DSI แจ้ง สมีคำ ถูกถอนพาสปอร์ต ต่อสถานทูตทุกประเทศ-เร่งผลักดันกลับไทย
-http://hilight.kapook.com/view/88862-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก alittlebuddha.com
DSI แจ้งสถานทูตทุกประเทศ ผลักดัน สมีคำ กลับไทย หลังถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางแล้ว หากพบการเคลื่อนไหวให้ส่งกลับไทยตามกฎหมายคนเข้าเมืองทันที
วันนี้ (20 กรกฎาคม 2556) พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่กรมการกงสุลได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของ "นายวิรพล สุขผล" สมีคำแล้ว และได้แจ้งไปยังสถานทูตทุกประเทศรับทราบ ซึ่งหากประเทศใดพบการเคลื่อนไหวของสมีคำ ก็จะมีการผลักดันกลับประเทศไทยตามกฎหมายคนเข้าเมืองทันที
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ กล่าวถึงระยะเวลาในการติดตามตัวสมีคำกลับไทยว่า ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของแต่ละประเทศ รวมถึงต้องดูข้อกฎหมายว่ามีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยหรือไม่ แต่เชื่อได้ว่าทางไทยจะได้รับความร่วมมืออย่างดี เพราะการล่วงละเมิดทางเพศเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี และการฉ้อโกง ถือเป็นหลักสากลที่หลายประเทศให้ความสำคัญ
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ทางดีเอสไอได้ดำเนินการใน 2 ส่วน คือ การติดตามตัวมาดำเนินคดี และส่วนที่ 2 คือการเดินหน้าตรวจสอบเรื่องทรัพย์ และเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้มาร้องทุกข์ต่อไป
สำหรับบรรยากาศที่บ้านพักสงฆ์ป่าขันติธรรม ตำบลยาง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นไปอย่างเงียบเหงา ไม่มีญาติโยมเข้าไปทำบุญ หรือเที่ยวชมวัดเหมือนอย่างหลายวันที่ผ่านมา พบเพียงพระสงฆ์และสามเณรจำวัดอยู่ 15 รูป ที่กำลังเก็บของกลับไปรายงานตัวยังต้นสังกัดเดิมตามมติของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก สำนักข่าวไทย
-http://www.mcot.net/site/content?%20%20id=51ea188a150ba005390001cd#.Uep0Om0h-AK-
--------------------------------------------------------------
กระชากหน้ากาก “สมีคำโฮลดิ้ง”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 20 กรกฎาคม 2556 06:17 น.
-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000089060-
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในที่สุดสัตว์โลกก็ย่อมเป็นไปตามกรรม เพราะผลกรรมที่ทำเอาไว้นั้นหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะครองสมณเพศต่อไปได้ ดังนั้น กลุ่มคนที่เคยได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากจากอดีตหลวงปู่เณรคำจึงจำใจและจำยอมมีคำสั่งให้อาบัติ ปาราชิกขาดจากความเป็นพระ กลายเป็น “สมีคำ ไอ้คำ หรือโล้นคำ” ตามแต่ที่จะเรียกขานกัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องของสมีคำยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะจบจากคดีทางธรรมก็ยังมีคดีทางโลกที่จะต้องลากคอสมีคำที่เร่ร่อนเป็นสัมภเวสีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้จงได้ด้วยข้อหาอุกฉกรรจ์ตามที่ศาลอาญาอนุมัติหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ประเด็นปัญหาที่จะต้องขยายผลทางคดีต่อไปไม่ใช่หยุดแค่ตัวของสมีคำคนเดียวเท่าใด เพราะจากข้อหาทั้งหลายทั้งปวงที่ดีเอสไอตั้งเอาไว้นั้น ต้องบอกว่า สมีคำคนเดียวคงไม่มีปัญญาทำได้ หากแต่จะต้องมี “ผู้ร่วมขบวนการ” รู้เห็นเป็นใจในการวางแผนทางธุรกิจ และน่าเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นขบวนการใหญ่โตไม่แพ้บริษัทห้างร้านชั้นนำในประเทศไทยทีเดียว
เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มลูกศิษย์ที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้ให้พระอาจารย์สุดหัวใจอย่าง 2 เกลอหัวขวด “สุขุม วงประสิทธิ” ดร.จากมหาวิทยาลัยลวงโลก และ “เริงศักดิ์ กำธร” อดีตนักหนังสือพิมพ์และนักเขียนที่ทำทุกอย่างแม้กระทั่งยอมแต่งตัวเป็นลิเกเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสื่อมวลชนในวันที่เดินทางในยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่สังคมไม่เชื่อว่า ทำเพื่อสมีคำอย่างสู้ตายถวายหัว หากแต่น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือใครเขียนบทละครให้รับบทบาทดังกล่าว
แน่นอน หลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าชัดเจนว่า สมีคำไม่ได้ทำมาหากินคนเดียวหากแต่ทำในรูปของ “สมีคำโฮลดิ้ง” ก็คือ ตัวเลขในบัญชีเงินฝาก 41 บัญชีที่เคยมีเงินอยู่ 200-300 บาท เวลานี้เหลือเงินตกค้างเพียงแค่ 2-3 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งนั่นแสดงว่า ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเบิกเงินจำนวนนี้ออกไป
ประเด็นนี้นายณรงค์ รัตนานุกูล ที่ปรึกษาด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ให้ข้อมูลว่า ป.ป.ส.และป.ป.ง.ได้ขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินและธนาคารทุกแห่งที่เปิดบัญชีให้แก่อดีตพระวิรพลจำนวน 41 บัญชีให้รายงานการทำธุรกรรมการเงินย้อนหลังนับตั้งแต่อดีตพระวิรพลมาเปิดบัญชีรับบริจาค ซึ่งขณะนี้ทราบว่า เงินบัญชีทั้ง 41 บัญชี มีเงินตกค้างอยู่ประมาณ 2-3 ล้านบาท ซึ่ง ป.ป.ส.และ ป.ป.ง.จะเร่งติดตามเงินที่หายจากบัญชีต่อไป
และข้อมูลที่ไม่อาจมองข้ามได้เกี่ยวกับสมีคำโฮลดิ้งก็คือ ข้อมูลจากนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เกี่ยวกับการสร้างเครื่องทรงพระแก้วมรกต 3 ฤดูที่ใช้ทองคำ 9 พันกิโลกรัมในการสร้าง ซึ่งนายสงกรานต์ยืนยันว่า งานนี้มีนักธุรกิจการเงิน นักธุรกิจทองคำและนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง
“ตัวสมีคำเองไม่ได้มีความรู้ว่าจะโยกย้ายเงินอย่างไร หรือจัดการเงินอย่างไร ดังนั้น จึงมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังแน่นอน เบื้องต้นสืบทราบว่าน่าจะเป็นนักธุรกิจชื่อดังหลายคน รวมถึงนักการเมืองระดับชาติด้วย อีกไม่นานจะได้รู้ว่าใครคือไอ้โม่งที่อาศัยศรัทธาประชาชนทำมาหากินเช่นนี้”
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ บุคคลเหล่านั้นคือใคร
เพราะยิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวก็ยิ่งน่าเชื่อว่า ไอ้โม่งที่ชักใยสมีคำ หรือสมีคำใช้งานทางธุรกิจต้องไม่ธรรมดาทั้งในทางโลก ในทางธรรมและในทางการเมือง
จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า นักการเมืองที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมีคำเป็นนักการเมืองระดับชาติที่มีอิทธิพลและเส้นสายในระดับที่ไม่ธรรมดา โดยนักการเมืองรายนี้เป็นผู้ชายและเคยต้องคดีทางการเมืองเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา เรียกว่าถ้าเอ่ยชื่อมาต้องร้องอ๋อกันทั้งบ้านทั้งเมืองเลยทีเดียว
ส่วนนักธุรกิจที่ถือเป็นมือไม้ในการบริหารจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้น เป็น “ผู้หญิง” อายุประมาณ 45 ปี เป็นนักธุรกิจที่ทำการค้าเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ และกิจการค้าหลากหลาย ซึ่งเป็น 1 ใน 4 สีกาที่สมีคำให้ความไว้วางใจเป็นอย่างมาก
ด้านนักธุรกิจค้าทอง มีรายงานข่าวว่า ดีเอสไอเตรียมลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อสอบสวนร้านทองแห่งหนึ่งหลังพบว่า ได้ขายบ้านจัดสรร 3 หลังมูลค่า 9 ล้านบาทให้สมีคำ พร้อมควานหาเบาะแสเรื่องทองคำที่สมีคำเปิดรับบริจาคเพื่อมาสร้างเครื่องทรงพระแก้วมรกตจำลองด้วย
โดยขณะนี้มีข้อมูลยืนยันว่า ดีเอสไอและ ป.ป.ง.อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินของทั้งสามคนว่ามีความเชื่อมโยงกับสมีคำในทางใดบ้าง และจะสามารถเอาผิดได้หรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการซื้อรถของสมีคำที่ยังมีข้อพิรุธให้ต้องตรวจสอบมากมาย ทั้งกรณีมีรถอยู่ในครอบครองกี่คันกันแน่ แล้วรถที่ซื้อนำไปจำหน่ายจ่ายแจกให้กับใคร รวมทั้งยังมีความพิสดารเรื่องการซื้อมาและขายคืนให้โชว์รูมอีกต่างหาก
เพราะไม่เพียงแค่ข้อมูลจาก “เสี่ยกัง” เศรษฐีเจ้าของร้านประดับยนต์ชื่อดังของ จ.อุบลราชธานี ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการซื้อรถยนต์ของ นายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ จำนวน 35 คัน เพื่อแจกจ่ายแก่พระชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงบุคคล และส่วนราชการต่างๆ เท่านั้น ยังมีข้อมูลจากอดีตลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำรายหนึ่งให้ข้อมูลด้วยว่า ข้อมูลการซื้อรถของเณรคำที่เสี่ยกังนำเอามาเปิดเผยนั้นน่าที่จะยังเปิดเผยข้อมูลไม่หมด เนื่องจากยังมีรถยนต์อีกประมาณกว่า 10 คันที่เสี่ยกังไม่ได้พูดถึง โดยลูกศิษย์คนนี้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่เสี่ยกังมอบรถราคาแพงจำนวนมากแก่บุคคลต่างๆ ไปแล้วอ้างว่าจำไม่ได้ว่ามอบรถให้ใครไปบ้างนั้นไม่น่าเชื่อถือ เพราะการที่จะมอบรถราคาแพงให้ใครไปเสี่ยกังจะต้องบันทึกเอาไว้อยู่แล้ว
สำหรับรถยนต์หรูที่นำเอาเข้ามาจากต่างประเทศนั้น อดีตเณรคำจะซื้อมาจาก “เสี่ยโย” เจ้าของบริษัทจำหน่ายรถยนต์นำเข้าแห่งหนึ่งย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ โดยอดีตเณรคำไปซื้อรถยนต์ยี่ห้อมายบัคจำนวน 2 คัน รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ จำนวน 2 คัน รถบีเอ็มดับเบิลยู รุ่นเอ็กซ์ 6 จำนวน 4 คัน รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า เลกซัส จำนวน 1 คัน และรถโรลส์-รอยซ์ มือสองอีกจำนวน 1 คัน เพื่อนำเอามาใช้งานด้วย
เช่นเดียวกับ 1 ใน 2 คดีที่ดีเอสไอขออนุมัติศาลออกหมายจับคือการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตร 14 ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่เข้าไปอ่านเว็บไซต์ของสมีคำ เพราะงานนี้ถ้าดีเอสเลือกที่จะฆ่าตัดตอนสมีคำเพียงคนเดียวก็ดูจะเป็น 2 มาตรฐานและดูไม่ยุติธรรมกับสมีคำเท่าใดนัก เนื่องจากชัดเจนว่า สมีคำไม่ได้ทำเว็บเพียงคนเดียว
ดังนั้น จึงต้องเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องกับการทำเว็บไซต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว็บมาสเตอร์มาสอบสวนพร้อมทั้งตั้งข้อหาเดียวกับสมีคำด้วย
ส่วนในทางธรรมก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่มีจิตเมตตาต่อสมีคำเป็นพิเศษมิใช่ใครอื่นหากแต่คือ “พระธรรมธิติญาณ(ศรีจันทร์) เจ้าคณะภาค 10(ธรรมยุต) ผู้ที่ได้รับรถยนต์โตโยต้าคัมรี่จากสมีคำ เพราะในการให้สัมภาษณ์ทุกครั้งก็ล้วนแล้วแต่คิดบวกต่อสมีคำโดยไม่มีข้อกังขา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พระธรรมธิติญาณประกาศชัดเจนว่า กรณีที่มีการเรียกร้องให้นายวิรพลมารับความผิดและสอบสวนตามข้อกล่าวหานั้น ตนเองเห็นว่า จะไม่ได้รับความเป็นธรรมหากจะจับสึกแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ฟังข้อเท็จจริงที่โดนกลั่นแกล้งกล่าวหาแบบฟังความข้างเดียว เช่น กล่าวหาว่านอนกับสีกา พอเอาผิดก็ไม่ได้ขยายความว่ามีเพศสัมพันธ์หรือไม่ การฟอกเงินซึ่งเป็นการพยายามโยงไปถึงเรื่องการพัวพันยาเสพติดทั้งที่ไม่มีหลักฐาน
เหตุที่บอกว่า เป็นการเอื้ออาทรด้วยใจเมตตาที่ผิดปกติก็เพราะการระบุว่า การตัดสินของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ผู้สอบอธิกรณ์ที่ตัดสินให้อดีตพระวิรพลต้องอาบัติปาราชิกด้วยการอ่านคำตัดสินลับหลังเพียงฝ่ายเดียวถือว่าไม่ถูกต้องและไม่ให้ความเป็นธรรมนั้น จากการตรวจสอบข้อกฎหมายตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม(พ.ศ.2511) ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ 3 ส่วนที่ 2 วิธีพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น ข้อ 39 วรรคสอง ระบุว่า ถ้าโจทก์หรือจำเลยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาฟังคำวินิจฉัยตามกำหนดที่ได้นัดหมายไว้ โดยมิได้มีหนังสือแจ้งเหตุขัดข้องต่อคณะผู้พิจารณาขั้นต้นก่อนถึงเวลาที่นัดหมาย ให้อ่านคำวินิจฉัยและให้ถือว่าฝ่ายที่ไม่มาฟังคำวินิจฉัยได้ทราบคำวินิจฉัยนั้นแล้ว
และที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุดก็คือ องค์พระแก้วมรกดจำลองใหญ่ที่สุดในโลกที่สมีคำโฮลดิ้งใช้เป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน โดยโฆษณาชวนเชื่อว่า สร้างด้วยหินหยกจากประเทศอินเดีย จากการตรวจสอบข้อมูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษร่วมกับสำนักงานศิลปากรที่ 11 จังหวัดอุบลราชธานีพบว่า ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง
“จากการตรวจสอบพบว่าด้านท้ายองค์พระแก้วฯ มีกระสอบบรรจุผงปูนสีเขียวที่มีความมันวาว เมื่อนำมาผสมกับน้ำ ผงปูนสีเขียวดักล่าวจะแข็งตัว ลักษณะคล้ายวัสดุที่นำมาหล่อเป็นแผ่นๆ ก่อนนำไปติดบนองค์พระปูนซิเมนต์ ในชั้นนี้จึงเชื่อได้ว่า วัสดุที่นำมาสร้างองค์พระแก้วฯ ไม่ใช่หินหยกที่นำเข้ามาจากประเทศอินเดียอย่างที่มีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ญาติโยมร่วมกันบริจาคเงินจำนวนมากๆ มาร่วมสร้างแต่อย่างใด”พ.อ.ชัชนันท์ เชื้ออำนาจ รอง ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ให้ข้อมูล
เพราะฉะนั้นดีเอสไอจะต้องนำตัวสมีคำและสมีคำโฮลดิ้งมาลงโทษให้ได้ เนื่องจากความผิดที่ได้กระทำขึ้นมานั้น ย่ำยีหัวใจพุทธศาสนิกชนหนักหนาสาหัสยิ่งนัก