น้ำปานะ ก๊ะ สัมมาทิฏฐิเคยนั่งเถียงเรื่อง น้ำปานะ กะ พี่คนนึงที่ถือศีล ข้อ วิกาลโภชนาฯ น่ะค่ะ
เค้าบอกว่า น้ำปานะ สามารถกินได้หลังเวลาบ่าย
แต่ฉันฟังแร้ว คันปากยิก ๆ เลยไล่จิกทึ้ง เอ๊ย ไล่เบี้ย
ให้พี่แก ลองมองหา รากเหง้า แห่งการกระทำ
และ รากเหง้าของบัญญัติแห่งศีลข้อนี้น่ะ ประมาณว่า
ตกลงที่มรึงจะแดร่กน้ำปานะ นั้น เป็นเพราะเกิดตัณหาอยากแดร่กขึ้นมาเอง
หรือว่า เกิดอาการหน้ามืดตาลาย หิวจนทนไม่ไหว และอาจตายได้ หากไม่ได้แดร่ก กันแน่
ซึ่ง พอพี่คนนั้นมันเถียงสู้ไม่ได้
หรือว่า อายที่จะยอมรับความจริง ที่ว่า มันแดร่กเพราะฟามอยาก
พี่แกก็ อ้างเรื่อง มัชฌิมาปฏิปทา แล้วอุ้ม พระพุทธเจ้ามาเป็นไม้กันหมา
โดย สวนกลับ ประมาณว่า ไม่รู้ล่ะ ก็ขนาดพระพุทธเจ้ายังทรงอนุญาตแล้ว
พี่ก็จะเชื่อพระพุทธเจ้า นี่แหล่ะ !อะโหย ฟังแร้วปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
รู้สึกว่า นอกจากมันจะไม่เข้าคอนเซปต์ กาลามสูตรแล้ว
มันยัง แถจนสีข้างถลอกลึกถึงซี่โครงด้วยวุ้ย
ฉันก็เรยพูดลอย ๆ เป็นประโยคบอกเล่า เข้าหูหมาไป ประมาณว่า
ฉันไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าหรอกค่ะ ฉันเชื่อตัวเอง ! เฮ้อออ พูดถึงไอ้เรื่อง น้ำปานะ เนี่ย จิง ๆ แล้ว
พระพุทธเจ้า ทั่นอนุโลม หั้ย
เพราะ ทั่นเวทนาพวก อิอ่อน เอ๊ย พวกธาตุอ่อน
ไม่สามารถมีน้ำอดน้ำต่อความอยาก ได้ ตะหากล่ะ
ถ้า กินเพราะอยาก ดื่มเพราะกระหายในรส เนี่ย
ถือศีลไป ก็เสียเวลาเปล่าว่ะ มันจะได้มรรคผล ตรงไหนวะ
แต่ถ้า ตอนบ่ายใช้พลังงาน ถางหญ้า แบกหิน ขุดหลุมปลูกต้นไม้
เสียแคลอรี่ไปหลายกิโลขีด แล้วจะฉันมื้อเย็นเนี่ย
เจ้ว่า มันก็พอจะหยวน ๆ ได้กินอะไร รองท้องได้นะ
ถ้าท้องมันร้องจ๊อก ๆ จนกรดหลั่งน่ะ
ขืนทนอดต่อไป เด๋วได้กระเพาะทะลุตายแหง๋
นี่ตะหากที่เรียกว่า ทางสายกลาง
และ ยืดหยุ่นได้ตามเหตุปัจจัย
ไม่ใช่อะไร ๆ ก็ อ้างพระพระพุทธเจ้า เป็นไม้กันหมา
แล้วหาเรื่อง เลี่ยงบาลี ยันเต
เฮ้อออ ที่จริงเรื่องที่ถกกันนี้ ถ้าพี่เขาทำไม่ได้ ก็บอกว่า ทำไม่ได้
มันก็จะจบแบบตรงไปตรงมานะ ไม่ต้องแถให้เหนื่อยด้วย
สรุปก็คือ เจอเรื่องนี้ ก็ เซ็งจิต ค่ะ
เลย อยากจะถาม ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ว่า ท่านมีมุมมอง ว่า สัมมาทิฏฐิ ในเรื่อง น้ำปานะ นี้เป็นไฉน ?