจสอบทางคดีบ้าง สำหรับบัญชีธนาคารต่างๆ รวม 21 บัญชี ที่ บก.ป.ร่วมกับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อายัดไว้นั้น จะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งต้นทางและปลายทาง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากต้องประสานขอความร่วมมือไปยังธนาคารเจ้าของบัญชีต่างๆ ดังกล่าว