- มาแว้ววว !! -
## Warrior of the Light: A Manual (คู่มือนักฝัน) ##
## Paulo Coelho (เปาโล โคเอลโย) : เขียน ##
Tara de La Mancha : แปล
โดย OMG Books
| ..คำโปรยเปิดเล่ม.. |
ศิษย์ย่อมไม่เหนือไปกว่าครู
แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนอย่างสมบูรณ์แล้ว
ก็จะเป็นเหมือนอย่างครู
- ลูกา 6:40 -
| ..บทนำ.. |
“จากแนวหาดไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านจะมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง บนนั้นจะมีวิหารใหญ่ที่มีระฆังอยู่เต็มไปหมด” หญิงสาวกล่าว
เด็กหนุ่มสังเกตว่าเธอแต่งตัวแปลกๆ และมีผ้าคลุมศีรษะอยู่ด้วย อีกทั้งยังไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย
“เธอเคยไปวิหารนั้นมาก่อนมั้ย” หญิงสาวถาม “ลองไปสิ แล้วมาเล่าให้ฉันฟังว่าเธอคิดยังไง”
ความสวยของหญิงสาวสะกดให้เด็กหนุ่มเดินไปยังทิศที่เธอบอก จากนั้นจึงนั่งลงตรงชายหาดและทอดสายตาออกไปไกลลิบ แต่เขาก็เห็นเพียงสิ่งที่เห็นมาตลอด นั่นคือ ท้องฟ้าสีครามและผืนทะเลสุดลูกหูลูกตา
ด้วยความผิดหวัง เด็กหนุ่มจึงเดินไปหมู่บ้านชาวประมงที่อยู่ใกล้ๆ และออกปากถามว่า มีใครรู้เรื่องเกาะและวิหารบ้างหรือเปล่า
“โอ มันนานหลายปีมาแล้วละ ตั้งแต่สมัยผู้เฒ่าผู้แก่ของฉันโน่น” ชายชราชาวประมงคนหนึ่งบอก “ตอนนั้นมีแผ่นดินไหว ทั้งเกาะนั่นจมหายลงไปใต้ทะเล แต่ถึงจะไม่เห็นเกาะนั้นแล้ว แต่พวกฉันก็ยังได้ยินเสียงระฆังอยู่ตอนที่คลื่นทะเลซัดจนมันกังวานอยู่ใต้น้ำ”
เด็กหนุ่มกลับไปชายหาดอีกรอบเพื่อพยายามฟังเสียงระฆัง เขาใช้เวลาทั้งช่วงบ่ายอยู่ตรงบริเวณนั้น ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงคลื่นลมและเสียงร้องของหมู่นางนวล จวบจนพลบค่ำพ่อแม่ของเขาก็มาตามตัวกลับไป เช้าวันรุ่งขึ้น เขากลับมาที่ชายหาดนั้นอีก เด็กหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่า ผู้หญิงหน้าตาดีแบบนั้นจะหลอกกันได้ลง ซึ่งถ้าเธอหวนกลับมาให้เห็นอีกรอบ เขาจะบอกเธอว่า ถึงจะไม่เห็นเกาะที่เธอบอก แต่เขาก็ได้ยินคนพูดว่าระฆังจะก้องกังวานตอนที่คลื่นทะเลซัดสาด
หลายเดือนผ่านไป หญิงสาวไม่ได้ย้อนกลับมาอีก ส่วนเด็กหนุ่มก็ลืมเรื่องของเธอไปหมดแล้ว ตอนนี้เขาคิดแต่ว่าจะต้องค้นหาของมีค่าและทรัพย์สมบัติในวิหารใต้ทะเลให้ได้ ซึ่งถ้าเขาได้ยินเสียงระฆัง เขาก็จะรู้ตำแหน่ง และกู้สมบัติที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ขึ้นมาได้
เด็กหนุ่มหมดความสนใจเรื่องการเรียน ไม่สนใจกระทั่งเพื่อนฝูง เขากลายเป็นตัวตลกของเด็กคนอื่นๆ เด็กพวกนั้นพูดกันว่า “มันไม่เหมือนพวกเรา มันชอบนั่งมองทะเล เพราะกลัวว่าถ้ามาเล่นกับพวกเราแล้วจะสู้ไม่ได้”
และทั้งหมดต่างหัวเราะครืนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่ริมฝั่งทะเล
แม้ยังไม่ได้ยินเสียงระฆังโบราณของวิหาร แต่เด็กหนุ่มก็ได้เรียนรู้เรื่องอื่น เขาเริ่มตระหนักว่าตัวเองเริ่มชินกับเสียงคลื่นลมจนมันไม่รบกวนใจเขาอีกต่อไป จากนั้นไม่นาน เขาก็คุ้นชินกับเสียงร้องของนางนวล เสียงอื้ออึงของฝูงผึ้ง รวมถึงเสียงลมพัดโกรกท่ามกลางหมู่ต้นปาล์ม
ผ่านไปหกเดือนหลังจากพูดคุยกับหญิงสาวในคราวนั้น เด็กหนุ่มสามารถนั่งลงตรงแนวหาดโดยที่เสียงรอบตัวไม่อาจแทรกผ่านเข้ามารบกวนจิตใจเขาได้เลย แต่เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงระฆังจากวิหารใต้ทะเลอยู่เหมือนเดิม
ชาวประมงเดินเข้ามาพูดกับเขา พร้อมยืนยันว่าพวกตนต่างได้ยินเสียงระฆัง
แต่เด็กหนุ่มไม่เคยได้ยิน
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ท่าทีของชาวประมงก็เปลี่ยนไป “เธอใช้เวลาคิดเรื่องระฆังใต้ทะเลมากไปแล้ว ลืมๆ มันไปเถอะแล้วกลับไปเล่นกับเพื่อนๆ ดีกว่า คงมีแต่พวกชาวประมงเท่านั้นล่ะมั้งที่ได้ยินเสียงระฆัง”
ผ่านไปเกือบปี เด็กหนุ่มคิดขึ้นมาว่า “บางทีคนพวกนั้นอาจพูดถูกก็ได้ ฉันคงทำได้ดีกว่านี้ถ้าได้เกิดและโตมาเป็นชาวประมง ได้ลงมาหาดนี้ทุกเช้า เพราะฉันชักชอบบรรยากาศแถวนี้แล้วเหมือนกัน” ทั้งยังคิดต่อว่า “บางทีมันก็อาจเป็นแค่ตำนานโบราณเรื่องหนึ่ง ส่วนระฆังก็คงพังกระจายไปหมดแล้วตอนแผ่นดินไหว แล้วตั้งแต่นั้นก็ไม่มีเสียงระฆังอีกเลย”
บ่ายวันนั้นเขาตัดสินใจกลับบ้าน
เด็กหนุ่มเดินออกไปริมทะเลเพื่อกล่าวคำอำลา พร้อมกวาดสายตาไปยังโลกธรรมชาติรอบตัวอีกครั้ง และเพราะตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องระฆังอีกแล้ว เขาจึงยิ้มได้อีกครั้งกับความงามจากเสียงร้องของนางนวล เสียงคำรามก้องของท้องทะเล เสียงลมพัดละเลียดต้นปาล์ม ไกลออกไปเขาได้ยินเสียงเพื่อนๆ เล่นกันอยู่ ทั้งรู้สึกเบิกบานที่คิดขึ้นมาว่าอีกไม่นานก็จะได้กลับไปเล่นอะไรแบบเด็กๆ อีก
เด็กหนุ่มเป็นสุขใจและรู้สึกขอบคุณสำหรับการมีชีวิต ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เด็กเท่านั้นจะสัมผัสได้ เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เสียเวลาเปล่าเลย เพราะได้เรียนรู้ที่จะใคร่ครวญถึงโลกธรรมชาติและให้ความเคารพมัน
ทว่าขณะเด็กหนุ่มกำลังฟังเสียงทะเลครืน เสียงร้องของนางนวล เสียงสายลมกรีดผ่านหมู่ต้นปาล์ม รวมถึงเสียงเพื่อนๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่นั้นเอง เขากลับได้ยินเสียงระฆังใบแรกดังขึ้น
แล้วก็ใบต่อมา
และก็อีกใบหนึ่ง กระทั่งระฆังทุกใบในวิหารใต้ผืนทะเลต่างส่งเสียงก้องกังวาน เด็กหนุ่มมีความสุขเหลือเกิน
หลายปีต่อมา เมื่อเด็กหนุ่มโตเป็นผู้ใหญ่ เขาได้กลับไปยังหมู่บ้านและชายหาดในวัยเยาว์อีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ฝันถึงการค้นพบสมบัติใต้ท้องทะเลอีกแล้ว บางทีทั้งหมดนี้อาจเป็นผลจากจินตนาการของเขาเอง และเขาก็อาจไม่เคยได้ยินเสียงระฆังใต้ทะเลจริงๆ ในช่วงบ่ายของวันนั้นเลยก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังตัดสินใจเดินเลาะไปตามชายหาดสักพัก เพื่อซึมซับฟังเสียงสายลมและเสียงร้องของนางนวล
ทว่าตรงบริเวณชายหาดนั้นเอง เขาต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวที่เคยเล่าเรื่องเกาะและวิหารให้เขาฟังเป็นครั้งแรก
“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ” เขาถาม
“รอเธออยู่น่ะสิ” เธอตอบ
เขาสังเกตว่าแม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปี แต่หญิงสาวคนนี้ยังดูเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน อีกทั้งสีของผ้าที่คลุมผมเธออยู่ก็ไม่ซีดจางไปตามกาลเวลาเลย
เธอยื่นสมุดบันทึกสีฟ้าที่ข้างในมีแต่หน้ากระดาษเปล่าให้เขา
“เขียนลงไปนะ… นักรบแห่งแสงสว่างให้ค่ากับแววตาของเด็กๆ เพราะมันมองโลกโดยไม่แฝงความขมขื่น หากเขาอยากรู้ว่าจะไว้ใจคนที่อยู่ข้างๆ ได้หรือไม่ เขาจะพยายามมองคนผู้นั้นแบบที่เด็กๆ มอง”
“อะไรคือนักรบแห่งแสงสว่างครับ”
“เธอรู้อยู่แล้ว” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม “เขาคือคนที่เข้าใจในความอัศจรรย์ของชีวิต คือคนที่สู้เพื่อสิ่งที่ตนเชื่อจนถึงที่สุด คือคนที่ได้ยินเสียงระฆังตอนที่คลื่นใต้ทะเลทำให้มันกังวานขึ้น”
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง ซึ่งหญิงสาวก็ดูจะอ่านความคิดของเขาออก “ทุกคนมีศักยภาพที่จะทำเรื่องพวกนี้ได้ และแม้ไม่มีใครคิดว่าตัวเองเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง แต่จริงๆ แล้วเราทุกคนเป็น”
เขามองไปยังหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าในสมุดบันทึก หญิงสาวยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“เขียนถึงนักรบคนนั้นสิ” หญิงสาวบอก
########
* ปล.1 สามารถติดตามงานแปล Warrior of The Light: A Manual (คู่มือนักฝัน) วันละสองบท ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่ต้นจนจบเล่ม ได้ทางหน้าเพจของสำนักพิมพ์ (ครั้งต่อไป บทที่ 1-2 วันจันทร์ที่ 23 ธค. 56)
** ปล.2 Warrior of The Light: A Manual (แปลแล้ว 31 ภาษา) ต่างจากงานเขียนเล่มอื่นของโคเอลโย ตรงที่มีลักษณะเป็น “คู่มือ”สำหรับการใช้ชีวิตและการเดินตามเสียงของหัวใจ แยกเป็นบทสั้นๆ 133 บท แต่ละบทเล่าผ่านสถานการณ์ต่างๆ ที่ “นักรบแห่งแสงสว่าง” ได้ประสบ ซึ่ง “นักรบ” ในที่นี่เป็นสัญลักษณ์ถึงคนที่มุ่งตามความฝันของตัวเอง คนที่สัมผัสถึงความอัศจรรย์ของชีวิต คนที่สู้เพื่อสิ่งที่ตนเชื่อ หนังสือพูดถึงวิถีและความท้าทายที่ “นักรบ/นักฝัน” ต้องเผชิญ หนทางในการฟันฝ่าอุปสรรค สภาพการณ์ของชีวิตที่ดูราวกับจะขัดแย้งกันเอง รวมถึงรายละเอียดบนเส้นทางฝันและการแสวงหา อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละคน
https://www.facebook.com/ohmygodbooks