ผู้เขียน หัวข้อ: การให้ ทำไม มี :ภิกษุณีนิรามิสา  (อ่าน 1081 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



การให้ ทำไม มี : ภิกษุณีนิรามิสา

เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในจิตใต้สำนึก เป็นเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในห้วงลึกของจิตมีมากมาย หลากหลายเมล็ดพันธุ์ และพร้อมที่จะงอกออกมา อาจเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตาความกรุณา เป็นเมล็ดแห่งความใจดี เมล็ดพันธุ์แห่งการให้อภัย หรือจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธก็ได้ ทุกคนมีหมด เพียงแต่ว่าเมล็ดนั้นใหญ่หรือเล็ก ถ้าบางคนเมล็ดพันธุ์แห่งการให้ใหญ่ก็จะเป็นคนใจดี ชอบให้ ชอบทำบุญ อยู่ที่ว่าทำบุญฉลาดหรือไม่ฉลาด

บางคนเห็นคนอื่นทุกข์ปุ๊บก็รู้สึกว่าอยากจะช่วยเขาให้พ้นทุกข์ อย่างนี้ก็มีเมล็ดพันธุ์แห่งความกรุณามาก ถ้าบางคนที่ไม่ได้บ่มเพาะตรงนี้ หรืออาจจะไม่ได้มีการเติบโตเลี้ยงดูมา หรือ ตกทอดมาในเรื่องของเมล็ดพันธุ์เหล่านี้น้อย ก็อาจจะมีน้อยลง เมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ก็ไม่รู้สึกอยากช่วย อาจเพราะมีเมล็ดพันธุ์ ในแง่ลบที่แรงกว่าอยู่ข้างใน ...การที่จะช่วยกัน รดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งการให้หรือความเมตตาเป็นสิ่งที่สำคัญ มันจะช่วยให้คนมีจิตอาสามากขึ้น

ส่วนหนึ่งเมืองไทยเป็นเมืองใจบุญ เป็นเมืองที่ถูกบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการทำบุญมานาน อันเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษแห่งแผ่นดินสยาม และ เมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติใหญ่ๆ จึงได้มีการรดน้ำเมล็ดพันธ์แห่งความใจบุญ ความกรุณา คนจึงแห่กันไปช่วย เมื่อได้ดู โทรทัศน์ ได้ฟังข่าวก็เกิดความรู้สึกร่วม มีความทุกข์ร่วม พอมีความทุกข์ร่วมก็เกิดความสงสารอยากจะช่วย นี่คือพลังแห่ง ความกรุณา

ก่อนที่เราจะให้คนอื่นได้ เราต้องมีความสามารถที่จะให้ตัวเองก่อนคือตัวเองสามารถที่จะสัมผัสอะไรที่เป็นความสุขได้ อย่างง่ายๆ เช่น เราเดินออกไปข้างนอกตอนเช้า เราเห็นดอกไม้ เรายิ้มให้ดอกไม้ได้ เราเห็นเด็กเดินผ่าน เรามีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่เราสามารถที่จะทำได้ มันคือการรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้รับและเราก็อยากให้ เพราะเรามีอยู่ ฉะนั้นถ้าเราอยากจะให้ แต่ว่าเราไม่มีอะไรในตัวเอง เราเหือดแห้ง การให้ของเรามันก็จะเป็นสิ่งที่เหือดแห้ง มันไม่ใช่การให้ที่แท้จริง

เราต้องมีวิธีที่จะบ่มเพาะตัว เราให้มีอะไรที่จะให้ แต่ก็ไม่ใช่หมายถึงว่าตัวเราต้องมีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วถึงไปให้ได้ แต่หมายถึงว่าในทุกวัน วิถีชีวิตของเราต้องมีวิธีที่จะดำรงอยู่เพื่อบ่มเพาะความสามารถของตัวเรา และเราทำมันอยู่เสมอ การมีอะไรในตัวเองนี้หมายถึงในแง่ของจิตวิญญาณ ไม่ใช่ในแง่ทางธุรกิจที่จะต้องมีเงินทอง การมีในแง่ของจิตวิญญาณ คือ ในแต่ละวันเราต้องรู้วิธีที่จะให้กับตัวเองให้รอยยิ้มกับตัวเอง

ถ้าเราสังเกตดู คนที่ไม่รู้วิธีที่จะอยู่อย่างเป็นสุข เขาก็ให้คนอื่นยากเพราะว่าตัวเขาเองยังตกอยู่ในความทุกข์ การอยู่ให้เป็นสุขคือมีวิธีอย่างไรที่จะคิดให้เป็นแง่บวก คิดอย่างไรให้สร้างสรรค์ คิดอะไรที่เป็นประโยชน์ ถ้าเกิดว่าเราตื่นขึ้นมาปุ๊บ เห็นอันนั้นก็ไม่ชอบ ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ฟังข่าว ทำไมอย่างงี้อีกแล้ว ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นแง่ลบ พลังของเราก็จะลดหายลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนทำงานถึงแม้ทำงานดี ทำงานที่เรียกได้ว่าเป็นงานกุศล แต่บางทีเรากลับท้อแท้ ทัศนคติดีๆ เริ่มหายไป ความสดใส การมองโลกสร้างสรรค์หดหาย เพราะว่าเราไม่รู้วิธีที่จะดูแลตัวเอง วิธีที่จะรักษาความคิดแง่บวก ความคิดสร้างสรรค์

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของการปฏิบัติทางธรรม การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ คือการใช้ชีวิต ซึ่งหลายๆ อย่างขึ้นอยู่ที่ตัวเราเอง กำลังบริโภคอะไร จะอ่านหนังสืออะไร จะฟังเพลงอะไร จะสนทนาเรื่องอะไร เพื่อให้เกิดสิ่งที่รู้สึกว่า เราได้รดน้ำเมล็ดพันธุ์ดีๆ ในตัวเรา คุยกันเรื่องนี้แล้ว เราเข้าใจกันมากขึ้น เรารักกันมากขึ้น ฟังเพลงนี้แล้วเรารู้สึกเรามีพลัง มีกำลังใจ หรือว่าอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วเรารู้สึกทำให้เราเห็นอะไรชัดขึ้น แล้วก็เข้าใจตัวเองมากขึ้น มันอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน เราดำเนินชีวิตยังไง เราบริโภคอะไร ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางใจ ทางกาย เป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ต้องทำให้อุดมคตินั้นอยู่ในวิถีชีวิตของเรา เพราะนี่คือสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงทำให้จิตอาสาของเราอยู่ไปได้นานๆ แล้วก็สร้างสรรค์ไปได้เรื่อยๆ เพราะเรารู้วิธีที่จะให้และรักษาพลังของตัวเองได้

Give & Take Conversation
บทสัมภาษณ์เรื่อง ’การให้’ กับภิกษุณีนิรามิสา
นักบวชชาวไทย ลูกศิษย์ท่านติช นัท ฮันห์ แห่งหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส
F/B Life is sharing by หมอก้อย.