มานะ เลิศรักษา รปภ. แชทเฟซบุ๊กลวงสาววัย 17 ถูกจับแล้ว
-http://hilight.kapook.com/view/92021-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทวิตเตอร์ @MorningNewsTV3
นายมานะ เลิศรักษา รปภ. แชทเฟซบุ๊กลวงสาววัย 17 หลอกไปบ้าน-ข้ามคืนเป็นศพ หลบหนีไปได้แล้ว โดยอาศัยจังหวะน้ำท่วมลุยน้ำออกหลังโรงพยาบาล ด้านแม่ของผู้ต้องหาวอนให้ลูกมอบตัว ล่าสุด นายมานะ ถูกจับแล้ว รับลงมือฆ่าเพราะกลัวฝ่ายหญิงรับไม่ได้ที่แก่และไม่รวยจริง
จากกรณีที่แม่น้องบี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี เข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิปวีณาฯ ว่าลูกสาวถูกผู้ชายชื่อ "นายมานะ เลิศรักษา" วัย 52 ปี ที่รู้จักกันในเฟซบุ๊กล่อลวงไป และพบอีกทีลูกสาวก็เป็นศพบนเตียงนอนของฝ่ายชาย สภาพศพน้ำลายไหลปนเลือด ส่วนหลังเกิดเหตุนายมานะก็กินน้ำยาล้างห้องน้ำ จนแพทย์ต้องทำการล้างท้อง ยังไม่สามารถให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด (8 ตุลาคม 2556) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า นายมานะที่นอนรักษาตัวเนื่องจากดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำไปนั้น ได้หลบหนีออกจากโรงพยาบาลแล้ว โดยอาศัยจังหวะที่ญาตินำเสื้อมาเปลี่ยน เดินลุยน้ำออกทางด้านหลังโรงพยาบาล ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ช่วยเหลือน้ำท่วมอยู่ พอไปตรวจสอบที่กล้องวงจรปิดก็พบว่ากล้องเสีย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามแม่ของนายมานะ ซึ่งระบุว่า วันนั้นให้น้องชายไปตามนายมานะที่ห้อง ก็พบว่ามีคนตายอยู่ในห้อง ส่วนนายมานะก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทราบเพียงว่าเป็น รปภ. อยู่ จ.สมุทรปราการ ล่าสุดนายมานะกลับมาร่วมงานศพพ่อ จากนั้นก็หายไปพักหนึ่ง จนกระทั่งกลับมาและก่อเหตุดังกล่าว โดยตนอยากจะบอกลูกชายว่าให้เข้ามอบตัว อย่างน้อยโทษหนักจะได้เป็นเบาและตนจะได้เบาใจด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจฝากบอกถึงนายมานะว่า อย่าคิดจะหนีอีกและอยากให้เข้ามอบตัวเพราะความผิดจะได้เบาบางลง
ส่วนทางด้าน นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้ลงพื้นที่ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนายมานะ เพื่อตรวจสอบความคืบหน้า นอกจากนี้ได้ตรวจสอบผลชันสูตรศพ พบว่าลักษณะของศพตรงคิ้วขวามีรอยแตก โดยเชื่อว่าน่าจะถูกจับกรอกยา เพราะสถาบันนิติเวชระบุว่า หลอดลมน้องบีมีรอยไหม้และพบขวดน้ำยาล้างห้องน้ำตกอยู่
พร้อมกันนี้ เมื่อตรวจสอบยังเฟซบุ๊กของน้องบีพบว่าการมีสนทนากับนายมานะประมาณ 2 เดือน ส่วนนายมานะนั้นก็ได้ใช้รูปตัวเองแต่เป็นสมัยอายุประมาณ 30 ปี ช่วงทำงานในประเทศอินโดนีเซียเป็นรูปโปรไฟล์ ซึ่งการสนทนานั้น นายมานะบอกว่ารักน้องบีมาก และอยากจะส่งเสียเลี้ยงดู
ขณะเดียวกัน แม่น้องบีเชื่อว่าลูกสาวไม่ฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน เพราะน้องบีเป็นเด็กร่าเริง ส่วนสาเหตุการตายนั้นอยากรู้ว่านายมานะฆ่าน้องบีอย่างไร และใช้วิธีไหนชักชวนน้องบีออกมา สำหรับตนนั้นรู้เพียงว่านายมานะเป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊กเพียงเท่านั้น ซึ่งอยากจะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด และอยากฝากเตือนผู้ปกครองทุกคนให้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องเล่นเฟซบุ๊ก เพราะไม่อยากให้ลูกคนอื่นโดนหลอกเหมือนน้องบีอีก
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายมานะ ได้แล้ว หลังจากที่หลบหนีไปอยู่ที่บ้านญาติ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ก่อนจะถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด โดยมานะ ให้การว่า ตนคบหากับผู้ตายมาประมาณ 8 เดือน ผ่านเฟซบุ๊กและยังไม่เคยเจอหน้ากัน ซึ่งในวันที่ 3 ตุลาคม วันเกิดเหตุ ตนได้บอกกับน้องบีว่าให้มาพบตนที่ริมถนน 331 ต.สระสี่เหลี่ยม อ.พนัสนิคม โดยตนบอกว่าจะพาน้องบีไปไหว้คุณแม่ที่บ้าน จากนั้นก็พาน้องบีเข้าห้องและมีเพศสัมพันธ์กัน
ต่อมา ช่วงดึกของวันนั้น ตนถามน้องบีว่ารักตนจริงหรือไม่ แต่น้องบีกลับนิ่งเฉยไม่พูดอะไร ตนจึงบันดาลโทสะ ใช้แขนรัดคอผู้ตายจนสลบแน่นิ่งไป ก่อนที่จะหยิบน้ำยาล้างห้องน้ำมากรอกปากน้องบี ส่วนตนก็พยายามจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำตายตามไปด้วย สำหรับบาดแผลที่คิ้วของน้องบีนั้น เกิดระหว่างที่ตนใช้แขนรัดคอน้องบีทำให้คิ้วไปชนที่ขอบเตียง
นอกจากนี้ นายมานะ กล่าวถึงสาเหตุที่ลงมือฆ่าน้องบีว่า กลัวน้องบีจะรับไม่ได้ที่ตนแก่และไม่เหมือนในภาพ อีกทั้งยังกลัวว่าทางบ้านของน้องบีจะรับไม่ได้เพราะตนไม่ได้รวยมีการงานดีตามที่ได้บอกเอาไว้
ส่วนล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายมานะไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพแล้ว ซึ่งแม่ของน้องบีได้เดินเข้ามาตบหน้าผู้ต้องหา 1 ครั้ง พร้อมเข้ามาถามว่ามาฆ่าลูกของเธอทำไม
รปภ. ลวงสาว 17 ไปพบ ข้ามคืนกลายเป็นศพ หลบหนีแล้วคลิป รปภ. ลวงสาว 17 ไปพบ ข้ามคืนกลายเป็นศพ หลบหนีแล้ว : เครดิต รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ LAKORNHD ThaiTV
รปภ. ลวงสาว 17 ไปพบ ข้ามคืนกลายเป็นศพ หลบหนีแล้ว-http://www.youtube.com/watch?v=vmnQTG7fv10-
รปภ. ลวงสาว 17 ไปพบ ข้ามคืนกลายเป็นศพ หลบหนีแล้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://morning-news.bectero.com/post.php?pml=3141-