ผู้เขียน หัวข้อ: Looper (2012) ทะลุเวลา อึดล่าอึด, จุดเปลี่ยนของอนาคต เริ่มที่ปัจจุบัน  (อ่าน 1465 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


แนวหนัง ไซไฟ ชีวิต แอ็กชัน

ปี 2012 ที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ว่ามีหนังอยู่ 2 ประเภทที่ดูถูกไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมันอาจสนุกกว่าที่คิดได้

ประเภทแรกคือ หนังรีเมคที่มี Colin Farrell แสดงนำ (อย่าง Fright Night และ Total Recall)

ประเภทที่ 2 คือ หนังของพี่ Bruce Willis ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการย้อนเวลา อย่าง Twelve Monkeys, Disney's The Kid และล่าสุดก็คือ Looper นี่แหละ

เหตุเกิดในอนาคตที่ซึ่งมีอาชีพที่เรียกกันว่า "ลูปเปอร์" มือปืนรับจ้างฆ่าคนแลกเงิน และคนที่พวกเขาต้องฆ่านั้นก็จะถูกส่งมาจากอนาคตปี 2074 ประมาณว่าคนยุคนั้นหากอยากจะทำให้ใครก็ตามหายไปแบบไร้ร่องรอย ก็แค่จับเข้าเครื่องไทม์ แมชชีนย้อนมาให้เหล่ามือปืนพวกนี้ฆ่า กลายเป็นฆาตกรรมไร้เงาไป จับมือใครดมก็ไม่ได้

และโจ (Joseph Gordon-Levitt) ก็คือลูปเปอร์มือดีที่กำลังไปได้สวย แต่จะเป็นอย่างไรหากคนต่อไปที่ถูกส่งมาให้เขาฆ่า คือตัวเขาเองจากโลกอนาคต (Bruce Willis) ...แล้วความสนุกของหนังก็เริ่มที่ตรงนี้นี่แหละครับ



Looper ถือเป็นหนังที่รวมเอาความเป็นไซไฟ แอ็กชัน และดราม่ามาไว้ด้วยกัน อันนี้ขอชมผู้กำกับ Rian Johnson ว่าเขาแน่และมือแม่นพอตัว เพราะเขาเขียนบทหนังเรื่องนี้เองด้วยตัวเอง และบทที่ว่าก็ผสมเอาไซไฟ แอ็กชัน ดราม่า มารวมได้แบบเข้ากันอย่างลงตัว

ให้ว่าตามจริงนะครับ แอ็กชันบู๊ในเรื่องนั้นมีไม่เยอะ แต่จะมาหนักเอาตรงประเด็นไซไฟและดราม่ามากกว่า ดังนั้นคอแอ็กชันอย่าคาดหวังตรงนี้มากเกินไปนะครับ เพราะมันไม่ได้เร้าใจ ลุ้นระทึก หรือแปลกใหม่อะไรมากมาย แต่ถ้าใครชอบไซไฟและดราม่าก็น่าจะชอบหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

สำหรับผม ของดีของเด็ดในหนังนอกจากความสนุกเพลิดเพลินแล้ว ต้องยกให้ "มิติของแต่ละตัวละคร" ที่ชัดเจนครับ ดูไปเราจะรู้แรงผลักดันของแต่ละคน นั่นทำให้หนังมีพลังและน่าสนใจ

ขณะเดียวกันหนังยังสะท้อนหลายๆ ประเด็นที่น่าเก็บมาคิดเพื่อพิจารณาชีวิตของเราด้วย

อย่างการที่โจและเหล่าลูปเปอร์วัยหนุ่มยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน บางรายยอมฆ่าตนเองในอนาคตเพื่อเสพสุขในปัจจุบันให้นานที่สุด ซึ่งถ้าเราถอดรหัสมองแบบเปรียบเปรย จะพบว่าชีวิตคนทำงานทั่วไปแบบโหมหนักจนไม่คิดชีวิตนั้นก็เหมือนลูปเปอร์ดีๆ นี่เองครับ ทำงานมากได้เงินมากก็จริง แต่เราก็มักจะแลกมาด้วยสุขภาพ, คนรอบตัว หรือแม้แต่จริยธรรม

ดังนั้นเมื่อถึงวันสิ้นใจ (ที่อาจไวกว่ากำหนด) เราก็ต้องตายอันเนื่องมาจากตัวเราในอดีตนั่นเอง

การลั่นไกสังหารตัวเองจากอนาคต (แบบลูปเปอร์) = การทำงานโหมหนักจนเราตายผ่อนส่ง

นอกจากนี้เราจะพบว่า 3 ตัวละครหลัก อันได้แก่ โจตอนหนุ่ม, โจตอนแก่ และ ซาร่า (Emily Blunt) ล้วนได้เจอกับ "จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต" ด้วยกันทั้งสิ้น

ตัวอักษรที่ผมทำเป็นสีน้ำเงิน ม่วง และเขียวต่อไปนี้จะมีสปอยล์นะครับ หากไม่อยากทราบกรุณาข้ามไปอ่านตัวอักษรปกติครับ



โจตอนแก่ นั้นเพิ่งมาสำนึกถึงความเลวร้ายของสิ่งที่ตนเองทำก็เมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว นั่นคือตอนที่เขาต้องสูญเสียหญิงสาวคนรักที่เปลี่ยนเขาให้ตระหนักว่าโลกนี้มีความสวยงาม ซึ่งผู้ที่บงการสังหารพวกเขา (อีกทั้งเหล่าลูปเปอร์) ก็คือคนลึกลับที่ชื่อ เรนเมคเกอร์

แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้ว เรนเมคเกอร์คือตัวการ แต่หากย้อนมองดีๆ จะพบว่าต้นเหตุที่ใหญ่กว่านั้น ก็คือเขานั่นแหละครับ มันเพราะเขาเลือกที่จะมาเป็นลูปเปอร์ เลือกเส้นทางแห่งการฆ่าคนเพื่อเงิน และผลแห่งการกระทำมันก็ย้อนมาสู่เขาเอง

สำหรับประเด็นนี้จึงอาจไม่มีคำว่า "ตัวร้ายตัวต้นเหตุ" แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะทั้งโจและเรนเมคเกอร์ล้วนมีส่วนต่อผลลัพธ์แห่งความตายของคนรักของโจด้วยกันทั้งสิ้น

การสูญเสียคนรักของโจ ภายใต้การบงการของเรนเมคเกอร์ อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่นำมาสู่่เหตุการณ์ใน Looper แต่จุดเปลี่ยนที่นำชีวิตของโจมาสู่บทสรุปอันนี้ เขานั้นเองคือผู้เลือก

ชวนให้ย้อนมองชีวิตคนอีกมากมาย ในยามเจอปัญหาเขามักมองหาสาเหตุจากสิ่งรอบตัว แต่ส่วนใหญ่แล้วเหตุผลต้นเรื่องมักจะมีจุดเริ่มมาจากตัวเราเองไม่มากก็น้อย

บางครั้งการตัดสินใจที่ถูก ก็คือวัคซีนป้องกันโศกนาฏกรรมในชีวิตที่ดีมากชนิดหนึ่ง... แต่ก็อาจนำคำถามมาสู่ในหลายๆ คนว่า "แล้วอะไรคือการตัดสินใจที่ถูกสำหรับแต่ละสถานการณ์ล่ะ"

คำตอบที่พอจะนึกได้ก็คือ การตัดสินใจใดก็ตามที่ส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่นน้อยที่สุด... แต่อย่าด่วนเชื่อคำตอบนี้ในทันที


หรือตัว โจในวัยหนุ่ม ก็ถือว่าเขายืนอยู่ตรงกลางของเรื่องราวทั้งหมด และเจอจุดเปลี่ยนมากมายจนแทบจะเรียกว่ามากที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมด

เขาเจอจุดจบอันน่าสลดของเพื่อนตนเองที่พยายามหลุดออกจากวงจรลูปเปอร์, เจอตัวเองจากอนาคตมาบอกว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนของเขา, รู้เรื่องเกี่ยวกับเรนเมคเกอร์, ได้พบเจอกับ ซาร่า หญิงชาวไร่ที่อยู่กับลูกชาย ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้จะมีชะตากรรมเป็นเช่นไรต่อไป และจุดเปลี่ยนสุดท้ายก็คือจุดเปลี่ยนของซาร่ากับลูกที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากๆ

เมื่อลองย้อนมองถึงสิ่งมากมายที่โจตอนหนุ่มเจอ เราก็เชื่อได้ไม่ยากว่า ทำไมโจถึงเลือกทำ "เช่นนั้น" ในท้ายที่สุด

ยอมรับว่า "สิ่งที่โจตอนหนุ่มทำในท้ายสุด" นั้น ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าโจคิดได้เร็วกว่านี้ ชีวิตเขาจะเป็นเช่นไร? ไม่ได้หมายความเพียงคิดไตร่ตรองในนาทีที่โจแก่เดินทางมา แต่หมายถึงถ้าคิดได้ก่อนจะมาเป็นลูปเปอร์น่ะ มันจะเป็นเช่นไร ชีวิตเขาจะดีกว่านี้หรือไม่

แต่หากคิดในเชิงไซไฟแล้ว หากโจไม่ได้ก้าวมาเป็นลูปเปอร์ การกวาดล้างเหล่าลูปเปอร์โดยโจแก่ก็คงไม่เกิดขึ้น และความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกี่ยวกับซาร่าและลูกชายของเธอก็อาจไม่มีก็ได้

ดังนั้นการเลือกเป็นลูปเปอร์อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อชีวิตของโจ (เพราะมันนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิตของเขา) แต่มันก็ส่งผลดีในแง่อื่นๆ ส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ (เพราะต่อให้เขาไม่เป็นลูปเปอร์ แต่องค์กรลูปเปอร์ก็ยังมีอยู่ดี)

โจตอนแก่เปลี่ยนได้ โจตอนหนุ่มก็เปลี่ยนได้... ผมเชื่อว่า "การเปลี่ยนได้" นี้มีสาระสำคัญโดยเฉพาะต่อชะตากรรมของลูกซาร่า




เมื่อดูไปถึงจุดหนึ่ง เราจะตระหนักว่าลูกของซาร่านั้นน่าจะเป็นเรนเมคเกอร์ และเขาจะกลายเป็นสุดยอดวายร้ายแห่งอนาคต ยิ่งเราได้รู้ถึง "พลัง" ที่เด็กคนนี้มีก็ยิ่งรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก เพราะมันมหาศาลจริงๆ

ยอมรับว่าระหว่างดูผมสับสนเหมือนโจตอนหนุ่ม ในมุมหนึ่งก็รู้ดีว่าเด็กคนนี้คือเรนเมคเกอร์ หากปล่อยไว้ก็เป็นอันตรายต่อโลกในอนาคต ดังนั้นการกำจัดจึงเป็นหนทางที่น่าจะดีที่สุด เพื่อสกัดความเลวร้ายในอนาคต

แต่ในมุมหนึ่ง... การจะฆ่าเด็กสักคนนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ใจเราจะหักห้ามให้ลงมือกระทำได้ง่ายๆ

ทว่าตอนท้ายหนังได้หาทางออกอย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผมเปลี่ยนใจได้เลย จากเดิมลังเลว่าจะฆ่าเด็กหรือไม่ กลายเป็นมีความหวังว่าเด็กน้อยคนนี้ อาจเปลี่ยนเป็นคนดี และใช้พลังที่มีในทางที่ดีก็ได้

จุดเปลี่ยนก็คือ ซาร่า แม่ตัวคนเดียวที่พยายามเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่เธอก็เหมือนคนธรรมดาที่มีความผิดพลาด ยิ่งตอนเจอลูกแสดงฤทธิ์ แม่ถึงกับวิ่งไปหลบเพื่อหนีอันตรายที่อาจเกิดได้เพราะลูกของตน

บางขณะผมก็คิดเหมือนโจตอนแก่... ไม่กำจัดเด็กคนนี้คงไม่ได้

แต่แล้วเมื่อเหตุถึงการณ์วิกฤติสุดขีด ซาร่าได้สร้างจุดเปลี่ยน เมื่อเธอใช้ตัวเองเป็นต้นแบบให้ลูกซึมซับความสงบ เป็นต้นแบบบอกให้ลูกรู้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง ไม่จำเป็นต้องระเบิดความโกรธ

แม้เราอาจไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วในโลกอนาคตจะยังมีเรนเมคเกอร์อยู่หรือไม่ แต่เราก็มีหวังมากขึ้นกว่าเก่า เริ่มเห็นความเป็นไปได้ที่จะ "ไม่มี" เรนเมคเกอร์

ซึ่งจุดเปลี่ยนนี้จะไม่เกิด หากโจตอนแก่ไม่ย้อนเวลามาทำสิ่งนี้

เป็นอีกจุดที่ผมชอบมากในหนังเรื่องนี้ครับ ทุกคนทุกเหตุการณ์มันเชื่อมโยงกัน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งอื่นๆ ก็อาจไม่เกิดขึ้น และเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด

บางครั้งปัจจุบัน ก็ใช้ทำนายอนาคตที่มีความหวังได้เหมือนกัน


จาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=10000tip&month=02-2013&date=10&group=18&gblog=448

MCHANNEL Looper (ทะลุเวลา อึดล่าอึด) Official Trailer
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 30, 2016, 01:54:57 am โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
มาดูกับมาดาม: 'Looper' เวียนว่ายแต่ไม่เวียนวน

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน สัปดาห์นี้ยังอยู่กับหนังใหม่ฮอตฮิตเกาะกระแส วันนี้มาดามจะมาชวนดูภาพยนตร์แอ็กชั่นไซไฟชื่อแปลก (หูคนไทย) อย่าง “Looper” หรือชื่อไทยว่า “ทะลุเวลา อึดล่าอึด” ถ้าใครเป็นแฟนหนังอย่าง Inception (2012) ก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้นะคะ ขอบอกว่าเท่ไม่แพ้กันเลยล่ะ



มาที่ชื่อเรื่องกันก่อน ทำไมต้องชื่อ “Looper” คำนี้ออกเสียงว่า “ลูปเปอร์” ความหมายตามพจนานุกรมแปลว่า ห่วง การทำให้เป็นห่วง หรือวังวนที่เชื่อมต่อกันไปไม่จบสิ้น นับว่าตั้งชื่อได้เก๋ไก๋เข้ากับเรื่องดีค่ะ เพราะเนื้อเรื่องหลักเป็นการวนเวียนไม่จบสิ้นของตัวละคร ย้อนเวลากลับไปมาจนน่าเวียนหัว (ถ้าไม่ตั้งใจดู) แต่ขอบอกว่าดูไม่ยากค่ะ เพราะผู้สร้างลำดับการเล่าเรื่องออกมาได้ดี ถ้าใครยังมึนๆ ตอนที่ดู Inception เรื่องนี้น่าจะเป็นคำตอบสำหรับคุณได้เพราะตามเรื่องได้ง่ายกว่า ไม่งงแน่ๆ ถ้าไม่เผลอหลับหรือแชตในโรงหนังนะคะ...



Looper กำกับและเขียนบทโดย รีอาน จอห์นสัน (Rian Johnson) เรื่องราวเกี่ยวกับอนาคต เมื่อโลกมีการคิดค้นการเดินทางข้ามเวลา โจ (รับบทโดย โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) เป็นสมาชิกองค์กรลับ รับจ้างเป็น ‘มือปืนลูปเปอร์’ มีหน้าที่ฆ่าเป้าหมายที่ถูกส่งมาจากอนาคตด้วยเครื่องมือข้ามเวลา..



เรื่องราวของโจเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งงานและเงิน จนกระทั่งองค์กรลับอยากจะหยุดวงจรของโจหรือที่ในเรื่องเรียกว่า ‘close the loop’ จึงจับตัวเขาในอีกสามสิบปีข้างหน้า (รับบทโดย บรูซ วิลลิส) มาให้เขาฆ่า...จุดเปลี่ยนของเรื่องมันก็อยู่ตรงนี้แหละค่ะ ว่าโจจะเลือกยิงตัวเองและรับบำนาญชีวิตอยู่ไปอีกสามสิบปี หรือว่าจะเลือกไม่ฆ่าและถูกตามฆ่าตั้งแต่ยังหนุ่มแทน?...เป็นคุณผู้อ่านจะเลือกทางไหนดีคะ? เป็นคำถามที่น่าคิดไม่น้อย ทางเลือกของโจจะเป็นอย่างไรนั้น ลองเข้าไปชมกันดูค่ะ รับรองว่าไม่โหลแน่ๆ




อ่านเนื้อเรื่องคร่าวๆ แล้วงงดีไหมล่ะคะ? แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกค่ะ...ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เล่าแบบวกวนเหมือนชื่อเรื่อง แต่เป็นการเล่าเรื่องแบบกลับไปกลับมาได้อย่างน่าติดตามมากค่ะ มีจุดเล็กจุดน้อยมากมายที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องได้ง่ายขึ้น ถ้าช่างสังเกตและช่างจินตนาการสักนิดจะได้อรรถรสมากขึ้น นับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่อง



เล่ามาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะร้องยี้ ไม่อยากดูเพราะกลัวจะตามไม่ทัน...ไม่ว่ากันค่ะ บางคนก็ไม่ชอบดูหนังที่ต้องคิดเยอะๆ เรื่องนี้ก็เข้าข่ายไม่ใช่เล่นเพราะก็มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่ต้องจำ เพื่อเข้าใจแนวคิดและจุดสำคัญของเรื่อง...แต่ถึงไม่ใช่คอหนังไซไฟก็ลองเข้าไปชมได้ค่ะ เพราะก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีข้อคิดดีๆ



สำหรับมาดาม...เรื่องนี้มันยากตรงที่มีเรื่องของการข้ามเวลา เราไม่ได้เติบโตมากับสิ่งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงยากที่จะคาดเดา แต่ถึงจะแปลก...เรื่องนี้ก็ทิ้งข้อคิดดีๆ ไว้หลายเรื่อง แต่ที่มาดามเลือกจะหยิบมาแชร์กับคุณผู้อ่านวันนี้เป็นเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการเลือกทางเดินของชีวิตค่ะ



คุณผู้อ่านเคยคิดย้อนเล่นๆ ไหมคะว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะเลือกทำหรือเปลี่ยนแปลงการกระทำไหนของเราบ้างหรือเปล่า?...มาดามก็เคยคิดค่ะ แต่ไม่ได้คิดอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรนะคะ เพราะมาดามเชื่อว่าทุกอย่างบนโลกนี้เกิดขึ้นมาอย่างมีที่มาที่ไป และโดยมากก็เกิดขึ้นจากความคิดและการกระทำของเราเอง สิ่งที่เราตัดสินใจจากเรื่องหนึ่งมักจะส่งผลต่ออีกเรื่องหนึ่ง...เวียนว่าย เป็นห่วงลูกโซ่ไปตลอดชีวิตของเรา

เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้...และเราก็ไม่สามารถล่วงรู้ถึงอนาคตของเราได้ เช่นกันค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเลือกและทำจะเป็นตัวกำหนดและหล่อหลอมภาพของเราในอนาคต ฉะนั้น...สิ่งสำคัญที่เราพอจะทำได้ก็คือเลือกจะทำวันนี้หรือปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด อย่าเวียนวนติดอยู่กับอดีตและอนาคตที่ยังมองไม่เห็น มีสติและมีความสุข (โดยไม่เดือดร้อนใคร) กับสิ่งที่เราเลือกวันนี้ให้มากที่สุด แล้วเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่าเราพลาดหรือทำอะไรผิดไป...จำไว้แต่ว่า ‘สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ’ เพราะมันทำให้เราเรียนรู้ที่จะเลือกทางเดินที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ให้กับตัวเอง ไม่ให้ทำผิดซ้ำซาก!



“You can never make the same mistake twice, because the second time you make it, it’s not a mistake, it’s a choice.”
“คุณไม่สามารถทำพลาดได้บ่อยๆ เพราะครั้งต่อไปที่คุณทำ มันจะไม่ใช่ความผิด แต่มันเป็นเพราะคุณเลือกเอง”

จาก http://www.thairath.co.th/content/299495
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...