ผู้เขียน หัวข้อ: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"  (อ่าน 4047 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« เมื่อ: มีนาคม 23, 2014, 07:57:32 am »
รวมมิตร สะกิดข่าว เรื่องราวของ "รถยนต์"

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 23, 2014, 07:59:18 am »
หน้าร้อน ...ทำอย่างไร? ดูแลเครื่องยนต์ไม่ให้ร้อนเกินไป


-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1395505552&grpid=&catid=09&subcatid=0903-


-ภาพ:arrowheadradiator.com


คอลัมน์ คาร์ทิปส์



ย่างเข้าหน้าร้อน นอกจากอุณหภูมิภายในและภายนอกรถยนต์จะร้อนระอุเมื่อต้องตากแดดแล้ว ความร้อนของเครื่องยนต์ก็เป็นสิ่งที่ต้องหมั่นดูแล จากเกจ์วัดความร้อนเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเกจ์ทำงานได้ดีแสดงค่าความร้อนได้ถูกต้อง เมื่อเกจ์วัดแสดงค่าความร้อนสูงขึ้นมากกว่าปกติ ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของระบบระบายความร้อนของรถยนต์ด้วย

ถ้าระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ผิดปกติ จะได้ป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ได้ทันท่วงทีและซ่อมบำรุงได้ถูกจุดก่อนจะลุกลามเป็นปัญหาที่บานปลาย

ระบบระบายความร้อนของรถใหม่ๆ มักไม่ค่อยมีปัญหาอาจไม่ต้องระวังอะไรมากนัก แค่หมั่นถ่ายน้ำตามกำหนด และหมั่นดูแลระดับน้ำให้พอดีเท่านั้นก็พอ แต่รถที่มีอายุมากขึ้น ต้องการการดูแลมากขึ้นด้วยเช่นกัน การดูแลและป้องกันเครื่องยนต์ร้อนเกินปกติ (OVERHEATED) มี 5 วิธีทำได้ดังนี้

1.หมั่นดูแลหม้อน้ำ หาจุดรั่ว และดูสภาพรังผึ้งให้อยู่ในสภาพปกติสามารถระบายความร้อนได้ดี ไม่มีอะไรมาบังทางลม เพราะหม้อน้ำเป็นอุปกรณ์ที่ถ่ายเทความร้อนจากน้ำไปสู่อากาศถ้าหม้อน้ำระบายถ่ายเทความร้อนไม่ดี ก็ทำให้เครื่องยนต์ร้อนและผิดปกติได้

2.วาล์วน้ำ เป็นอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ วาล์วน้ำเป็นอุปกรณ์ควบคุมความร้อนของเครื่องยนต์ ไม่ให้อุณหภูมิต่ำเกินไป แต่เมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่กำหนด วาล์วน้ำจะเปิดออกให้น้ำไหลเวียนมาระบายความร้อนที่หม้อน้ำ แต่ถ้าวาล์วน้ำไม่ยอมเปิด หรือปิดค้าง น้ำก็ไม่มาระบายความร้อนที่หม้อน้ำก็ทำให้เครื่องร้อนผิดปกติและพังได้

3.ถ่ายน้ำในหม้อน้ำสม่ำเสมอ การถ่ายน้ำนี้ไม่ใช้แค่เปิดก๊อกแล้วเติมน้ำใหม่ แต่เราต้องเติมน้ำยาสำหรับหม้อน้ำลงไปด้วย

4.น้ำมันเครื่อง ก็เป็นต้นเหตุของความร้อนได้เช่นกัน ถ้าคุณภาพไม่ดีพอ หรือปริมาณไม่เพียงพอ เพราะน้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดการเสียดสีในเครื่องยนต์ ถ้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี ความร้อนก็จะตามมา

5.น้ำมันเชื้อเพลิง บางคนคิดว่าการจูนน้ำมันให้บาง (น้ำมันน้อยกว่าอากาศ) แล้วจะประหยัด ถึงจะประหยัด แต่ก็ได้ไม่มาก จะแถมความร้อนให้เราแทน เพราะถ้าน้ำมันบาง เครื่องจะร้อน การจูนน้ำมันให้บาง ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเครื่องยนต์สักเท่าไหร่ การจูนที่พอเหมาะจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดมากกว่า

 

(ที่มา:มติชนรายวัน 22 มีนาคม 2557)
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2014, 09:07:20 am »
9 ข้อต้องรู้! ก่อนไปสอบใบขับขี่เกณฑ์ใหม่ 1 มิ.ย. 2557

-http://auto.sanook.com/6787/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-1-%E0%B8%A1%E0%B8%B4.%E0%B8%A2.-2557/-



หลายคนคงรู้กันแล้วว่ากรมขนส่งปรับเกณฑ์การสอบใบขับขี่ใหม่ โดยเนื้อหาเพิ่มทักษะการขับขี่ เพิ่มจำนวนข้อสอบ เพิ่มเกณฑ์ผ่านการทดสอบและช่องทางอนุญาตใบขับขี่มากขึ้น  แต่บางคนอาจจะไม่รู้รายละเอียด Sanook! auto มี 9 เรื่องน่ารู้สำหรับการสอบใบขับขี่แบบใหม่มาฝากครับ

1. ปรับเกณฑ์การสอบใบขับขี่ใหม่ จะเริ่ม 1 มิ.ย. 57
2. ในการสอบภาคทฤษฎีนั้นเพิ่มจำนวนข้อสอบเป็น 50 ข้อ ผ่านเกณฑ์การสอบร้อยละ 90 (หรือทำได้ 45 ข้อ) จากเดิมข้อสอบ 30 ข้อเกณฑ์ผ่านเพียงร้อยละ 75 (หรือทำได้ 22 ข้อ)
3. ข้อสอบแบบใหม่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,000 ข้อ ใช้หมุนเวียนออกสอบในแต่ละรอบ
4. ข้อสอบทั้งหมดเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบก ให้ประชาชนได้ศึกษาก่อนสอบด้วย
5. สำหรับการทดสอบภาคปฏิบัติ หรือการทดสอบขับรถนั้น จะทำในวันถัดไป แต่ไม่เกิน 90 วัน นับจากวันที่ยื่นเรื่องวันแรก
6. ผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตขับขี่ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ไม่มีใบอนุญาตชนิดเดียวกัน ไม่อยู่ระหว่างพักและเพิกถอนใบอนุญาต
7. สำหรับผู้ที่มีร่างกายพิการดังต่อไปนี้ เช่น แขนขาดข้างเดียว ขาขาดข้างเดียว ตาบอดข้างเดียว ลำตัวพิการ หูหนวก เมื่อต้องการมีใบอนุญาตขับขี่ ต้องขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ขนส่งก่อนจึงจะทำได้
8. หลักฐานที่นำไปด้วย คือ
    -บัตรประชาชนตัวจริงพร้อมใบสำเนา หรือบัตรประจำตัวข้าราชการพร้อมใบสำเนาที่ใช้แทนบัตรประชาชน
    -ใบรับรองแพทย์ตัวจริงไม่เกิน 1 เดือน ที่รับรองว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ
9. เนื่องจากปัจจุบันผู้ขอรับใบอนุญาตขับขี่มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ต้องรอคิวอบรมและทดสอบเป็นเวลานาน กรมการขนส่งฯจึงให้สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด ประสานสถาบันการศึกษาภาครัฐที่มีมาตรฐานและมีความพร้อมจัดอบรมภาคทฤษฎีตามหลักสูตรที่กรมการขนส่งฯกำหนด ให้กับผู้ที่ประสงค์ขอรับใบอนุญาตขับขี่ เบื้องต้นเฉพาะผู้ขอรับใบอนุญาตขับขี่รถใหม่ และการต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ ส่วนจะเริ่มได้เมื่อไหร่นั้น จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบ




------------------------------------------------------------------------------------------


ขนส่งทางบกปรับนโยบายสอบใบขับขี่ใหม่ เริ่ม 1 มิ.ย.นี้

-http://auto.sanook.com/6731/%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1-1-%E0%B8%A1%E0%B8%B4.%E0%B8%A2.%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89/-



  เมื่อไม่นานมานี้ กรมการขนส่งทางบกได้ประกาศถึงการปรับหลักเกณฑ์การทดสอบเพื่อขอรับใบขับขี่ใหม่ ทั้งรถส่วนบุคคลและรถโดยสาธารณะให้เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม

โดยมาตรการการทดสอบเพื่อขอรับใบขับขี่ใหม่นั้น จะมุ่งเน้นไปยังการสอบข้อเขียน ซึ่งจากเดิมที่มีการรวบรวมไว้ในระบบ 300 ข้อ และเลือกคำถามมาทดสอบ 35 ข้อนั้น จะถูกปรับให้เพิ่มคำถามไว้ในระบบเป็น 1,000 ข้อ และเลือกคำถามมาทดสอบเป็น 50 ข้อ

     นอกจากนั้น เกณฑ์การวัดผลยังถูกปรับเปลี่ยนจาก 75% มาเป็น 90% ซึ่งหมายความว่าจากเดิม ที่ต้องตอบคำถามให้ถูกต้องมากกว่า 23 ข้อจาก 35 ข้อ มาเป็นตอบถูกมากกว่า 45 ข้อจาก 50 ข้อ ทำให้เหลือโอกาสตอบผิดเพียงแค่ 5 ข้อเท่านั้น ซึ่งถือเป็นทางออกที่ดีที่จะทำให้ผู้สอบ มีความรู้ความเข้าใจในกฎจราจรมากขึ้นนั่นเอง

 
ส่วนการอบรมการจราจร 4 ชั่วโมงก่อนเข้าทดสอบข้อเขียนนั้น กรมการขนส่งเห็นว่าปัจจุบันมีผู้ขอรับใบขับขี่เป็นจำนวนมาก ต้องมีการจองคิว โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ กทม. จึงเตรียมให้ใช้พื้นที่สถาบันการศึกษา เพื่อการอบรมทดสอบผู้ที่ต้องการสอบใบขับขี่แทน แล้วนำมาสอบใบขับขี่ได้ทันที โดยไม่ต้องเข้าอบรมที่กรมการขนส่ง

     ส่วนการทดสอบทดสอบขับรถนั้น ยังคงใช้มาตรการเดิมอยู่ต่อไป

 

     ขอบคุณภาพประกอบจาก www.srdriving.com





คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2014, 09:08:44 am »
5 อันดับรถหายมากที่สุด

-http://auto.sanook.com/6685/5-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/-

   'รถหาย' ถือเป็นภัยใกล้ตัวของเจ้าของรถมากกว่าที่คิด ซึ่งการจะได้ครอบครองรถยนต์สักหนึ่งคัน ต้องแลกกับหยาดเหงื่อแรงกายอย่างหนัก ไหนจะต้องเสียค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาสารพัด แต่กลับต้องมาถูกขโมยหายไปในเพียงพริบตาเพราะมิจฉาชีพที่แฝงตัวอยู่ในสังคม พร้อมสารพัดวิธีในการโจรกรรม

     วันนี้ Sanook!Auto มี 5 อันดับรถยนต์ที่เสี่ยงต่อการโจรกรรมมากที่สุดมาฝากกัน


   ก่อนอื่นเรามาดูกันถึงสถิติที่สำคัญเกี่ยวกับการขโมยรถยนต์ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาล่าสุด นับตั้งแต่เดือน เม.ย.56 จนถึง เม.ย.57 พบว่า

    มี ผู้เสียหายที่ถูกโจรกรรมเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นจำนวนสูงถึง 2,952 คดี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวแบ่งออกเป็นรถยนต์ 369 คดี และรถจักรยานยนต์ 2,583 คดี

    จากตัวเลขทั้งหมด มีคดีที่สามารถจับกุมตัวผู้โจรกรรมได้เพียง 298 คดี ซึ่งไม่ถึงร้อยละ 10 ของคดีทั้งหมดด้วยซ้ำ

    ช่วงเวลาที่รถหายมากที่สุด คือ ตั้งแต่ 18.00 น. ไปจนถึง 24.00 น.

     ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนับรวมทั้งสถิติของรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมกัน เนื่องจากมอเตอร์โชค์จะมีความเสี่ยงถูกโจรกรรมช่วงที่เจ้าของไปจอดไว้ตาม ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ต่างๆหลังจากเลิกงาน หรือระหว่างทางกลับบ้าน ขณะที่รถยนต์จะมีความเสี่ยงมากที่สุดตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป เนื่องจากการขโมยรถยนต์มักใช้เวลานานกว่า และเทคนิคที่ซับซ้อนกว่า ทำให้ผู้ร้ายเลือกใช้เวลาที่เจ้าของรถนอนหลับไปแล้ว เพื่อความสะดวกในการลงมือนั่นเอง

 5 อันดับรถยนต์ที่ถูกขโมยมากที่สุด

     1. Toyota Altis
     2. Toyota Vios
     3. Toyota Fortuner
     4. Toyota Vigo
     5. Isuzu D-Max

     จะเห็นได้ว่าทั้งหมดเป็นรถยอดนิยมในตลาดบ้านเราทั้งสิ้น โดย 'โตโยต้า อัลติส' นำมาเป็นอันดับ 1 เนื่องจากอัลติส เป็นรุ่นยอดนิยมโดยเฉพาะการนำมาเป็นรถแท็กซี่ จึงมีโอกาสสูญหายเนื่องจากถูกนำมาถอดชิ้นส่วนแยกเป็นอะไหล่ขายเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากนำไปขายแบบทั้งคัน

     ขณะที่รถกระบะทั้ง 'โตโยต้า วีโก้' และ 'อีซูซุ ดีแมกซ์' มีอัตราการหายใกล้เคียงกัน แต่วีโก้อาจมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเล็กน้อย

     เห็นแบบนี้แล้ว ใครกำลังใช้รถยอดฮืตติดอันดับดังกล่าว ก็คงมีหวั่นๆกันบ้าง แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้รถยี่ห้อที่ว่ามา ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากรถทุกคันมีโอกาสเสี่ยงต่อการโจรกรรมทั้งนั้น เพียงแต่ขโมยอาจนำไปขายได้ราคาต่ำกว่ารถตลาดยอดนิยมเท่านั้นเอง

 

     ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์

-http://auto.sanook.com/6685/5-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/-



----------------------------------------------------------------------------------------



คลิปชัดๆ ตร.จราจรโบกจับ-รับเงินปล่อย !

-http://auto.sanook.com/6792/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%86-%E0%B8%95%E0%B8%A3.%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2/-




ขณะนี้ในโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปตำรวจ เรียกผู้ขับขี่รถยนต์ และจักรยานยนต์ ที่ทำผิดกฎจราจรเพื่อเขียนใบสั่ง แต่ตร.ไม่ได้เขียนใบสั่งและรับเงินจากผู้ขับขี่ก่อนปล่อยไป


 เพจ The Irrawaddy (Burmese Version) ได้โพสต์คลิปความยาว 4:03 นาที เป็นคลิปเหตุการณ์ตำรวจนายหนึ่ง เรียกผู้ขับขี่รถยนต์ และจักรยานยนต์ ที่ทำผิดกฎจราจรเพื่อเขียนใบสั่ง แต่ตร.ไม่ได้เขียนใบสั่งและรับเงินจากผู้ขับขี่ก่อนปล่อยไป โดยตำรวจนายนี้สวมหมวกหมายเลข 6636 สน.บางนา ภายในระยะเวลา 4 นาทีมีการเรียนรถยนต์ 1 คัน รถแท็กซี่ 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 2 คัน

คลิปตำรวจรับเงินเห็นจะๆชัดๆ ปรับปรุงสำนักงานตำรวจแห่งชาติด่วน
-http://www.youtube.com/watch?v=jAY2W9hS7Z0-












 (ขอบคุณเนื้อหาจาก VoiceTV และคลิปจากเฟซบุ๊ค IrrawaddyBurmese)













http://auto.sanook.com/6792/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%86-%E0%B8%95%E0%B8%A3.%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2/



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2014, 05:59:39 am »
9 ข้อต้องรู้! ก่อนไปสอบใบขับขี่เกณฑ์ใหม่ 1 มิ.ย. 2557

-http://auto.sanook.com/6787/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-1-%E0%B8%A1%E0%B8%B4.%E0%B8%A2.-2557/-



หลายคนคงรู้กันแล้วว่ากรมขนส่งปรับเกณฑ์การสอบใบขับขี่ใหม่ โดยเนื้อหาเพิ่มทักษะการขับขี่ เพิ่มจำนวนข้อสอบ เพิ่มเกณฑ์ผ่านการทดสอบและช่องทางอนุญาตใบขับขี่มากขึ้น  แต่บางคนอาจจะไม่รู้รายละเอียด Sanook! auto มี 9 เรื่องน่ารู้สำหรับการสอบใบขับขี่แบบใหม่มาฝากครับ

1. ปรับเกณฑ์การสอบใบขับขี่ใหม่ จะเริ่ม 1 มิ.ย. 57
2. ในการสอบภาคทฤษฎีนั้นเพิ่มจำนวนข้อสอบเป็น 50 ข้อ ผ่านเกณฑ์การสอบร้อยละ 90 (หรือทำได้ 45 ข้อ) จากเดิมข้อสอบ 30 ข้อเกณฑ์ผ่านเพียงร้อยละ 75 (หรือทำได้ 22 ข้อ)
3. ข้อสอบแบบใหม่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,000 ข้อ ใช้หมุนเวียนออกสอบในแต่ละรอบ
4. ข้อสอบทั้งหมดเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบก ให้ประชาชนได้ศึกษาก่อนสอบด้วย
5. สำหรับการทดสอบภาคปฏิบัติ หรือการทดสอบขับรถนั้น จะทำในวันถัดไป แต่ไม่เกิน 90 วัน นับจากวันที่ยื่นเรื่องวันแรก
6. ผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตขับขี่ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ไม่มีใบอนุญาตชนิดเดียวกัน ไม่อยู่ระหว่างพักและเพิกถอนใบอนุญาต
7. สำหรับผู้ที่มีร่างกายพิการดังต่อไปนี้ เช่น แขนขาดข้างเดียว ขาขาดข้างเดียว ตาบอดข้างเดียว ลำตัวพิการ หูหนวก เมื่อต้องการมีใบอนุญาตขับขี่ ต้องขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ขนส่งก่อนจึงจะทำได้
8. หลักฐานที่นำไปด้วย คือ
    -บัตรประชาชนตัวจริงพร้อมใบสำเนา หรือบัตรประจำตัวข้าราชการพร้อมใบสำเนาที่ใช้แทนบัตรประชาชน
    -ใบรับรองแพทย์ตัวจริงไม่เกิน 1 เดือน ที่รับรองว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเป็นอันตรายขณะขับรถ
9. เนื่องจากปัจจุบันผู้ขอรับใบอนุญาตขับขี่มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ต้องรอคิวอบรมและทดสอบเป็นเวลานาน กรมการขนส่งฯจึงให้สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด ประสานสถาบันการศึกษาภาครัฐที่มีมาตรฐานและมีความพร้อมจัดอบรมภาคทฤษฎีตามหลักสูตรที่กรมการขนส่งฯกำหนด ให้กับผู้ที่ประสงค์ขอรับใบอนุญาตขับขี่ เบื้องต้นเฉพาะผู้ขอรับใบอนุญาตขับขี่รถใหม่ และการต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ ส่วนจะเริ่มได้เมื่อไหร่นั้น จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2014, 12:41:36 pm »
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะวิธีป้องกันและข้อปฏิบัติเมื่อเกิดไฟไหม้รถ ลดเสี่ยงอันตรายบนท้องถนน
วันจันทร์ 11 สิงหาคม 2557 เวลา 08:13 น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/Article/258633/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%96-


กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะวิธีป้องกันและข้อปฏิบัติเมื่อเกิดไฟไหม้รถ ลดเสี่ยงอันตรายบนท้องถนน

คุณฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ไฟไหม้รถเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่มักเกิดกับ รถที่ติดตั้งระบบก๊าซที่ไม่ได้มาตรฐานและขาดการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี รถเก่าที่มีอายุการใช้งานนาน รถที่ผ่านการปรับแต่งสภาพและใช้อะไหล่ที่ไม่มีคุณภาพ ขณะที่รถใหม่ ก็เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ได้ หากไม่ดูแลรักษาเครื่องยนต์สม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยขอแนะวิธีป้องกันไฟไหม้รถและข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดไฟไหม้รถ ดังนี้

วิธีป้องกันไฟไหม้รถ ก่อนขับขี่ ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้งาน เติมน้ำหม้อน้ำระดับที่กำหนด ท่อน้ำมันเชื้อเพลิงไม่มีรอยรั่ว ไม่มีเศษวัสดุติดในหม้อน้ำและท่อยาง สายพานมีความตึงในค่าที่กำหนด โดยเฉพาะกระโปรงหน้ารถ หากมีเขม่าดำเกาะ แสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานไม่สมบูรณ์ ตรวจดูใต้ท้องรถ หากมีร่องรอยน้ำมันหยด ให้รีบแก้ไข ที่สำคัญ ควรเตรียมขวดบรรจุน้ำและถังดับเพลิงเคมีไว้ข้างคนขับหรือในตำแหน่งที่หยิบใช้สะดวก เมื่อเกิดไฟไหม้รถ

ขณะขับขี่ ผู้ขับขี่ควรหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนบริเวณที่มักเกิดไฟไหม้รถ ดังนี้ มาตรวัดระดับความร้อนของเครื่องยนต์ ซึ่งอยู่หน้าปัดรถ หากหม้อน้ำแห้ง พัดลมระบายความร้อนขัดข้อง จะทำให้เครื่องร้อนจัด จนเป็นสาเหตุให้เกิดไฟไหม้รถบริเวณกระโปรงหน้ารถ เพราะเป็นที่ตั้งของเครื่องยนต์และสายไฟที่อาจทำให้เกิดประกายไฟ บริเวณกระโปรงหลังรถ โดยเฉพาะรถที่ติดตั้งระบบก๊าซ หากรถกระตุกเมื่อสตาร์ตหรือขณะขับขี่ ควรนำไปตรวจสอบสภาพ เพราะเครื่องยนต์อาจทำงานขัดข้องหรือถังน้ำมันรั่ว ทำให้อากาศเข้าไปในตัวถังจนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดไฟไหม้รถได้

เมื่อเกิดไฟไหม้รถ กรณีไฟไหม้เล็กน้อย หากเป็นรถที่ติดตั้งระบบก๊าซ ให้รีบปิดสวิตช์ตัดการทำงานของระบบก๊าซและดับเครื่อง พร้อมนำถังดับเพลิงเคมีฉีดพ่นบริเวณต้นเพลิง หากมีเปลวไฟออกมาจากฝากระโปรงรถให้ปลดสลักฝากระโปรง และฉีดพ่นผ่านทางช่องฝกระโปรงที่แง้มไว้ ห้ามเปิดฝากระโปรงทันที เพราะจะทำให้ไฟลุกลามมากขึ้น เมื่อไฟเริ่มสงบ จึงค่อย ๆ เปิดฝากระโปรงขึ้น โดยใช้ผ้ารองหรือสวมถุงมือ เนื่องจากฝากระโปรงมีความร้อนสูง หากเปิดได้แล้ว ควรฉีดพ่นให้ทั่วห้องเครื่อง จนมั่นใจว่าไฟดับสนิท จากนั้นให้รีบถอดขั้วแบตเตอรี่ออก เพื่อป้องกันมิให้เปลวไฟปะทุขึ้นอีก

กรณีไม่มีถังดับเพลิง ให้ใช้ผ้าแห้ง ผ้าเปียกน้ำหรือทรายมาโปะบริเวณที่เกิดไฟไหม้หรือใช้ขวดน้ำเจาะปากขวดเป็นรูเล็ก ๆ ฉีดบริเวณที่เกิดไฟไหม้ กรณีไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว ให้ตั้งสติ ดับเครื่องยนต์แล้วรีบลงจากรถ โดยออกห่างจากรถให้มากและเร็วที่สุด เพื่อป้องกัน รถระเบิด จากนั้นให้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาควบคุมเพลิง.


ไฟเหลือง
failuang@dailynews.co.th
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2014, 09:39:50 am »
เปรียบเทียบราคาประกันภัยรถยนต์ และเรื่องควรรู้ของรถอายุ 10 ปี



-http://auto.sanook.com/11081/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8-10-%E0%B8%9B%E0%B8%B5/-




สมัยนี้การซื้อรถใหม่มักมาพร้อมกับประกันภัยชั้น 1 ที่คุ้มครองตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจนถึงขั้นตอนการส่งซ่อมที่การันตีการซ่อมกับห้างและค่าชดเชยต่างๆระหว่างส่งซ่อม แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่พร้อมเปลี่ยนรถด้วยเหตุผลต่างๆเช่น อยากเก็บเงินไว้เผื่อค่ารักษาพยาบาลคนในครอบครัว รถคันเดิมมีคุณค่าทางจิตใจ  หรือจะรอรุ่นรถที่ใช่ถึงค่อยทุ่มทุนซื้อ ฉะนั้นระหว่างนี้เราจึงต้องดูแลซ่อมบำรุงรถคันปัจจุบัน รวมถึงเลือกประกันภัยให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนคันจริงๆ



     ปัญหาแบบไหนที่มักเกิดขึ้นกับรถอายุ 10 ปี

     รถอายุ 10 ปี ถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะสำหรับสมรภูมิบนท้องถนน ไม่ว่าจะอุบัติเหตุ หรือ การใช้งานอันหนักหน่วงของผู้ขับขี่ ซึ่งปัญหาหลักๆมักจะเกิดจากการเสื่อมสภาพของรถ เช่น เบรกไม่อยู่ และปัญหาเรื่องการควบคุมทิศทางเกี่ยวเนื่องจากพวงมาลัยกับศูนย์ล้อขาดความสมดุล ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะนำพาไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่ารถคันอื่นๆ

 

เกียร์มีปัญหา น้ำมันเกียร์รั่ว เข้าเกียร์ไม่ได้

 


ลักษณะปัญหาที่อาจส่งผลต่อการขับหรือศูนย์ล้อ

 

เบรกเสื่อมสภาพ

 

     การรับมือเวลาเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเกิดอุบัติเหตุเราต้องรับมือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นดังนี้


    อย่าตกใจ ถึงแม้คุณจะเป็นฝ่ายรถเก่าก็ตาม
    ถ่ายรูปมุมกว้างทั้ง 4 ด้าน ให้เห็นเลนถนนทั้งหมด เก็บหลักฐานทั้งหมดด้วยรูปหรือวีดีโอและอย่าเพิ่งเลื่อนรถรอให้ตำรวจมาพ่นสีที่เกิดเหตุก่อน  อย่าตกลงกันปากเปล่า เพราะคู่กรณีพร้อมกลับคำให้เราเป็นฝ่ายผิดได้ตลอดเวลา
    ถ้ามีประกันรถยนต์ตัองรีบติดต่อกับบริษัทประกันภัยของตัวเองทันที 
    แต่ถ้าไม่มี แนะนำให้รีบหาประกันภัยรถยนต์สักที่มารับมือกับสถานการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะการสมัครประกันภัยออนไลน์ที่คุ้มครองรถ 10 ปีเหมือนรถใหม่ ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเพราะนอกจากเบี้ยประกันสำหรับรถเก่าจะไม่แพงแล้ว การคุ้มครองยังสามารถเริ่มต้นได้ทันทีอีกด้วย

 

     ประกันภัยเจ้าไหนคุ้มสุดๆ สำหรับรถอายุ 10 ปี

     ถึงแม้ว่าจะเป็นรถอายุ 10 ปีแล้วก็ตาม แต่เราก็ควรให้ความใส่ใจในการเลือกต่อประกันภัยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องคิดให้รอบคอบและหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยรถยนต์หลายๆตัว เพื่อให้ได้ราคาและบริการที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด โดยเริ่มจากการพิจารณาราคาเบี้ยประกัน โปรโมชั่นให้รถเก่าสามารถเลือกซ่อมห้างได้ถึงกี่ปี และระหว่างซ่อมมีจ่ายชดเชยค่าเดินทางให้หรือไม่ วันนี้เรามีตัวอย่างการเปรียบเทียบราคาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ระหว่างโบรกเกอร์กับโบรกเกอร์ และโบรกเกอร์กับบริษัทประกันภัยมาให้ศึกษาด้วย

 

รุ่นรถที่ใช้เปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยรถยนต์ โตโยต้า วีออส ปี 2009
คนขับ: คนขับ เพศชาย / สถานะ สมรส / อายุ 33 ปี
ทุนประกันรถยนต์ 300,000 / ประกันภัยชั้น 1 / ระบุชื่อผู้ขับขี่ / ส่วนลดประวัติดี 0%



     ข้อควรรู้

     ส่วนลดประวัติขับขี่ดีจะมี % ส่วนลดแตกต่างกัน หากไม่มีการเคลมตามระยะเวลาดังนี้

    ปีแรก ส่วนลด 20%
    2 ปีติดต่อกัน ส่วนลด 30%
    3 ปีติดต่อกัน ส่วนลด 40%
    4 ปีติดต่อกัน  ส่วนลด 50%

     ส่วนลดประวัติขับขี่ดี กรณีที่มีการเคลมจะพิจารณาแล้วแต่กรณีของความรุนแรงหรือความเสียหาย


     จากข้อมูลในตารางโบรกเกอร์ชั้นนำในประเทศไทย ดูเหมือน DirectAsia.com จะได้ใจสาวกรถเก่าไปเต็มๆ เพราะใจป้ำกล้าให้ประกันภัยชั้น 1 กับรถอายุสูงถึง 10 ปี แถมยังส่งซ่อมห้างได้ในราคาที่เบากว่า SILKSPAN และ TQM พอสมควร แต่ที่ DirectAsia.com เหลื่อมล้ำกว่าสองโบรกเกอร์ข้างต้นแบบชัดเจนคือความเอาใจใส่ลูกค้าในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณีไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ด้วยการจ่ายชดเชยค่าเดินทางระหว่างซ่อมรถ สูงถึง 2,000 บาทต่อครั้ง สำหรับฝ่ายถูก และ 1,000 บาทต่อครั้ง หากเราเป็นฝ่ายผิด ซึ่งต่างจากที่อื่นที่ไม่มีโปรโมชั่นอะไรมารองรับทำให้ผู้ซื้อประกันต้องจ่ายค่าเดินทางเอง กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนของผู้ซื้อประกันคนนั้นๆอีกด้วย

 

ตัวอย่างรถปี 2009 ที่ยังสามารถทำประกันชั้น 1 ซ่อมห้าง ได้กับ DirectAsia.com


Toyota Vios / Honda City


Nissan Teana / Mazda 2




.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2014, 09:44:47 am »
10 พฤติกรรมขับรถของคนญี่ปุ่นทำคนไทยอึ้ง!

-http://auto.sanook.com/11209/10-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87/-


เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องทั้งเรื่องของมารยาท, ความมีวินัย, การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ฯลฯ ซึ่งไม่เพียงแต่การต่อแถวเข้าคิว หรือมารยาทอันดีงามของคนญี่ปุ่นเท่านั้น แต่รวมไปถึงพฤติกรรมการขับรถของคนญี่ปุ่นด้วย

     เมื่อ Sanook!Auto ได้มีโอกาสได้เยือนดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ จึงไม่พลาดที่จะนำประสบการณ์ของการขับรถในญี่ปุ่นมาเล่าสู่กันฟังครับ


     1.มารยาทการขับรถยอดเยี่ยม

     คนญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องของมารยาทอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่การขับรถ ยกตัวอย่างเช่น การหยุดรถเพื่อให้ทางรถคันอื่นไปก่อน เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป (จนบางครั้งแทบจะนึกว่าบ้านเมืองเขาไม่ได้รีบร้อนกันเลยหรืออย่างไร) หรือแม้แต่การ การเบียด แทรก แซงคิวหน้าสี่แยก แทบจะไม่เคยเห็นเลยตลอดเวลาที่อยู่ในญี่ปุ่น

     อีกสิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชม คือ บ้านเขาไม่มีการเปิดเลนพิเศษโดยเด็ดขาด แม้ว่ารถจะติดแค่ไหนก็ตาม เช่น บนทางด่วน หรือ ทางหลวงเข้าเมือง เป็นต้น ไม่ว่าการจราจรจะติดสาหัสแค่ไหน เขาก็จะขับตามกันไปเรื่อยๆ ไม่มีการขับลงไหล่ทางแบบบ้านเราแม้แต่คันเดียว

 

     2.รถบรรทุกวิ่งขวาได้

     เป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะประเทศที่เจริญแล้วกลับอนุญาตให้รถบรรทุก สามารถวิ่งในช่องทางขวาได้ และไม่ใช่เพื่อการแซงเท่านั้น คือหากสามารถขับได้เร็วพอๆกับรถเก๋ง ก็สามารถวิ่งยาวๆได้ตลอด ต่างกับบ้านเราที่รถบรรทุกต้องวิ่งในเลนซ้ายเท่านั้น

     แต่มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง คือ รถบรรทุกส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีขนาดเล็ก (ส่วนมากจะเป็นรถ 4 ล้อ และ 6 ล้อ) ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ง่ายกว่ารถบรรทุก 10 ล้อที่มีน้ำหนักมาก

 

แม้จะตีเส้นทึบห่างจากทางม้าลายแค่ไหน ก็ไม่มีการล้ำเส้นเด็ดขาด

 

     3.ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

     ชาวญี่ปุ่นเคร่งกับวินัยจราจรมาก เช่น การขับรถด้วยความเร็วตามที่กฏหมายกำหนด โดยทั่วไปความเร็วสูงสุดของญี่ปุ่นจำกัดเพียงแค่ 60 กม./ชม.เท่านั้น ยกเว้นทางหลวงข้ามจังหวัดที่อนุโลมให้ถึง 100 กม./ชม. (บ้านเราอนุโลมให้สูงสุด 120 กม./ชม) ซึ่งการขับขี่ด้วยความเร็วระดับนี้ ทำให้แต่ละความเร็วของรถในแต่ละเลนไม่ต่างกันมาก จุดนี้เองทำให้รถบรรทุกสามารถวิ่งเลนขวาได้สบายๆ ไม่กระทบการจราจร

     นอกจากนั้น ชาวญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับเส้นแบ่งจราจรมาก หากรถคันไหนจะเลี้ยวขวา ก็จะอยู่ในเลนเลี้ยวขวาเท่านั้น จะไม่มีการตัดแถวเปิดเลนใหม่โดยเด็ดขาด แม้ว่าหางแถวจะยาวแค่ไหนก็ตาม

 

     4.ไม่ขับรถจี้ตูด

     หากใครใช้รถใช้ถนนอยู่เป็นประจำ คงต้องเคยเห็นกันบ้างกับรถประเภทที่ใช้ความเร็วสูง ขับปาดไปปาดมาตลอดทาง หากช่วงไหนแซงไม่ได้ก็จะขับรถจี้ก้นคันหน้า เพื่อให้หลบซ้ายไป ขณะที่สิ่งเหล่านี้พบได้น้อยมากในญี่ปุ่น เนื่องจากทุกคันใช้ความเร็วตามกฏหมาย จึงมักเห็นรถขับตามๆกันไปเรื่อยๆตลอดทาง

 

     5.ชอบใช้รถขนาดเล็ก

     แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก แต่ชาวญี่ปุ่นยังคงเลือกใช้รถขนาดเล็ก ประเภทเครื่องยนต์ความจุ 1.0 ลิตร ไปจนถึง 1.5 ลิตร รวมไปถึงรถกลุ่ม Kei Car ความจุเครื่องยนต์ 660 ซีซี ก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ขณะที่รถยนต์แบบไฮบริดก็กำลังกลายเป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่นอย่างมากในขณะนี้

     ส่วนรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 2,000 ซีซีขึ้นไป รวมถึงรถยุโรปหรูๆทั้งหลาย กลับพบเห็นในบ้านเรามากกว่าที่ญี่ปุ่นเสียอีก

 

     6.ชาวญี่ปุ่นไม่ค่อยแต่งรถ

     รถที่วิ่งทั่วไปบนท้องถนนในญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่จะมีหน้าตาแบบเดิมๆที่ออกมาจากโรงงานกันเลย รถแต่งในญี่ปุ่นถือว่าเข้าขั้นหายาก (แม้ว่าบางครั้งจะเห็นเกลื่อนกลาดในหนังก็ตาม) ขณะที่บ้านเรานั้น อย่างน้อยๆก็ต้องจับติดสเกิร์ตรอบคัน เปลี่ยนล้อแม็ก เป็นต้น การเห็นรถญี่ปุ่นติดตั้งล้อกะทะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก


 

     7.จอดรถเป็นระเบียบ ไม่เกะกะ

     หลายคนอาจทราบดีอยู่แล้วว่า การซื้อรถในญี่ปุ่น ผู้ซื้อจำเป็นต้องมีที่จอดรถเป็นของตัวเองก่อนจึงจะสามารถซื้อได้ ซึ่งรถทุกคันก็จะจอดในที่ของตัวเองอย่างเรียบร้อย ไม่มีการจอดรถกีดขวางจราจรตามฟุตบาทเด็ดขาด สิ่งหนึ่งคงเป็นเพราะถนนบ้านเขาแคบกว่าบ้านเรา หากมีใครจอดรถริมถนนแล้ว จะทำให้รถติดขึ้นอย่างแน่นอน

 

     8.รถหรูพวงมาลัยซ้ายพบเห็นได้ทั่วไป

     รถพวงมาลัยซ้ายในประเทศญี่ปุ่นนั้น สามารถพบเห็นได้บ่อยมาก ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นรถนำเข้าหรูๆราคาแพงอย่าง 'Porsche', 'Cadillac' หรือ 'Mercedes-Benz' ตระกูล '63 AMG' เป็นต้น

     ขอแอบเมาท์ว่า รถซุปเปอร์คาร์อย่างปอร์เช่ ลัมโบกินี่ หรือ เมอเซเดสเบนซ์รุ่นแพงๆนั้น กลับเห็นวิ่งตามท้องถนนในบ้านเราบ่อยกว่าที่ญี่ปุ่นเสียอีก

 

     9.อีซี่พาสแบบไม่ต้องชลอรถ

     ทางด่วนในประเทศญี่ปุ่นนั้น จะมีช่องจ่ายค่าทางด่วนที่มีลักษณะคล้ายอีซี่พาสในบ้านเรา เรียกว่า ETC (Electronic Toll Collection) แต่เหนือกว่าตรงที่ไม่ต้องชลอรถ คือสามารถขับผ่านไปได้เลย ไม่ต้องมาลุ้นว่าไม้กั้นจะเปิดหรือไม่

 

 

     10.บิ๊กไบค์เปรียบเสมือนรถหนึ่งคัน

     ที่ญี่ปุ่นนั้น มอเตอร์ไซค์หรือบิ๊กไบค์จะถูกมองเสมือนเป็นรถยนต์หนึ่งคัน ฉะนั้นชาวไบค์เกอร์ที่นั่น จะต้องขับตามการจราจรไปเรื่อยๆ ไม่มีการปาดซ้ายปาดขวา หากรถคันหน้าหยุด ก็ต้องหยุดตาม รวมไปถึงทางหลวงที่แม้ว่าการจราจรจะติดขัดขนาดไหน ไบค์เกอร์ที่นั่นจะไม่มีการขับบนไหล่ทางเด็ดขาด

 

     ขอบคุณภาพประกอบจาก ResponseJP


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มกราคม 12, 2015, 05:28:46 am »
เปิด 10 วิธีปฏิบัติตัวเมื่อพบช้างป่าบนถนน

-http://hilight.kapook.com/view/114003-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Patarapol Lotter Maneeorn

          เผยวิธีปฏิบัติตัวเมื่อพบช้างป่าบนถนน หลังจากเกิดเหตุการณ์ช้างป่าเหยียบรถนักท่องเที่ยวจนพังที่เขาใหญ่

          เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกโซเชียลได้มีการแชร์ข้อความจาก เฟซบุ๊ก Patarapol Lotter Maneeorn เป็นจำนวนมากกว่า 2,500 แชร์แล้ว โดยเนื้อหาเป็นเรื่องการปฏิบัติตัวเมื่อพบช้างป่าบนถนน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ช้างป่าได้เหยียบรถนักท่องเที่ยวจนพังที่ อ.เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา

          ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวถูกโพสต์เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ส่วนข้อมูลของคนโพสต์ ระบุไว้ว่า ทำงานอยู่ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

สำหรับข้อความทั้งหมด มีดังนี้

          Lotter: Khao yai Only. บ้านใครบ้านมัน เข้าใจตรงกันนะ

          วิธีปฏิบัติเมื่อพบช้างป่าบนถนน ในพื้นที่ อช.เขาใหญ่ ขอย้ำครับ ช้างป่าเขาใหญ่เท่านั้น เพราะช้างป่าพฤติกรรมหรือปฎิกิริยาตอบสนองต่อรถที่สัญจรไปมาในแต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นที่เขาอ่างฤาไน หรือป่าละอู ต้องทำอีกอย่าง มาทำความเข้าใจกันนะครับ....

          ทำไมถึงมักเจอช้างบนถนนของเขาใหญ่

          - ในอดีตตอนยังไม่มีการสร้างถนนเส้นนี้ ช้างป่าได้ใช้เส้นทางบางส่วนของพื้นที่เป็นเส้นทางเดินหากิน หรือเราเรียกว่า "ด่านช้าง" ซึ่งบรรพบุรุษของช้างได้สอนลูกหลานต่อ ๆ กันมาว่านี้คือเส้นทางหากินของเรา อยู่มาวันหนึ่งมีการสร้างถนนขึ้นมาและบังเอิญไปทับซ้อนกับด่านช้าง ทำให้บางส่วนของถนนนั้นเกิดการใช้ร่วมกันระหว่างช้างและรถยนต์

          - ช้างป่าเขาใหญ่ในแต่ละฝูง มีการตกลูกทุก ๆ ปี นั่นหมายถึงว่าในฝูงมีลูกน้อย การเดินหากินในป่าที่รกทึบ หญ้าสูง หรือเขาที่ชัน ของลูกช้างมักมีความยากลำบาก หลายพื้นที่มีลูกช้างป่าพลัดหลงฝูงจากการตกภูเขา และฝูงก็จะห่วงลูกช้างมาก การเดินบนถนนก็เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ปลอดภัยสำหรับลูกช้าง เดินสะดวก และฝูงช้างป่าจะหวงลูกมาก ๆ

          - พื้นถนนในตอนกลางคืนจะอุ่น เนื่องจากความร้อนสะสมในตอนกลางวัน ในช่วงฤดูหนาว ช้างจะเดินออกมาบนถนนถี่ขึ้น บางครั้งจะเห็นช้างป่านอนหลับบนถนนในช่วงหน้าหนาว นอนบนดินโป่งในช่วงหน้าร้อน

          - บริเวณข้างทางของถนน มักมีต้นหญ้าและพื้นขนาดเล็กที่เป็นอาหารของช้าง ช้างสามารถกินได้ง่าย

          - เป้าหมายของการใช้ถนนของช้าง คือ การมุ่งหน้าไปยังพื้นที่แหล่งอาหารต่าง ๆ ด้วยความปลอดภัยและรวดเร็ว เช่น แหล่งดินโป่ง หรือแหล่งน้ำ


          1. หยุดรถให้ห่างจากช้างอย่างน้อย 30 เมตร หากช้างเดินเข้าหา ให้เคลื่อนรถหนีด้วยการถอยหลังอย่างมีสติ รอจนกว่าช้างจะหลบจากถนน จึงเคลื่อนรถผ่านไป

          2. อย่าใช้แตรรถ หรือส่งเสียงดังรบกวนช้างหรือไล่ช้าง เพราะอาจทำให้ช้างโกรธ และตรงเข้ามาหาเราได้ เนื่องจากช้างป่า ประสาทหูจะดีมาก เสียงแตรแหลม ๆ จะทำให้ช้างตกใจและโกรธ

          3. งดการใช้แฟลชถ่ายรูป เพราะอาจทำให้ช้างตกใจ ตรงเข้ามาทำร้ายได้ และทำให้ช้างเกิดการสนใจ เดินเข้ามาหา ช้างตกใจแล้ว ตกใจเลย หายยาก

          4. ให้ติดเครื่องรถยนต์ไว้เสมอ เพื่อให้สามารถเคลื่อนรถหนีได้ทันท่วงที และเสียงเครื่องยนต์รถที่ติดเครื่องดังทุ้ม ๆ จะไม่ทำให้ช้างนั้นตกใจ ไม่เครียด และคุ้นเคย เพราะได้ยินเสียงและรู้ว่านี่คือรถยนต์ เรารู้จักแล้ว ไม่สน กินดีกว่า 55555

          5. หากพบช้างในเวลากลางคืน ให้เปิดไฟรถไว้เสมอ เพื่อให้สามารถสังเกตอาการของช้างและระยะห่างระหว่างรถกับช้างได้โดยสะดวก ห้ามเปิดกระพริบ เพราะแสงจะเข้าตา และดึงดูดให้ช้างเกิดความสนใจ เดินเข้ามาหา

          6. ประสาทสัมผัสของช้างที่ดีที่สุดคือ หู จมูก และตา ถ้าดับเครื่องยนต์ ช้างจะเข้าใกล้เพื่อใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่น นั่นคือการดม ดู และสัมผัส ซึ่งนั่นหมายถึง ช้างเข้ามาหาคุณแย้ววววว เค้าแค่แตะๆ แต่ด้วยกำลังมหาศาล รถคุณก็บาดเจ็บได้

          7. เมื่อตกอยู่ในวงล้อมของช้าง ตั้งสติให้มั่น หากเป็นเวลากลางคืน ให้ใช้ไฟต่ำ และอย่าเปิดกระพริบ แล้วเลือกเคลื่อนรถไปในทางที่มีช้างอยู่น้อย แม้บางครั้งจำเป็นต้องเข้าใกล้หรือเบียดโขลงช้างไปก็ตาม อย่าดับเครื่องยนต์ และปิดไฟรถเป็นอันขาด ค่อย ๆ เคลื่อนรถ ให้เสียงเครื่องยนต์นิ่งมากที่สุด

          ปล. ไฟสูงเปิดได้ ในกรณีที่เราอยู่ห่างจากช้างป่ามากกว่า 50 เมตรขึ้นไป เพราะจะทำให้ช้างรู้ตัวว่ามีรถมา ไม่ตกใจ และเดินหลบเข้าข้างทาง ถ้าเปิดไฟสูงระยะใกล้กว่านี้แสงจะแยงตา ช้างตกใจได้

          8. ไม่ควรจอดรถดูช้าง เพราะอาจมีรถคันอื่นตามมา แล้วรถของคุณกีดขวางรถผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ถูกทำร้ายแทนรถของคุณได้ คนตามหลังซวยเลยครับ

          9. สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเมื่อรถจอดเรียงกันบนถนน ความสามัคคีจะต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าคันที่อยู่ใกล้ช้างหรืออยู่ไกลช้างก็ล้วนเป็นผู้ประสบเหตุทั้งสิ้น ดังนั้นหากรถคันหน้าเปิดไปถอยรถ คันข้างหลังถัดไปก็กรุณาถอยรถอย่างมีสติด้วยนะครับ โดนด้วยกันรอดก็ต้องรอดด้วยกัน

          10. ไม่ควรจอดรถแล้วลงไปถ่ายรูปช้างในระยะใกล้ เพราะอาจทำให้คุณวิ่งหนีขึ้นรถไม่ทัน ควรระลึกอยู่เสมอๆว่า โดยทั่วไปช้างมักจะอยู่รวมกันเป็นครอบครัวหรือฝูง ขณะที่คุณเจอช้างเพียงตัวเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีช้างตัวอื่น ๆ อยู่ในบริเวณนั้น ฝูงช้างอาจจะกระจายกันหากินอยู่ในบริเวณป่าข้าง ๆ ทางนั้นก็เป็นได้ และวินาทีที่เค้าจะเข้ามาหานั้น เร็วมาก

          วิธีสังเกตุอารมณ์ของช้างอย่างง่าย ๆ

          - เมื่ออารมณ์ดี หูจะสะบัดไปมา หางจะแกว่งและใช้งวงสะบัดไปมา หรือเกี่ยวดึงต้นไม้กิน ไม่ค่อยสนใจเรา

          - เมื่ออารมณ์ไม่ดี หูจะตั้งกาง ไม่สะบัดหาง หางชี้ งวงจะนิ่งแข็ง แตะอยู่ที่พื้น หรือใช้งวงตีพื้น และอยู่นิ่งจ้องมองมาทางเรา...

          ปกติช้างจะวิ่งไล่ผู้รบกวนเป็นระยะทางสั้น ๆ เพียง 2 – 3 ครั้ง หากวิ่งตามผู้รบกวนไม่ทันก็จะเลิกวิ่งไล่ไปเอง ช้างเมื่ออารมณ์ดี สังเกตจากการแกว่งหู และสะบัดหางไปมา จะไม่ทำร้ายแม้รถจะวิ่งเข้ามาใกล้ก็ตาม

          แต่หากช้างโกรธ หรือไม่ไว้ใจสิ่งใด เช่น ช้างแม่ลูกอ่อน อาจตรงเข้าทำร้ายผู้รบกวนได้ในระยะไกล จึงพึงสังเกตอารมณ์ และอาการของช้างไว้ประกอบการตัดสินใจด้วยครับ

          ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเกิดเหตุที่รถติดเป็นจำนวนมาก หรือช้างเกิดความเครียด จากการสังเกตุตามข้อแนะนำข้างต้น ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ จะมาทำการอารักขา ขอย้ำครับว่า"อารักขาช้างป่า" ไม่ใช่ไล่ช้าง

          "เพราะเวลาที่ช้างป่ามาเดินเที่ยวสวนจตุจักร เค้าก็เจอแต่คนเยอะแยะมากมายเช่นกัน"




http://hilight.kapook.com/view/114003

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่่าด้วยเรื่อง "รถยนต์"
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มีนาคม 03, 2015, 05:45:06 am »
ไขคดี “รถหาย“ ต้องผ่อนต่อหรือไม่
-http://auto.sanook.com/13191/-


 ยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วน สองสามงวดก่อนนี้ยังค้างชำระอยู่เลย ปรากฏว่า รถหาย!

     เมื่อรถหายคุณโผงก็งดส่งค่าเช่าซื้อสิ

     บริษัทที่ให้เช่าซื้อทวงถาม แต่คุณโผงก็หานำพาไม่

     เช่นเดียวกับคุณผางผู้ค้ำประกันที่ถูกทวงด้วย สรุปว่าทั้งสองไม่จ่าย

     เมื่อทวงแล้วไม่ได้รับชำระ บริษัทผู้ให้เช่าซื้อเลยฟ้องคดี ขอให้ศาลบังคับคุณโผงกับคุณผางใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันจำนวน 102,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

     คุณ โผงให้การว่า รถคันที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักหายไป สัญญาเช่าซื้อจึงระงับสิ้นลง แม้สัญญาเช่าซื้อจะมีข้อตกลงระบุไว้ให้ผู้เช่าซื้อยังต้องชำระค่าเช่าซื้อ ต่อไปจนครบในกรณีรถที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไปข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อความสงบ เรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่มีผลบังคับจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่า เช่าซื้อภายหลังจากสัญญาเช่าซื้อระงับลงคงต้องรับผิดเฉพาะค่าเช่าซื้อที่ ค้างชำระก่อนสัญญาระงับซึ่งเป็นเงิน 5,200 บาท ไม่ใช่ 102,800 บาท ขอให้ยกฟ้อง

     คุณผางผู้ค้ำประกันให้การทำนองเดียวกันว่าเมื่อรถ คันที่เช่าซื้อถูกลักไป สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน บริษัทมีสิทธิเพียงเรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระหรือค่าขาดประโยชน์ใน ระหว่างที่คุณโผงยังไม่ได้คืนรถที่เช่าซื้อเท่านั้นหาจำต้องชำระค่าเช่าซื้อ จนครบไม่คุณผางในฐานะผู้ค้ำประกันก็หาต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อจนครบด้วย ไม่ขอให้ยกฟ้อง

     ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง

     บริษัทอุทธรณ์

     ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 102,800 บาท แก่บริษัท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

     ทั้งสองฎีกา

     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายสัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567

     นอกจากนี้ ตามหนังสือบอกกล่าวของบริษัทถึงทั้งสองก็ระบุชัดว่า บริษัทเลิกสัญญากับผู้เช่าซื้อแล้ว จึงฟังได้ว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว คุณโผงจึงไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไว้อีกต่อไป

     แม้ตาม สัญญาเช่าซื้อข้อ 5 จะระบุให้ผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าซื้อจนครบในกรณีที่ทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูก โจรภัยก็ตาม แต่เมื่อคุณโผงไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อต่อไปก็ถือได้ว่าคุณโผงได้ตกลงชำระค่า เสียหายเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างให้แก่บริษัทในกรณีนี้ซึ่งมีลักษณะเป็น เบี้ยปรับที่ศาลมีอำนาจลดหย่อนลงไปหากเห็นว่าค่าเสียหายที่กำหนดไว้นั้นสูง เกินควร

     ในกรณีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าค่าเสียหายที่กำหนดไว้เท่ากับค่า เช่าซื้อที่ค้างชำระนั้นเป็นจำนวนที่สูงเกินไปเพราะราคารถยนต์ที่เช่าซื้อ นั้นเป็นการคิดราคารถรวมกับค่าเช่าและการใช้รถต้องมีการเสื่อมราคา จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้ 80,000 บาท

     สำหรับดอกเบี้ยที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ทั้งสองชำระในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น ศาลฎีกาก็ไม่เห็นพ้องด้วย เพราะเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วบริษัทไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญาข้อ 7 ซึ่งกำหนดไว้ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อหรือไม่ชำระเงินใดๆ ที่ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระตามสัญญา แต่ทั้งสองมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามมาตรา 224

     พิพากษาให้คุณโผงและคุณผางร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

     (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4601/2533)

     ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์

     มาตรา 567 ถ้าทรัพย์สินซึ่งให้เช่าสูญหายไปทั้งหมดไซร้ท่านว่าสัญญาเช่าก็ย่อมระงับไปด้วย

     มาตรา 572 อันว่าเช่าซื้อนั้นคือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่น ว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าโดย เงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวสัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือท่านว่าเป็นโมฆะ

     มาตรา573ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง



     ที่มา คอลัมน์ สัพเพเหระคดี นสพ.มติชนรายวัน
     โอภาส เพ็งเจริญ o-pas@matichon.co.th

 
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)