ผู้เขียน หัวข้อ: No teacher can do for you.  (อ่าน 5539 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
No teacher can do for you.
« เมื่อ: กันยายน 09, 2013, 07:27:18 pm »


No teacher can do for you.
No one can remove your greed,
hatred or jealousy.
And no one can take away your egoism.
Everyone must do on one own.

- Tenzin Palmo

沒有一位大師能代替我們做,
沒有一位大師能消除我們的貪婪、憤怒和嫉妒,
沒有一位大師能除掉我們的自我,
每個人必須自己做到。

——丹津.葩默

ไม่มีครูบาอาจารย์องค์ใดทำแทนคุณได้หรอก
ไม่มีท่านองค์ไหนจะมา ดับ ความโลภ
ความโกรธ หรือความขี้อิจฉาของคุณได้
และไม่มีท่านองค์ใดสามารถ ดับ อหังการในตัวคุณ
ทุกคนต้องพากเพียรกระทำเอาเอง.

ภิกษุณีเทนจิน พลัมโม


F/B Clearmind Zhao Ping
7 กันยายน 56
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 11, 2015, 06:46:20 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: No teacher can do for you. "เซน" สอนว่า
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2014, 04:34:58 pm »

"เซน" สอนว่า

ไม่พุ่ง
ถาม "สติปัญญาระดับแว่นต้วนเป็นอย่างไร"
ตอบ จิตใจเยือกเย็นไม่พุ่งไป

22 ตุลาคม 2013


ไม้เท้ากับคำตวาด
สมัยก่อนเจ้าอาวาสชอบใช้ไม้เท้า เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้นอกจากแสดงความน่าเชื่อถือแล้วยังใช้ไม้เท้าเพื่อตีลูกศิษย์ด้วย คำตวาดของอาจารย์ก็เหมือนไม้เท้า

ลูกศิษย์สองคนไปเรียนฌานกับอาจารย์ แต่ไม่ว่าทั้งสองคนจะหลบหลีกเร็วขนาดไหน ก็ถูกอาจารย์ตีอยู่ดี วันหนึ่งอาจารย์พูดกับลูกศิษย์สองคนว่า “เรียนที่นี่แต่ถูกตี อาตมาจะหาอาจารย์ใหม่ให้”
สองคนรู้สึกว่าไม่มีทาง แต่ก็ดีกว่าถูกตีทุกวัน
สองคนเมื่อมาถึงห้องอาจารย์ใหม่ นึกว่ายืนไกลๆ อาจารย์จะตีไม่ถึง แต่เวลาตอบคำถามไม่ถูก อาจารย์ก็ตวาดลูกศิษย์ทั้งสอง ลูกศิษย์ทั้งสองกลัวจนตัวสั่น เดินไม่ไหว

22 ตุลาคม 2013



แม่น้ำคด ส่วนน้ำนั้นไม่คด
ไม่แกล้งปดดูให้ดีมีเหตุผล
กายกับใจไม่ลามกไม่วกวน
แต่กิเลสแสนกลนั้นเหลือคด

จิตล้วนล้วนนั้นเป็นประภัสสร
กิเลสจรครอบงำทำยุ่งหมด
กิเลสเปรียบลำน้ำที่เลี้ยวลด
จิตเปรียบน้ำตามกฎไม่คดงอ

อันจิตว่างมีได้ในกายวุ่น
ในน้ำขุ่นมีน้ำใสไม่หลอกหนอ
ในสงสารมีนิพพานอยู่มากพอ
แต่ละข้องวยงงชวนสงกา

พระตรัสให้ตัดป่าอย่าตัดไม้
ไม่เข้าใจตัดได้อย่างไรหนา
รู้แยกน้ำจากแม่น้ำตามว่ามา
จึงนับว่าผู้ฉลาดสามารถเอย ฯ



:จิตเดิมนั้นประภัสสรอยู่ปรกติเป็นกลาง ๆ มิได้คด มิได้มีกิเลส
"กิเลสต่างหากคด" และคนเข้าใจผิดคิดว่า "จิตคด"

เหมือนน้ำซึ่งไม่คด แต่แม่น้ำหรือคลองต่างหากคด.
ข้อนี้หมายถึง
ต้องกำจัดกิเลสที่จู่เข้ามาเป็นครั้งคราว
ไม่ใช่ไปทรมานจิตเดิมแท้ที่ประภัสสรอยู่เองแล้ว.

15 ตุลาคม 2013



ศิษย์วอนถามอาจารย์ฐานร้อนใจ
"ทำอย่างไรไปนิพพานอาจารย์ขา?"
"อ๋อ มันง่ายนี่กระไรบอกให้นา
คือคำว่าฝนอิฐเป็นกระจกเงา"

"อาจารย์ครับเขาคงว่าเราบ้าใหญ่
แม้ฝนไปฝนไปก็ตายเปล่า"
"นั่นแหล่ะเน้อมันสอนให้แล้วไม่เบา
ว่าให้เรา หยุดหา หยุดบ้าไป

ไม่มีใครฝนอิฐเป็นกระจก
ไม่ต้องยกมากล่าวเข้าใจไหม
นิพพานนั้นถึงได้เพราะไม่ไป
หมดตนไซร้ว่างเห็นเป็นนิพพาน

ถ้าฝนอิฐก็ฝนให้ไม่มีเหลือ
ไม่มีเชื้อเวียนไปในสงสาร
ฝนความวุ่นเป็นความว่างอย่างเปรียบปาน
ฝนอิฐด้านให้เป็นเงาเราบ้าเอง" ฯ



:ยิ่งวิ่งไล่ยิ่งยืดไกลออกไป นี่คือ ตัณหา ล่ะ ให้เหนื่อยหอบ.
ยิ่งอยาก "ยิ่ง" ไม่ได้หยุด แม้อยากเป็นพระอรหันต์;
เพราะพระอรหันต์ คือ ผู้ "หมดอยาก" และเป็นผู้หยุดสนิทแล้ว.
เอา ธาตุอยาก วิ่งไล่ ธาตุหยุดอยาก ฉันใด,
ฝนอิฐเป็นกระจกก็เหนื่อยเปล่าฉันนั้น.
ถ้าจะฝนต้องฝนให้หมด
ไม่มีเหลือ ไม่เป็นอิฐ ไม่เป็นกระจกอีกเลย.
ขอขอบคุณ ท่านพุทธทาส

15 ตุลาคม 2013



เจ้านั่นล่ะบาป
พระอาจารย์เซนรูปหนึ่งออกธุดงค์พร้อมกับศิษย์
ในขณะที่เดินผ่านแม่น้ำ
ผู้เป็นศิษย์เห็นเรือโดยสารที่เจ้าของเรือกำลังเข็นออกจากฝั่ง
ซึ่งระหว่างทางที่เข็นจากฝั่งเพื่อลงไปในแม่น้ำ
ได้ทับกุ้งหอยปูปลาตายเป็นอันมาก
ผู้เป็นศิษย์เกิดความสังเวชขึ้นในใจ จึงได้เปรยขึ้นว่า

"ช่างไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันเลยหรืออย่างไร ถึงได้พรากชึวิต
ให้แตกดับไปเป็นอันมากเช่นนั้น"
"นายเรือไม่บาป" พระอาจารย์แย้งขึ้นด้วยเสียงที่เรียบเฉย
"เช่นนั้นเป็นบาปของผู้โดยสารหรือขอรับพระอาจารย์
เพราะเป็นต้นเหตุให้นายเรือต้องทำเช่นนั้น"
"ผู้โดยสารไม่บาป"
"แล้วบาปในครั้งนี้ตกอยู่ที่ใครละขอรับ"
"เจ้านั่นล่ะบาป"
ได้ยินเช่นนั้นความสงสัยก็เกิดขึ้นในใจของผู้เป็นศิษย์ทันที
เพราะเขาไม่เข้าใจเลยว่าอยู่ๆ บาปทำไมถึงมาตกที่เขาได้

"พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า กรรมต้องมีเจตนาเป็นที่ตั้ง
เมื่อไม่มีเจตนากรรมย่อมไม่เกิด
แต่เจ้ากลับชี้ถูกผิดในสิ่งที่ไม่มีตัวตน
แล้วบาปจะตกอยู่ที่ใครถ้าไม่ใช่เจ้า"

"เหตุบางอย่างเราก็ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้
อย่างเรื่องของเจตนา คนที่รู้ดีก็คือตัวของผู้กระทำ
เจ้าสามารถชี้ชัดได้หรือไม่
หากเขาไม่มีเจตนาแต่เจ้ากลับชี้ชัดลงไปว่าเขามีเจตนา เจ้าถึงได้บาป"

และการที่เจ้าจะหาคนที่จะรับผลของบาปก็เช่นเดียวกัน
กุ้งหอยปูปลาเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นทราย
นายเรือรู้หรือไม่ ผู้โดยสารรู้หรือไม่
นายเรือประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงครอบครัว
ผู้โดยสารมีเหตุจำเป็นต้องไปยังฝั่งตรงข้าม
เช่นนี้แล้ว หากโทษว่าใครบาป ใครไม่บาป
มิต้องโทษไปถึงสาเหตุเหล่านั้นอีกหรือ
เช่นนี้ เจ้านั่นล่ะบาป
:::  แง่คิด  :::
ผิดไม่ผิด บาปไม่บาป ผู้กระทำเท่านั้นที่จะรู้เจตนาดีที่สุด

7 ตุลาคม 2013


>>> F/B นิทานเซน
Pics :Pebble Art of NS by :Sharon Nowlan

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: No teacher can do for you. "เซน" สอนว่า
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2014, 06:13:34 pm »


มายาภาพ ใช้ธรรมจักษุ มองให้เห็นธาตุแท้ของสรรพสิ่ง
คนส่วนใหญ่มักจะมีชีวิตที่เร่งรีบ เครียดกับการงาน จิตใจก็ลุกลี้ลุกลน
ยากที่จะทำใจให้สงบได้
จึงมักจะเป็นเหมือนศิษย์เซนพวกนั้น ถูกมายาภาพหลอกหลอนจนหัวหมุน

กุมธาตุแท้ของสรรพสิ่งไม่ได้ ก็ควานหาปมเงื่อนของเรื่องไม่เจอ ส่งผลโดยตรงต่อความถูกต้อง เช่น ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ ปรากฏการณ์อันสลับ ซับซ้อน ทำให้ผู้คนสับสน เห็นต่างกัน ผู้คนแตกแยกทางความคิดต่อสู้สะเปะสะปะ แต้ถ้าเราใช้ธรรมจักษุมามองปัญหา เราจะรู้ว่าอะไรคือมายาภาพ อะไรคือธาตุแท้ และทางออกที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นเช่นใด



อวิชชามักทำให้เราหลงทิศผิดทาง หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองถูกต้องที่สุด ทั้งที่ในความเป็นจริง โลกนี้คือมายา กฏมนุษย์ทั้งหลายล้วนเป็นกฏสมมุติ ทางออกจึงมิได้มีเพียงถูก - ผิด, ดี - ชั่ว, ซ้าย - ขวา จงมองให้เห็นโลกใบใหญ่ แล้วเราก็จะรู้ว่าสรรพสิ่งมันดำรงอยู่เช่นนั้นเอง ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีเทพ ไม่มีมาร เราไม่สมควรใช้อคติไปตัดสินว่าสิ่งนี้สมควรอยู่ในโลกใบนี้ สิ่งนั้นสมควรถูกลบทิ้งไป เมื่อเข้าใจกฏแห่งธรรมชาติ จิตใจของเราจะเปิดกว้าง ยอมรับความจริง ยอมรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง

5 พฤศจิกายน 2013



ชีวิตที่ชั่วช้าสามานย์ ถึงอยู่นานร้อยปีมิมีค่า
ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
แต่ร้อยปีนั้น
หมดเปลืองไปกับสิ่งที่ไร้แก่นสาร
คนผู้นั้นจะแตกต่างอะไรกับเศษสวะ
ที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ

31 ตุลาคม 2013


Snake River headwaters Grand Teton National Park,Wyoming

โยนทิ้งเสียบ้าง
ชายหนุ่มผู้เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง เขามีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้าน แต่ยังห่างไกลจากความเป็นนักวิชาการที่มีความรู้อันล้ำลึก สร้างความห่อเหี่ยวแก่เขาไม่น้อย จึงไปปรึกษาพระอาจารย์เซนท่านหนึ่ง
พระอาจารย์พูดว่า “เราไปปีนเขากันเถิด ไปถึงยอดเขา เจ้าจะเข้าใจเองแหละว่าควรทำอย่างไร”
ภูเขาลูกนั้นเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดา น่าเย้ายวนเหลือเกิน เขาอดใจไม่ไหว เดินไปเจอก้อนหินสวยๆ น้ำงามๆ เข้า ก็เก็บใส่เป้หลังเพียงครู่เดียว เป้หลังก็แอ่น ตุง และเขาก็แทบจะเดินต่อไปไม่ไหว
“อาจารย์ เดินช้าๆ หน่อย ข้าเดินไม่ไหวแล้ว” เขาโอดครวญ”
“ก็แบกมาเสียเยอะแยะแบบนั้น” พระอาจารย์เซนพูดยิ้มๆ
“กลับกันเถอะ ไม่ขึ้นเขาแล้ว” ชายหนุ่มวิงวอน
“ตั้งใจว่าจะขึ้นให้ถึงยอดเขาไม่ใช่หรือ” พระอาจารย์แหย่
ชายหนุ่มเหมือนจะคิดได้ จึงถามว่า “ข้าควรทำอย่างไร”
“เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรล่ะ” พระอาจารย์ย้อนถาม
“ปล่อยวาง” ชายหนุ่มตอบ
“แล้วทำไมไม่ปล่อยวางล่ะ แบกก้อนหินหนักๆ ปืนขึ้นเขา ทำอย่างนั้นทำไม” พระอาจารย์สอน



::: แง่คิด :::
ทิ้งได้ เป็นความงามอย่างหนึ่ง
เพชรนิลจินดาที่เรียงรายอยู่ตามทาง ความรู้ที่กว้างใหญ่ไพศาล กิเลสตัณหาที่ยั่วยวนใจคน... เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคในชีวิตของคนเรา ถ้าหากจัดการได้ไม่เหมาะสม อยากได้ใคร่มีมากเกินไป โลภเกินไป หลงเกินไป ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยภาระ หากเราเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ไม่ยอมทิ้งเสียบ้าง มันก็เหมือนคนที่กินเข้าไปแล้วไม่ยอมขับถ่าย แบบนั้นไม่ถึงครึ่งเดือนมีหวังตาย
“ทิ้งได้” เป็นคำที่งดงามนัก ต้องทิ้งก่อน แล้วก็จะได้ จริงๆแล้ว เวลาที่เรา “ได้” เราก็กำลัง “สูญเสีย”
ต้องรู้จักปล่อยวาง ทิ้งได้ ชีวิตที่มีเวลาอันจำกัดจึงจะแข็งแรง สวยสดงดงาม

6 มกราคม 2014



ออกไป
วันหนึ่งอาจารย์มาถามเณร “พระธรรมเทศนายาวนาน แต่อาตมาสามารถใช้หนึ่งประโยคสรุปได้ โยมเชื่อมั้ย”
“อาจารย์พูดอะไร อาตมาก็เชื่อ” เณรตอบ
อาจารย์ชี้ไปทางซ้ายมือ แล้วบอกว่า “ไปโน่น” เณรกำลังไปทางซ้าย ทันใดอาจารย์ก็ตะโกนขึ้นว่า “ออกไป เพราะไม่มีความคิดเป็นของตนเอง”
เณรอีกคนหนึ่งรู้เรื่องนี้แล้วมาตอบคำถามให้อาจารย์ว่า “อาตมาเชื่อ”
อาจารย์ชี้ทางขวา พูดว่า “ไปทางนี้”
แต่เณรคนนี้ไม่ขยับตัว อาจารย์ก็ตะโกน “โยมมาหาอาตมา แต่ไม่เชื่อฟัง ออกไป”

6 ธันวาคม 2013



คิดเสียว่า เพื่อเอาชีวิตรอด
พระอาจารย์รูปหนึ่งพาลูกศิย์ออกธุดงค์ แต่เห็นว่าศิษย์ยังไม่ใส่ใจในการฝึกฝนตนเท่าที่ควร ในขณะเดินผ่านป่าพระอาจารย์หันไปเห็นจิ้งจอกกำลังไล่กระต่ายเพื่อจับเป็นอาหาร จึงชี้ไปให้ศิษย์ดูแล้วถามว่า
"จิ้งจอกตัวนั้นก็เหมือนเจ้าในเวลานี้" ผู้เป็นศิษย์ไม่เข้าใจที่พระอาจารย์เปรียบเปรย แต่ด้วยความสงสารกระต่ายจึงอยากช่วยเหลือ "เราควรจะช่วยกระต่ายตัวนั้นหรือไม่ขอรับ"

"ไม่ต้องหรอก เจ้าช่วยกระต่ายได้ก็จริง แต่ก็จะกลายเป็นว่าทำบาปที่เป็นต้นเหตุให้หมาจิ้งจอกอดอาหารไปหนึ่งมื้อ มันเป็นวัฏจักรเจ้าต้องรู้จักปล่อยวาง แต่ถึงเจ้าไม่ช่วย กระต่ายก็น่าจะเอาตัวรอดได้"
"ทำไม พระอาจารย์ถึงมั่นใจเช่นนั้นขอรับ ผมคิดว่าหมาจิ้งจอกตัวใหญ่กว่า แรงก็มีมากกว่า น่าจะจับกระต่ายได้แน่ๆ อยู่แล้วนี่ขอรับ"
"ดูไปเถอะ"
แล้วก็เป็นอย่างที่พระอาจารย์ว่า กระต่ายก็หนีได้ไปในที่สุด ผู้เป็นศิษย์ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเห็น จึงถามผู้เป็นอาจารย์เพื่อคลายข้อสงสัย "ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นขอรับพระอาจารย์"

"ฝ่ายหนึ่งคิดว่าอดแค่หนึ่งมื้อก็ยังไม่ตาย ส่วนอีกฝ่ายคิดว่านี่คือวาระสุดท้าย หากไม่พยายามชีวิตก็ไม่รอด เจ้าคิดว่าฝ่ายไหนจะมีความพยายามมากกว่ากัน" แม้ผู้เป็นศิษย์จะรู้ว่าฝ่ายเอาชีวิตรอดน่าจะมีความพยายามมากกว่า แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าพระอาจารย์ต้องการสอนอะไรตน ทำสีหน้าครุ่นคิด จึงได้เอ่ยต่อไปว่า
"เจ้าก็คือฝ่ายหมาป่าที่คิดว่ายังหนุ่มแน่นมีเวลาเรียนรู้พระธรรมอีกมาก จึงไม่พยายามให้เต็มที่ ทั้งที่จริงเจ้าน่าจะคิดว่าคนเราก็มีเพียงชีวิตเดียว หากไม่พยายามให้เต็มที่ก็จะไม่รอด"

"กิเลสก็ไม่ต่างอะไรกับจิ้งจอกที่หิวกระหาย หากไม่พยายามให้เต็มที่ก็จะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสโดยง่าย เจ้าต้องทำตัวเป็นกระต่ายที่คิดเสมอว่าตนเองมีชีวิตเดียว เจ้าก็จะรอดจากกิเลสได้ทุกเมื่อ"

:แง่คิด คนส่วนโหญ่มักคิดว่าชีวิตเป็นเรื่องง่าย จึงทำให้ขาดความจริงจังและความพยายาม และบ่อยครั้งก็ล้มเลิกความตั้งใจเอาเสียเฉยๆ เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยเริ่มต้นใหม่ก็คงไม่เป็นอะไร ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ยาก ชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีความตายตามหลังอยู่ทุกขณะจิต จะตายวันตายพรุ่งไม่มีใครรู้ นิทานเซนเรื่องนี้จึงสอนให้คิดเสมอว่าให้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่หากไม่พยายามก็จะไม่รอด !!!

7 ตุลาคม 2013


>>> F/B นิทานเซน

ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
Re: No teacher can do for you.
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2014, 04:19:55 pm »

:07: :07: :07:

ขอบพระคุณ ครับ พี่ แป๋ม :07:


<a href="http://www.youtube.com/v/2IdbJPH1iZU?version=3&amp;amp;hl=th_TH" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://www.youtube.com/v/2IdbJPH1iZU?version=3&amp;amp;hl=th_TH</a>

ชิเน กทริยํ ทาเนน


ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานเซน :ก้อนหินในกระเป๋า
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 12:23:05 pm »


ก้อนหินในกระเป๋า

เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์กำลังเตรียมตั้งกระโจมทำการพักผ่อนนอนหลับนั้นเอง พวกเขาก็เห็นลำแสงเปล่งรัศมีเจิดจ้าขึ้น ประสาทที่หกบอกพวกเขาว่า เทพเจ้ากำลังจะปรากฏ ณ บัดนี้แล้ว พวกเขารีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างนอบน้อม และแล้ว เทพเจ้าก็ปรากฏกายขึ้นจริงๆ เทพเจ้าพูดกับเหล่าสาวกผู้ซื่อสัตย์ว่า “พรุ่งนี้ เวลาเดินทาง เจอก้อนหินที่ไหนก็ให้เก็บใส่กระเป๋ามากๆ ตกกลางคืน พวกเจ้าจะมีความสุขสุดๆ แต่ขณะเดียวกัน พวกเจ้าจะมีความทุกข์ด้วย” พูดจบ เทพเจ้าก็หายไป เหล่าสาวกต่างผิดหวังไปตามๆกัน พวกเขาคิดว่าเทพเจ้าจะนำโชคก้อนใหญ่มาให้พวกเขาเสียอีก ที่ไหนได้ เทพเจ้ากับสั่งให้พวกเขาทำงานบ้าๆ บอๆ ชิ้นหนึ่ง คือเก็บก้อนหินใส่กระเป๋า

เช้าวันรุ่งขึ้น แม้พวกเขาจะไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเทพเจ้า พวกเขาหลับหูหลับตา เก็บก้อนหินก้อนเล็กๆ ใส่กระเป๋าไปตามเรื่อง แล้ววันนั้นก็ผ่านไปอย่างเซ็งๆ ตกเย็น ได้เวลาที่พวกเขาจะต้องางเต็นต์นอนพักกันแล้ว สาวกบางคนล้วงก้อนหินในกระเป๋าออกมาดูโดยมิได้ตั้งใจ ปรากฏว่าหินในกระเป๋ากลายเป็นทองคำ พวกเขาดีใจมาก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุดที่มิได้เก็บก้อนหินใส่กระเป๋าให้มากกว่านี้
แง่คิด คนขยันมักจะโชคดี

เทพเจ้าสั่งให้กลุ่มคนเร่ร่อนเก็บก้อนหินใส่กระเป๋า โดยมิได้บอกให้รู้ว่า ตกเย็นก้อนหินจะกลายเป็นทอง กลุ่มคนเร่ร่อนเกรงกลัวอำนาจเทพเจ้า จึงเก็บก้อนหินใส่กระเป๋าอย่างขอไปที. เทพเจ้าในนิทานเซนเรื่องนี้เปรียบเสมือนเถ้าแก่หรือเจ้าของบริษัท พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์เปรียบเสมือนลูกจ้างพนักงาน เป็นธรรมดาที่เจ้าของบริษัทจะปรารถนาให้พนักงานทำงานอย่างขยันขันแข็ง มีจิตใจเป็นเจ้าของงาน มีความกระตือรือร้น มีความคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับลูกจ้างส่วนใหญ่ที่มักจะเห็นบริษัทเป็นศาลาพักร้อนริมทาง พวกเขาจะทำงานอยู่ที่นี่ชั่วคราว แล้วมองบริษัทอื่นที่คิดว่าดีกว่าบริษัทที่ทำงานอยู่ เหตุนี้เอง คนส่วนใหญ่จึงทำงานอย่างขอไปที เจ้านายสั่งให้ทำอะไร ก็ทำพอมิให้ถูกด่า เรื่องบุกเรื่องลุย เรื่องลำบากหนักเหนื่อยเลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลบได้ก็หลบ งานใหญ่งานเล็กล้วนมิได้ทำด้วยจิตใจของผู้ที่เป็นเจ้าของงาน

นิทานเซนเรื่องนี้สอนให้เราตระหนักว่า มีแต่คนที่รักงาน ขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน ทำงานด้วยจิตสำนึกของผู้ที่เป็นเจ้าของงานเท่านั้น ชีวิตจึงจะเจริญรุ่งเรือง เปรียบไปก็เหมือนคนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ที่เก็บหินใส่กระเป๋าอย่างคนที่สำนึกในคำสั่งและภาระหน้าที่ เก็บแต่ก้อนดี เก็บจนเต็มกระเป๋า โดยไม่คำนึกถึงความหนักเหนื่อยที่ตัวเองต้องแบกรับ ซึ่งมีคนประเภทนี้เท่านั้น ในกระเป๋าจึงพูนไปด้วยทองคำก้อนใหญ่ๆ ดีๆ
นอกจากนี้ นิทานเรื่องนี้ยังสอนเราอีกว่า ชีวิตเป็นอะไรที่แปลกมาก สุขมักมาคู่กับทุกข์ ได้มักมาพร้อมกับเสีย ในโชคดีมีโชคร้าย ในโชคร้ายมีโชคดี ความลำบากนำมาซึ่งความสำเร็จ

10 กันยายน 2013

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานเซน :อยู่อย่างมีความสุข
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 12:25:34 pm »


นิทานเซน :อยู่อย่างมีความสุข

วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านอู๋เต๋อทำงานง่วนอยู่ในลานวัด ก็มีญาติโยม 3 คนเดินเข้ามาคารวะท่าน แล้วถามว่า “อาจารย์ พวกเรามีปัญหาอยากจะขอคำชี้แนะจากท่าน พวกเรานับถือศาสนาพุทธมาหลายปีแล้ว แต่ทำไมจิตใจจึงยังไม่มีความสุขสักที” ท่านอู๋เต๋อวางจอบลง กล่าวว่า “อยากมีความสุขไม่ยากดอก แต่พวกท่านต้องตอบอาตมามาก่อนว่า คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร” ครู่ใหญ่ๆ ต่อมา

นาย ก. จึงตอบว่า “ที่มีชีวิตอยู่ ก็เพราะไม่อยากตาย”
นาย ข. ตอบว่า “ที่กระผมทำงานหนักในทุกวันนี้ ก็เพราะหวังไว้ว่า เมื่อแก่ตัวลง จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับลูกหลาน ไม่ต้องห่วงเรื่องกินเรื่องอยู่ สามารถใช้ชีวิตสบายๆ ไปจนตาย”
นาย ค. ตอบว่า “กระผมไม่ได้หวังอะไรเลย แต่ที่มีชีวิตอยู่ ก็เพื่อเลี้ยงครอบครัวให้มีกินมีใช้”

ท่านอู๋เต๋อยิ้ม แล้วกล่าวว่า “มิน่าเล่า พวกท่านถึงไม่มีความสุขก็สิ่งที่พวกท่านคิดถึงนั้นมีแต่คำว่า แก่ คำว่า ตาย คำว่าถูกบังคับให้ทำงานหนัก พวกท่านมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีอุดมการณ์ ขาดศรัทธา ขาดความรับผิดชอบ ขาดความเชื่อมั่น มันจะมีความสุขได้อย่างไร” นาย ข. แย้งว่า “อุดมการณ์ ศรัทธา ความรับผิดชอบ กินแทนข้าวได้อย่างนั้นหรือ ?” นาย ค. เร่งเร้าว่า “ท่านอาจารย์ช่วยบอกพวกเราทีเถิดว่า ทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีความสุขได้” ท่านอู๋เต๋อถามว่า “พวกท่านคิดว่าชีวิตต้องมีอะไรบ้างล่ะถึงจะมีความสุข” นาย ก. ตอบว่า “ถ้ามีชื่อเสียงก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมีความสุขก็จะตามมา” นาย ข. พูดว่า “ต้องมีความรัก ถึงจะมีความสุข” นาย ค. ตอบว่า “ต้องมีเงิน ถึงจะมีความสุข” ท่านอู๋เต๋อถามว่า “ถ้าเช่นนั้น อาตมาขอถามพวกท่านหน่อยเถิดว่า ทำไมคนมีชื่อเสียงแล้วจึงมียิ่งทุกข์ คนมีความรักแล้วกลับเจ็บปวด คนมีเงินมีทองแล้วกลับกังวล” ชายทั้งสามตอบไม่ได้

ท่านอู๋เต๋อพูดต่อไปว่า “อุดมการณ์ ศรัทธา และความรับผิดชอบไม่ใช่สิ่งว่างเปล่า แต่แสดงออกในทุกอณูของชีวิต ต้องเปลี่ยนแปลงคติชีวิต เปลี่ยนแปลงท่าทีเสียก่อน ชีวิตจึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ชื่อเสียงที่ทำให้คนเรามีความสุขนั้น ต้องเนชื่อเสียงที่เกิดจากการรับใช้คนส่วนใหญ่ ความรักที่ทำให้คนเราสุขใจอย่างแท้จริงนั้นต้องความรักที่รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน เงินทองจะมีค่าก็ต่อเมื่อรู้จักบริจาค รู้จักช่วยเหลือคนยากจนคนจน ถ้าพวกท่านดำเนินชีวิตไปตามครรลองเช่นนี้ ชีวิตก็จะพบกับความสุขอย่างแท้จริง”

แง่คิด ใครขโมยความสุขของเราไป คนบางคนประสบความสำเร็จในทุกด้าน แต่เขาก็ยังไม่มีความสุข ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
ความสุขทิ้งเราไป หรือเราทิ้งความสุขไป ? เงินทอง ความรัก เชื่อเสียง ตำแหน่งฐานะ ไม่ได้หมายถึงความสุขเสมอไป เราคิดว่า นับเงินจนมือหงิกแสดงว่ามีความสุขมากที่สุด หากเป็นเช่นนั้นจริง มหาเศรษฐีก็ต้องมีความสุขมากที่สุดสินะ และขอทานก็ต้องทุกข์ที่สุด จริงๆแล้วขอทานก็มีความสุขประสาขอทาน เผลอๆ อาจมีความสุขมากกว่าพวกชนชั้นกลางที่ทำงานงกๆ ยุ่งวุ่นวายทั้งวันเสียอีก เพราะพวกเขาไม่มีความคาดหวังที่มากมายก็ได้วันไหนขอทานได้เงินสัก 2000 บาท ก็ดีใจมีความสุข รู้สึกว่ารวยล้นฟ้าแล้ว ความสุขเป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง เกิดจากใจ ความคิดแวบหนึ่งก็ทำให้เราขึ้นสวรรค์หรือตกนรกก็ได้.

4 กันยายน 2013

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานเซน :พื้นผิวของชีวิต
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 12:37:12 pm »


นิทานเซน :พื้นผิวของชีวิต

ฟ้าเพิ่งสาง นาย ก.ผู้ถือศีลกินเจถือช่อดอกไม้สดกับผลไม้ถาดหนึ่ง กุลีกุจอมาไหว้พระแต่เช้า เพิ่งย่างเท้าเข้ามาในโบสถ์เท่านั้นก็มีคนคนหนึ่งวิ่งพรวดออกมาชนปะทะกันจังๆ ทำเอาถาดผลไม้พลิกคว่ำ ผลไม้หกเกลื่อนกระจายไปทั่วพื้น นาย ก. โกรธมาก ตวาดว่า “ดูสิ ทะเล่อทะล่าวิ่งมาชนผลไม้ไหว้เจ้าของข้าหกกระจาย ทีนี้จะว่าอย่างไร” ผู้วิ่งมาชนกล่าวอย่างไม่พอใจนักว่า “ก็มันชนเข้าให้แล้วนี่ ข้าก็พูดได้คำเดียวว่า ขอโทษ คนถือศีลกินเจ ทำไม่ต้องดุขนาดนี้ด้วย” นาย ก. โกรธยิ่งกว่าเดิม กล่าวว่า “อะไรกัน ตัวเองทำผิด ยังจะโทษคนอื่นอีก”

พูดจบ ผู้ถือศีลกินเจทั้งสองก็ทะเลาะกันใหญ่ ท่านอาจารย์ก่วงหวี่เดินผ่านมาพอดี จึงสอนว่า “เดินทะเล่อทะล่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ว่าไม่ยอมรับคำขอโทษของผู้อื่นก็ไม่ถูกเช่นกัน การยอมรับผิดอย่างจริงใจกับการยอมรับคำขอโทษจากผู้อื่นอย่างมีเมตตาจิต เป็นพฤติกรรมของผู้มีปัญญา” การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะต้องรู้จักปรับพื้นผิวชีวิตของตัวเอง อย่างเช่นในทางสังคม เราจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างปรองดองได้อย่างไร ในทางเศรษฐกิจ เราจะใช้จ่ายให้รายรับกับรายจ่ายสมดุลกันได้อย่างไร ในทางสุขภาพเราจะฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงได้อย่างไร ในทางจิตวิญญาณเราจะเลือกวิถีชีวิตให้กับตัวเองอย่างไรจึงจะไม่ทำให้รู้สึกเสียชาติเกิด ลองคิดดูนะว่า เป็นเพราะเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่ง เราก็ทะเลาะกันแต่เช้า เสียอารมณ์ หงุดหงิด จิตใจไม่สงบ เสียศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ มันคุ้มค่าไหม?

วิธีแก้ไข นาย ข. ข้าสำนึกผิด กล่าวจากใจจริง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าขาดสติไปหน่อย จึงเดินทะเล่อทะล่าไปชนท่าน ข้าขอโทษ” นาย ก. ใจอ่อนลง พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ข้าก็ไม่ถูกเหมือนกัน ไม่ควรโมโหโทโส เอ็ดตะโรใส่ท่าน ข้าขอโทษ”

แง่คิด รู้จัก “ขอโทษ” กันบ้าง การไม่ยอมขอโทษมี 2 กรณี แรกเกิดจากเราผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้จริงๆว่าตัวเองทำความเสียหายแก่ผู้อื่นเข้าแล้ว จึงไม่ขอโทษ กรณีที่ 2 เป็นปัญหาเกี่ยวกับศักดิ์ศรีหน้าตา รู้สึกว่าใครถูกใครผิดก็ช่าง แต่ถ้าใครขอโทษก่อน คนนั้นเสียหน้า จะให้พ่อแม่ไปขอโทษลูกนั้นก็ทำไม่ได้ ขอโทษเพื่อนก็เหมือนกันเสียหน้าออกจะตาย

เกิดเป็นคน ย่อมทำถูกทำผิดกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าหากเรามีความกล้าหาญพอที่จะยอมรับผิด ยอมอภัยให้คนอื่น โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี น่าอยู่น่าอาศัยยิ่งขึ้น เรื่องนี้ยังสอนถึง รูปแบบที่ดีย่อมสร้างความประทับใจเป็นที่ต้อนรับของคนทั่วไป คนที่คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีภาษีมากกว่าคนที่คิดดี ทำดี แต่พูดไม่ดี

3 กันยายน 2013

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานเซน :สัตบุรุษกับคนถ่อย
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 12:43:17 pm »


นิทานเซน :สัตบุรุษกับคนถ่อย

ศิษย์ถามอาจารย์ว่า “สัตบุรุษทำผิดอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ถูกคนตำหนิ ติเตียน แต่คนถ่อยทำผิดคิดชั่วสารพัด ทำไมคนเขาไม่รู้สึกอะไร” อาจารย์ตอบว่า “สัตบุรุษเปรียบประดุจดังหยกชิ้นงาม เนื้อหยกหากมีตำหนิแม้เพียงเส้นเท่าขนแมว คนเขาก็มองเห็น และลงคะแนนว่าเป็นหยกที่มีตำหนิ ส่วนคนถ่อยที่ทำเลวทำชั่วทุกวี่วัน ชั่วจนชินตา ชั่วทุกตารางนิ้ว ชั่วจนหาที่ดีไม่เจอ จึงไม่มีใครนึกอยากจะตำหนิติเตียน”

แง่คิด เป็นคนดี มันยากนะ ทั้งหนักทั้งเหนื่อยทั้งถูกจับจ้องคาดหวัง
“สัตบุรุษ” แปลว่า คนดี คนสงบ คนที่พร้อมมูลด้วยธรรม นิทานเซนเรื่องนี้ บอกว่า “สัตบุรุษ” เป็นกันยาก เรามาดูกันหน่อยว่า สัตบุรุษ ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ในทางปฏิบัติคือคนที่ประกอบธรรม 7 ประการ คือ

- เป็นคนที่มีศรัทธา มีความละอายต่อบาป มีความกลัวต่อบาป เป็นคนได้ยินได้ฟังมาก มีความเพียร มีสติมั่นคง
- ไม่ปรึกษาอะไรที่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
- ไม่คิดอะไรเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
- ไม่พูดอะไรเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
- ไม่ทำอะไรเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
- มีความเห็นชอบ เป็นสัมมาทิฐิ
- ให้ทานโดยความเคารพ ไม่ให้แบบทิ้งขว้าง

กล่าวกันว่า เป็นคนนั้นยาก เป็นสัตบุรุษก็ยิ่งยาก ธรรมชาติก็ได้โปรแกรมให้เราต้องเป็นสัตบุรุษอยู่แล้ว ยังไงๆ เราก็ไม่เลือกที่จะเป็นคนถ่อย แม้คนถ่อยจะเป็นง่ายกว่าสัตบุรุษหลายพันหลายหมื่นเท่าก็ตาม เมื่อธรรมชาติแห่งจิตพุทธะในตัวคนสำแดงเดชให้มนุษย์ต้องเป็นคนดี ยามเจอเงื่อนไขหนักเหนื่อย จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมอย่าได้ท้อแท้ทุกข์ตรมไปเลย เพราะนี่คือธรรมชาติ

ขงจื้อสอนไว้ว่า ความผิดพลาดของสัตบุรุษนั้น เปรียบประดุจดังสุริยุปราคา ใครๆก็มองเห็น แต่หลังจากที่เขาแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นแล้ว ทุกคนก็ยังคงเคารพนับถือเขา

10 กันยายน 2013

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: No teacher can do for you.
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 02:37:43 pm »


พระอาจารย์หย่าศึก

วันหนึ่ง ท่านเซียนหยาออกบิณฑบาต พบสามีภรรยาคู่หนึงกำลังทะเลาะกัน ภรรยาเอามือเท้าสะเอว ด่าสามีดังต่อหน้าธารกำนัลว่า “แกเป็นผัวประสาอะไร ไม่ให้ตังค์แต่งตัวฉันไม่ว่า แม้แต่เงินค่าเล่าเรียนลูก ก็ยังไม่ให้อีก แกนี่ไม่เอาไหนจริงๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีอะไรเหมือนผู้ชายเลย” สามีถูกด่าต่อหน้าสาธารณชน ก็รู้สึกเสียหน้ามาก ถึงกับถลกแขนเสื้อ แล้วชี้หน้าด่ากลับไปว่า “นังแพศยา ด่าอีกที พ่อจะตบเสียให้กลิ้งเลย” ภรรยาไม่ลดราวาศอก ด่าตอบว่า “ไม่ต้องท้า ข้าด่าแน่ แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”

 ท่านเซียนหยาแหวกฝูกชนเข้ามาร้องตะโกนว่า “พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย มาดูคนกัดกันเร็วเข้า ปกติดูชนไก่ ชนวัว ต้องเสียตังค์ แต่คนกัดกัน ไม่ต้องซื้อตั๋ว นานทีปีหนถึงจะได้เจอของดีๆแบบนี้ รีบเร่เข้ามาดูเร็วเข้า” สองผัวเมียไม่สนใจ ยังคงทะเลาะกันต่อไป สามีตวาดว่า “แกลองด่าข้าอีกทีสิว่าไม่ใช้ลูกผู้ชาย ข้าจะฆ่าแกเสียทันที” ภรรยาไม่ยี่หระ ด่าว่า “แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย เอาสิ...ฆ่าเลย...ฆ่าเลย”
 ท่านเซียนหยาตะโกนว่า “ฉากบู๊นองเลือดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว กำลังจะฆ่ากันแล้ว หาดูที่ไหนไม่ได้เทียวนะทุกท่าน รีบเร่มาดูเร็วเข้า” ชาวบ้านที่เดินผ่านมา เห็นท่านเซียนหยาส่งเสียงเชียร์แบบนี้ ก็ทนไม่ได้ ตำหนิท่านว่า “พระสงฆ์ ผัวเมียทะเลาะกัน ท่านไม่ห้าม พวกเราไม่ว่า แต่ยังยุส่งอีก มีประโยชน์อะไร”
ท่านเซียนหยาตอบอย่างสะใจว่า “มีสิ ประโยชน์เยอะแยะ พวกเขาบอกว่าจะฆ่ากันตาย พอมีคนตาย พระก็มีงานทำ ได้เงินทำบุญ อาตมาก็มีเงินใช้ ไม่ดีได้อย่างไร”

 ชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็สิ้นศรัทธา ด่าพระเสียงดังลั่นว่า “เพื่อเงินเล็กๆน้อยๆ พระเจ้าถึงกับลุ้นให้คนเขาฆ่ากันตายเชียวหรือ” เสียงเอะอะโวยวายของชาวบ้านที่ทุ่มถียงกับพระสงฆ์ ทำให้สามี ภรรยาที่กำลังทะเลาะกันต้องหันกลับไปดูพระโดยมิได้นัดหมาย เลิกทะเลาะกันชั่วคราว พอท่านเซียนหยาเห็นว่าเบี่ยงเบนความสนใจได้แล้ว จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่อยากเห็นคนฆ่ากันตาย ฟังอาตมาเทศน์สักหน่อย” ผัวเมียกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ต้องเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ทำความคิดของอีกฝ่ายให้สุกงอม คนที่จะครองคู่เป็นผัวเมียกันนั้น มันต้องเคยทำบุญร่วมกันมาก่อน ผัวเมียจะต้องเคารพซึ่งกันและกัน สองสามีภรรยาจึงรู้ตัวว่าตัวเองปล่อยให้โมหะจริตเข้าครอบงำจนเสียผู้เสียคนไปแล้ว จึงขอขมาซึ่งกันและกัน

แง่คิด ใช้วิธีไม่ปกติในเวลาที่ไม่ปกติ ชาวจีนบอกว่า ปัญญาเกิดเมื่อเจอเหตุคับขัน ดังนั้นคนที่เจอปัญหาบ่อยๆ ต้องแก้ปัญหาด่วนๆ อยู่เสมอ จึงมักจะมีปณิธานไหวพริบเฉียบไว มีปัญญาอันหลากหลาย ผิดจากคนที่ไม่เคยเจอปัญหามาก่อน คนประเภทนี้ ถ้าเจอปัญหามักจะลนลานทำอะไรไม่ถูก กลายเป็นคนเงอะงะเบาปัญญาในบัดดล

3 กันยายน 2013

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: Time to Die
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 02:42:31 pm »


Time to Die

Ikkyu, the Zen master, was very clever even as a boy. His teacher had a precious teacup, a rare antique. Ikkyu happened to break this cup and was greatly perplexed. Hearing the footsteps of his teacher, he held the pieces of the cup behind him. When the master appeared, Ikkyu asked: "Why do people have to die?"

"This is natural," explained the older man. "Everything has to die and has just so long to live."

Ikkyu, producing the shattered cup, added: "It was time for your cup to die."

19 สิงหาคม 2013
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 07, 2015, 04:23:46 pm โดย ฐิตา »