ผู้เขียน หัวข้อ: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ  (อ่าน 7934 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« เมื่อ: มิถุนายน 29, 2013, 10:37:05 am »
ในกระทู้นี้ ผมขอรวบรวมการหาแหล่งรูปสวยๆ  ที่เที่ยวดีๆ  มาฝากทุกๆท่าน

 :13:  :19:


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2013, 10:39:34 am »
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556

.







คู่มือวันเดียวเที่ยวได้ (อ.ส.ท.)

          ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ การเดินทางไปไหนมาไหนต้องมีการวางแผนเสียก่อน ไม่เว้นแม้กระทั่งการไปเที่ยว เพราะในการท่องเที่ยวแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าทางด่วน หากว่าต้องไปในแหล่งท่องเที่ยวที่มีระยะทางไกลมาก ไม่สามารถไป-กลับภายในวันเดียวได้ ก็มีค่าที่พักเพิ่มเข้ามาด้วย อนุสาร อ.ส.ท. จึงได้จัดทำคู่มือ “วันเดียวเที่ยวได้” เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวหันมาขับรถเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ เน้นเส้นทางระยะสั้น การเดินทางไป-กลับภายใน 1 วัน สถานที่ท่องเที่ยวนั้นต้องอยู่ใกล้กรุงเทพฯ การเดินทางสะดวก เที่ยวแบบสบาย ๆ ไม่เหนื่อย

          โดยจะขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยว 8 จังหวัด ใกล้กรุง ขับรถไม่เกิน 2 ชั่วโมง ตามเส้นทางหลัก ได้แก่ นนทบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ชลบุรี, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา, นครนายก, สมุทรปราการ และสุพรรณบุรี มาเป็นตัวอย่าง นอกจากนั้นยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกหลายที่ ซึ่งอนุสาร อ.ส.ท. พร้อมจะนำเสนอในโอกาสต่อไป

8 เส้นทางวันเดียวเที่ยวได้



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2013, 10:45:46 am »
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556


สัมผัสวิถีคนมอญที่เกาะเกร็ด

          เกาะใหญ่กลางลำน้ำเจ้าพระยามีพื้นที่มากกว่า 2,498 ไร่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดนนทบุรี ตัวเกาะเกิดจากการขูดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อย่นระยะทางการเดินเรือสินค้าจากอ่าวไทยไปยังอยุธยาการ ได้มาเยือนเกาะเกร็ดนอกจากเรื่องท่องเที่ยวแล้ว ยังได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวมอญที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา เลือกชมเลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นอกลักษณ์ของเกาะเกร็ด ชิมอาหารและขนมไทยสูตรโบราณอร่อย ๆ เช่น ทอดมันหน่อกะลา ดอกไม้ทอด ข้าวแช่ ทองหยิบ ทองหยอด ฯลฯ นอกจากเรื่องของอาหารการกินแล้ว การไหว้พระขอพรก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน




          วัดปรมัยยิกาวาส เป็นสัญลักษณะของเกาะเกร็ดไปแล้ว เมื่อเรานั่งเรือข้ามฟากจะเห็นเจดีย์เอียง คือ เจดีย์ทรงรามัญที่จำลองแบบมาจากพระธาตุเจดีย์มุเตา เมืองหงสาวดี ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากเจดีย์อยู่ติดแม่น้ำจึงทำให้กระแสน้ำกัดเซาะฐานรากเอียง ภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาสและหอไทยนิทัศน์เครื่องปั้นดินผา จัดแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุต่าง ๆ เช่น พระพิมพ์ เครื่องแก้ว เครื่องถ้วยชาม

          วัดเสาธงทอง หรือวัดสวนหมาก มีเจดีย์ศิลปะอยุธยาที่มีความสูงที่สุดในอำเภอปากเกร็ดประดิษฐานอยู่ ภายในโบสถ์มีลายเพดานสวยงาม พระประธานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ คนมอญเรียกวัดนี้ว่า “เพียะอาล้าต”

          วัดไผ่ล้อม สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีพระอุโบสถที่สวยงาม ลายหน้าบันจำหลักไม้เป็นลายดอกไม้ มีคันทวยและบัวหัวเสาที่งดงาม


วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง

          กวานอาม่าน หรือพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินผา เป็นศูนย์วัฒนธรรมพื้นบ้านชาวมอญ จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาลายโบราณ เปิดให้เข้าชมทุกวัน

          คลองขนมหวาน และคลองอื่น ๆ ในเกาะเกร็ด ชาวบ้านจะทำขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมหวานอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมสาธิตวิธีการทำให้นักท่องเที่ยวได้ชม พร้อมซื้อกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย



การเดินทาง

          จากห้าแยกปากเกร็ด ขับตรงไปทางท่าน้ำปากเกร็ดประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นป้ายบอกทางเข้าวัดสนามเหนือ ให้เลี้ยวเข้าไปจอดแล้วลงเรือข้ามฟากที่ท่าเรือของวัดไปยังเกาะเกร็ด ค่าเรือคนละ 2 บาท ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5

 
ไหว้พระ ชมวังที่บางปะอิน-พระนครศรีอยุธยา

          เป็นเส้นทางใกล้กรุงอีกเส้นที่น่าสนใจ ขับรถสบาย ๆ ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ต้องเข้าไปถึงใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยาก็ได้ แค่รอบนอกของตัวเมืองยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกไม่น้อย กรุงเก่าที่ใคร ๆ เรียกขาน วันวานนั้นอาจจะขมขื่นกับเรื่องราวในอดีตครั้งเสียกรุงให้แก่พม่า ซึ่งเหลือไว้แค่ซากปรักหักพัง ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แต่แหล่งท่องเที่ยวของพระนครศรีอยุธยาไม่ใช่จะมีแต่โบราณสถานเพียงอย่างเดียว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทรงคุณค่าอื่น ๆ ให้ไปเยือนอีกมากมาย เช่นที่อำเภอบางปะอิน เป็นต้น



          พระราชวังบางปะอิน เป็นพระราชวังโบราณตั้งแต่สมัยอยุธยา สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระองค์ ใช้เป็นสถานที่ประทับแรมของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พระราชวังบางปะอินถูกปล่อยให้รกร้างมาระยะหนึ่ง จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เริ่มการบูรณะพระราชวังขึ้นมาอีกครั้ง และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูรณะครั้งใหญ่ โดยสร้างพระที่นั่ง พระตำหนัก และตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมา ปัจจุบันพระราชวังบางปะอินอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวังพระราชวังบางปะอินเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.

          ตลาดโก้งโค้ง ตลาดโบราณย้อนยุคที่น่าสนใจ ชื่อตลาดเป็นคำที่ใช้เรียกตลาดในสมัยอยุธยา โดยคนขายจะนั่งขายสินค้าอยู่บนพื้นดิน ดังนั้น คนที่มาซื้อสินค้าจึงต้องโก้งโค้งเพื่อเลือกดูสินค้า ส่วนสินค้าที่มีจำหน่าย ได้แก่ อาหารสด-แห้ง อาหารคาว-หวาน ผักผลไม้ปลอดสารพิษจากสวนชาวบ้าน ฯลฯ เอกลักษณ์ของตลาดแห่งนี้ คือ พ่อค้าแม่ค้าจะแต่งชุดไทยแบบชาวบ้านออกมาขายของ เสมือนว่าได้เข้าไปอยู่ในยุคนั้นจริง ๆ ตลาดโก้งโค้งจัดขึ้นทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-16.00 น.



     
          วัดใหญ่ชัยมงคล สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ประมาณปี พ.ศ. 1900 พระองค์ทรงสร้างวัดป่าแก้วขึ้นตรงบริเวณที่พระราชทานเพลิงศพเจ้าแก้วเจ้าไท ต่อมาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีได้ชัยชนะพระมหาอุปราชาแห่งพม่า แล้วมีพระราชศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งได้ทรงสร้างพระเจดีย์ชัยมงคล เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการที่ได้ทรงทำยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อ พ.ศ. 2135 ชาวบ้านได้นำเอาชื่อวัดกับนามพระเจดีย์มารวมกัน จึงเรียกขานกันต่อมาว่า “วัดใหญ่ชัยมงคล” จวบจนทุกวันนี้

           วัดพนัญเชิง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร แบบมหานิกาย เป็นวัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ซึ่งครองเมืองอโยธยาเป็นผู้สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามวัดว่า วัดพระเจ้าพระนางเชิง (หรือวัดพระนางเชิง) คนไทยเรียกทั่วไปว่า หลวงพ่อโต หรือหลวงพ่อพนัญเชิง ส่วนคนจีนเรียกว่าซำปอกง ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้บูรณะใหม่ทั้งองค์เมื่อปลาย พ.ศ. 2397 แล้วถวายพระนามพระพุทธรูปใหม่ว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก”



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพหลโยธิน เมื่อถึงประตูน้ำพระอินทร์ให้ข้ามสะพานวงแหวนรอบนอก จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 308 ตรงไปประมาณ 7 กิโลเมตร ถึงพระราชวังบางปะอิน จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 3477 (บางปะอิน-พระนครศรีอยุธยา) วิ่งตรงไปจะพบแหล่งท่องเที่ยวอยู่บนถนนเส้นนี้จนถึงวัดใหญ่ชัยมงคล ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์  0 3524 6076-7


ขับรถเลียบชายหาด อ่างศิลาถึงบางแสน

          บางแสนจัดเป็นชายทะเลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาช้านาน นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนเพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถเพียงชั่วโมงเศษก็ถึง วันเดียวเที่ยวบางแสนมีอะไรน่าสนใจบ้าง นอกจากการได้พักผ่อนริมชายหาดแล้ว บางแสนก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความรู้แก่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้อีกด้วย




          หาดบางแสน น้อยคนที่ไม่รู้จักชื่อนี้ สถานที่พักผ่อนชายทะเลขึ้นชื่อของเมืองไทย เมื่อเราเดินบนชายหาดจะเห็นร่มและผ้าใบสีสันสดใสเรียงรายกันยาวตลอดเกือบ 2 กิโลเมตร ร้านขายของ อาหาร และเครื่องดื่มนับร้อยร้าน มีกิจกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเห็นบานาน่าโบ๊ท เจ็ตสกี วอลเลย์บอลชายหาด ปั่นจักรยาน และกิจกรรมใหม่ ๆ ที่เทศบาลตำบลแสนสุขจัดขึ้น เช่น บางแสนย้อนยุค บางแสนไทยแลนด์ สปีด บางแสนไบค์วีก และกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายบนชายหาดมหาชนแห่งนี้

          หาดวอนนภา เป็นชายหาดตอนใต้ของหาดบางแสน จากบริเวณวงเวียนบางแสนแล้วแยกไปทางซ้าย มีชายหาดยาวประมาณ 2 กิโลเมตร บรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดบางแสน

          สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา เก็บรวบรวมตัวอย่างพืชและสัตว์ทางทะเล มีนิทรรศการเกี่ยวกับเครื่องมือประมง เครื่องมือสำรวจทางสมุทรศาสตร์และโบราณคดีใต้น้ำ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.



          แหลมแท่น เป็นช่วงปลายแหลมของหาดบางแสนตอนเหนือต่อกับอ่าวเขาสามมุข มีศาลาทรงไทยและลานชมทิวทัศน์ มีประติมากรรมหินแกรนิตรูปปลาโลมากับเกลียวคลื่นตั้งอยู่



          พระตำหนักมหาราช พระตำหนักราชินี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ในระหว่างที่ทรงสำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จประพาสยุโรป ปัจจุบันกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน

          สะพานปลา เดิมเรียกว่าสะพานหิน ปัจจุบันเป็นท่าเทียบเรือประมงขององค์การสะพานปลา มีสินค้าท้องถิ่นและอาหารทะเลจำหน่ายหลายชนิด

          เขาสามมุข เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านอ่างศิลาและหาดบางแสน เชิงเขาเป็นที่ตั้งศาลเจ้าแม่เขาสามมุข บนยอดเขามีลิงป่าอาศัยอยู่จำนวนมาก จากจุดชมวิวบนเขายามเย็นจะมองเห็นทะเลบางแสนได้อย่างสวยงาม

           อ่างศิลา ชุมชนชาวประมงริมทะเล มีชื่อเสียงมากเรื่องครกหินและการสกัดหินเป็นรูปต่าง ๆ มีตลาดเก่าอายุ 133 ปี จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง เช่น อาหารทะเลตากแห้ง และขนมหวานโบราณชนิดต่าง ๆ

          ตลาดหนองมน ขายสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึก ได้แก่ อาหารทะเลตากแห้ง ขนม และอาหารสำเร็จรูป ที่พลาดไม่ได้คือข้าวหลวมหนองมน มีรสชาติหวานมัน ใครมาต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากญาติมิตร เพื่อนฝูงทุกครั้ง



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) ไปจังหวัดชลบุรี จากนั้นไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร ถึงสามแยกบางแสน เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3137 (ถนนลงหาดบางแสน) ไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงชายหาด ส่วนแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณอ่างศิลาให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 3134 (บางแสน-อ่างศิลา) ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานพัทยา โทรศัพท์ 0 3842 7667, 0 3842 8750 และ 0 3842 3990


ชมวัง ไหว้พระ สักการะองค์พระปฐมเจดีย์

          หากนึกถึงเส้นทางสายตะวันตกที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นนครปฐม เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกิน และอุดมสมบูรณ์ด้วยพืช ผัก ผลไม้ จะเห็นได้จากการมีตลาดน้ำและตลาดอาหารชื่อดังอยู่หลายที่ เป็นเมืองที่ได้รับอารยธรรมและพระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดียเป็นที่แรก จึงทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาอยู่หลายแห่ง



          พระปฐมเจดีย์ สัญลักษณ์ของจังหวัดนครปฐม นับเป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ทรงส่งสมณทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา และมาตั้งหลักฐานประกาศหลักธรรมคำสอนที่นครปฐมเป็นครั้งแรก

          พระราชวังสนามจันทร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประทับครั้งเสด็จมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ สิ่งสำคัญได้แก่ พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ เป็นการผสมระหว่างศิลปะเรอเนซองส์ของฝรั่งเศส กับอาคารแบบฮาล์ฟทิมเบอร์ของอังกฤษ มีอนุสาวรีย์ย่าเหล ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงสุนัขทรงเลี้ยง



          พุทธมณฑล สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา มีพื้นที่กว้างขวางถึง 2,500 ไร่ ประดิษฐานพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ สูงประมาณ 15 เมตร รอบองค์ประธานเป็นสถานที่จำลองของสังเวชนียสถานและศาสนสถานสำคัญอื่น ๆ

          พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งที่หล่อจากไฟเบอร์กลาสแห่งแรกของเมืองไทยไว้เป็นชุด เช่น ชุดพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ชุดพระอริยสงฆ์ ชุดสมเด็จพระปิยมหาราชกับการเลิกทาส ฯลฯ หุ่นแต่ละรูปนั้นมีลักษณะเหมือนคนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผิว ดวงตา แขน และเส้นผม


       
          ตลาดริมน้ำวัดดอนหวาย ตลาดเก่าสมัยรัชกาลที่ 6 อยู่ริมแม่น้ำท่าจีน มีอาหารและสินค้าทางการเกษตรมาจำหน่ายที่วัดตอนหวายทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-08.00 น. และมีเรือบริการนำเที่ยวชมทิวทัศน์ของสองฝั่งแม่น้ำท่าจีน วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงเลข 338 (ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี) ผ่านถนนบรมราชชนนี ผ่านพุทธมณฑล นครชัยศรี แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ไปจนถึงตัวจังหวัดนครปฐม ส่วนตลาดริมน้ำวัดตอนหวายจะมีทางแยกเข้าตั้งแต่พุทธมณฑลสาย 5 ให้สังเกตป้ายบอกทางให้ดี ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทรศัพท์ 0 3475 2847-8
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2013, 10:49:52 am »
วันเดียวเที่ยวได้กับ 8 จังหวัด ใกล้กรุง
-http://travel.kapook.com/view65178.html-
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือคู่มือวันเดียวเที่ยวได้ อสท. เล่มเล็ก ปีที่ 53 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2556

.


ตามรอยวิถีไทยเมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา

          เป็นจังหวัดใกล้กรุงที่น่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ระยะทางก็อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไม่มากนัก สามารถขับรถไปเที่ยวโดยใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง เมืองแปดริ้วมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายหลากหลาย ทั้งธรรมชาติและวิถีชีวิตที่น่าสนใจ วันเดียวเที่ยวเมืองแปดริ้วนอกจากการขับรถไปแล้ว ยังมีการเดินทางรูปแบบอื่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน รถไฟก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แสนคลาสสิก หรือการท่องเที่ยวโดยทางเรือ ซึ่งนับเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แถมยังได้อรรถรสในการเที่ยวอีกด้วย



          ตลาดคลองสวน 100 ปี ชิมอาหารอร่อยทั้งอาหารคาวที่มีสูตรเฉพาะ ขนมหวาน กาแฟสูตรโบราณดั้งเดิม ชมของเก่า และสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า ตลาดจะมีคนเยอะเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

          วัดโสธรวรารามวรวิหาร เพื่อความเป็นสิริมงคลต้องไปกราบพระขอพรจากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแปดริ้ว พระพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง ตามประวัติเล่าว่าเกิดปาฏิหาริย์ลอยน้ำมาและมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้



          วันจีนประชาสโมสร หรือวัดเล่งฮกยี่ เป็นวัดจีนในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีวิหารประดิษฐานเทพเจ้าต่าง ๆ เช่น วิหารบูรพาจารย์ วิหารเจ้าแม่กวนอิม พระอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธรูปศิลปะมหายาน 3 องค์ พร้อมด้วยองค์ 18 อรหันต์ ทำจากกระดาษที่นำมาจากเมืองจีน

          วัดอุภัยภาติการาม เดิมเป็นวัดจีนแต่ปัจจุบันแปรสภาพเป็นวัดญวนในลัทธิมหายาน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระวิหารประดิษฐาน “หลวงพ่อโต” ชาวจีนนิยมเรียกว่า “เจ้าพ่อซำปอกง” ที่มีอยู่เพียง 3 องค์ในประเทศไทย

          ค้างคาวแม่ไก่วัดโพธิ์บางคล้า ค้างคาวแม่ไก่สายพันธุ์ใหญ่ที่สุดในโลก อาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ภายในวัดโพธิ์บางคล้าจำนวนนับแสนตัว ลักษณะมีปีกสีดำ หน้าตาเหมือนสุนัขป่า คือมีจมูกและใบหูเล็ก ตาใหญ่ ขนสีน้ำตาลแกมแดง ในเวลากลางวันจะเกาะห้อยหัวลงตามกิ่งไม้อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ยามพลบค่ำก็ออกหากิน

          ตลาดร้อยปีบ้านใหม่ ตลาดโบราณอันเลื่องชื่อมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จำหน่ายทั้งอาหารคาว-หวาน ก๋วยเตี๋ยว กาแฟโบราณ เครื่องดื่มโบราณ สมุนไพร ขนมไทย-จีน ของเล่น ของฝากต่าง ๆ ตลาดจะเปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์



การเดินทาง

          จากรุงเทพฯ ไปฉะเชิงเทราได้หลายเส้นทาง เส้นทางแรกใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (กรุงเทพฯ-มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา) ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร เส้นทางที่สอง ใช้ทางด่วนมอเตอร์เวย์ สังเกตป้ายชี้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่จังหวัดฉะเชิงเทราตามทางหลวงหมายเลข 314 หรือใช้ถนนสายอ่อนนุช-ฉะเชิงเทรา ผ่านสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ขับตรงไปจะผ่านตลาดคลองสวน 100 ปี อยู่ด้านซ้ายมือ หากขับตรงไปอีกจะเจอทางหลวงหมายเลข 314 เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ตัวจังหวัด ส่วนวัดโพธิ์บางคล้า จากตัวเมืองฉะเชิงเทราให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 มุ่งหน้าสู่อำเภอพนมสารคาม เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 17 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอบางคล้า ถึงบริเวณทางแยกป้อมตำรวจอำเภอบางคล้า ให้เลี้ยวซ้ายและตรงไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงวัดโพธิ์บางคล้า

          ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5

 
 ผจญภัย ท่องธรรมชาติที่นครนายก
         
          เมืองเล็ก ๆ แห่งการแสวงหาธรรมชาติที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด เรียกว่าเป็นปฐมบทแห่งการเริ่มต้นท่องเที่ยวก็ไม่ผิดนัก นครนายกมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ เพียบพร้อมไปด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ ภูเขา น้ำตก สวนผลไม้ กิจกรรมผจญภัยอันหลากหลายที่นักท่องเที่ยวเมื่อไปเยือนแล้วต้องกลับมาด้วยความประทับใจ



          เที่ยวเขตทหารโรงเรียนนายร้อย จปร. สักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 เข้าชมพิพิธภัณฑ์โรงเรียนนายร้อย จปร. 100 ปี เรียนรู้เรื่องราวของทหาร ประวัติศาสตร์เหตุการณ์ครั้งสำคัญ ร่วมกิจกรรมวัดใจคนกล้า เช่น โรยตัวจากผาจำลอง โหนเชือกข้ามลำน้ำ ฝึกยิงปืนอย่างถูกวิธี หัดพายเรือแคนู หรือขี่จักรยานท่องเที่ยว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกวันหยุดราชการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้ที่ โรงเรียนนายร้อย จปร. โทรศัพท์ 0 3739 3185, 0 3739 3010



          เขื่อนขุนด่านปราการชล หรือที่เรียกกันติดปากว่า เขื่อนคลองท่าด่าน เป็นเขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากที่เกิดกับประชาชน บริเวณเขื่อนมีกิจกรรมล่องแก่งเรือยางและเรือคายัก ช่วงที่เหมาะกับการล่องแก่ง คือ เดือนมิถุนายน-ตุลาคม ส่วนฤดูแล้งเขื่อนจะเปิดน้ำให้ล่องแก่งได้ วันเสาร์-อาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวมาที่แก่งสามชั้นเป็นจำนวนมาก

          ตลาดผลไม้หนองชะอม ตลาดผลไม้เก่าแก่ของนครนายก ผลผลิตเริ่มออกช่วงปลายเดือนมีนาคม-เมษายน ผลผลิตขึ้นชื่อได้แก่ มะยงชิดลูกขนาดเท่าไข่ไก่ ทุเรียนหลากหลายพันธุ์ และพืชผักพื้นบ้านปลอดสารพิษ ตลาดเปิดเวลา 09.00-21.00 น.

          ชมและชิมผลไม้ในสวน นครนายกนับว่าเป็นเมืองผลไม้ มีผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะ ส้มโอ ทุเรียน มังคุด กระท้อน ลองกอง กล้วย ขนุน มะยงชิด สวนผลไม้หลายแห่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีที่พักและกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น ท่าด่านโฮมสเตย์ มีกิจกรรมต่าง ๆ ชิมผลไม้สด ๆ จากต้นตามฤดูกาล สามารถกางเต็นท์พักแรมได้ สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลข โทรศัพท์ 0 3738 5015, 08 3738 5015, 08 1804 4503, บ้านสวนสายสมร เปิดเป็นที่พักและมีกิจกรรมต่าง ๆ มีผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะ ส้มโอ ทุเรียน มังคุด กระท้อน ลองกอง กล้วย ขนุน มะยงชิด เป็นต้น สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08 7030 1824, 08 0566 1901, สวนละอองฟ้า มีสวนทุเรียนมากกว่า 100 สายพันธุ์ ที่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ทุเรียนหายาก เหมาะสำหรับคนรักทุเรียนตัวจริง สามารถเข้าชมและชิมทุเรียนโบราณรสชาติดีได้ด้วย สอบถามข้อมูลได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 3821 6035-6

          ศูนย์ไม้ดอกไม้ประดับ ตั้งอยู่ที่ถนนรังสติ-นครนายก คลอง 15 เป็นแหล่งเพาะขยายพันธุ์ไม้ดอก ไม้ประดับใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และจัดส่งไปยังแหล่งจำหน่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวสามารถซื้อได้ในราคาขายส่ง



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 305 (รังสิต-นครนายก) เลียบคอลงรังสิต ผ่านอำเภอองครักษ์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครนายก ระยะทางประมาณ 105 กิโลเมตร ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานนครนายก โทรศัพท์ 0 3731 2282, 0 3731 2284


 เที่ยวสบาย ๆ สไตล์สุพรรณบุรี

          ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษก็ถึงสุพรรณบุรี เป็นเส้นทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดที่ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลเกินไป ทำให้มีเวลาท่องเที่ยวได้อย่างคุ้มค่า คุ้มเวลา สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งมีป้ายบอกชัดเจน แต่ละสถานที่อยู่ไม่ไกลกันมาก วันเดียวเที่ยวสุพรรณบุรี จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ



          วัดป่าเลไลยก์ เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่ามีอายุราว 1,200 ปี ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต ปางป่าเลไลยก์ เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 23.47 เมตร บริเวณด้านข้างวัดมีเรือนขุนช้าง เป็นเรือนไม้สักไทยโบราณ ตามวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ขึ้นไปบนเรือนจะเห็นภาพวาดตัวละครขุนช้าง ห้องต่าง ๆ จัดแสดงเครื่องใช้สมัยโบราณ

          สวนเฉลิมภัทรราชินี หอคอยบรรหาร-แจ่มใส ตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางเมืองสุพรรณบุรี เป็นหอคอยแห่งแรกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูง 123.25 เมตร มีชั้นสำหรับชมวิวสูง 78.75 เมตร ด้านบนติดตั้งกล้องส่องทางไกลไว้รอบด้าน มีร้านขายของที่ระลึกและอาหารว่าง มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองสุพรรณบุรี ส่วนบริเวณสวนเฉลิมภัทรราชินีประดับด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ สวนปาล์ม สวนน้ำพุ ธารน้ำตก สไลเดอร์ สนามเด็กเล่น ช่วงค่ำมีน้ำพุประกอบดนตรี สีสันสวยงาม

          สามชุก ตลาดร้อยปี ตลาดเก่าที่ยังมีชีวิต แม้เวลาจะผ่านไปแสนนาน ตัวตลาดเก่าที่สร้างด้วยไม้เรียงติดกันอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ทุกวันนี้ยังคงอยู่ เมื่อถึงวันเสาร์-อาทิตย์ผู้คนจะหลั่งไหลมาเที่ยวที่ตลาดสามชุกกันอย่างเนืองแน่น เสน่ห์ของการมาตลาดสามชุก คือ ได้เดินชมความคลาสสิกของบ้านไม้อายุนับร้อยปี รวมทั้งกินอาหารอร่อย ๆ ไปตลอดทาง อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ นายภาษีอากรคนแรก ซึ่งเป็นเจ้าของตลาดสามชุก ที่บอกเล่าถึงความเป็นมาของชุมชนสามชุกในอดีตได้เป็นอย่างดี



          พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร ภายในจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์จีน ตั้งแต่สมัยตำนานการสร้างโลกยุคแรกเริ่มทางประวัติศาสตร์ และแสดงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพี่น้องไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย เรื่องราวที่นำเสนอประกอบด้วยเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญ ปรัชญา ภูมิปัญญา และการค้นพบประดิษฐกรรมสำคัญของบรรพบุรุษชาวจีน ผ่านสื่อจัดแสดงที่ทันสมัยและสวยงาม



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 340 (กรุงเทพฯ-บางบัวทอง-สุพรรณบุรี) เส้นทางนี้สามารถไปได้ถึงตลาดสามชุก ซึ่งอยู่เลยตัวเมืองสุพรรณบุรีไปประมาณ 40 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสุพรรณบุรี โทรศัพท์ 0 3553 5789, 03553 6189, 0 3553 6030 หรือเว็บไซต์ http://www.tatsuphan.net/

 
ท่องเมืองนาวี ดูวิถีคนปากน้ำ สมุทรปราการ

          นับเป็นอีกจังหวัดที่น่าท่องเที่ยว อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก จะเรียกว่าเป็นจังหวัดเดียวกันเลยก็ว่าได้ หลายคนมองภาพของจังหวัดนี้ว่ามีแต่โรงงานอุตสาหกรรม คงไม่มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจเป็นแน่แท้ แต่หารู้ไม่ว่าเมืองปากน้ำแฝงไว้ด้วยของดีอีกมากมายที่คุณคาดไม่ถึง



          พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เกิดจากความคิดริเริ่มของ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ที่สร้างความตื่นตาให้แก่ผู้พบเห็นด้วยช้างสามเศียรขนาดมหึมา เฉพาะส่วนหัวช้างสามเศียรก็มีน้ำหนักรวมหลายร้อยตัน หุ้มด้วยทองแดงทั้งตัว ซึ่งเป็นประติมากรรมลอยตัวที่ใช้เทคนิคการเคาะโลหะด้วยมือเป็นแห่งแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ภายในจัดแสดงวัตถุของมีค่า พระพุทธรูป เทวรูปสมัยต่าง ๆ และเครื่องลายครามของจีน สมัยราชวงศ์หยวน ราชวงศ์ชิง ชามสังคโลกสมัยสุโขทัย เครื่องเคลือบเขียวสมัยอยุธยา พระพุทธรูปสำคัญประมาณค่ามีได้ ฯลฯ

          ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการเพาะพันธุ์จระเข้ทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่ในโลกนี้ มีจระเข้ทั้งหมดเกือบ 80,000 ตัว มีการแสดงจับจระเข้ด้วยมือเปล่า นอกนั้นยังมีส่วนที่เป็นสวนสัตว์ มีการแสดงช้าง ละครลิง การป้อนนมเสือขาว ให้นักท่องเที่ยวชม



          เมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในจำลองวิถีชีวิตไทยในอดีต ศูนย์รวมปูชนียสถานที่สำคัญ ๆ ของแต่ละจังหวัด เช่น เขาพระวิหาร ปราสาทหินพนมรุ้ง วัดมหาธาตุสุโขทัย พระพุทธบาทสระบุรี พระธาตุเมืองนคร พระธาตุไชยา ฯลฯ โดยสร้างให้มีขนาดเล็กลง บางแห่งเท่าแบบจริงการท่องเที่ยว ภายในเมืองโบราณควรจอดรถไว้แล้วเช่าจักรยานขี่ชมจะสะดวกกว่า

          สถานตากอากาศบางปู จากอดีตถึงปัจจุบันยังเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยม กับบรรยากาศยามเย็นรอชมพระอาทิตย์อัสดง และฝูงนกนางนวลที่บินอวดโฉมกางปีกสวยให้เราได้ชมอย่างใกล้ชิดบนสะพานสุขตา ในราวต้นเดือนพฤศจิกายนฝูงนกนางนวลจะบินหนีหนาวมาที่บางปูเป็นจำนวนมาก เมื่อได้คู่ผสมพันธุ์แล้วก็จะทยอยบินกลับไปวางไข่บนที่ราบสูงใกล้ ๆ ทะเลสาบในทิเบตและมองโกเลีย มันจะเริ่มบินย้ายถิ่นกลับในราวเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม มื้อค่ำถ้าหิวก็เดินเข้าไปภายในศาลาสุขใจ ซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารไว้บริการ



การเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) เป็นหลักจะสะดวกที่สุด โดยเริ่มจากพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณไปจนถึงสถานตากอากาศบางปู ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2250 5500 ต่อ 2991-5



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2013, 08:37:40 am »
ธรรมจักรศิลาทวารวดีสมบูรณ์สุดในไทย ของดีที่ “พิพิธภัณฑ์อู่ทอง”/ปิ่น บุตรี
โดย ปิ่น บุตรี    27 มิถุนายน 2556 18:42 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078345-




       โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)



       เมืองไทยเป็นประเทศที่มีพิพิธภัณฑ์เยอะมากติดอันดับต้นๆของโลก เพราะนอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ของราชการ ของกรมศิลป์แล้วยังมีพิพิธภัณฑ์เอกชน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ส่วนตัว พิพิธภัณฑ์ตามวัดต่างๆ สารพัด
       
       แต่น่าแปลกที่คนไทยกลับไม่นิยมเข้าพิพิธภัณฑ์ ทั้งๆที่บ้านเรามีพิพิธภัณฑ์ดีๆ พิพิธภัณฑ์น่าสนใจมากมาย แถมราคาค่าเข้าชมในหลายๆพิพิธภัณฑ์นั้นก็ถูกแสนถูก ถูกกว่ากาแฟแบรนด์ดังแก้วหนึ่งเสียอีก
       
       สำหรับหนึ่งในพิพิธภัณฑ์น่าสนใจที่ผมเพิ่งได้เข้าไปเที่ยวชมมาเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” ที่ตั้งอยู่ในตัวอำเภออู่ทอง จ.สุพรรณบุรี


ภาพการขุดค้นเมืองโบราณอู่ทองในอดีต

       พิพิธภัณฑ์ฯอู่ทอง เป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัตถุและแหล่งเรียนรู้อารยธรรมทวารวดีชั้นดี ที่มีความเชื่อมโยงกับ “เมืองโบราณอู่ทอง” หนึ่งในพื้นที่ประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองไทยที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอำเภออู่ทอง
       
       รู้จักเมืองโบราณอู่ทอง
       
       จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีพบว่า ดินแดนที่เป็นเมืองโบราณอู่ทองนั้นเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่มายาวนานตั้งแต่ราว 3,000-2,500 ปีก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสังคมเกษตรกรรมยุคหินใหม่ต่อเนื่องถึงยุคโลหะ โดยมีการค้นพบหลักฐานจำพวกขวานหินขัด ลูกปัด ภาชนะดินเผา เหล็กปั่นด้าย ฉมวก หอก อาวุธโบราณ และเครื่องใช้ไม้สอยโลหะอื่นๆอีกมากมาย


แผนที่สมัยทวารวดีแสดงให้เป็นว่าอู่ทองเคยเป็นเมืองชายฝั่งติดทะเล

       หลังจากนั้นชุมชนได้เติบโต เริ่มทำการติดต่อค้าขายกับต่างชาติจนพัฒนาเป็นเมืองท่าชายฝั่ง เพราะดั้งเดิมที่เป็นชุมชนชายฝั่งริมทะเล มีเรือสินค้าของชาวต่างชาติแวะเวียนเข้าออก โดยในราวพุทธศตวรรษที่ 5 ขึ้นไปเมืองอู่ทองมีบทบาทเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญ(หากดูในแผนที่โบราณที่จะพบว่า อู่ทองเป็นเมืองติดทะเล ส่วนกรุงเทพฯ อยุธยา สมัยนั้นยังไม่เกิด เพราะผืนแผ่นดินบริเวณนี้ยังเป็นทะเลอยู่เลย)
       
       ราวพุทธศตวรรษที่ 8-10 วัฒนธรรมอินเดียที่รุ่งโรจน์ในยุคนั้นได้แผ่ขยายเข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิปรากฏอย่างชัดเจนในอู่ทอง มีการค้นพบหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือพระพุทธศาสนา การใช้ภาษาและตัวอักษรแบบ “ปัลลวะ” เป็นต้น
       
       วัฒนธรรมอินเดียที่เข้ามาจากภายนอกได้มาผสมผสานกับวัฒนธรรมภายในของท้องถิ่น เกิดเป็น “วัฒนธรรมทวารวดี” ขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12-16 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยุควัฒนธรรมสมัยแรกสุดของเมืองไทย มีหลักฐานการสร้างตัวเมืองเป็นผังรูปวงรี กว้างประมาณ 1 กิโลเมตร ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ


ผังเมืองโบราณอู่ทองเป็นรูปวงรี

       เมืองอู่ทองยุคนี้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ในฐานะเมืองท่า ศูนย์กลางการค้า โดยนักวิชาการบางคนเชื่อว่าเมืองอู่ทองมีความสำคัญมากถึงขนาดเคยเป็นเมืองหลวงรุ่นแรกของอาณาจักทวารวดีเลยทีเดียว เพราะมีการค้นพบเหรียญเงินจำนวนหลายเหรียญจารึกคำว่า “ศฺรีทฺวารวตี ศฺวรปุณฺยะ” ที่แปลว่า “พระเจ้าศรีทวารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ” หรือแปลว่า “การบุณย์ของพระเจ้าศรีทวารวดี” ที่ถือเป็นหลักฐานสำคัญเชื่อมโยงต่อข้อสันนิษฐานว่าเมืองหลวงหรือศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีน่าจะอยู่ที่เมืองอู่ทอง
       
       นอกจากเมืองท่า เมืองหลวงแล้ว อู่ทองยังเป็นดินแดนศูนย์กลางทางพุทธศาสนาแห่งสุวรรณภูมิ และเป็นจุดที่พระพุทธศาสนาเดินทางเข้ามาประดิษฐานเป็นแห่งแรกของเมืองไทย โดยมีข้อสันนิษฐานว่า “พระโสณะ”เถระและ“พระอุตตระ”เถระ 2 ผู้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ(หลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 300 ปี) ได้เข้ามาสร้างวัดพุทธแห่งแรกขึ้นในเมืองอู่ทอง


ยอดเขาทำเทียม(ในปัจจุบัน)ที่เชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดวัดแห่งแรกในเมืองไทย

       สำหรับจุดสร้างวัดพุทธแห่งแรกที่เป็นวัดแห่งแรกของไทยอยู่บนยอดเขาของ “วัดเขาทำเทียม” ในปัจจุบัน ซึ่งมีการค้นพบร่องรอยการใช้เพิงผาถ้ำบนยอดเขาเป็นที่พำนักของพระอัครสาวกทั้ง 2 และค้นพบโบราณวัตถุเป็นก้อนหินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี” ที่หมายถึงภูเขาแห่งดอกไม้ และค้นพบธรรมจักรศิลาที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทยที่วัดแห่งนี้เช่นกัน (ศิลปวัตถุทั้ง 2 ชิ้นปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง)
       
       เมืองอู่ทองดำรงความเจริญรุ่งเรืองอยู่นับร้อยปี ก่อนจะโรยร้างไป ซึ่งปัจจุบันมีข้อสันนิษฐานใน 3 แนวทางถึงการเสื่อมสลายของเมืองอู่ทอง ดังนี้


หินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี” ที่ขุดพบที่วัดเขาทำเทียม

       -สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่า เมืองอู่ทองเกิดโรคระบาด จึงมีการทิ้งเมืองไทยสร้างพระนครศรีอยุธยา
       
       -ศาสตราจารย์ฌอง บวสเซอลิเยร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะในเอเชียอาคเนย์ ชาวฝรั่งเศส สันนิษฐานว่าเกิดน้ำท่วมจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำพัง ชาวเมืองจึงทิ้งบ้านเมืองไป แต่ไม่ได้ทิ้งร้าง หากแต่ยังมีชุมชนอาศัยอยู่เรื่อยมา
       
       -ข้อสันนิษฐานจากลักษณะภูมิประเทศว่า เมืองอู่ทองเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เกิดการทับถมของโคลนตะกอนจากแม่น้ำสายต่างๆ จนกลายเป็นแผ่นดิน ปิดเส้นทางสัญจรทางทะเล ส่งผลให้ความเป็นเมืองท่าชายฝั่งของอู่ทองหมดไป
       
       แม้การเสื่อมสลายของเมืองโบราณอู่ทองไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่เมืองโบราณอู่ทองในฐานะแอ่งอารยธรรมทวารวดียังคงมีความสำคัญนับจากอดีตมาจนถึงทุกวันนี้


พิพิธภัณฑ์อู่ทองแหล่งรวมศิลปะยุคทวารวดีที่น่าสนใจ

       ย้อนอดีต สู่ปัจจุบัน เพื่ออนาคต ที่พิพิธภัณฑ์อู่ทอง
       
       สำหรับจุดศึกษา เรียนรู้ ปูพื้น เรื่องราวในยุคสมัยทวารวดีที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองไทยนั้นก็คือที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” หรือเรียกที่สั้นๆว่า “พิพิธภัณฑ์อู่ทอง”
       
       พิพิธภัณฑ์อู่ทอง เป็นแหล่งจัดแสดงอารยธรรมทวารวดีและศิลปวัตถุสำคัญๆมากมาย ด้วยเทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ มีการจัดแสดงเกี่ยวบ้านเรือนชนเผ่าไว้ในส่วนที่เป็นกลางแจ้ง ส่วนภายในแบ่งพื้นที่การจัดแสดงเป็น 2 อาคารหลัก คือ อาคารจัดแสดงหมายเลข 1 และหมายเลข 2


ประติมากรรมดินเผารูปพระภิกษุอุ้มบาตร โบราณวัตถุเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่เก่าแกที่สุดในเมืองไทย

       อาคารจัดแสดงหมายเลข 1 แบ่งเป็น 2 ห้องจัดแสดง
       
       ห้องแรก ห้องจัดแสดง “บรรพชนคนอู่ทอง” จัดแสดงพัฒนาการเมืองอู่ทองตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจึงถึงยุคทวารวดี มีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ อาทิ จารึกแผ่นทองแดงเหรียญกษาปณ์โรมัน เงินตราโบราณ พระพุทธรูปสำริด เครื่องประดับทองคำ ลูกปัดแบบต่างๆ และสิ่งของสำคัญคือ ประติมากรรมดินเผารูปพระภิกษุอุ้มบาตร ศิลปะอินเดียแบบอมารวดี(ศิลปะก่อนยุคทวารวดี) ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงการค้นพบโบราณวัตถุเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่เก่าแกที่สุดในเมืองไทย
       
       อ้อ!?! สำหรับการชมศิลปวัตถุต่างๆในพิพิธภัณฑ์อู่ทองนั้น ทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์บอกกับผมว่า ถ้าชิ้นไหนเป็นของสำคัญจะมีการเติมจุดแดงไว้ที่แผ่นป้ายบอกชื่อและอายุของชิ้นงาน


เครื่องปั้นดินเผาโบราณที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

       ส่วนห้องที่สอง เป็นห้องจัดแสดง “อู่ทองศรีทวารวดี” จัดแสดงเกี่ยวกับเมืองอู่ทองในฐานะเมืองสำคัญของยุคทวารวดี มีสิ่งน่าสนใจได้แก่ พระพิมพ์ดินเผาปางสมาธิ เหรียญกษาปณ์โรมัน สิงโตสำริด ตุ๊กตาดินเผารูปคนจูงลิง เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของคนโบราณ งานดินเผารูปหัวคน
       
       ในห้องนี้ยังมีไฮไลท์สำคัญที่ตั้งเด่นสะดุดตาคือ “ธรรมจักรศิลา” พร้อมแท่นและเสา ซึ่งถูกค้นพบที่บนยอดเขาทำเทียมกับหินสลักคำจารึกว่า “ปุษยคีรี”


ธรรมจักรศิลาทวารวดีที่สมบูร์ที่สุดในเมืองไทย

       ธรรมจักรศิลาชุดนี้ เป็นศิลปะทวารวดีมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 (1,300-1,400 ปีมาแล้ว) เป็นธรรมจักรศิลาทรงกลม ฉลุซี่ล้อโปร่ง ที่ฐานสลักลวดลายกลีบบัวบาน ขอบธรรมจักรสลักลายสี่เหลี่ยมเปียกปูนสลับวงกลมเรียงเป็นแถว มีเสาตั้งเป็นแท่งหินรูป 8 เหลี่ยม หัวเสาสลักลวดลายพวงอุบะ มีแท่นรองธรรมจักรเป็นรูป 4 เหลี่ยม นับเป็นธรรมจักรศิลาที่สวยงามสมส่วนยิ่งนัก ซึ่งธรรมจักรศิลาชุดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นธรรมจักรศิลาสมัยทวารวดีที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทย


ธรรมจักรศิลาครบชุดทั้งองค์ธรรมจักร ฐาน และเสาแท่ง 8 เหลี่ยม

       ไปดูสิ่งน่าสนใจในอาคารจัดแสดงหมายเลข 2 กันบ้าง
       
       อาคารจัดแสดงหมายเลข 2 ต่างจากอาคารหมายเลข 1 ตรงที่มุ่งเน้นการให้ข้อมูลและใช้เทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ ผสม แสง สี เสียง มีการสร้างเรื่องราว ข้าวของส่วนใหญ่เป็นการจำลองทำขึ้นมา ขณะที่การจัดแสดงในอาคารหมายเลข 1 เป็นการมุ่งนำเสนอศิลปวัตถุ โบราณวัตถุที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่เป็นของจริงให้คนได้มาสัมผัสกัน
       
       อาคารจัดแสดงหมายเลข 2 มี 2 ชั้น โดยห้องจัดแสดงชั้นบนส่วนที่ 1 เป็นห้อง “พัฒนาการทางประวัติศาสตร์บนผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ” ขณะที่การจัดแสดงส่วนที่ 2 ขอชั้นบนเป็น ห้อง “สุวรรณภูมิการค้าของโลกยุคโบราณ”


แสดงเส้นทางการเดินเรือ การค้า

       มาดูห้องจัดแสดงชั้นล่างของอาคารจัดแสดงหมายเลข 2 กันบ้าง เป็นห้อง “อู่ทองศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนา” จัดแสดงให้เห็นถึงผังเมืองโบราณอู่ทองด้วยเทคนิคสมัยใหม่ มี แสง สี เสียง ครบ พร้อมกันนี้ยังมีการชูไฮไลท์คือธรรมจักรศิลามาทำเป็นเรื่องราว แสดงเห็นถึงชาวบ้านในยุคนั้นสร้างทำ ธรรมจักรศิลา รวมถึงจำลองร่องการขุดค้นพบมาให้ชม


การนำธรรมจักรมาจัดแสดงบอกร่องรอยการขุดค้นและโยงไปถึงวิถีชีวิตในอดีต

       และนั่นก็เป็นสิ่งน่าสนใจต่างๆในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง ซึ่งสำหรับผมแล้วนี่นับเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวในยุคทวารวดีเพิ่มเติมมาอีกมากโข ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็ดูตั้งใจกันดี ทำงานกันด้วยใจรักด้วยอยากให้ความรู้กับประชาชน
       
       ส่วนที่เป็นปัญหาเหมือนๆกันกับพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศก็คือ การขาดงบประมาณ ขาดการสนใจจากภาครัฐอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ปัญหาของพิพิธภัณฑ์ในบ้านเราก็ยังคงหนีไม่พ้นจากวังวนเดิมๆ นั่นพลอยทำให้คนที่ตั้งใจดูแลพิพิธภัณฑ์ ตั้งใจทำพิพิธภัณฑ์ดีๆ เขาอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ เพราะผมมักได้ยินคนทำพิพิธภัณฑ์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์บ่นถึงปัญหาเหล่านี้ให้ฟังอยู่เสมอ

       ***********************************************************
       
       “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” หรือ พิพิธภัณฑ์อู่ทอง ตั้งอยู่ติดกับที่ว่าการอำเภออู่ทอง ริมถนนมาลัยแมน(สุพรรณบุรี-อู่ทอง) หมายเลข 321 ห่างจากตัวเมืองสุพรรณบุรีประมาณ 40 กม. เปิดทำการทุกวันพุธ-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์(หยุดวันจันทร์-อังคาร) เวลา 9.00-16.00 น. ค่าบริการเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบ ภิกษุ สามเณร และนักบวชในศาสนาต่างๆเข้าชมฟรี ภายในพิพิธภัณฑ์สามารถถ่ายรูปได้ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-3555-1021,0-3555-1040
       
       หมายเหตุ : บทความนี้อ้างอิงประวัติศาสตร์อารยธรรมทวารวดีจากเอกสารและข้อมูลของพิพิธภัณฑ์อู่ทอง



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2013, 08:41:45 am »
สัมผัสวีถีชาวบางกอกผ่าน “พิพิธภัณฑ์” รอบเกาะรัตนโกสินทร์    
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 มิถุนายน 2556 13:04 น.
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078384-




เราเป็นใคร มาจากไหน รู้ได้ที่มิวเซียมสยาม

       ประเทศไทยมีพิพิธภัณฑ์ดีๆน่าสนใจมากมาย แต่น่าแปลกที่พฤติกรรมคนไทยกับไม่ค่อยนิยมเข้าพิพิธภัณฑ์สักเท่าไหร่
       
       อย่างไรก็ดีการเที่ยวชมสำหรับคนชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์หรือคนที่สนใจจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนั้น มันมีเสน่ห์และความเพลิดเพลินที่น่าสนใจไม่น้อย
       
       สำหรับทริปนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันเลือกเที่ยวพิพิธภัณฑ์เป็นหลักร่วมไปกับสิ่งน่าสนใจรอบๆเกาะรัตนนโกสินทร์ เพื่อเที่ยว - ชม แหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่อยู่บริเวณรอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์ โดยฉันเริ่มต้นที่ “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนสนามไชย รูปร่างภายนอกสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตึกมิวเซียมสยามเป็นตึกเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เดิมเคยเป็นกระทรวงพาณิชย์มาก่อน อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมที่งดงามไม่แพ้ที่ไหนอีกด้วย
       
       เรื่องราวในมิวเซียมสยามนั้นเน้นเรื่องประวัติศาสตร์ไทย แต่ที่โดดเด่นก็คือการเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการชมพิพิธภัณฑ์ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่เหมือนที่ไหนก็คือ นอกจากจะได้เดินดูเฉยๆ แล้ว ยังสามารถจับต้องสิ่งของที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้ สามารถเล่นและถ่ายรูปได้ เหมือนกับได้เรียนรู้กันแบบสมจริงสมจังอีกด้วย


มาลองเป็นผู้ประกาศข่าวช่อง 4 บางขุนพรหม

       เมื่อเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามแล้ว จะเจอกับนิทรรศการชุด “เรียงความประเทศไทย” ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองและผู้คนในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยดึงลักษณะเด่นของประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต การเมือง วัฒนธรรมของแต่ละช่วงเวลาจากสุวรรณภูมิสู่สยามประเทศถึงประเทศไทย เพื่อเรียนรู้อดีตของผู้คนในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และค้นหาคำตอบว่า “เราคือใคร” และ “ความเป็นไทยหมายถึงอะไร”
       
       นอกจากจะได้เรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของอดีตในแต่ละช่วงเวลาแล้ว ก็ยังสามารถเข้าไปมีประสบการณ์ร่วมกับอดีตที่เคยผ่านมาได้ด้วย อย่างที่ห้องหนึ่ง ฉันก็ยังได้ลองเข้าไปสวมบทบาทเป็นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ของช่อง 4 บางขุนพรหม มีทั้งโต๊ะผู้ประกาศข่าวและมีกระดาษให้อ่าน เสมือนว่าได้เป็นผู้ประกาศข่าวกันจริงๆ หรือจะเป็นห้องที่มีการลองเครื่องแต่งตัวของคนไทยในสมัยก่อน ก็ทำให้การมาชมพิพิธภัณฑ์ดูสนุกไปอีกแบบ


ย้อนยุคสู่แสงสี

       เมื่อฉันออกจากมิวเซียมสยามมา ฉันก็มุ่งหน้ามาที่วัดราชนัดดารามวรวิหาร เพื่อเข้ามาชมสิ่งโดดเด่นของวัดราชนัดดาฯ นั่นก็คือ “โลหะปราสาท” (พุทธสถานที่มีเรือนยอดเป็นโลหะที่เหลืออยู่เพียงหลังเดียวในโลก) โลหะปราสาทนับเป็นโลหะปราสาทองค์แรกและองค์เดียวในประเทศไทย และนับเป็นโลหะปราสาทองค์ที่ 3 ของโลก
       
       ถึงแม้ว่าโลหะปราสาทแห่งนี้จะเป็นโลหะปราสาทที่เหลืออยู่เพียงหลังเดียวของโลก แต่โลหะปราสาทแห่งนี้ ก็ไม่ได้เป็นโลหะปราสาทหลังแรก เพราะก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ก็เคยมีการสร้างโลหะปราสาทมาแล้ว 2 หลังด้วยกัน คือโลหะปราสาทที่ประเทศอินเดีย (ซึ่งปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว) และประเทศศรีลังกา (ปัจจุบันเหลือเพียงซากปราสาท)


โลหะปราสาทก่อนการบูรณะ

       เมื่อมาถึงฉันไม่รอช้ารีบเดินตรงปรี่ไปยังโลหะปราสาทยอดสูงทันที ภายนอกดูใหญ่โตอลังการสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ โลหะปราสาทแห่งนี้มีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน เมื่อเดินเข้าไปยังด้านใน ชั้นหนึ่งจะเป็นการจัดแสดงนิทรรศการ ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลหะปราสาท เมื่อเดินชมนิทรรศการจนครบแล้ว ฉันมุ่งหน้าเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นบน ในส่วนของชั้นที่สองจะเป็นสถานที่นั่งสมาธิและเดินจงกลม เมื่อเดินขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จะมองเห็นทัศนียภาพบริเวณรอบๆ วัดราชนัดดาฯ อย่างชัดเจน และนอกจากนี้โลหะปราสาทส่วนบนยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอีกด้วย (หากไปชมโลหะปราสาทในช่วงเวลานี้อาจจะไม่ได้เห็นความสวยงามอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการบูรณะโลหะปราสาทอยู่)
       
       จากนั้นฉันเลือกเดินทางไปยัง "พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" ที่ตั้งอยู่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ที่ก็อยู่ไม่ไกลจากบริเวณโลหะปราสาทนัก เพื่อเรียนรู้เรื่องราวในอดีตอันทรงคุณค่า เมื่อฉันมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า ก็มองเห็นสถาปัตยกรรมตะวันตกสไตล์นีโอคลาสสิกสีขาว มีทั้งหมด 3 ชั้น และมียอดโดมตรงกลาง ซึ่งก็คืออาคารพิพิธภัณฑ์นั่นเอง


ภาพวันพระราชพิธีอภิเษกสมรสของรัชกาลที่ 7 ในพิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า

       อาคารหลังนี้สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมเป็นสำนักงานใหญ่กรมโยธาฯ ต่อมาในปี ในปี พ.ศ.2523 ได้ปรับเปลี่ยนเป็น “พิพิธภัณฑ์รัฐสภา” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์ฯ พระปกเกล้า ในปี พ.ศ.2544 โดยมีสถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ
       
       ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการถาวรเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับรัชกาลที่ 7 ทั้งหมด ตั้งแต่การสืบราชสันติวงศ์ พระราชประวัติก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชกรณียกิจ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง การพระราชทานรัฐธรรมนูญ สิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี รวมถึงยังมีการแสดงในส่วนของศาลาเฉลิมกรุงเก่าอีกด้วย ซึ่งในส่วนนิทรรศการทั้งหมดนั้นจะอยู่ในชั้นที่ 2 และ 3
       
       เมื่อเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ ด้านในมีการจัดแบ่งโซนไว้อย่างเรียบร้อย โดยทางเดินจะช่วยบังคับให้เราไล่เรียงเรื่องราวต่างๆ ไปตามลำดับกาลและง่ายต่อการเข้าใจ จนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ ในสมัยก่อนได้ดีทีเดียว


ย่านต่างๆ ในบางกอก

       ปิดท้ายการเดินทางของวันนี้ ฉันมาจบลงที่บริเวณถนนราชดำเนินกลาง ข้างลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ในยุครัตนโกสินทร์ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งสื่อจัดแสดง หุ่นจำลอง การนำสื่อผสมเสมือนจริง 4 มิติ ทำให้เราได้ร่วมสนุก และตื่นตาตื่นใจไปกับการจัดแสดงที่ร้อยเรียงเรื่องราวเป็น 9 ห้องด้วยกัน ได้แก่ รัตนโกสินทร์เรืองโรจน์, เกียรติยศแผ่นดินสยาม, เรื่องนามมหรสพศิลป์, ลือระบิลพระราชพิธี, สง่าศรีสถาปัตยกรรม, ดื่มด่ำย่านชุมชน, เยี่ยมยลถิ่นกรุง, เรื่องรุ่งวิถีไทย และดวงใจปวงประชา
       
       สำหรับการเข้าชมภายในแต่ละห้องจะมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายประวัติต่างๆ ให้เราฟัง เริ่มแรกฉันได้เข้าสู่อุโมงค์กาลเวลา ถัดมาก็เข้าสู่ห้องดื่มด่ำย่านชุมชน และห้องอื่นๆตามลำดับ แต่การมาที่นี่ของฉันไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้เท่านั้น ฉันยังทำกิจกรรมต่างๆ ของแต่ละห้องอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจำลองร้านทำผม การถ่ายรูปหน้าปกนิตยสารในสมัยก่อน หรือกระทั่งห้องจำลองการนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ตาม


แอบดูชีวิตชาววังในอดีต

       นอกจากนี้แล้วภายในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ยังมีห้องสมุดให้ฉันได้เข้าไปนั่งอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินใจอีกด้วย และการเข้าชมพิพิธภัณฑ์รอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์ของฉันในครั้งนี้ นอกจากฉันจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต และประวัติศาสตร์แล้ว ฉันยังได้ความสนุกและความประทับใจกลับบ้านไปอีกด้วย


ย้อนอดีตที่นิทรรศน์รัตนโกสินทร์

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       สำหรับใครที่อยากจะไปสัมผัสประสบการณ์การท่องพิพิธภัณฑ์บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ทางสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ได้จัดโครงการ “Muse Pass” ขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่จะพาท่องเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ร่วมเดินทางเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตไทย และร่วมย้อนอดีตรำลึกถึงความรุ่งเรืองในยุครัตนโกสินทร์ ผ่านพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อาทิ มิวเซียมสยาม นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โลหะปราสาท เป็นต้น
       
       บัตร Muse Pass สามารถใช้ท่องเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ได้ภายในใบเดียว โดยสามารถเข้าเยี่ยมชมมิวเซียมสยาม นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โลหะปราสาท และชิมอาหารอร่อยในย่านเก่าแก่บางลำพูและท่าเตียน และสามารถใช้สิทธิ์ส่วนลดในร้านค้า ร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมบริการรถรับ-ส่ง ตลอดเส้นทางท่องเที่ยว โดยหมดเขตภายในเดือนกันยายนปีนี้เท่านั้น
       
       บัตร Muse Pass ราคาใบละ 100 บาท มีจำหน่ายที่มิวเซียมสยามและนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ สามารถใช้บัตรได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2556 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ มิวเซียมสยาม โทร. 0-2225-2777 ต่อ 123, 505 www.museumsiam.org, www.facebook.com/museumsiamfan และ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ โทร. 0-2621-0044 www.nitasrattanakosin.com, www.facebook.com/nitasrattanakosin




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2013, 09:30:48 am »
ไหว้หลวงพ่อพระใส ดูทะเลหมอกหนองคาย
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372496653&grpid=&catid=09&subcatid=0901-


คอลัมน์ เที่ยวกันมะ โดย travel@matichon.co.th




การยกระดับอำเภอบึงกาฬ ขึ้นเป็นจังหวัดที่ 77 ของไทย มีผลต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดหนองคายอยู่ไม่น้อย เพราะการแยกหลายอำเภอในบริเวณดังกล่าวยกระดับขึ้นรวมกันเป็นจังหวัดบึงกาฬ ทำให้แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นกับหนองคายเหลืออยู่ไม่กี่แห่ง ทำให้หน่วยงานต่างๆ ต้องเร่งค้นหาและเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ขึ้นมาทดแทน

แต่ที่แน่ๆ ใครมาถึงหนองคาย ต้องไม่พลาดสักการะ หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองหนองคาย ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งมีฐานะเป็นวัดอารามหลวง

หลวงพ่อพระใสเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก ตามตำนานเล่าว่า เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้าง โดยพระธิดา 3 องค์แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บ้างก็ว่า พระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนามพระพุทธรูปตามนามของตนเองว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ

เดิมหลวงพ่อพระใสประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทน์ ต่อมาในรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ ล่องมาตามลำน้ำงึมจนมาถึงปากน้ำโขง เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เกิดพายุใหญ่ จนพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า ?เวินสุก? และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

เหลือแค่พระเสริมและพระใส ซึ่งเมื่อมาถึงหนองคาย ได้อัญเชิญพระเสริมขึ้นประดิษฐานที่วัดโพธิชัย ส่วนพระใสอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบันคือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ)

ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าให้อัญเชิญพระเสริมและพระใสมากรุงเทพฯ แต่หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมมาประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย อ.เมืองหนองคาย จนถึงปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า ?หลวงพ่อเกวียนหัก?

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของหนองคาย เพิ่งเปิดตัวไปกับ ทะเลหมอก แห่งเดียวของหนองคาย ที่หลังภูอีสัน ตำบลบ้านม่วง ห่างจากตัวอำเภอตามเส้นทาง อ.สังคม-อ.ปากชม จ.เลย ประมาณ 17 กิโลเมตร ซึ่งภูอีสันเป็นภูเขาเตี้ยๆ ที่มีถนนที่สามารถใช้รถเพื่อการเกษตรขึ้นไปได้ โดยใช้เวลาเดินทางไปถึงยอดเขาไม่ถึง 10 นาที และต้องเดินเท้าอีกเล็กน้อยเพื่อหาจุดชมวิว ก็จะพบทะเลหมอกที่ขาวโพลน เป็นทางยาวสุดลูกหูลูกตา ที่โอบล้อมภูเขาจนเห็นเพียงยอดภูเขาเท่านั้น ซึ่งทะเลหมอกจะมีการเคลื่อนไหวตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้บางครั้งมีลักษณะเป็นชั้นๆ ม้วนตัวคล้ายคลื่นทะเล บางขณะก็เหมือนน้ำตก สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ

ทะเลหมอกที่เกิดขึ้น เป็นหมอกที่อยู่ตอนบนของแม่น้ำโขง คือ ฝั่งขวาจะเป็นฝั่งไทย และฝั่งซ้ายเป็นฝั่ง สปป.ลาว สำหรับช่วงเหมาะชมทะเลหมอกเป็นช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เวลาเช้ามืดประมาณตีห้าครึ่ง ไปจนถึงประมาณ 9 โมงเช้า

นอกจากนี้ ยังมีเหมืองแร่ทองแดงและเหมืองทองคำเก่า ที่วัดเขาคีรีวงกต บ้านภูเขาทอง ต.บ้านม่วง ห่างจากตัวอำเภอไปตามเส้นทาง อ.สังคม ไป อ.ปากชม จังหวัดเลย ประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชม เมื่อไปเที่ยวในเขตอำเภอสังคม เหมืองทองแดงและเมืองทองคำเก่าแห่งนี้ เป็นแหล่งโบราณคดีภูโล้น ได้เคยมีการสำรวจและดำเนินการขุดค้นแล้ว

ที่อำเภอสังคม มีสถานที่มากมายหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกธารทอง น้ำตกธารทิพย์ จุดชมวิววัดผาตากเสื้อ หรือวัดถ้ำเพียงดิน

เลือกเที่ยวกันตามอัธยาศัย!!

หน้า 14,มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2556


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2013, 07:11:54 am »
หลบมลพิษ พักผ่อนเติมพลังใกล้ๆ กรุงที่ “บางปู”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 กรกฎาคม 2556 16:02 น.    
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000091462-



“ศาลาสุขใจ” สถานตากอากาศบางปู

       การดำเนินชีวิตในเมืองกรุงนั้น สิ่งที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ”มลพิษ” ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางเสียงหรือมลพิษทางอากาศล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หากใครที่กำลังมองหาสถานที่ที่ใช้เป็นที่หลีกหนีจากมลพิษเหล่านี้ในช่วงเวลาสั้นๆแล้ว “สถานตากอากาศบางปู” ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวหลบมลพิษใกล้กรุงที่เหมาะสำหรับชีวิตคนทำงานที่ไม่ค่อยจะมีเวลาในการพักผ่อน
       
       “สถานตากอากาศบางปู” ตั้งอยู่ที่ กิโลเมตรที่ 37 ถนนสุขุมวิท ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก สถานตากอากาศบางปูแห่งนี้มีชื่อว่า "บางปู" มาแต่เดิม ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนริมชายทะเลอ่าวไทยที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีต โดยสถานตากอากาศบางปูแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2480 จากดำริของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และปัจจุบัน สถานตากอากาศบางปูอยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของกรมพลาธิการทหารบก


“สะพานสุขตา” มีวิวสวยๆตลอดเส้นทาง

       สิ่งที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์คงหนีไม่พ้น “สะพานสุขตา” สะพานคอนกรีตที่ทอดยาวลงไปสู่ทะเลอ่าวไทย บริเวณสะพานสุขตาแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทอดน่องกินลมชมวิวได้ตลอดเส้นทาง โดยปลายสุดของสะพานนั้นเป็นที่ตั้งของ "ศาลาสุขใจ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารร้านอาหารและห้องจัดเลี้ยง โดยจะมีจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งบริเวณหลังอาคารสุขใจแห่งนี้
       
       ทัศนียภาพโดยรอบของสถานตากอากาศบางปูนั้น เป็นภาพบรรยากาศของป่าชายเลนริมทะเลอ่าวไทย อีกทั้งเมื่อเวลาน้ำลดก็สามารถที่จะเห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมายที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน โดยเฉพาะ "ปลาตีน" ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นครั้งแรกในความแปลกของรูปร่างหน้าตาและการดำรงชีวิต ในส่วนของจุดชมวิวด้านหลังศาลาสุขใจก็สามารถที่จะมองเห็นทะเลอ่าวไทยได้ไกลสุดลูกหูลูกตา และยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่พัดมาจากทะเลและจากป่าชายเลนขณะที่กำลังชมวิวอีกด้วย


สามารถพบ “นก” กำลังออกหากินได้ตลอดเส้นทาง
       นอกจากจะเป็นสถานตากอากาศที่ได้รับความนิยมใกล้กรุงแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในการดูนกอีกด้วย เพราะในป่าชายเลนย่านบางปูแห่งนี้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของนกน้ำนานาชนิด มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ ที่สามารถพบเห็นได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่จะสามารถพบเห็นนกนางนวล ที่อพยพหนีหนาวจากไซบีเรียมาในช่วงนี้ของทุกๆ ปี
       
       ใกล้กันนั้นยังเป็นที่ตั้งของ “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี ” โดยมีเส้นทางเดินลัดเลาะเพื่อเที่ยวชมทัศนียภาพภายในป่าชายเลน ภายในเป็นที่ตั้งของหอดูนกขนาดเล็กที่ใช้ในการสังเกตพฤติกรรมของนกในธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย


จุดชมวิวด้านหลัง ”อาคารสุขใจ” ชมวิวอ่าวไทยสุดสายตา

       และหากเที่ยวเสร็จแล้วและกำลังมองหาของร้านของฝากติดไม้ติดมือหรือร้านแวะพักกินอาหารเติมพลัง เพียงย้อนกลับไปยังเขตอำเภอเมืองไม่ไกลมากนัก บริเวณ”ย่านปากน้ำ” ท่าเรือข้ามฟาก จะเป็นที่ตั้งของร้านขายของและร้านอาหารมากมาย ให้เลือกซื้อกลับบ้านหรือแวะพักกินกันได้ตามใจ (คลิกอ่านร้านอาหารแนะนำ ”ย่านตลาดปากน้ำ” ได้ตามลิงค์นี้)
       
       สถานตากอากาศบางปูแห่งนี้ คงจะทำให้ใครหลายคนที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวได้เต็มอิ่มกับการพักผ่อนหย่อนใจและชาร์จแบตเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในความทรงจำของใครหลายๆคนที่สามารถกลับมาแวะเวียนเพื่อได้เสมอ


เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบกฯ (บางปู)”

       **********************************************************************************
       
       สถานตากอากาศบางปู เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น. ไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม
       
       การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว : ใช้เส้นทางถนนสุขุมวิทสายเก่า โดยมีจุดสังเกต คือ นิคมอุตสาหกรรมบางปูจะอยู่
       ทางซ้ายมือ ส่วนสถานตากอากาศบางปูนั้นจะอยู่ทางขวามือ
       รถสาธารณะ : รถโดยสารประจำทางปอ. สาย 8 ,11,25, 55,102, 142, 155 507, 508 และ 511 รถโดยสารประจำทางธรรดาสาย 25, 102 และ 145 ลงตลาดปากน้ำ แล้วต่อรถเมล์เล็กสาย 36, จากนั้นต่อรถสองแถวปากน้ำ-วัดตำหรุ, ปากน้ำ-นิคมบางปู และปากน้ำ-คลองด่าน และไปลงปากทางเข้าสถานตากอากาศบางปู

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2013, 07:32:32 am »
ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ที่วังนารายณ์ ลพบุรี
-http://travel.kapook.com/view67187.html-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          สุดสัปดาห์นี้ใครที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอย่างแหล่งโบราณสถานอันเก่าแก่ และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เข้ามาเลยค่ะ เพราะวันนี้กระปุกท่องเที่ยวขอแนะนำทริปท่องเที่ยวแบบสั้น ๆ เชิงอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ ที่สามารถไปในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นั่นคือ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ส่วนภายในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น ตามเราไปเที่ยวกันเลยจ้า

          พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี โดยชาวเมืองลพบุรี ได้เรียกชื่อสถานที่แห่งนี้จนติดปากว่า "วังนารายณ์" ปัจจุบันได้จัดพื้นที่บางส่วนภายในวังให้เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ สถานที่สำหรับจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุตามอาคารและพระที่นั่งต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นจำนวนกว่าพันรายการ ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งที่ลำดับที่ 3 ของประเทศไทยอีกด้วย

ประวัติความเป็นมา

          พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ เกิดขึ้นในสมัย สมเด็จพระนารายณ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2209 สำหรับใช้เป็นที่ประทับ ณ เมืองลพบุรี เพื่อใช้เป็นที่ประทับในการล่าสัตว์ ออกว่าราชการ รวมทั้งต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง แต่หลังจากที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงสวรรคต ในปี พ.ศ. 2231 พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ที่ตั้งอยู่ภายในก็ได้หมดความสำคัญลง สมเด็จพระเพทราชา กษัตริย์องค์ใหม่ ก็ได้ย้ายหน่วยราชการทั้งหมดกลับกรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นก็ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดไปประทับอีกเลย ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการซ่อมแซมกำแพงเมือง, ป้อม และประตู รวมทั้งมีการสร้างพระที่นั่งวิมารมงกุฎในพระราชวัง พร้อมทรงพระราชทานนามพระราชวังว่า "พระนารายณ์ราชนิเวศน์" ในปัจจุบัน

          สำหรับพื้นที่ภายในทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน ดังนี้

          เขตพระราชฐานชั้นนอก

          อ่างเก็บน้ำซับเหล็กหรือถังเก็บน้ำประปา : เป็นระบบการจ่ายทดน้ำผลงานของชาวฝรั่งเศส โดยการสร้างที่เก็บน้ำในถัง ด้วยการก่อด้วยอิฐยกขอบเป็นกำแพงสูงหนาเป็นพิเศษ สร้างพื้นให้มีท่อดินเผาฝังอยู่เพื่อจ่ายน้ำไปใช้ตามตึกและพระที่นั่งต่าง ๆ โดยท่อดินเผา ซึ่งระบบการจัดการน้ำ ระบบการจ่ายน้ำ และทดน้ำ เป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน

          ตึกสิบสองท้องพระคลังหรือพระคลังศุภรัตน์ : สันนิษฐานว่าเป็นคลังสำหรับเก็บสินค้าและสิ่งของ เป็นตึกที่ตั้งเรียงรายอยู่ระหว่างอ่างเก็บน้ำและตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง สร้างด้วยอิฐเป็น 2 แถวยาว มีคูน้ำล้อมรอบตึก ภายในคูน้ำมีน้ำพุขึ้นมาอีกด้วย ใช้เป็นคลังสำหรับเก็บสินค้าหรือเก็บสิ่งของที่ใช้ในราชการ



          ตึกพระเจ้าเหา : มีลักษณะเป็นหอประจำพระราชวัง และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน สันนิษฐานว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีชื่อว่า พระเจ้าเหา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อตึกนั่นเอง

          ตึกรับรองคณะทูตต่างประเทศ : อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก โดยตึกหลังนี้ตั้งอยู่ตรงกลางอุทยาน ซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส บริเวณรอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุเรียงยาว 20 จุด ซึ่งสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นสถานที่สำหรับต้อนรับคณะทูตจากต่างประเทศ



          โรงช้างหลวง : ตั้งเรียงรายเป็นแถวชิดริมกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกด้านในสุด โรงช้างส่วนใหญ่ปรักหักพังเหลือแต่ฐานปรากฏให้เห็นประมาณ 10 โรง ช้างซึ่งยืนโรงพระราชวังเป็นช้างหลวงหรือช้างสำคัญ สำหรับใช้เป็นพาหนะของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่

          เขตพระราชฐานชั้นกลาง

พระนารายณ์ราชนิเวศน์



          พระที่นั่งจันทรพิศาล : หอประชุมองคมนตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ พระที่นั่งจันทรพิศาลใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งของพระราเมศวร โอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรี พระที่นั่งองค์นี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหญ่ และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง




          พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท : เป็นพระที่นั่งท้องพระโรง สำหรับเสด็จออกคณะราชทูตในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มียอดแหลมทรงมณฑปศิลปกรรมแบบไทยผสมผสานกับฝรั่งเศส ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชรที่เสด็จออกเพื่อมีปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าฯ ท้องพระโรงบริเวณประตูและหน้าต่างสร้างรูปโค้งแหลมแบบฝรั่งเศส ตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลังทั้งประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ จุดเด่นอยู่ที่ตรงกลางท้องพระโรง โดยมีสีหบัญชรเป็นสถานที่เสด็จ ออกเพื่อมาปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าในท้องพระโรงตอนหน้า ด้านในท้องพระโรงประดับด้วยกระจกเงา ซึ่งนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เพดานเป็นช่องสี่เหลี่ยม ประดับลายดอกไม้ทองคำและผลึกแก้ว ผนังด้านนอกเจาะเป็นช่องเล็กสำหรับใส่ตะเกียงในตอนกลางคืน



          พระที่นั่งพิมานมงกุฎ : สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จบูรณะเมืองลพบุรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ คือ พระที่นั่งพิมานมงกุฎ เป็นที่ประทับ, พระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัย เป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน, พระที่นั่งไชยศาสตรากร เป็นที่เก็บอาวุธ และพระที่นั่งอักษรศาสตราคม เป็นที่ทรงพระอักษร ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด และเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่เมืองใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ในปัจจุบัน

          โดยภายในหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎมีสถานที่สำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้

           ชั้นที่ 1 จัดแสดงโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 3,500-4,000 ปี เช่น โครงกระดูก, เปลือกหอย, ขวานหิน, ขวานสำริดและเครื่องประดับ เป็นต้น

           ชั้นที่ 2 จัดแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบในจังหวัดลพบุรี  เช่น ทับหลังแกะสลักรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ, พระพุทธรูปสมัยลพบุรีปางต่าง ๆ เครื่องถ้วยกระเบื้องของไทยและจีน เป็นต้น

          ชั้นที่ 3 เป็นห้องบรรทมของรัชกาลที่ 4 จัดแสดงฉลองพระองค์ เครื่องแก้ว และภาชนะที่มีตราประจำพระองค์

           ทิมดาบ : ที่พักของทหารรักษาการณ์ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขตพระราชวังในสมัยรัชกาลที่ 4

          เขตพระราชฐานชั้นใน









          พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ : เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวไว้ว่า "พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ทรงปลูกพรรณไม้ต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่มีสระน้ำขนาดใหญ่ 4 สระ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน" สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231

          หมู่ตึกพระประเทียบ : ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งพิมานมงกุฎ ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานฝ่ายใน เป็นตึกชั้นเดียว 2 หลัง ก่อด้วยอิฐปูน 2 ชั้น มี 8 หลัง สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของข้าราชการฝ่ายในที่ตามเสด็จรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จประพาสที่เมืองลพบุรี

          นี่เป็นเพียงหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดลพบุรีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีที่เที่ยวอื่น ๆ อีกมาก ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าวางแผนไปเที่ยวนะคะ เพราะเดินทางสะดวกและไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกทั้งยังได้รู้เรื่องราวในอดีตของพระราชวังอีกด้วยล่ะ

 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ททท.  และ lopburi.mots.go.th

-http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C--909-

-http://thai.tourismthailand.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C-

    และ lopburi.mots.go.th
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวมแหล่งหารูปสวยๆ ที่เที่ยวดีๆ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2013, 07:34:20 pm »
ปลื้ม-ทับทิม คู่รักวัยทีน เชิญชวนร่วมตื่นตาตื่นใจในงาน “3D-ART EXHIBITION”

-http://travel.sanook.com/1390750/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-3d-art-ex/-




ปลื้ม สุรบถ หลีกภัย - ทับทิม มัลลิกา จงวัฒนา" เชิญชวนผู้สนใจและชื่นชอบการถ่ายรูปมาร่วมสัมผัสและค้นหาความมหัศจรรย์ภาพ 3 มิติ ในงาน "3D-ART EXHIBITION" ที่ขนทัพกองทัพภาพ 3D ขนาดใหญ่จำนวนกว่า 50 ภาพ จากแดนปลาดิบ ประเทศญี่ปุ่น มาแสดงบนพื้นที่ 600 ตารางเมตร ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบเดินทางมาสัมผัสความมหัศจรรย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น และกลายเป็นจุดนัดพบถ่ายภาพสุดฮิปแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


โดยการแสดงผลงานดังกล่าวจะจัดขึ้นและเปิดให้เข้าชมทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้-มกราคม 2014 เวลา 10.00-19.00 น. ณ ชั้น B2 ศูนย์การค้า เดอะพาลาเดี่ยมเวิลด์ช้อปปิ้ง ประตูน้ำ ราคาบัตรผ่านประตูสำหรับคนไทย ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท และต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 150 บาท



งานนี้รับรองว่าทุกท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจและสนุกไปกับความมหัศจรรย์กับภาพถ่าย 3 มิติพิศวงที่เสมือนจริงที่จะช่วยสร้างจินตนาการและดึงผู้ชมให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพถ่าย ด้วยเทคนิคการเขียนภาพแบบ 3 มิติ ตามแบบฉบับของญี่ปุ่นขนานแท้ ซึ่งมาจากฝีมือการวาดของศิลปินชื่อดังชาวญี่ปุ่น Mr.Hattori Masashi ที่มีความโดดเด่นการวาดภาพ 3 มิติ



เพราะมีการแสดงออกด้านเทคนิค และนวัตกรรมฉูดฉาด จนมาเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปิน 3 มิติ และได้เป็นตัวแทนของประเทศในงาน "No Time Art" ได้เคยจัดงานแสดง นิทรรศการศิลปะ 3 มิติ ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและนานาประเทศ สำหรับคนที่ชื่นชอบผลงานศิลปะชนิดนี้ ไม่ควรพลาด และลองมาสัมผัสความสนุกแปลกใหม่ไร้ขีดจำกัดและประชันโพสท่าสวยเพื่อเป็นที่ระลึกได้ที่งาน 3D-ART EXHIBITION เท่านั้น!


http://travel.sanook.com/1390750/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-3d-art-ex/

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)