ผู้เขียน หัวข้อ: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 47519 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #110 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2014, 09:30:20 pm »
6 วิธีป้องกันเสียงรบกวนในคอนโดให้อยู่หมัด !


-http://home.kapook.com/view87474.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ปัญหาเสียงดังรบกวนจากคนข้างห้อง หรือทางเดินในคอนโดเป็นปัญหาโลกแตกที่ใครเจอก็ต้องส่ายหัวกันเป็นแถว แต่นับจากนี้ต่อไปเราจะหยุดปัญหาเสียงรบกวนในคอนโดกันด้วยมาตรการ 6 ข้อ ที่สามารถแก้ปัญหาเสียงดังในคอนโดได้อยู่หมัด ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกันค่ะ

          ที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดเป็นไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในชีวิตได้เกือบครบทุกข้อ โดยเฉพาะวัยทำงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่ถึงจะมีข้อดีนานับประการก็ใช่ว่าการอยู่คอนโดจะไม่เจอปัญหากวนใจอะไรเลยนะคะ บางครั้งก็ต้องทนกับเสียงที่ดังจากข้างห้อง หรือเสียงรบกวนจากโถงทางเดินหน้าห้องอยู่บ่อย ๆ ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีป้องกันเสียงดังรบกวนในคอนโดมาฝาก แถมด้วยการจัดการเสียงภายในห้องไม่ให้ไปรบกวนใคร ๆ ด้วยจ้า

1. เช็กช่องโหว่บนพื้นและผนัง

          หากรู้สึกว่าเสียงข้างห้องดังเข้ามาในห้องเรามากเกินไป เหมือนกับอยู่ภายในบริเวณเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น ลองตรวจสอบพื้นห้องที่ขนานกับผนังห้องดูก็ได้ค่ะว่าบนพื้นมีช่องโหว่ หรือยาแนวร่องกระเบื้องไว้แน่นหนาดีหรือเปล่า รวมทั้งตรวจสอบรอยร้าวบริเวณผนังห้องด้วยก็ดี เนื่องจากเสียงที่ดังจากข้างห้อง อาจจะเล็ดลอดผ่านเข้ามาทางนี้ได้ ดังนั้นปิดช่องโหว่ทั้งหมดนี้แล้ว เสียงจากข้างห้องที่ดังรบกวนก็จะเบาลง เหลือแต่ความเงียบสงบภายในห้องเราเอง

2. ปิดกั้นเสียงเข้า-ออกจากด้านล่างของประตู

          ไม่ว่าเสียงจากข้างนอก หรือเสียงจากข้างในห้องของเราเอง ก็สามารถเล็ดลอดผ่านทางช่องโหว่ด้านล้างประตูได้เช่นกันนะคะ ฉะนั้นเพื่อป้องกันเสียงจากด้านนอกเข้ามารบกวนในห้อง และเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงจากห้องเราไปรบกวนใคร ทางที่ดีปิดช่องโหว่ด้านล่างประตูทุกบานเอาไว้ดีกว่า หรือถ้าติดไว้อยู่แล้ว แต่ยังได้ยินเสียงจากด้านนอกอยู่ กรณีนี้อาจจะต้องตรวจสอบความแน่นหนาของแผ่นซีลอีกที

3. ติดตั้งแผ่นดูดซับเสียง

          หากต้องการปิดกั้นเสียงจากภายนอกให้อยู่หมัด และไม่อยากให้เสียงภายในห้องหลุดลอดออกไปได้ แนะนำให้ติดตั้งแผ่นดูดซับเสียงไว้ที่ผนังไปเลยค่ะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกหลายแบบ หลากจุดประสงค์การใช้งาน คราวนี้ภายในห้องก็จะเงียบสงบ เป็นส่วนตัวมากขึ้น

4. เตียงอยู่ห่างจากผนังดีกว่า

          ตอนนี้ตำแหน่งหัวเตียงของใครชิดติดกับผนังห้องที่แชร์ร่วมกับห้องอื่น ๆ ลองหมุนเตียงให้ห่างจากผนังดีกว่าค่ะ หรือจะปรับตำแหน่งเตียงมาวางติดผนังฝั่งที่ไม่ได้แชร์ร่วมกับห้องใครก็ได้ แต่ในกรณีที่ไม่สามารถวางหัวเตียงชิดผนังด้านใดได้เลย อาจจะต้องลองวางหัวเตียงชนเข้ากับมุมผนังแทน อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะลดพลังงานเสียงที่แทรกเข้ามาจากผนังห้องโดยตรงได้บ้าง

5. จัดวางอุปกรณ์ส่งเสียงให้ห่างจากผนัง

          สำหรับคอนโดที่ไม่เก็บเสียง คงจะดีกว่าถ้าคุณจัดวางอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีเสียง อย่างโทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเล่นดีวีดี หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊กให้อยู่ห่างจากผนังด้านที่แชร์ร่วมกันกับห้องอื่น ๆ วิธีนี้จะช่วยไม่ให้เสียงดังจากห้องเราไปรบกวนข้างห้องได้ในระดับหนึ่ง หรือถ้าหวังผลในระยะยาว แนะนำให้ลงทุนติดตั้งฉนวนกันเสียงบนผนังห้องไปเลยดีกว่า ควบคุมเสียงในห้องเราให้ดีอย่างนี้ ห้องข้าง ๆ ก็อาจจะเกรงใจเราขึ้นมาบ้าง และพยายามเก็บเสียงภายในห้องของเขาไม่ให้ดังรบกวนเราก็ได้นะคะ

6. ตกแต่งห้องด้วยผ้าเพื่อดูดซับเสียง

          ผ้าเป็นวัสดุที่ดูดซับเสียงได้ดี ซึ่งถ้าอยากลดเสียงดังรบกวนจากห้องข้าง ๆ ให้คุณตกแต่งห้องด้วยผ้าให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแขวนผ้าม่านที่หน้าต่าง ติดแถบผ้าด้านล่างประตู เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้า เช่น โซฟาผ้า หรือหุ้มเบาะเก้าอี้ด้วยผ้า ตกแต่งโต๊ะอาหารด้วยผ้า หรือถ้าปูพรมบนพื้นได้ด้วยก็ยิ่งดี แค่นี้เสียงที่เคยดังเข้ามารบกวนก็จะลดน้อยลง คืนความเงียบสงบให้คุณอยู่สบายขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว

 
          ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเป็นฝ่ายทนกับเสียงที่ดังจากด้านนอก หรือบางครั้งก็เป็นฝ่ายทำเสียงดังรบกวนข้างห้องจนรู้สึกเกรงใจ ลองนำวิธีที่เราแนะนำไปใช้กันดูได้นะคะ คราวนี้จะได้หมดปัญหาเสียงดังรบกวนในคอนโดสักทีจ้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #111 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2014, 09:37:27 pm »
คอลลาเจน 90% ไม่ผ่าน อย. เตือนกินมาก เสี่ยงไตวาย

-http://health.kapook.com/view91542.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          อย. เตือนบริโภค คอลลาเจน ชี้ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดกว่า 90% ไม่ได้ขออนุญาต อย. หากบริโภคเกินขนาดเสี่ยงไตวายได้

          เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่โฆษณาอย่างกว้างขวางในเวลานี้ร้อยละ 90 ไม่ได้ขออนุญาตจาก อย. และมักโฆษณาเกินจริง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หากรับประทานเกินขนาดจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต จนเกิดอาการไตวายได้

          โดยผลิตภัณฑ์คอลลาเจนมีผู้บริโภคบางรายรับประทานเสริมอาหารวันหนึ่งถึงสิบยี่สิบเม็ด ส่งผลให้ไตทำงานหนัก เบื้องต้นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับผู้บริโภค เพื่อไม่ให้หลงเชื่อการโฆษณาขายตรง หรือการโฆษณาทางเว็บไซต์

          นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักอาหาร ยังแนะนำว่า หากต้องการให้ผิวขาวใส ดูเป็นธรรมชาติ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเลือกทานผักผลไม้วันละ 400 กรัม เพียงแค่นี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนเพียงพอ ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำพวกนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

-https://twitter.com/SpringNews_TV/status/481266746045640704/photo/1-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #112 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2014, 09:03:56 pm »
15 วิธีป้องกันยุงกัดส่งตรงจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี


-http://health.kapook.com/view91744.html-







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
           
          วิธีป้องกันยุงกัด ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ยุงค่อนข้างชุกชุมเป็นพิเศษ หลายคนเลยโดนยุงตัวเล็ก ๆ บินมากัดจนเป็นตุ่มไปหมด แต่ถ้าอยากป้องกันยุงกัดโดยไม่เสี่ยงอันตรายจากสารเคมี ต้องรีบมาดู 15 วิธีป้องกันยุงกัด สูตรเด็ดส่งตรงจากธรรมชาติโดยเว็บไซต์ Huffington Post ที่รับรองว่าคุณจะรอดปลอดภัยจากพิษของสารเคมีอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ปราบยุงได้อยู่หมัดเลยล่ะค่ะ
 

1. พยายามอย่าอยู่ในที่มืดและอับชื้น
           
          ถ้าสังเกตดูจะเห็นได้ว่า ประชากรยุงจะค่อนข้างหนาแน่นในบริเวณที่มืดและอับชื้น เพราะตามปกติแล้วยุงเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบแสงสว่างเท่าไร ฉะนั้นหากคุณไม่อยากโดนยุงกัดก็พยายามอย่าไปอยู่ในที่มืดและอับชื้นดีกว่า หรือถ้าจำเป็นต้องอยู่จริง ๆ ควรเปิดพัดลมไล่ยุงด้วยก็ดีค่ะ
 


2. กระเทียมก็ช่วยได้
           
          กระเทียมเป็นสมุนไพรกลิ่นฉุนที่ยุงไม่ปลื้มเอามาก ๆ ซึ่งก็แปลได้ว่าหากคุณกินกระเทียมเข้าไป ยุงก็จะไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะได้กลิ่นกระเทียมออกมาจากผิวของคุณ ห่างไกลการโดนยุงกัดได้ง่าย ๆ แถมยังได้ประโยชน์มากมายจากกระเทียมอีกต่างหาก
 

3. พริกไทยดำ ยุงก็ยี้

          หากได้กลิ่นฉุน ๆ ของพริกไทยดำ เจ้ายุงร้ายทั้งหลายก็มีอันต้องรีบบินหนีไปให้ไกล เพราะอย่างที่บอกว่ายุงเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบกลิ่นฉุนทุกชนิด ไม่เกี่ยงว่าเป็นกลิ่นเหม็นหรือหอมเลยล่ะ อย่างนี้ก็หมายความว่า หากคุณเองก็ไม่ค่อยปลื้มกับกลิ่นและรสชาติของกระเทียมนัก พริกไทยดำก็เป็นตัวเลือกไล่ยุงที่น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน
 

4. ป้องกันยุงด้วยต้นสะเดา

          สถาบันวิจัยแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยผลวิจัยว่า ต้นสะเดามีสรรพคุณในการไล่ยุงได้เต็มประสิทธิภาพกว่าสเปรย์ไล่ยุงหลายเท่า และไม่ว่าจะเป็นต้นสะเดาสด ๆ หรือน้ำมันสกัดจากเมล็ดสะเดา ก็สามารถนำมาป้องกันยุงได้อยู่หมัดเลยเชียวล่ะ




5. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ
           
          หากยุงไม่ได้กินเลือดจากคนหรือสัตว์บางชนิด เจ้ายุงเหล่านี้จะเลือกกินเกสรดอกไม้เป็นอาหารแทน ผู้เชี่ยวชาญจึงเตือนว่า ถ้าคุณไม่อยากตกเป็นเป้าหมายของฝูงยุง พยายามเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ให้กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้จะดีกว่า เนื่องจากกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้จะหอมหวนชวนกินมาก ๆ ในความคิดของยุงนั่นเอง



6. ไล่ยุงด้วยน้ำมันสกัดจากตะไคร้หอม
           
          ผลวิจัยที่เว็บไซต์ Huffington Post ได้เผยเอาไว้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันสกัดจากตะไคร้หอมจะช่วยป้องกันไม่ให้ยุงเข้ามายุ่มย่ามกับคุณได้นานกว่า 20 นาที ในขณะที่น้ำมันสกัดจากดอกเจอเรเนียมและน้ำมันถั่วเหลืองก็สามารถปกป้องคุณจากยุงได้นานถึง 90 นาทีเป็นอย่างต่ำเช่นกัน แต่ดูแล้วน้ำมันตะไคร้หอมจะเป็นตัวเลือกที่หาง่ายและน่าใช้มากกว่าเนอะ เพราะตอนนี้ก็มีตะไคร้หอมในรูปแบบสเปรย์มาให้เราฉีดป้องกันยุงกันแล้วด้วย
 

7. จุดเทียนหอม
         
          แม้ยุงจะโปรดปรานกลิ่นหอมของดอกไม้และเห็นว่าเป็นอาหารอันโอชะ (ในยามที่ขาดแคลนเลือด) แต่กับกลิ่นเทียนหอมเป็นข้อยกเว้นค่ะ แถมยังเป็นกลิ่นที่ยุงเกลียดสุด ๆ อีกต่างหาก ดังนั้นถ้าคุณจุดเทียนหอมไว้รอบ ๆ บ้าน ก็จะช่วยป้องกันยุงได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้จะเลือกเทียนหอมกลิ่นตะไคร้หอม หรือกลิ่นอื่น ๆ ก็ตามความชอบเลยจ้า
 

8. ใส่เสื้อผ้ามิดชิด
           
          อีกหนึ่งวิธีป้องกันยุงกัดที่คุณทำเองได้ง่ายมากโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมใด ๆ นอกจากแค่สวมใส่เสื้อเสื้อผ้าที่มิดชิด ดีที่สุดก็กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว เสริมด้วยผ้าพันคอคอยปัดและคลุมส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าด้วยก็จะดีมาก
 

9. กินวิตามิน B1

          ผลการศึกษาอย่างไม่เป็นทางการของเมโย คลินิก เผยว่า วิตามิน B1(ไทอะมิน) สามารถช่วยเปลี่ยนกลิ่นเลือดในตัวเราให้กลายเป็นกลิ่นที่ไม่ยั่วยวนยุงได้ โดยต้องบริโภควิตามิน B1(ไทอะมิน) ปริมาณ 75-150 มิลลกรัมต่อวัน จึงจะเพียงพอที่จะป้องกันยุงไม่ให้มากัด
 

10. กำจัดแหล่งน้ำขังให้เกลี้ยง
           
          ยุงเป็นสัตว์ที่วางไข่ในน้ำ โดยเฉพาะแอ่งน้ำที่เน่าขัง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อับ มืด และอบอุ่น ซึ่งยุงจะรู้สึกปลอดภัยมาก ดังนั้นก็ควรสำรวจบริเวณรอบ ๆ บ้านของคุณเองว่า มีแอ่งน้ำขังอยู่ตรงบริเวณไหนบ้าง และหากพบก็จัดการเทน้ำที่ขังอยู่ทิ้งให้หมดเกลี้ยงไปซะดี ๆ จะได้ไม่มีที่ให้ยุงมาวางไข่นะจ๊ะ



11. อยู่ใกล้ ๆ พัดลม
           
          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอฟันธงว่ายุงไม่ใช่สัตว์นักบินที่ดีนัก แค่แรงพัดลมก็ทำให้ยุงบินเซได้แล้วล่ะะ และในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็พยายามอยู่ใกล้พัดลม ให้ลมจ่อไล่ยุงดีกว่าเนอะ
 

12. อาศัยเครื่องดักยุง
           
          ยุงมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายหิ่งห้อย ในเรื่องชื่นชอบแสงไฟริบหรี่อย่างที่สุด ดังนั้นเมื่อเห็นแสงไฟนวล ๆ จากเครื่องดักยุง ยุงเข้าก็จะเข้าไปติดกับ หันเหความสนใจของยุงจากตัวเราได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นแค่เสียบเครื่องดักยุงเอาไว้ในบริเวณที่ยุงชุกชุม ก็ช่วยกำจัดยุงได้เยอะเลยทีเดียว
 




13. ปลูกต้นแคทนิป
           
          ผลการศึกษาเมื่อปี 2001 บันทึกเอาไว้ว่า น้ำมันต้นแคทนิปหรือต้นกัญชาแมว มีคุณสมบัติในการไล่ยุงสูงกว่ายากันยุงชนิดสารเคมีถึง 10 เท่าเลยทีเดียว อย่างนี้ก็ปลูกแคทนิปไว้ในบ้านซะเลยน่าจะดี จะได้ทั้งไล่ยุง และบ้านไหนเลี้ยงน้องเหมียวก็ได้อาหารเสริมของแมวไปด้วยอีกต่างหาก
 

14. ดื่มแอปเปิลไซเดอร์กันยุง
         
          แอปเปิลไซเดอร์เป็นอีกหนึ่งของส่งตรงจากธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันยุงกัดได้ โดยให้คุณผสมแอปเปิลไซเดอร์ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำสะอาดประมาณครึ่งลิตร จากนั้นก็เขย่าให้เข้ากันแล้วจิบบ่อย ๆ (ในกรณีที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดนยุงกัด) หรือหากอยากเพิ่มรสหวานก็สามารถเติมน้ำผึ้งลงไปด้วยก็ได้ค่ะ
 

15. ทาโลชั่นกันยุง
           
          โลชั่นกันยุงเป็นนวัตกรรมป้องกันยุงกัดที่ไม่ถึงกับใหม่กิ๊กอะไร แต่ก็สามารถไล่ยุงได้อย่างมีประสิทธิภาพพอสมควร ทว่าการทาโลชั่นกันยุงจะช่วยปกป้องผิวเราไม่ให้โดนยุงกัดได้เพียง 23 นาทีเท่านั้น ซึ่งเพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันยุงที่ยาวนานกว่านี้ ก็ต้องหมั่นทาซ้ำบ่อย ๆ นะคะ
 
          แม้ยุงจะเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวเล็กจิ๊ดเดียวแต่น้ำลายยุงก็เป็นพาหะนำโรคร้ายอย่างไข้เลือดออกและโรคมาลาเรีย แถมยังทำให้เราเกิดอาการคันและทิ้งร่องรอยตุ่มสีแดง ๆ ให้ดูต่างหน้า ฉะนั้น บ้านไหนที่ยุงชุกชุม และมักจะโดนยุงกัดอยู่บ่อย ๆ ลองนำวิธีไล่ยุงทั้งหมดนี้ไปใช้ไล่ยุงกันได้นะคะ แถมยังเป็นสูตรไล่ยุงจากธรรมชาติ รับรองความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์จ้า
 





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #113 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2014, 10:34:21 pm »

แชร์ประสบการณ์ระบบเผาผลาญพังจนทำให้สุขภาพแย่

-http://men.kapook.com/view91778.html-





เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ TurkTS สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

           สำหรับคนที่มีเป้าหมายในการลดน้ำหนัก นอกจากเรื่องของการออกกำลังกายแล้ว การควบคุมอาหาร ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ ทว่าในปัจจุบันยังมีหลายคนที่มีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับการควบคุมอาหารอยู่มาก ดังเช่นเรื่องราวของหนุ่มคนหนึ่งที่มีความเชื่อเรื่องการคุมอาหารแบบผิด ๆ จนถึงขั้นระบบเผาผลาญเสียหายเลยทีเดียว

           วันนี้กระปุกดอทคอมได้นำเอาเรื่องราวของคุณ TurkTS หนึ่งในสมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งเขาได้ตั้งกระทู้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับระบบเผาผลาญของร่างกายในกระทู้ "แชร์ประสบการณ์ระบบเผาผลาญพังมาหลายปี อยู่ในช่วงปรับ เป็นข้อมูลเผื่อคนที่รักษาสุขภาพครับ" มาให้อ่านเป็นข้อคิดเตือนใจ ก่อนจะเลือกใช้วิธีลดน้ำหนักแบบผิด ๆ ถ้างั้น ตอนนี้เราไปดูเรื่องราวของคุณ TurkTS กันเลยดีกว่าครับ





เริ่มแรก : ผิดวิธีตั้งแต่ตั้งต้น

           คือเราลดน้ำหนักจากที่เคยอ้วนมาก (97 กิโลกรัม) ลงมาเรื่อย ๆ ซึ่งแรก ๆ เราลดผิดวิธี ซึ่งเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมกันเป็นอย่างมาก นั่นคือ "อ ด อ า ห า ร" อดแบบเรียกว่าจริงจัง คือกินข้าววันละมื้อตอน 10.30 น. ที่เหลือดื่มน้ำเปล่า เวลาที่โหยมากก็อัดน้ำ อัด ๆ ๆ มันเข้าไป ซึ่งน้ำหนักก็ลดเร็วมาก ภายใน 5 เดือนหายไป 20 กว่ากิโลกรัม แต่มนุษย์อยู่อย่างนั้นทั้งชีวิตไม่ได้ เลยกลับมาทานอาหารมากขึ้น แต่ไม่ได้ทานเหมือนเมื่อก่อน คราวนี้เจอสิ่งที่เรียกว่า "โยโย่ เอฟเฟกต์" เพราะน้ำหนักเด้งกลับมา 10 กว่ากิโลกรัม ซึ่งตอนนั้นเราก็ เฮ้ย ! โอเคนี่นา เพราะบางคนเห็นว่าน้ำหนักเด้งเกินกว่าที่เคยหนักที่สุดด้วยซ้ำ

รอบสอง: มาถูกวิธีครึ่งนึง

           พอเข้ามหาวิทยาลัย ไปฟิตเนสเจอพี่สตาฟฟิตเนสคนนึงเดินเข้ามาทักมาคุยด้วย พี่เขาใจดีมาก เขาก็มาแนะนำให้ทำนั่นนี่ แล้วบอกว่าไหนลองเปิดเสื้อสิ เท่านั้นแหละ ความจริงมันปรากฎทันที เพราะเมื่อก่อนเราเคยมีรอบเอว 44 นิ้ว ตอนที่เราลดลงมามันเหลือ 32 นิ้ว
จากการอดอาหาร

           ทว่าสภาพมันเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม มันย้วย ย้อย หย่อนยาน สาเหตุมาจากการลดน้ำหนักผิดวิธี เป็นเพราะตอนที่คนเราอ้วน มวลภายในร่างกายและผิวหนังมันขยายไปในทิศทางเดียวกัน แต่พอเราลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว มวลข้างในเราหายไปไวมาก เพราะน้ำและ กล้ามเนื้อหายไป แต่หนังมันไม่หด นี่เลยนับเป็นก้าวแรกที่เราก้าวเข้าสู่ชีวิตฟิตเนสอย่างแท้จริง

           เราเล่นฟิตเนสแบบบ้าคลั่งมาก อยู่มันวันละ 2-3 ชั่วโมง เบิร์น ๆ ๆ เล่นเป๋ไปเป๋มา คนนั้นบอกอันนั้นดี เฮ้ย ลอง คนนี้บอก ไม่ ๆ อันนี้ดีกว่า เฮ้ย ลอง เขาบอกว่าวิ่งไปเลยวันละ 1-2 ชั่วโมงก็วิ่ง จนไม่เคยมีทิศทางการเล่นเป็นของตัวเอง กินเหล้านอนดึก ตื่นเช้าเพื่อจะมาฟิตเนส วันไหนแฮงค์ก็ไม่สน ต้องลากสังขารเพื่อไปฟิตเนส เพราะ ณ จุด ๆ นั้น ฟิตเนสคือทุกสิ่งเลย เล่นมันเข้าไปจนน้ำหนักลดลงมาถึง 65 กิโลกรัม ซึ่งมันเป็นจังหวะที่กลายเป็นคนตัวเล็ก หน้าแหลม แล้วเราก็กลายเป็นโรค "เสพติดความผอม" ไปโดยปริยาย

           ปัญหาที่ตามมาไม่ใช่เรื่องเวลาที่นอนดึกตื่นเร็ว หรือเรื่องอื่นใดนอกจาก เอฟเฟกต์ที่เกิดจากการกินอาหาร...

ปัญหาจุด PEAK :

           เพราะตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 1 ที่เริ่มเล่นฟิตเนสเราแทบจะ "ไม่กินแป้งเ ลย !"

           เพราะเราเชื่อคำคนนั้นคนนี้ที่ว่า อยากผอมเหรอ ลดแป้งสิ อยากผอมเหรอ ห้ามกินแป้งนะ ข้าวนี่ตัดไปได้เลย ขนมปังนี่ห้ามเลยนะ แล้วมันส่งผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะถ้าวันไหนเราอยากกินขึ้นมา แล้วได้กินข้าวสัก 1 จาน วันรุ่งขึ้นน้ำหนักเราจะขึ้น 1 กิโลกรัม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีหรอกที่กินข้าวจานเดียวแล้วทำให้น้ำหนักขึ้น 1 โลกรัม น้ำหนักที่ขึ้นมาต่อวันนั้นมีปัจจัยเยอะแยะมากมาย อาจมาจาก น้ำ ที่เราดื่มเข้าไปเยอะ ๆ แล้วยังไม่ได้ปัสสาวะก็เป็นได้ แต่สมอง ณ ตอนนั้นมันสั่งไปแล้วว่าเป็นเพราะแป้งแน่ ๆ ก็เลยเลิกกินมันเลยละกันตัดปัญหา

           ตั้งแต่วันนั้นจนมาถึงเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ก็ 8 ปีแล้วครับที่ผมไม่กินแป้ง แต่ตอนนี้ผมกลับมาทานแป้งเหมือนเดิม สาเหตุที่กลับมาทานเพราะได้ศึกษาเรื่องฟิตเนสอย่างจริงจังมากขึ้น ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายมากขึ้น ว่าจริง ๆ แล้ว ร่างกายที่เราใช้งานทุกวันต้องการอะไรจากเรา ซึ่งคำตอบก็คือ ต้องการสารอาหารดี ๆ และการพักผ่อนที่เพียงพอ เพราะอย่างนั้นผมเลยตัดสินใจเล่นฟิตเนสเหมือนเดิม แต่กลับมาบริโภคแป้ง

และสิ่งที่ผมพบเจอ...

Yoyo ของจริง :

           ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมได้เจอ "โยโย่ เอฟเฟกต์" ของจริงแล้วครับ น้ำหนักมันขึ้นเร็วมาก เร็วจนหน้าตกใจ บวม ๆ ฉุ ๆ ตัน ๆ ซึ่งผมกำลังทำใจ อดทนรับกับมันอยู่ครับ สาเหตุที่โยโย่คราวนี้เป็นเพราะตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา ผมไม่บริโภคคาร์โบไฮเดรตเลย มันทำให้ร่างกายและสมองสั่งแล้วว่า ร่างกายผมไม่จำเป็นต้องเผาผลาญแป้งนะ เพราะมันไม่เข้ามาในร่างกายอยู่แล้วนี่ คราวนี้พอกินแป้งเข้าไปร่างกายก็ไม่เผาผลาญสิ มันเลยตกค้างอยู่อย่างนั้น

           เท่านั้นล่ะครับ ตอนนี้ผมกำลังปรับระบบการเผาผลาญตัวเองใหม่หันมากินข้าว ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยวในทุก ๆ มื้ออาหาร ตอนนี้กลับจากจีนมาเกือบ 1 ปี น้ำหนักผมจากเดิม 71.1 กิโลกรัม ขึ้นมาเป็น 75 กิโลกรัมเรียบร้อยแล้วครับ ใครที่ไม่เห็นผมนาน เจออาจจะตกใจได้ ซึ่งตอนนี้ผมต้องอดทนมากที่จะให้ร่างกายตัวเองอ้วนเป็นหมีเพื่อปรับระบบเผาผลาญตัวเองใหม่

แล้วทำไมต้องอดทน :

           ถ้ามีคนถามคำถามนี้ผมขอตอบว่า เพราะผมรักตัวเองครับ ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากมีร่างกายที่ดูดีนะ แต่เพราะผมอยากอยู่กับมันไปนาน ๆ อยากอยู่ด้วยร่างกายที่ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่ผิดแผกแตกแยกเหมือนเมื่อก่อน ที่เวลาเขาไปทานอาหารฝรั่งกันแล้วผมต้องนั่งหาแต่สเต๊ก  ไปกินอาหารไทยแล้วต้องนั่งกินแต่กับข้าวที่รสจัด ๆ โดยไม่ทานข้าว

           ผมไม่ได้บอกว่าการไม่กินแป้งเป็นสิ่งไม่ดี สำหรับคนที่ร่างกายและรูปแบบชีวิตเหมาะสมกับแบบนี้ ตามสบายเลยครับ แต่ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองอยากมีระบบเผาผลาญที่เป็นปกติเท่านั่นเอง

           ตอนนี้ต้องอดทนไปก่อน ระบบเผาผลาญพังมาตั้งหลายปี ให้หายในวัน สองวันคงไม่มีทาง ยังไงเอาใจช่วยกันด้วยนะ แล้วสำหรับคนรักสุขภาพทุกคน อย่าลืมออกกำลังและเลือกอาหารการกินดี ๆ ให้ร่างกายกันด้วยนะครับ

           เป็นยังไงกันบ้าง หลังจากที่ได้ทราบเรื่องราวของคุณ TurkTS ไป ไม่น่าเชื่อเลยว่า อาหารการกินที่หลายคนไม่ค่อยใส่ใจกันสักเท่าไร กลับส่งผลกระทบต่อระบบภายในร่างกายเราได้ขนาดนี้ หากไม่อยากต้องทนทรมานกับอาการโยโย่เอฟเฟกต์เหมือนอย่างเจ้าของเรื่อง ก็ลองใช้ประสบการณ์ของเขาเป็นเครื่องเตือนใจแล้วกันนะครับ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #114 เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2014, 10:03:03 pm »
รู้ทันอาการกระดูกสันหลังคด


-http://club.sanook.com/40511/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5/-



อธิบดีกรมการแพทย์เผย คนไทยป่วยด้วยอาการกระดูกสันหลังคดมากขึ้น แนะหากมีอาการกระดูกสันหลังผิดรูป ปวดหลัง เอว คอ เรื้อรังให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี



นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า ผู้ป่วยกระดูกสันหลังคดในประเทศไทย พบมาก 2-3 % ของประชากร โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดกระดูกสันหลังคด 80 % ของผู้ป่วยไม่พบสาเหตุ มีเพียงส่วนน้อยที่ทราบ เช่น กระดูกสันหลังคดจากขาที่ยาวไม่เท่ากัน กระดูกสันหลังคดจากสมองพิการ หรือเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด เป็นต้น จากสถิติของผู้ป่วยพบได้เท่ากันในเพศชายและเพศหญิง แต่เพศหญิงมักจะมีการคดงอของกระดูกมากกว่าเพศชาย และพบว่าผู้ป่วยช่วงอายุ 10-15 ปี 10 % ได้รับการถ่ายทอดมาจากกรรมพันธุ์ กระดูกคดเกิดจากภาวะกระดูกสันหลังโค้งงอไปทางด้านซ้ายหรือด้านขวาจนผิดปกติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกระดูกสันหลังของคนเราจะโค้งงอไปด้านหน้าและหลังในระดับที่สมดุลกับร่างกาย เมื่อมองจากด้านข้างจะเป็นรูปตัว S แต่ถ้ามองจากด้านหลังจะเป็นแนวเส้นตรง แต่ผู้ป่วยที่มีอาการกระดูกสันหลังคดนั้น กระดูกสันหลังจะบิดหรือผิดรูปออกทางด้านข้าง การที่กระดูกสันหลังโค้งไปข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้สะโพก เอว และไหล่ของผู้ป่วยไม่เท่ากัน

 

สำหรับอาการของผู้ป่วย คือ มีแนวกระดูกสันหลังไม่ตรง ระดับหัวไหล่ 2 ข้างไม่เท่ากัน ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณ หลังเอว คอ เรื้อรัง เนื่องจากกล้ามเนื้อในแต่ละส่วนแบกรับน้ำหนักไม่เท่ากัน รวมทั้งมีอาการเหนื่อยง่าย เนื่องจากกระดูกหน้าอกไปกดทับปอดมากกว่าปกติ ในกรณีที่มีความคดของกระดูกเล็กน้อย แพทย์จะนัดตรวจเพื่อติดตามอาการสม่ำเสมอและให้ผู้ป่วยใส่เสื้อเกราะให้รัด กระชับ เพื่อดัดกระดูกสันหลัง ป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังคดมากขึ้น โดยใส่ประมาณ 23 ชั่วโมงต่อวัน การใส่เสื้อเกราะจะต้องใส่จนกว่าผู้ป่วยหยุดการเจริญเติบโต และค่อยๆ ลดจำนวนชั่วโมงที่ใส่ลงจนแน่ใจว่า กระดูกสันหลังไม่คดมากขึ้นจึงสามารถหยุดใส่ได้ ส่วนการรักษาด้วยการผ่าตัด จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีกระดูกคดมากกว่า 45 องศา โดยการใช้โลหะดามกระดูกสันหลังให้ตรงขึ้น และเชื่อมข้อกระดูกสันหลังให้ติดแข็งในแนวที่จัดไว้ ซึ่งหลังผ่าตัดควรงดกิจกรรมที่เคลื่อนไหวด้วยกระดูกสันหลังประมาณ 6-9 เดือน เช่น การก้ม บิดตัว แล้วจึงออกกำลังกายที่ไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

 

อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวแนะนำการสำรวจตนเองง่ายๆ ว่ามีอาการกระดูกสันหลังคดหรือไม่ โดยให้สังเกตความสูงของระดับหัวไหล่ ความนูนของกระดูกสะบัก และระดับแนวกระดูกสะโพกของร่างกาย ซึ่งมักจะมีระดับสูง-ต่ำไม่เท่ากัน หรือทดสอบโดยการยืนให้เท้าชิดกันและให้ก้มไปด้านหน้า ใช้มือทั้ง 2 ข้างแตะให้ถึงพื้น จะเห็นความนูนของหลังไม่เท่ากัน ซึ่งหากมีอาการผิดปกติดังกล่าวให้พบแพทย์เพราะหากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้กลับมาใกล้เคียงภาวะปกติได้

 

ข้อมูลจาก :: กระทรวงสาธารณะสุข

ภาพประกอบจาก :: thinkstockphotos.com

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #115 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2014, 10:28:54 pm »
ภัยใกล้ตัวมนุษย์ออฟฟิศ


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/249412/%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A8-


ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ทำให้ดวงตามีการใช้งานอย่างหนัก
วันศุกร์ 4 กรกฎาคม 2557 เวลา 03:00 น.

ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ทำให้ดวงตามีการใช้งานอย่างหนัก เพราะต้องจับจ้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ส่งผลให้เสี่ยงเกิดโรคที่เป็นอันตรายกับดวงตา 4 โรค ดังนี้

1.โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรค“ออฟฟิศซินโดรม” จะมีอาการมองเห็นภาพซ้อน ตาโฟกัสช้ากว่าปกติ เคืองตา แสบตา ตาแห้ง ดวงตาล้า

2.โรคประสาทตาเสื่อม จะมีอาการภาพมีสีซีดจางไป อ่านหนังสือลำบาก แยกแยะใบหน้าคนยากขึ้น เห็นจุดดำบริเวณศูนย์กลางของภาพ

3.โรคต้อหิน มีอาการตาพร่ามัว เวียนหัวคลื่นไส้อาเจียน เห็นดวงไฟที่มีแสงจ้าเป็นรัศมีกระจาย

4.โรควุ้นในตาเสื่อม มีอาการเห็นคราบดำๆเหมือนหยากไย่ลอยไปมา หากมองแบ็คกราวน์ที่มีสีสว่างอาการจะชัดยิ่งขึ้น

“เดลินิวส์ออนไลน์” จึงนำวิธีการดูแลรักษา "สายตา" เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคมนุษย์ออฟฟิศ ด้วยวิธีง่ายๆ มาฝากกัน

1.ควรพักสายตาทุก 15 นาที ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ด้วยการมองออกไปไกลๆ จะทำให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า อย่าขยี้ตา หากรู้สึกอ่อนล้าให้นวดคลึงเบาๆ และควรบริหาร ดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด

2. ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ให้รู้สึกสบายตาโดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา

3.หมั่นตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำสม่ำเสมอ ควรมีแบบ ทดสอบ Amsler grid ไว้ที่บ้านเพื่อจะได้ทดสอบสายตาด้วยตนเอง และที่สำคัญควรหันมารับประทานผักและผลไม้ที่มีสีส้มและสีเหลืองเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้สายตาท่ามกลางแสงแดดจ้าเป็นเวลานาน ๆ และให้ใส่แว่นตากันแดดที่มีระบบป้องกันรังสียูวีด้วย

4. หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตาหรือหาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี

5. สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์อาจจะเกิดอาการตาแห้งเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง เพราะห้องที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีเครื่องปรับอากาศอยู่ด้วย เมื่อบวกกับความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำให้อากาศแห้งการหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยได้

6. ควรกะพริบตาให้บ่อยครั้งกว่าปกติเพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ภายใน10วินาที ลองพยายามกะพริบตาสัก1-2ครั้ง จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก

7. ใช้เลนส์แว่นตาที่มีคุณสมบัติ ในการตัดรังสี ยูวี เวลาใช้งานหน้าคอมฯ นานๆ

อย่างไรก็ตาม การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็ช่วยให้ดวงตาไม่เมื่อยล้าจนเกินไป และต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพร่างกายเพื่อให้มีความสมดุลด้วย

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก -http://news.siamphone.com/news-14140.html-, -http://www.sukumvithospital.com/LASIK/light-well.html-

ขอบคุณภาพประกอบจาก -http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20131127185953950-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #116 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2014, 09:26:47 am »
พบโรคสุกใสเพิ่ม 3 เท่า แนะเลี่ยงกินยาแอสไพรินลดไข้

-http://club.sanook.com/41095/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1-3-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%99/-



ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคสุกใสอย่างใกล้ชิด เนื่องจากโรคนี้เริ่มกลับมาระบาดอีกครั้ง โดยปีนี้เพียง 6 เดือน พบผู้ป่วยแล้ว 6.3 หมื่นราย เฉลี่ยวันละ 350 รายสูงกว่าปี 2556 จำนวน 3 เท่าตัว และเสียชีวิต 1 ราย ย้ำให้ถ้ามีไข้ ผื่นหรือตุ่มใส ให้หลีกเลี่ยงกินยาแอสไพรินลดไข้ และหากมีไข้สูง มีผื่นขึ้นตามตัวมาก หายใจหอบ ชัก ซึมลง ต้องรีบพบแพทย์

นอกจากนี้ นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคสุกใส หรือโรคอีสุกอีใส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า วาริเซลลา (Varicella) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายทางการไอ จาม หายใจรดกัน หรือการสัมผัส รวมทั้งการใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ที่นอน ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น อาการป่วยที่พบหลังได้รับเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์ เด็กเล็กจะเริ่มจากมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร ส่วนผู้ใหญ่ จะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัด มีผื่นขึ้นพร้อมๆ กับวันที่เริ่มมีไข้หรือขึ้นหลัง
มีไข้ 1 วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากและลิ้นเปื่อย

โดยในระยะแรกจะมีผื่นแดงขึ้นตามตัว ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มใส และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขุ่นคล้ายหนอง แล้วกระจายไปตามใบหน้า ลำตัว แผ่นหลัง และช่องปาก หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน ผื่นจะตกสะเก็ด สำหรับการรักษานั้น ในรายที่เป็นไม่มาก อาจดูแลตัวเองที่บ้านได้ตามอาการ เช่น หากมีไข้ ให้รับประทานยาพาราเซตามอล หากมีอาการคันให้ใช้ยาทา เพื่อลดอาการคันในรายที่มีไข้สูง มีผื่นขึ้นตามตัวมาก มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่น หายใจหอบ ชัก ซึมลง ต้องรีบพบแพทย์

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากติดเชื้ออาจมีความเสี่ยงอาการรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี /เอดส์ มะเร็ง เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรรีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อดูแลรักษา ลดความรุนแรงโรค สำหรับการป้องกันโรคนี้ ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้นจนถึงระยะผื่นตกสะเก็ด เด็กที่เป็นโรคสุกใส ควรหยุดไปโรงเรียน จนกว่าผื่นตกสะเก็ดหมดแล้วอย่างน้อย 1 วัน การป้องกันที่ได้ผลในปัจจุบันคือการฉีดวัคซีนป้องกัน วัคซีนนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคได้ดีในเด็กอายุ 1-12 ปี

 

นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญที่ประชาชนควรรู้เกี่ยวกับโรคสุกใส คือ

1.โรคนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ใช่เฉพาะเด็ก

2.คนที่เคยเป็นโรคสุกใสแล้ว หากได้รับเชื้อสายพันธุ์ใหม่อาจป่วยซ้ำได้อีก

3. ส่วนใหญ่ที่เป็นโรคสุกใสจะหายได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่บางคนอาจไม่หาย เนื่องจากติดเชื้อแทรกซ้อน ทำให้มีอาการต่างๆ เช่น แก้วหูอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือติดเชื้อในสมอง ถ้ารับการรักษาช้าอาจทำให้เสียชีวิตได้

4.โรคสุกใสสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนร้อยละ 90 โดยวัคซีนช่วยลดความรุนแรงอาการป่วยได้

5.หากมีไข้ขึ้นสูง ควรรับประทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ร่วมกับใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการไข้

6.ไม่รับประทานแอสไพรินลดไข้ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการที่เรียกว่าไรย์ ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของสมองและตับทำให้มีอาการสมองอักเสบร่วมกับตัวเหลือง จนเกิดอันตรายร้ายแรงได้

7.ทายาลดอาการคันตามที่แพทย์แผนปัจจุบันสั่ง

8.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ไปสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อสู้กับเชื้อ และที่สำคัญคือต้องพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ

 

ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค โทร. 02 590 3163 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

ข้อมูลจาก :: สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #117 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2014, 04:29:27 pm »
โรคมีจังหวะการหาย (หมอชาวบ้าน)
โดย นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

-http://health.kapook.com/view92602.html-

          อาการเจ็บป่วยหลายอย่างมีจังหวะการหายที่ค่อนข้างแน่นอน หากเข้าใจ เราก็สามารถให้การดูแลตนเองและรอจังหวะที่จะหาย หรือตระหนักว่าถ้าเลยจังหวะนั้นไปแล้วยังไม่ทุเลา ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ และควรรีบไปหาหมอ หากไม่ทราบ เราก็อาจแสวงหาการดูแลช่วยเหลือที่ไม่เหมาะสม ทำให้สิ้นเปลืองเวลาและเงินทอง และได้รับความเสียหายต่าง ๆ ได้ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างที่พบบ่อยไว้เป็นอุทาหรณ์

ไข้หวัด หายได้ใน 48-96 ชั่วโมง

          มีคนจำนวนไม่น้อย เมื่อเป็นไข้หวัด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กเล็กเป็นไข้หวัด) ในวันแรกไปหาหมอได้ยามากิน พอวันรุ่งขึ้นยังมีอาการตัวร้อนอยู่ ก็รีบเปลี่ยนไปหาหมอคนที่ 2 ได้ยามา (ส่วนใหญ่ก็เป็นยาคล้าย ๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบและสีสันของยา) มากิน ก็ยังมีไข้สูง ก็เปลี่ยนไปหาหมอคนที่ 3 วันรุ่งขึ้นถึงจังหวะที่ไข้ลง (อยู่ระหว่าง 48-96 ชั่วโมง) พอดี ก็คิดว่าหายเพราะยาของหมอคนหลังสุด

          ความจริงไข้หวัด (มีอาการตัวร้อน น้ำมูกไหลไอ) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ไม่มีการรักษาโดยจำเพาะ (คือ ไม่มียาที่ใช้ฆ่าเชื้อไข้หวัด) เพียงแต่ให้ยาแก้ไข้ ลดน้ำมูก แก้ไอ บรรเทา แล้วรอจังหวะให้อาการต่าง ๆ ทุเลาไปเอง ยาเหล่านี้เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการให้สุขสบาย หาได้มีผลต่อการหายของโรคไม่ จะไม่กินก็ได้ เช่น ไข้ไม่สูงก็ไม่ต้องกินยาลดไข้

          ผู้ที่เป็นไข้หวัดมักไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่นาน 2 วันเต็ม ถึง 4 วันเต็ม โอกาสจะทุเลาภายใน 48 ชั่วโมงมีค่อนข้างน้อย แต่ถ้ามีไข้นานเกิน 4 วัน ก็แสดงว่าอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งควรไปปรึกษาแพทย์

          การเปลี่ยนหมอหลายคนด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น นอกจากเสียเวลาเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจได้ยาซ้ำซ้อน ทำให้ได้รับขนาดยาสูงเกินควร เช่น ได้ยาลดน้ำมูกซ้ำซ้อน อาจทำให้ง่วงนอนหรือซึม ได้รับยาพาราเซตามอลแก้ไข้เกินขนาด ซึ่งอาจมีพิษต่อตับและไตได้ ที่สำคัญอาจได้รับยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น (ยานี้ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียมี่ประโยชน์ต่อการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส) ซึ่งอาจทำให้แพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงจากยาได้

          ทางที่ดีควรมีหมอประจำตัว (และครอบครัว) ที่สามารถให้คำปรึกษาแนะนำได้สะดวก หากหาหมอประจำตัวแล้วรู้สึกไม่ทุเลาก็ควรกลับไปปรึกษาหมอท่านเดิม จะได้รับการดูแลต่อเนื่อง และได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลที่เหมาะสมต่อไป


ไอ

เป็นหวัด อาจไอถึง 3 เดือน

          มีบ่อยครั้งที่หลงจากเป็นไข้หวัด ผู้ป่วยจะมีอาการไอเรื้อรัง บางครั้งไอนาน 1-3 เดือนกว่าจะทุเลา ทั้งนี้เนื่องจากมีหลอดลมอักเสบแทรกซ้อน แม้ว่าจะได้รับการดูแลจนหายติดเชื้อแล้ว แต่หลอดลมที่อักเสบนั้นมีเยื่อบุที่เสียหาย ทำให้ระคายเคืองง่ายเมื่อถูกสิ่งระคายเคือง (เช่น ลม ควัน ฝุ่น ความเย็น) ก็จะรู้สึกระคายคอและไอแค้ก ๆ อยู่เรื่อย จนน่ารำคาญโดยที่ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีไข้ กินได้ น้ำหนักไม่ลด ทำงานได้ปกติ มักจะไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะขาวเพียงเล็กน้อย (หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้เรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไอเป็นเลือด หรือมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียวก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นวัณโรคปอดหรือสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ)

          ผู้ป่วยที่มีหลอดลมอักเสบจากไข้หวัดดังกล่าว จะไออยู่นานอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ บางครั้งอาจนาน 1-3 เดือน (เต็มที่ไม่เกิน 3 เดือน) เนื่องเพราะต้องรอจนกว่าเยื่อบุหลอดลมที่เสียหายไปนั้นจะฟื้นตัวแข็งแรงได้ดังเดิมก็จะหายระคายเคืองง่าย ระหว่างนั้นควรหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง และกินยาระงับไอเป็นครั้งคราว

          ผู้ที่ไม่เข้าใจ หรือมีความวิตกกังวลก็อาจกินยาอะไรมากมาย รวมทั้งยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็นนอกจาก จะไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังอาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากยาได้

          กรณีนี้หากมีหมอประจำตัว ก็อาจได้รับคำแนะนำ และการดูแลที่เหมาะสมมากกว่าที่ต้องดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองอย่างผิด ๆ


การดูแลสุขภาพ


ทอนซิลอักเสบ จะทุเลาหลังกินยา 48 ชั่วโมงไปแล้ว

          ผู้ที่มีไข้ เจ็บคอมาก ทอนซิลบวมแดงและเป็นหนอง แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุ โดยทั่วไปต้องรอกินยาไปแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง อาการไข้และเจ็บคอจึงจะเริ่มทุเลา เนื่องเพราะต้องรอให้ยาฆ่าเชื้อไปได้มากถึงระดับหนึ่งก่อน

          มักพบว่าเมื่อกินยาไปได้เพียงครึ่งวัน อาการไม่ดีขึ้น หรืออาจรู้สึกว่ากลับเจ็บคอมากขึ้น ผู้ป่วยก็จะเปลี่ยนหมอเปลี่ยนยาหรือหันไปขอให้หมอฉีดยาโดยไม่จำเป็น ทำให้สิ้นเปลืองและเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากยา

          ในทางตรงกันข้าม หากกินยา 48 ชั่วโมงไปแล้วไม่ทุเลา ก็อาจบ่งชี้ว่าโรคดื้อยา หรือให้ยาไม่ถูกกับโรคควรกลับไปปรึกษาแพทย์เพื่อปรับวิธีรักษาให้เหมาะสม

          มีบ่อยครั้งที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บคอมาก โดยที่ไม่มีไข้ ก็นึกว่าเป็นทอนซิลอักเสบ จะไปซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง ผ่านไป 3-4 วันแล้วก็ยังไม่ทุเลา พบว่า ที่แท้อาการเจ็บคอของผู้ป่วยนั้นไม่ได้เกิดจากทอนซิลอักเสบ แต่เกิดจากแผลร้อนใน (แผลแอฟทัส ซึ่งมีอาการเจ็บคอเพียงจุดเดียว ไม่ได้เจ็บทั่วคออย่างทอนซิลอักเสบ และเจ็บมากเวลากลืนหรือพูด) มักจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ (ถึงใช้ก็ได้ผล) แต่อาการเจ็บคอจะเจ็บสุด ๆ ในวันที่ 3-4 ไปแล้ว หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงเป็นลำดับ


อาหารเป็นพิษ

ท้องเดินจากอาหารเป็นพิษ หายเองภายใน 6-48 ชั่วโมง

          อาการท้องเดินมักเกิดจากอาหารเป็นพิษเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากการกินอาหารที่มีพิษที่เชื้อโรคปล่อยไว้ในอาหารถึงแม้ปรุงให้สุกพิษก็ถูกทำลาย ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำบ่อยบางคนอาจมีไข้หรือมีอาการอาเจียนร่วมด้วย

          การรักษาให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ น้ำข้าวใส่เกลือ หรือน้ำอัดลมใส่เกลือ (ควรปล่อยให้แก๊สออกหมดก่อน) ทดแทนน้ำและเกลือแร่ให้มากพอกับที่สูญเสียไป สังเกตจากการมีปัสสาวะออกมากและใสใจไม่หวิวไม่สั่น ไม่มีอาการหน้ามืดเวลาลุกขึ้นยืน แต่ถ้ามีอาการอาเจียน หรือดื่มไม่ได้ ก็ควรไปพบแพทย์ในรายที่เป็นรุนแรงแพทย์จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด

          โรคนี้ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เพราะเกิดจากพิษ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค และไม่ควรกินยาแก้ท้องเสียใด ๆ ยาแก้ท้องเสียบางอย่างมีฤทธิ์ทำให้ลำไส้หยุดนิ่ง ไม่ขับเคลื่อนตัว ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง และถ่ายห่างขึ้น แต่กลับกักเก็บพิษไว้ในลำไส้ให้อยู่นานขึ้น โรคกลับหายช้าลง

          ควรปล่อยให้ถ่ายขับพิษออกไป ก็จะช่วยให้โรคหายเร็ว แต่ต้องกินน้ำกับเกลือแร่ทดแทนให้พอ ก็จะปลอดภัย

          ถ้าพิษไม่มาก ก็มักจะทุเลาได้ภายใน 6-12 ชั่วโมง ถ้าพิษมากก็อาจกินเวลา 24-48 ชั่วโมงกว่าจะหายขาด


ไมเกรน

ไมเกรน ปวดนาน 4-32 ชั่วโมง

          ผู้ที่เป็นไมเกรนมักจะมีอาการปวดศีรษะเป็นประจำมาตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว ทุกครั้งจะมีเหตุกระตุ้นให้อาการกำเริบอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถูกแสงจ้า ใช้สายตามาก ถูกเสียดงัง ได้กลิ่นฉุน ๆ กินอาหารพวกโปรตีนสูง กินผงชูรส ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อดนอน นอนตื่นสาย หิวหรืออิ่มจัด อากาศร้อนหรือเย็นจัด อากาศอบอ้าว ร่างกายเหนื่อยล้า มีประจำเดือน กินยาเม็ดคุมกำเนิด จิตใจตึงเครียด ฯลฯ โดยรวม ๆ ผู้ป่วยมักสังเกตว่ามีเหตุกำเริบมากกว่าหนึ่งอย่างเสมอ

          ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบ ๆ (ตามจังหวะชีพจร) ที่ขมับข้างเดียวหรือสองข้าง และมักมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย เมื่อเริ่มมีอาการ หากสัมผัสถูกแสงเสียง ฝืนทำงานหรือเคลื่อนไหวร่างกายไปมา อาการปวดจะเป็นมากขึ้นถ้าปล่อยไว้ ไม่กินยาแก้ปวด ก็จะปวดติดต่อนานอย่างน้อย 4 ชั่วโมง อย่างมาก 72 ชั่วโมงหรือ 3 วัน 3 คืน (เวลานอนหลับจะไม่รู้สึกปวด แต่ตื่นขึ้นมาก็จะปวดต่อ) ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะติดต่อกันนานเกิน 72 ชั่วโมงหรือปวดทุกวันไม่เว้นมักจะเกิดจากสาเหตุอื่นมากกว่าไมเกรน

          1. รีบกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล 1-2 เม็ด ทันทีที่เริ่มรู้สึกมีอาการ อย่าปล่อยให้นานเกินครึ่งชั่วโมง และหาทางนอนหลับหรือนั่งพักในที่เงียบ ๆ แสงสลัว ๆ และมีอากาศสบาย ๆ ถ่ายเทดี ก็มักจะทุเลาได้ภายในไม่นาน ไม่ต้องปวดนานถึง 4 ชั่วโมงขึ้นไป

          2. สังเกตว่ามีเหตุกำเริบจากอะไรบ้าง แล้วหลีกเลี่ยงเสีย ก็จะช่วยให้อาการห่างหายไปได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.doctor.or.th/-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #118 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2014, 10:34:29 pm »
แมงมุมพิษกัด ห้ามนวด-ประคบร้อน หวั่นพิษกระจาย

-http://health.kapook.com/view93576.html-




สาธารณสุขแพร่เตือน หากโดนแมงมุมพิษกัด ห้ามประคบร้อน ห้ามนวด เพราะจะทำให้พิษกระจาย แนะนำให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด แล้วรีบพบแพทย์โดยด่วน (สสจ.แพร่)

          แมงมุมพิษกัด ห้ามประคบร้อน ห้ามนวดเด็ดขาด เพราะจะทำให้พิษกระจาย แนะรีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด แล้วรีบพบแพทย์โดยด่วน

          จากกรณีที่ประชาชน 4 รายในอำเภอเด่นชัยโดนแมงมุมพิษกัด รายแรกอาการสาหัส ยังรักษาตัวอยู่ที่ รพ.แพร่ ส่วนอีก 3 ราย หลังโดนแมงมุมพิษกัดได้รีบมาพบแพทย์ทันที ขณะนี้อาการไม่น่าเป็นห่วง แต่มีบาดแผลจากการถูกแมงมุมพิษกัด ได้มาทำแผลทุกวัน ขณะนี้อาการดีขึ้นแล้วนั้น

          นายแพทย์ปิติ ทั้งไพศาล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวว่า แมงมุมทุกชนิดมีพิษเพื่อล่าเหยื่อ หากถูกแมงมุมทั่วไปกัดอาการก็จะคล้ายแมลงกัดต่อย จะมีอาการปวดบวมร้อน แต่ถ้าถูกแมงมุมพิษกัดจะเป็นอันตรายได้

          ทั้งนี้ แมงมุมมีพิษที่มีความสำคัญทางการแพทย์ ได้แก่ แมงมุมแม่ม่ายดำ และแมงมุมพิษสีน้ำตาลซึ่งคนมักเรียกชื่อผิดว่า แมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล หากโดนแมงมุมแม่ม่ายดำกัด พิษของมันจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง มีเลือดออกตามอวัยวะภายใน ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ มีการอักเสบกดรู้สึกเจ็บได้ มีเหงื่อออก ความดันโลหิตสูง รอยกัดเขียวช้ำ มีจุดแดง อาการที่เฉพาะของพิษคือ อ่อนแรง สั่น ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเกร็ง ท้องแข็ง เป็นอัมพาต ซึมและชักในรายที่แพ้พิษรุนแรง

          นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวต่อว่า หากโดนแมงมุมพิษสีน้ำตาลกัด จะไม่มีอาการในระยะแรก แต่หลังจากนั้น 3-8 ชั่วโมง จะเริ่มรู้สึกเจ็บ บวมแดง อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการอักเสบ เป็นผื่น แผลเริ่มมีสีดำไหม้ เป็นหนอง ขนาดแผลเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2.5 เซนติเมตร ขอบแผลยกขึ้น ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัด เป็นเนื้อตายเกิดเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่ ใช้เวลาประมาณหลายเดือนแผลจึงหายสนิท บางรายที่พิษเข้าสู่กระแสโลหิต ผู้ป่วยอาจมีอาการปัสสาวะขัด โลหิตจาง เป็นไข้ ตัวเขียว และอาจเสียชีวิต

          นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า หากถูกแมงมุมพิษสีน้ำตาลกัด ห้ามนวด ห้ามประคบร้อนบริเวณที่ถูกแมงมุมกัดโดยเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้พิษกระจาย ให้รีบล้างทำความสะอาดแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาด และรีบไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านทันที หลังจากแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน ผู้ป่วยจะต้องไปติดตามอาการทุกวัน อย่างน้อยเป็นเวลา 4 วันหลังถูกแมงมุมพิษสีน้ำตาลกัด และการป้องกันที่ดีที่สุด ควรจัดบ้านเรือนให้สะอาด ปัดหยากไย่ ไม่ให้มีในบ้าน ควรปัดที่นอน หมอน ผ้าห่ม และตรวจสอบที่นอนก่อนนอนทุกครั้ง
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แนะนำ วิธีการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #119 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2014, 03:38:04 pm »
7 ภัยที่ไม่คาดคิด เมื่อฝนมา

-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000082601-

โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช

เพื่อนรักย่อมกล้าเตือนในสิ่งที่ไม่สบายหูนัก เช่นเดียวกับหน้าฝนที่เป็นดั่งเพื่อนแสนดีคอยเตือนว่าให้ระวังสุขภาพกันอยู่ก็คือ โรคภัยไข้เจ็บที่มาจากอากาศแปรปรวนทั้งหลาย
       
       หวัดน้อย หวัดใหญ่ ไปจนถึงหวัดแกมบรรจง เอ๊ย…หวัดไม่ธรรมดา
       
       เชื่อว่าท่านที่รักทราบดี
       
       ในหน้าฝนนี้ยังมีสิ่งที่ “กว่าไข้หวัด” เกิดขึ้นได้อีกครับ ผมเองทำงานอยู่ใต้ฟ้าเดียวกับท่านแถมที่ทำงานก็อยู่ในที่ที่มากคนและเจริญรถ เลยพอจะเห็นว่าในหน้าฝนนี้มีอีกหลายเรื่องสุขภาพที่สามารถป้องกันได้
       
       ขอแค่ไม่มองข้ามเท่านั้น
       
       บางวันที่ผมใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์ก็ได้เห็น
       
       หลายครั้งที่ผมเดินอยู่ริมถนนก็ได้ประสบ
       
       ประเภทนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่แล้วจู่ๆ ลงไปนอนกับพื้นก็เคยกับตัวเองมาแล้ว
       
       นอกจากนั้นยังมีคนไข้ที่เข้ามาหาอย่างฉุกเฉินในหน้าฝนน้ำเจิ่งท่อระบายน้ำเช่นนี้อยู่แทบทุกปี เลยเห็นว่าพอมีสิ่งที่จะป้องกันได้และช่วยกันระวังได้จะได้ไม่ต้องไปโชว์ตัวให้คุณหมอดูโดยไม่จำเป็น
       
       โดยมีสิ่งที่ต้องคอยดูแลใกล้ชิดสักนิดหนึ่งดังต่อไปนี้ครับ
       
       *ภัยที่ไม่อาจมองข้ามในหน้าฝน


       1) อุบัติเหตุจักรยานยนต์
       
       คนนั่งซ้อนท้ายอย่างผมหรือท่านที่ขับเองต้องระวังไว้ครับ เพราะ 2 ล้อที่เกาะถนนเมื่อมีสายน้ำมาชะให้พื้นถนนลื่น อุบัติเหตุตื้นๆ ง่ายๆ อย่างลื่นล้ม ลื่นไถล หรือพลิกคว่ำแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เพราะน้ำทำให้แรงฝืดจับล้อลดลงตามกฏที่ครูฟิสิกส์ท่านเคยสอนตอนแรงเสียดทาน ทำให้การประคองรถและเบรกยากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มความเสี่ยงเนื้อแนบพื้นได้
       
       2) น้ำสาดเข้าตัว
       
       ภัยนี้เกิดกับคนเดินถนนครับ ทั้งเคยเจอกับตัวและเห็นกับตาเวลาเดินตรอกแถวบ้านที่ไม่มีทางเท้า เมื่อขับรถเร็วเข้าแล้วเหยียบน้ำก็ทำให้คนธรรมดาข้างทางกลายร่างได้ น้ำที่ไม่รู้ที่มาน่าห่วงครับ เพราะถ้าโดนเข้ากับแผลเปิดตามตัว, ผิวหนัง, เนื้อเยื่ออ่อนก็เสี่ยงติดเชื้อได้สูงทั้ง เชื้อหนองอักเสบ, เชื้อลุกลามในคนเบาหวาน และเชื้อราโรคผิวหนังที่มากับน้ำข้างทาง
       
       3) น้ำกระเด็นเข้าตา
       
       เกิดได้กับทั้งท่านที่ขับขี่จักรยานยนต์ และคนเดินถนนที่อยู่ใต้ฟ้าฉ่ำฝนนี้ครับ น้ำที่ปนเปื้อนเมื่อกระเด็นเข้าตาพาให้เกิด ตาแดงติดเชื้อ มีขี้ตาเข้มข้นทั้งคันและเคือง เกิดตากุ้งยิง ต่อมไขมันเปลือกตามีเชื้อเข้าไปจนบวมตุ่ยเป็นหนอง ดูเหมือนกับตามีมิติมากขึ้นโดยมีฟิลเลอร์เป็นหนองที่มาจากเชื้อไม่สะอาดในน้ำ อีกทั้งสาวๆ ที่ชอบกรีดตาเมคอัพก็ต้องระวังครับ
       
       4) สัตว์มีพิษจากท่อระบายน้ำ
       
       อาจมีอันตรายที่คืบคลานขึ้นมาจากใต้บาดาลมาทักทายท่าน ได้เคยเจอคนไข้ที่ถูกตะขาบไต่จากท่อระบายน้ำขึ้นมากัดขา หรือแม้ว่าจะอยู่ในบ้านก็ต้องระวังว่าบุตรหลานของสัตว์หลายบาทหรือไม่มีบาท (งู)เหล่านี้จะยกโขยงกันขึ้นมาซุ่มซ่อนอยู่ตามที่นอน, ปลอกหมอน, เสื้อผ้า และรองเท้าครับ
       
       ขอให้จับมาสะบัดก่อนหรือเคาะรองเท้าก่อนจะช่วยได้มากครับ
       
       5) อาหารเป็นพิษ
       
       ให้ระวังภัยจากอาหารการกินสักนิดอาจออกฤทธิ์ในหน้าฝนนี้ได้ เพราะที่ไหนมีน้ำที่นั่นอาจมีการปนเปื้อนได้ เพราะอากาศชื้นทำให้อาหารเสียง่ายโดยเฉพาะผัก, ผลไม้ที่นำขึ้นมาแล้วเปียกน้ำนาน หรืออาหารแห้งหลายอย่างที่ถูกน้ำแล้วพังอย่าง ธัญพืช, สมุนไพรแห้ง และถั่วลิสงที่อาจมีพิษเชื้อรา “อะฟลาท็อกซิน” ซุกซ่อนอยู่
       
       6) ภัยจากคลื่นสูง
       
       ควรระวังในหมู่นักท่องเที่ยว นักดำน้ำ นักเดินทางโดยเรือ และผู้รักการผจญภัยที่รักทุกท่าน ในหน้าฝนนี้ขอให้ติดตามพยากรณ์ทั้งบนบกและทะเลให้ดี ถ้าฤกษ์ยังไม่ดีแม้มีเรือเล็กก็ไม่ควรออกจากฝั่ง ควรเชื่อฟังผู้มีประสบการณ์เพราะเรื่องคลื่นลมนั้นเอาแน่นอนไม่ได้ เห็นใสๆเรียบดีก็มีเปลี่ยนได้ไม่ตั้งตัว ภาษิตว่า “คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล” ยังคงจริงอยู่เสมอ
       
       7) บ้านทรุด ตึกร้าว
       
       ขออย่าเพิ่งตกใจด้วยหวังว่าจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้น แต่ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่าข่าวตึกถล่มหลายแห่งเกิดในช่วงหน้าฝนซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อน้ำเซาะลงดินจนนุ่มน่วมดีราวกับเนื้อบราวนี่ชั้นดีแล้ว น้ำหนักของสิ่งใดๆ ที่ทับอยู่เบื้องบนก็พร้อมจะยุบยวบลงมาพร้อมกับคนที่อยู่อาศัย
       
       ในเรื่องนี้ขอท่านป้องกันโดยดูแลความปลอดภัยโครงสร้างไว้ก่อนหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้มายกเครื่องกันหน่อยก็ได้ครับ
       
       แม้ดินฟ้าอากาศจะไม่อาจกำหนดได้ แต่ท่านสามารถป้องกันภัยอันอาจตามมาเหล่านี้ได้ถ้าเตรียมตัวไว้ดีๆ ก่อนครับ เช่นก่อนออกจากบ้านก็เตรียมเสื้อหรือผ้าสะอาดผืนเล็กๆ ติดไว้ เลิกงานแล้วก็พกร่ม ส่วนเวลาขึ้นมอเตอร์ไซค์ก็ใส่หมวกและใส่แว่นกันน้ำกระเด็นไว้ก็ได้ ใครเคยนั่งมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนย่อมรู้ดีถึงความเจ็บปวดเวลาเม็ดฝนพุ่งปะทะหน้าตา
       
       สิ่งที่ว่านี้ถ้าท่านป้องกันไว้จะช่วยให้ท่านไม่ต้องเสียเวลากับความเจ็บป่วย เสียขวัญจากสิ่งไม่คาดคิด และไม่ต้องรับความเสี่ยงจากสัตว์พิษทั้งหลาย
       
       จะได้เป็นหน้าฝนที่แสนสบายครับ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)