ผู้เขียน หัวข้อ: มหากาพย์พุทธจริต อัศวโฆษ อศฺวโฆษวิรจิตํ พุทฺธจริตมหากาวฺยมฺ  (อ่าน 1250 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


มหากาพย์พุทธจริต อัศวโฆษ

อศฺวโฆษวิรจิตํ พุทฺธจริตมหากาวฺยมฺ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำเนียง เลื่อมใส แปลและเรียบเรียง

 

มหากาพย์พุทธจริต

 

ลิขสิทธิ์ ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำเนียง เลื่อมใส

 

คำนำของ จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา ที่ปรึกษาศูนย์สันสกฤตศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร

            ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำเนียง เลื่อมใสสามารถแปลพุทธจริตได้เสร็จสมบูรณ์ แม้ข้าพเจ้าจะเคยแปลพุทธจริตไว้ก็จริงแต่ก็แปลไม่จบ  จึงรู้สึกภูมิมจที่มีอติศิษย์อย่าง ดร.สำเนียง ทำงานนี้จนสำเร็จ แสดงถึงความมีวิริยะอุตสาหะ มีวินัยในตัวเอง มีความสามารถและมีสติปัญญาเป็นเลิศ การที่ ดร.สำเนียง แปลพุทธจริตได้สำเร็จทำให้ข้าพเจ้านึกไปถึงบทกวีของท่านอัศวโฆษที่กล่าวไว้ในพุทธจริต สรรคที่1 บทที่41-46 ใจความว่า

            “ฤษีภคุและฤษีอังคีรัสไม่สามารถจะแต่งตำราราชศาสตร์ซึ่งเป็นตำราเกี่ยวกับการปกครองได้สำเร็จ ผู้ที่สามารถแต่งตำราราชศาสตร์ได้สำเร็จ คือศุกราจารย์(ครูของพวกอสูร) ลูกของฤษีภฤคุและพระพฤหัสบดี (ครูของพวกเทพ) ลูกของฤษีอังคีรัส”

            “พระเวทซึ่งสูญหายไปในยุคก่อน ฤษีสารัสวตะลูกของแม่น้ำสรัสวตี จากฤษีทธีจะ ก็นำพระเวทกลับคืนมาได้ ฤษีวสิษฐะไม่สามารถจะแบ่งพระเวทได้สำเร็จผู้ที่ทำสำเร็จคือฤษีวยาสะ”

ฤษีจยวนะยังไม่รู้จักการแต่งบทกวี ผู้ที่สามารถทำได้เป็นคนแรกคือฤษีวาสมีกิ (ผู้แต่งรามายณะ ซึ่งถือกันว่าเป็นอาทิกาวยะ หรือบทกวีเรื่องแรก)”

“ฤษีกุศิกะไม่สามารถจะยกระดับวรรณะของตัวเองจากวรรณะกษัตริย์ให้เป็นวรรณะพราหม์ ผู้ทำได้สำเร็จ (ด้วยการบำเพ็ญตบะ) คือฤษีวิศวามิตร”

“พระชนก (พระบิดาของนางสีดา) ได้เป็นอาจารย์ของพวกพราหมณ์ (ทั้งๆที่ตนเองเป็นวรรณะกษัตริย์) ซึ่งคนวรรณะกษัตริย์คนอื่นไม่อาจทำได้ เศาริ หรือ พระกฤษณะได้แสดงความสามารถต่างๆที่บรรพบุรุษไม่เคยทำได้”

“ดังนั้นเครื่องวัดความสามารถของบุคคล ไม่ใช่อยู่ที่วัย ไม่ใช่อยู่ที่วงศ์ตระกูล”

            ท่านอัศวโฆษนอกจากจะเป็นกวีชั้นเลิศแล้วยังมีความเชี่ยวชาญทั้งทางคติพุทธและคติพราหมณ์ มีความรอบรู้ศิลปะวิทยาการต่างๆ รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีในยุคท่านและก่อนท่านเป็นอย่างดี ผู้ที่จะแปลพุทธจริตได้ถูกต้องและได้อรรถรสจะต้องเข้าถึงความคิดของกวีทุกๆด้าน ขอยกตัวอย่างบางบทในพุทธจริตเพื่อชี้ให้เห็นความลึกซึ้งในแง่มุมต่างๆของท่านกวีอัศวโฆษ

สรรคที่ 12 บทที่ 17

สิ่งที่เรียกว่า สัตตวะ ก็คือ ประกฤติ วิการะ การเกิด ความแก่ และความตาย ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

สัตตวะในที่นี้หมายถึงสัตว์โลกตรงส่วนที่วิวัฒนาการมาจากประกฤติซึ่งเป็นธาตุนิรันดร์คู่กับปุรุษซึ่งมีอยู่ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน

ประกฤติ ก็คือ ธาตุทั้งห 5 (ได้แก่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ) อหังการะ พุทธิ และพลังที่ไม่ปรากฏ

ประกฤตินั้นมีคุณเป็นส่วนประกอบอยู่ 3 ประการ เมื่อคุณซึ่งเป็นส่วนประกอบอยู่ในตัวเกิด ความไม่สมดุลก็จะวิวัฒนาการเป็น (1) มหัต (ส่วนที่ไม่ปรากฏ ซึ่งเรียกอีกอย่งหนี่งว่า อวยักตะ ก่อนจะวิวัฒนาการเป็นพุทธิ) (2) พุทธิ คือ ตัวสติปัญญาในตัวมนุษย์ (3) อหังการะ คือความรู้สึกว่าตัวเองมีอยู่ และวิวัฒนาการต่อไปเป็น

วิการะ ก็คือ วัตถุเร้าอารมณ์ภายนอก 5 ประการ (รูป เสียง กลิ่น รส และการสัมผัส) ประสาทสัมผัส 5 ประการ (ตา หู จมูก ลิ้นและผิวหนัง) เครื่องมือในการทำงานด้านต่างๆ 5 ประการ (มือและเท้า คำพูด ทวารหนัก ทวารเบา และมนัสคือใจ)

เกษตรชญะ (เกษตรในที่นี้ = ทุ่ง หรือที่ = สัตตวะ ) คือ สิ่งที่รู้(สํชฺญิ) เพราะสิ่งนั้นรู้ เกษตรนี้ คนที่คิดถึงอาตมัน หรืออัตตา ก็จะเรียกอาตมันว่าเป็น เกษตรชญะ

            เกษตรชญะก็คือปุรุษะ คือส่วนที่เป็นความรู้บริสุทธิ์ในสัตว์โลก ตามนวความคิดของปรัชญาสางขยะ  ซึ่งตรงกันข้ามกับส่วนที่วิวัฒนาการมาจากประกฤติ มีพุทธิ อหังการะ มนัส ปัญจตันมาตระ ปัญจ-อินทรีย์ ปัญจ-กรรมอินทรีย์ ปัญจ-มหาภูตะ

            จากสรรคที่ 12 บทที่ 18-20 เป็นต้น ทำให้เราทราบว่า ก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ได้ทรงศึกษาปรัชญาสางขยะยุคต้นๆ จากสำนักของฤษีอราฑะกาลามโคตร ปรัชญาสางขยะเชื่อว่าก่อนที่จะมีการวิวัฒนาการมาเป็นโลก มีสิ่งที่เป็นนิรันดร์ 2 ประการ คือ ปุรุษะและประกฤติหรือประธานะ

ใจความว่า”หญิงบางคนหนอนหลับโหนตัวเองอยู่ข้างหน้าต่าง มีลำดับบอบบางที่โค้งเหมือนคันธนู สวมสร้อยคองดงามห้อยลงมา จึงปรากฏเหมือนกับรูปสลักศาลภัญชิกาที่สลักไว้ที่โตรณะ(ซุ้มประตู)

            กวีใช้จินตนาการ(อุตเปรกษะ) เปรียบเทียบหญิงที่นอนหลับคนนี้ว่าเป็นศาลภัญชิกา นักโบราณคดีจะรู้จักศาลภัญชิกาเป็นอย่างดี ตัวอย่างที่มีชื่อเสียง คือเสาโตรณะแห่งสถูปที่สาญจี ที่มีภาพสลักของศาลภัญชิกาอยู่สองข้างของโตรณะด้านทิศเหนือของสถูปใหญ่ สิ่งที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่ง้เกี่ยวกับหน้าต่างของอาคารสมัยโบราณของอินเดียวที่มีชื่อเรียกว่า ควาฤษ(ตาวัว) เป็นหน้าต่างที่เปิดไม่ได้ เป็นรูปรุเพื่อให้ลมผ่านเท่านั้นเอง

ความว่า “หญิงอีกคนหนึ่งหลับโดยยังมีขลุ่ยติดที่มือ ผ้าสไบสีขาวปิดหน้าอกหลุดลุ่ย จึงปรากฏราวกับว่าแม่น้ำที่มีดอกบัวที่ถูกผึ้งตอมเป็นทิวแถว ฝั่งแม่น้ำจึงหัวเราะผ่านทางฟองน้ำ”

            ในบทนี้กวีใช้อลังการะชนิตอุตเปรกษะ คือใช้จินตนาการมองภาพหญิงที่ผ้าสีขาวหลุดไปจากหน้าอก เป็นภาพแม่น้ำซึ่งในแม่น้ำมีดอกบัวถูกผึ้งตอมและที่ฝั่งมีคลื่นมากระทบและฟองน้ำสีขาวเกิดขึ้น กวีมองว่าฝั่งของแม่น้ำกำลังหัวเราะ(แสดงโดยนัยด้วยฟองน้ำสีขาว)ที่เห็นผึ้งกลุ้มรุมดอกบัว ดอกบัวอาจจะแสดงด้วยถันของหญิงสาวหรืออาจจะแสดงด้วยมือที่ถือขลุ่ย ส่วนผึ้งนั้นแน่นอนแสดงด้วยขลุ่ยที่อยู่ในมือของหญิงนั้น ในที่นี้เราจะต้องทราบขนบของกวี (convention of poets) ที่ว่าสีขาวนั้นแทนสิ่งที่บริสุทธิ์ เช่น เกียรติยศ การหัวเราะ แสงจันทร์ เป็นต้น ในบทนี้กวีจินตนาการ ผ้าสีขาวที่หลุดลุ่ยไปติดอยู่ที่สะโพกคือฟองน้ำ ที่แสดงการหัวเราะของฝั่งน้ำ สะโพกของหญิง คือฝั่งน้ำ ถ้าพิจารณาเพียงคำแปลอาจจะเห็นว่ากวีใช้การเปรียบเทียบที่เข้าใจยาก ผู้ที่รู้ขนบของกวีและมีประสบการณ์ที่สั่งสมไว้เท่านั้นจึงจะมองเห็นจินตนาการและความคิดอันลึกซึ้งอย่างยิ่งของกวีได้  กวีบทนี้มีจินตนาการคล้ายกับบทหนึ่งในเมฆทูตของกาลิทาส คือ

“เมื่อท่าน(เมฆ)ได้ดึงผ้าสีน้ำเงินในรูปของน้ำ ที่หลุดไปจากสะโพกของหญิงสาวคนนั้น(แม่น้ำ)ในรูปของฝั่งแม่น้ำ ที่เหมือนกับว่านางใช้มือดึงผ้าไว้ ด้วยปลายต้นอ้อที่โน้มลงไปจนถึงน้ำ ท่านซึ่งลอยตัวอยู่คงจะเดินทางต่อไปได้ยาก เพราะผู้ชายคนไหนเล่าที่เคยลิ้มรสสวาทแล้วจะทิ้งสะโพกที่เปลือยเปล่าไปได้”

            ในที่นี้กาลิทาสจินตนาการว่า เมฆเป็นชายหนุ่ม แม่น้ำเป็นหญิงสาว น้ำในแม่น้ำในฤดูแล้งที่ลดห่างฝั่งออกไปเป็นผ้าสีน้ำเงินที่กำลังหลุดจากสะโพกของหญิงสาวคือฝั่งแม่น้ำ ต้ออ้อที่ปลายโน้มลงไปจรดน้ำเป็นมือของหญิงสาวที่พยายามดึงผ้าไว้ไม่ให้หลุด

            มหากาพย์พุทธจริตนอกจากเป็นพุทธประวัติที่เก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งที่แต่งเป็นกวีนิพนธ์แบบมหากาพย์เป็นภาษาสันสกฤตแล้ว ยังมีความลึกซึ้งทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านวรรณคดีสันสกฤต ด้านหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ด้านปรัชญาสาขาอื่นๆของอินเดีย เช่น สางขยะ ด้านศิลปวัฒนธรรมอินเดียโดยทั่วไป ข้าพเจ้าเชื่อว่า ผลงานที่โดดเด่นของ ดร.สำเนียง เล่มนี้จะช่วให้ผู้สนใจภาษาสันสกฤตและภารตวิทยาทั่วไปมีความซาบซึ้งในเรื่องที่เกี่ยวกับภารตะหรืออินเดียอย่างแน่นอนและหวังว่าวัฒนธรรมตะวันออกอัมีคุณค่าเป็นเลิศจะเป็นที่สนใจของคนตะวันออกมากยิ่งขึ้นจากผลงานนี้

จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา

บทนำ

            มหากาพย์พุทธจริตเป็นกวีนิพนธ์สันสกฤตและเป็นวรรณกรรมชิ้นสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่มหากวีอัศวโฆษได้รจนาขึ้นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวพุทธประวัติตามลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ประสูติจนเสด็จดับขันธปรินิพพานรวมถึงการแจกพระบรมสารีริกธาตุ วรรณกรรมเรื่องนี้มีความน่าสนใจเพราะเนื้อหาเป็นพุทธประวัติตามคติพุทธศาสนานิกายสรวาสติวาท๑ ซึ่งแตกต่างจากพระพุทธประวัติที่แต่งเป็นภาษาบาลีตามคตินิกายเถรวาทซึ่งเรารู้จักคุ้นเคยกันทั่วไป นอกจากนี้ยังได้รับคำชื่นชมจากนักปราชญ์ทั้งหลายว่ามีความไพเราะจับใจและเป็นวรรณกรรมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งในกลุ่มวรรณคดีสันสกฤต

            วรรณคดีสันสกฤตแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ อาคม (คัมภีร์ทางศาสนา) อิติหาส(คัมภีร์ทางประวัติศาสตร์และประเพณีที่สืบทอดกันมา) ศาสฺตฺร (คัมภีร์วิชาการสาขาต่างๆ) และกาวฺย(กวีนิพนธ์หรือบทประพันธ์ที่อยู่ในรูปของศิลปะ)  ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและเรื่องนี้ถูกรจนาขึ้นในรูปของกวีนิพนธ์ซึ่งใช้ฉันทลักษณ์อย่างมีกำหนดกฎเกณฑ์ ทั้งคำที่ใช้ก็มีลักษณะพิเศษกว่าคำพูดทั่วไป ดังนั้น วรรณกรรมเรื่องนี้จึงเป็นวรรณคดีประเภท “กาวฺย” มากกว่าอย่างอื่น หรือถ้าจัดให้ละเอียดลงไปอีกก็จะเป็นวรรณคดีประเภท ปทฺย-ศฺรวฺย-กาวฺย คือเป็นกาพย์(กรวฺย) ที่แต่งเป็นบทร้อยกรอง(ปทฺย) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการฟัง(ศฺรวฺย) มหากาพย์พุทธจริตนั้นมีเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ผู้รจนาจึงเรียกงานประพันธ์ชิ้นนี้ว่ามหากาพย์ ดังข้อความปิดท้ายสรรคที่ 1 ว่า “อิติศรีอศฺวโฆษกฺฤเต ปูรฺวพุทฺธจริตมหากาเวฺย ภควตฺปฺรสูติรฺนาม ปฺรถมสรฺคะ แปลว่า “สรรคที่ 1 ชื่อภควัตประสูติ (การประสูติของพระผู้มีพระภาค) ในมหากาพย์พุทธจริตซึ่งแต่งโดยอัศวโฆษ จบเพียงเท่านี้” เป็นต้น

                ๑ นิกายสรวาสติวาท เป็นนิกายที่แยกมาจากนิกายเถรวาทในสมัยพุทธศตวรรษที่ 3 มีพระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาโดยสมบูรณ์ของตนเอง นิกายสรวาสติวาทไม่ค่อยเคร่งครัดในการรักษาบทหรือความหมายของพระไตรปิฎกนัก เมื่อพิจารณาจากชื่อของนิกายซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำวา สรฺว+อสฺติ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีอยู่ นิกายนี้ถือหลักปรัชญาในอภิธรรมเป็นสำคัญ มีหลักบางประการไม่เหมือนกับของฝ่ายเถรวาท เช่นถือ ว่าพระอรหันต์เสื่อจากอรหัตผลได้ โดยแยกพระอรหันต์ออกเป็นสองพวก พวกแรกคือ วิมุตติอรหันต์ เป็นอรหันต์ที่ยังอาศัยปัจจัยภายนอกช่วยจึงบรรลุอรหัตผล ซึ่งบางครั้งอาจเลื่อมลงเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เหล่านั้น แต่ก็ลดลงมาอยู่ในขั้นอนาคามีหรือสกทาคามี มิใช่กลับเป็นปุถุชนทีเดียว ในขณะที่พวกที่สอง คือ อสมยวิมุตติอรหันต์เป็นอรหันต์โดยแท้ไม่มีวันเลื่อมลงได้ มติอื่นส่วนมากคล้ายกับของเถรวาท

            อนึ่ง พุทธจริตเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ผู้แต่งมิได้คิดขึ้นเอง ประกอบกับเนื้องเรื่องมีการพรรณนาถึงวงศ์ตระกูล บ้านเมือง การเล่นสนุกสนาน ความรัก การพลัดพราก และการประพฤติปฏิบัติคนของบุคคลที่เป็นตัวเอกจนได้บรรลุเป้าหมายสูงสุด อีกทั้งมีการดำเนินเรื่องตามลำดับเหตุการณ์ เนื้อเรื่องประกอบด้วยรสวรรณคดีที่หลากหลาย ตลอดจนมีการเปลี่ยนชนิดของฉันท์ก่อนจบสรรคเสมอ เช่นในสรรคที่ 1 โศลกที่ 1-7 แต่งด้วยตริษฏุภฉันท์ ได้เปลี่ยนเป็นปุษปิตาคราฉันท์ในโศลกที่ 80-89 ก่อนจบสรรค และในสรรคที่ 2 โสลกที่ 1-55 แต่งด้วยตริษฏุภฉันท์ได้เปลี่ยนเป็นมาลินีฉันท์ในโศลกสุดท้าย เป็นต้น๒ ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงกล่าวได้ว่าพุทธจริตมีคุณสมบัติเป็น “มหากาพย์อย่างสมบูรณ์”

            กวีผู้แต่งมหากาพย์พุทธจริต คือ “อัศวโฆษ” ผู้ได้รับยกย่องเป็นมหากวีและเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง แต่หลักฐานข้อมูลเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านมีไม่มากนัก จากหลักฐานเท่าที่ปรากฏ อัศวโฆษเป็นบุตรของนางสุรรณกษี เกิดที่เมืองสาเกต แต่เดิมนับถือพราหมณ์และได้รับการศึกษาแบบพราหมณ์จนมีความเชี่ยวชาญในไตรเพท ภายหลังหันมานับถือพระพุทธศาสนาโดยบวชเป็นภิกษุในนิกายสรวาสติวาท๓ ด้วยความที่ท่านเป็นทั้งปราชญ์และเป็นทั้งกวี เมื่อบวชแล้วจึงมีคำนำหน้าชื่อมากมาย เช่น ภิกษุ อาจารย์ ภทันตะ มหากวี และมหาวาทิน๔ อัศวโฆษเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในยุคเริ่มต้นของนิกายมหายานมีผลงานมากมายทั้งด้านปรัชญาศาสนา บทละครและกวีนิพนธ์ ผลงานที่สำคัญทางปรัชญาและศาสนา เช่น สูตราลังการะ มหายานศรัทโธตปาทะ วัชรสูจี คัณฑีสโตรตระ ที่เป็นบทละคร เช่นราษฎรปาละ ศาริปุตรปรกรณัม และที่เป็นกวีนิพนธ์ เช่นมหากาพย์เสานทรนันทระ และมหากาพย์พุทธจริต เป็นต้น๕

            นอกจากจะรจนางานเขียนไว้หลายเล่มแล้วอัศวโฆษยังเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับสานุศิษย์และนักดนตรีเพื่อขับลำนำอันเป็นเรื่องราวแห่งพระพุทธศาสนาและความไร้แก่นสารของชีวิตในที่ชุมนุมต่างๆเพื่อป่าวประกาศคุณค่าอันล้ำเลิศแห่งพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา ชนทั้งหลายที่สัญจรไปเมื่อได้ฟังต่างหยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะถูกตรึงไว้ด้วยน้ำเสียงและท่วงทำนองที่ไพเราะจับใจ๖ กล่าวกันว่าคำสอนของอัศวโฆษสามารถทำให้ม้าทั้งหลายละทิ้งหญ้าหรือฟางที่กำลังกินอยู่ให้หันมาฟังคำบรรยายของท่านได้ ดังนั้น ท่านจึงได้รับสมญานามว่า “อัศวโฆษ” แต่ข้ออ้างดังกล่าวก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนเป็นแต่เพียงคำบอกเล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น

            การกำหนดระยะเวลาและอายุของอัศวโฆษยังไม่อาจกำหนดได้แน่ชัดว่าท่านเกิด พ.ศ.ใดมีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.ใด และแต่งผลงานดังกล่าวข้างต้นเมื่อใด จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พอลำดับเรื่องได้โยมากเชื่อกันว่าอัศวโฆษเป็นบุคคลร่วมสมัยกับพระเจ้ากนิษกะ กษัตริย์ราชวงศ์กุษาณะ ผู้มีอำนาจปกครองอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียมีเมืองหลวงอยู่ที่ปุรุษปุระ ปัจจุบันคือ Peshwar โดยมีหลักฐานบ่งบอกว่าพระองค์ขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ.120 ๘ (พ.ศ.663) ต่อมาได้รุกล้ำดินแดนลึกเข้าไปในอินเดียและได้โจมตีกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองปาฏลีบุตรแล้วพาเอาตัวอัศวโฆษไป๙ นอกจากนี้ในหนังสือ ซาเปาซางกิง ของจีนยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระเจ้ากนิษกะหลายเรื่อง และมีเรื่องหนึ่งกล่าวอย่างชัดเจนว่าอัศวโฆษได้เป็นที่ปรึกษาทางด้านศาสนาของพระองค์และหนังสือนั้นเรีกยท่านว่า”พระโพธิสัตว์”๑๐ ถ้าเชื่อกันตามนี้ก็สันนิษฐานว่าอัศวโฆษน่าจะมีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.600-700 หรือราวพุทธศตวรรษที่7 และคงจะแต่งมหากาพย์พุทธจริตและผลงานอื่นๆ ขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวซึ่งนับเวลามาจนถึงปัจจุบันก็มีอายุได้เกือบ 2000ปีทีเดียว

            มหากาพย์พุทธจริตเป็นงานเขียนที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าและความงาม นอกจากผู้อ่านจะได้รับสอดแทรกไว้อย่างแนบเนียนแล้วยังจะได้รับรสและอลังการทางภาษาที่ไพเราะอีกด้วย๑๑ ด้วยเหตุนี้หลวงจีนอี้จิง ภิกษุชาวจีนผู้จาริกไปในประเทศอินเดียช่วงประมาณ ค.ศ.671-695 (พ.ศ.1214-1238) จึงได้กล่าวชมเชยไว้ว่าพุทธจริตนั้นเป็นมหากาพย์ที่ยังชุ่มชื่นให้กับจิตใจของผู้อ่าน ดังนั้น ท่านจึงไม่เคยเหน็ดเหนื่อยจากการอ่อนงานกวีนิพนธ์นี้เลย ส่วนความแพร่หลายของมหากาพย์พุทธจริตนั้นหลวงจีนอี้จิงได้บันทึกไว้ว่ามหากาพย์ชิ้นนี้มีผู้อ่านและนำไปขับลำนำกันอย่างกว้างขวางและเป็นรู้จักแพร่หลายทั่วทั้ง 5 ภูมิภาคของชมพูทวีปตลอดจนประเทศที่อยู่ในคาบสมุทรตอนใต้ เช่น สุมาตรา ชวา และหมู่เกาะใกล้เคียงเป็นต้น๑๒ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็น่าเชื่อว่ามหากาพย์พุทธจริตคงจะมีอิทธิพลต่อแนวคิดของศิลปินในการสร้างภาพสลักหินที่โบโรบูดูร์ ในประเทศอนโดนีเซียด้วยเช่นกัน

            มอริช วินเตอร์นิทซ์ ได้กล่าวถึงคุณค่าและความงามของมหากาพย์พุทธจริตไว้ในหนังสือ A History of Indian Literature ว่า

            “คัมภีร์พุทธจริตเล่มนี้เป็นมหากาพย์เกี่ยวกับพระพุทธองค์เล่มแรกโดยแท้จริง ซึ่งกวีแท้ๆ เป็นผู้รจนาขึ้น ท่านเป็นกวีผู้เปี่ยมไปด้วยศรัทธาปสาทะอย่างแรงกล้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งเป็นกวีที่ซาบซึ้งในสัจจะแห่งพระพุทธธรรม จึงสามารถพรรณนาถึงพุทธประวัติและคำสอนของพระองค์ได้โยใช้ภาษาที่สูงส่งและมีความไพเราะเพราะพริ้ง แต่ไม่ใช่ภาษาที่มีสำนวนเสแสร้ง   ในมหากาพย์พุทธจริต เราจะพบกับการดำเนินเรื่องที่มีความประณีตและเต็มไปด้วยศิลปะอันเป็นลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคัมภีร์บางเล่ม เช่นคัมภีร์มหาวัสตุและคัมภีร์ลลิตวิสตระซึ่งมีการดำเนินเรื่องอย่างสับสนและไม่เป็นระเบียบ  อัศวโฆษเป็นกวีมากกว่าที่จะเป็นภิกษุอย่างน้อยก็ในมหากาพย์พุทธจริตเล่มนี้”๑๓

            เนื่องจากคุณค่าและความงามของมหากาพย์พุทธจริตจึงทำให้คนทั่วไปสนใจนามาศึกษาต่ออีกมากมายหลายรูปแบบทั้งการตรวจชำระ การแปล การวิเคราะห์วิจารณ์ การเขียนบทความ และการแต่งคัมภีร์ โดยเฉพาะคัมภีร์พุทธประวัติของฝ่ายเถรวาทในยุคหลังก็สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากมหากาพย์พุทธจริตด้วยเช่นกัน ดังที่สุภาพรรณ ณ บางช้าง กล่าวว่า “เนื้อเรื่องและลีลาการแต่งคัมภีร์ชินจริตคล้ายกับคัมภีร์พุทธจริตของสันสกฤต อาจจะได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์นั้นก็ได้”๑๔

            มหากาพย์พุทธจริตต้นฉบับดั้งเดิมมีทั้งหมด 28 สรรค(บท) บรรจุโศลกไว้ทั้งสิ้นจำนวน 2109 โศลก๑๕ แต่ต้นฉบับดั้งเดิมสูญหายไปมากกว่าครึ่ง คงเหลือต้นฉบับภาษาสันสกฤตเพียง 14 สรรค   คือ สรรคที่1-14 เท่านั้นซึ่งก็ไม่สมบูรณ์เพราะโศลกได้ขาดหมายไปบางส่วน เช่น โศลกที่ 1-7 ของสรรคที่ 1 และโศลกที่ 32-108 ของสรรคที่14 ส่วนสรรคที่15-28 นั้นไม่พบร่องรอยต้นฉบับภาษาสันสกฤตดั้งเดิมแม้แต่บทเดียว จึงเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่มรดกภูมิปัญญาอันทรงคุณค่านี้ได้สูญหายไปจากโลก ถ้าไม่มีผู้แปลไปเป็นภาษาจีนและทิเบตไว้ก่อนบัดนี้เราคงไม่มีโอกาสได้ศึกษาเนื้อเรื่องอันสมบูรณ์ทั้ง 28 สรรคอย่างแน่นอน

            แซมมวล เบียล สันนิษฐานว่ามหากาพย์พุทธจริตที่สมบูรณ์ทั้ง 28 สรรคได้รับการแปลเป็นภาษาจีนราวปี ค.ศ.420 (พ.ศ.963) ในสมัยราชวงศ์เหลียง ผู้แปลคือภิกษุชาวอินเดียชื่อธรรมรักษ์ ซึ่งเดินทางไปสู่ประเทศจีนใน ค.ศ.412 (พ.ศ.955)และทำงานด้านการแปลจนถึง ค.ศ.454 (พ.ศ.667)๑๗ ส่วนฉบับแปลเป็นภาษาทิเบตนั้นกล่าวกันว่ามีผู้แปลไว้ในราวศตวรรษที่7 หรือ 8 ซึ่งเป็นฉบับที่เนื้อหาบริบูรณ์ดีเช่นเดียวกัน๑๘

            ฉบับภาษาไทยเท่าที่ทราบมีอยู่ 2 ฉบับ คือ ฉบับของอาจารย์กรุณา เรื่องอุไร กุศลาสัย ซึ่งถ่ายทอดเป็นพากย์ไทยตั้งแต่สรรคที่ 1-5 ใช้ชื่อ “มหากาพย์พุทธจริตของมหากวีอัศวโฆษ” จัดพิมพ์ครั้งแรกในงานพระเมรุจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2493 อีกฉบับหนึ่งเป็นของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา ซึ่งเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า โดยท่านแปลจากต้นฉบับภาษาสันกฤตตั้งแต่สรรคที่1-3 ในชื่อ “พุทธจริตของอัศวโฆษ” จัดพิมพ์ที่ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปกร เมื่อ พ.ศ.2526 ดังนั้น มหากาพย์พุทธจริตฉบับแปลภาษาไทยที่จบบริบูรณ์ทั้งเรื่องจึงยังไม่มี

            เมื่อข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บรรยาย วิชา 314 เอกสารภาษาสันสกฤตเกี่ยวกับพุทธศาสนาในระดับปริญญาโท สาขาจารึกภาษาตะวันออก ภาควิชาภาษาตะวันออก บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้พบว่ามหากาพย์พุทธจริตเป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะและเหมาะที่จะใช้ศึกษาพุทธประวัติในมุมมองของฝ่ายมหายานอีกสำนวนหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดในใจว่าน่าจะแปลให้จบ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้พบกับอาจารย์กรุณา กุศลาสัย ท่านทราบว่าข้าพเจ้าเคยแปลมหากาพย์เสานทรนันทะ ซึ่งเป็นผลงานของอัศวโฆษเสร็จสิ้นมาแล้วจึงแนะนำให้ข้าพเจ้าแปลมหากาพย์พุทธจริตให้จบเพื่อคนไทยจะได้อ่านเนื้อหาอันเป็นอมตะของวรรณกรรมเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจึงรับอาสาที่จะแปลให้จบ แต่ด้วยภาระงานประจำนั้นมีมาก งานแปลชิ้นนี้จึงใช้เวลาเกือบ 3 ปีจึงสำเร็จ

            ในการแปลข้าพเจ้าอาศัยหนังสือมหากาพย์พุทธจริตฉบับของ อี เอช จอห์นสตัน ฉบับของ เออร์มา ชอตส์แมน และฉบับของสูรยนารายณ์ เจาธรี ประกอบกัน โดยพิมพ์ต้นฉบับภาษาสันสกฤตอักษรเทวนาครีตามฉบับของเออร์มาซึ่งเห็นว่าสมบูรณ์ดี จากนั้นจึงปริวรรตเป็นอักษรไทยกำกับไว้ เพื่อให้ผู้อ่านที่ไม่สันทัดอักษรเทวนาครี สามารถอ่านได้แล้วจึงต่อด้วยคำแปลภาษาไทย ข้าพเจ้าแบ่งหนังสือนี้ออกเป็น 2 ตอน คือตอนที่ 1 (สรรคที่ 1-14) แปลจากต้นฉบับภาษาสันสกฤต ตอนที่ 2 (สรรคที่15-28) แปลจากฉบับภาษาอังกฤษของจอห์นสตันโดยสอบทานกับฉบับแปลภาษาฮินดีของสูรยนารายณ์ ในการแปลต้นฉบับภาษาสันสกฤตนั้น ข้าพเจ้าพยายามจะแปลเป็นไทยให้เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยมิได้ทิ้งรูปรอยภาษาเดิมเสียทีเดียว ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่ผู้ศึกษาภาษาสันสกฤตจะสามารถเทียบเคียงกับต้นฉบับเดิมไม่ยากนัก ส่วนตอนท้ายเล่มข้าพเจ้าได้จัดทำดัชนีค้นรายชื่อบุคคลและสถานที่ซึ่งปรากฏในมหากาพย์พุทธจริตไว้ด้วย สำหรับเนื้อหาของมหากาพย์พุทธจริตโดยย่อมีดังนี้

 

สารบัญ
 

สรรคที่1           ภควตฺปฺรสูติ – การประสูติของพระผู้มีพระภาค กล่าวถึงพระเจ้าศุทโธทนะทรงครองเมืองกปิลวาสตุและพระนางมายาพระมเหสีของพระองค์ได้ประสูติพระกุมารที่ลุมพินีวัน พระกุมารทรงดำเนินได้ 7 ก้าวพร้อมกับประกาศว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย คณะพราหมณ์ ทำนายว่าพระกุมารได้เป็นจักรพรรดิแต่ถ้าออกผนวชจะได้เป็นพระศาสดา ส่วนอสิตฤษีที่มาเยี่ยมภายหลัง ทำนายว่าพระกุมารจะได้ตรัสรู้เป็นพระศาสดาแน่นอน พระราชาทรงเปี่ยมล้นด้วยความปิติยินดีจึงได้ประกอบพิธีทางศาสนาและพระราชทานโคจำนวนมากเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระกุมาร จากนั้นจึงรับพระกุมารกลับสู่พระนคร

สรรคที่2           อนฺตะปุรวิหาร – การประทับอยู่ในพระราชวังฝ่ายใน กล่าวถึงเมืองกปิลวาสตุมีความอุดมสมบูรณ์และมีความสำเร็จทุกประการหลังจากพระกุมารประสูติ พระเจ้าศุทโธทนะจึงขนานพระนามพระกุมารว่า “สรวารถสิทธะ” เมื่อพระมารดาสวรรคต พระนางเคาตมีพระมาตุจฉาได้รับภาระเลื้ยงดูพระกุมารต่อมา พระเจ้าศุทโธทนะทรงเกรงว่าพระกุมารจะออกผนวชจึงจัดให้อภิเกสมรสกับเจ้าหญิงยโศธราและบำรุงบำเรอด้วยกามารมณ์ทุกชนิด ครั้นเมื่อพระราหุลประสูติจากเจ้าหญิงยโศธรา พระราชาจึงทรงคลายกังวลเรื่องการออกผนวชของพระกุมาร

สรรคที่3 สํเวโคตฺปตฺติ – การเกิดความสังเวช กล่าวถึงพระกุมารเสด็จประพาสภายนอกพระราชวัง ประชาชนต่างตื่นเต้นดีใจ๑๙ เทวดาชั้นสุทธาวาสได้เนรมิตชายชราขึ้นมาให้ทอดพระเนตร พระองค์ทรงสังเวชพระทัยจึงเสด็จกลับ เสด็จครั้งที่2 เทวดาได้เนรมิตคนเจ็บขึ้นมาทรงสังเวชพระทัยก็เสด็จกลับอีก ครั้งที่3 พระราชบิดารับสั่งให้แต่งสถานที่พิเศษไว้โดยให้หญิงงามผู้เชียวชาญเชิงโลกีย์คอยต้อนรับ ครั้งนี้พระกุมารทอดพระเนตรเห็นคนตายที่เทวดาเนรมิตขึ้นมาก็ทรงสังเวชพระทัย จึงรับสั่งให้กลับรถ แต่สารถีก็ไม่เชื่อฟังขับรถตรงไปยังป่าที่เตรียมไว้และหญิงงามทั้งหลายได้เข้ารุมล้อมพระกุมารเหมือนกันนางอัปสรรุมล้อมท้าวกุเวร

สรรคที่3 สตฺรีวิฆาตน – การขจัดความหลงใหล กล่าวถึงหญิงงามทั้งหลายเดินเข้าหาพระกุมารแต่ก็ต้องตกตะลึงในความงามของพระองค์จนลืมทำหน้าที่ อุทายีบุตรของปุโรหิตจึงกล่าวเตือนหญิงเหล่านั้น๒๐ เมื่อได้สติหญิงเหล่านั้นจึงใช้มายายั่วยวนพระกุมาร แต่พระองค์ก็ไม่ทรงยินดี อุทายีจึงกราบทูลโน้มน้าวพระทัยด้วยตนเองเพื่อให้พระกุมารโอนอ่อนผ่อนตามหญิงเหล่านั้น ๒๑ พระกุมารทรงปฏิเสธคำพูดของอุทายีด้วยเหตุผลต่างๆ จนกระทั่งพระอาทิตย์อาสดงคต หญิงทั้งหลายยอมแพ้กลับเข้าสู่เมือง ฝ่ายพระราชาทรงบทราบเรื่องจึงปรึกษากับอำมาตย์เพื่อหาวิธียับยั้งพระกุมารตลอดทั้งคืน

สรรคที่5 อภินิษฺกรมณ – การเสด็จของผนวช กล่าวถึงพระกุมารเสด็จประพาสป่าและทอดพระเนตรชาวนาให้วัวไถนาและมีแมลงตายเกลื่อนกลาดจึงสลดพระทัย พระองค์ทรงห้ามผู้ติดตามไว้แล้วเสด็จไปประทับใต้ต้นหว้าทรงมีพระทัยเป็นสมาธิจนได้ปฐมฌาน๒๒ ขณะนั้นเทวดาแปลงร่างเป็นสมณะเดินผ่านมา พระองค์ทรงสนทนากันสมณะนั้นแล้วเกิดปิติจึงปรารถนาจะออกผนวช เมื่อกลับไปขออนุญาตก็ถูกพระราชบิดาห้ามปราม ในราตรีเทวดาชั้นอกนิษฐกะบันดาลให้นางสนมนอนหลับไม่เป็นระเบียบ พระกุมารทรงเบื่อหน่ายจึงเสด็จลงจากปราสาทและทรงม้ากันถกะหนึออกผนวชโดยมีนายฉันทกะตามเสด็จ ม้ากันถกะวิ่งออกโดยมียักษ์ช่วยยกกีบเท้า ประตูที่แน่นหนาเปิดออกเอง ทวยเทพก็ส่องแสงนำทางตลอดราตรี ม้ากันถกะนำพระกุมารทะยานไปได้หลายร้อยโยขน์จนกระทั่งรุ่งอรุณ

สรรคที่6 ฉนฺทกนิวรฺตน – การกลับนครของฉันทกะ  กล่าวถึงพระกุมารเสด็จถึงอาศรมของฤษีภารควะตอนรุ่งสางทรงเปลื้องเครื่องประดับแก่นายฉันทกะและรับสั่งให้นำม้ากันถกะกลับสู่นครพร้อมกับนำความไปกราบทูลพระราชบิดา จากนั้นพระกุมารทรงตัดพระเกศาโยนขึ้นบนท้องฟ้า เทวดารับเอาพระเกศานั้นไปบูชาบนสวรรค์ เมื่อทรงปรารถนาผ้าผ้อมน้ำฝาดเทวดาตนหนึ่งได้แปลงร่างเป็นนายพรานนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาดผ่านมา พระองค์ทรงแลกเปลี่ยนผ้ากับนายพรานแล้วเสด็จเข้าไปยังอาศรมฤษีภารควะ ฝ่ายนายฉันทกะร้องไห้และล้มฟุบลงบนพื้น จากนั้นจึงกอดม้ากันถกะเดินทางกลับสู่นครโดยบ่นเพ้อและแสดงอาการเหมือนคนบ้าไปตลอดทาง

สรรคที่7 ตโปวนปฺรเวศ –การเสด็จเข้าสู่ป่าบำเพ็ญตบะ กล่าวถึงพระกุมารเสด็จเข้าสู่อาศรมของฤษีภารควะและทรงได้รับการเชื้อเชิญจากฤษี ทรงสอบถามเรื่องการบำเพ็ญตบะของฤษีทั้งหลาย เมื่อได้รับคำอธิบายก็ไม่ทรงยินดีด้วยวิธีเหล่านั้นเพราะทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้น พระกุมารประทับอยู่ 2-3 วัน ฤษีตนหนึ่งทราบว่าพระกุมารต้องการโมกษะจึงแนะนำให้ไปพบพระมุนีอราฑะ พระกุมารทรงอำลาฤษีทั้งหลายเล้วจึงเสด็จหลีกไป

สรรคที8 อนฺตะปุรวิลาป – การพิลาปรำพันของพระสนมฝ่ายใน กล่าวถึงนายฉันทกะฝืนใจเดินทางกลับสู่นครโดยใช้เวลาถึง 8 วัน ชาวเมืองทราบว่านายฉันทกะกลับมาโดยไม่มีพระกุมารจึงดุด่าว่านายฉันทกะ ในพระราชวังพระนางยโศธราทรงพิลาปรำพันถึงพระสวามี พระนางเคาตมีก็ทรงกันแสงปานจะสิ้นพระทัย หญิงทั้งหลายก็กอดกันร้องไห้ พระนางยโศธราทรงกันแสงและล้มฟุบลงกับพื้น ฝ่ายพระราชาเสด็จออกมาเห็นเหตุการณ์ก็ทรงกำสรวลจนถึงแก่วิสัญญีภาพ เมื่อทรงฟื้นขึ้นก็ทรงพร่ำเพ้อเหมือนคนเสียสติ พระราชครูและปุโรหิตจึงทูลอาสาออกติดตามพระกุมาร

สรรคที่9 กุมารานฺเวษณ – การติตามค้นหาพระกุมาร กล่าวถึงพระราชครูและปุโรหิตเร่งเดินทางไปจนถึงอาศรมของฤษีภารควะและเข้าไปสอบถาม เมื่อรู้ว่าพระกุมารเสด็จมุ่งหน้าไปยังอาศรมของพระมุนีอราฑะจึงออกติดตามไปทันที ทั้งสองตามทันพระกุมารที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งได้กราบทูลให้ทราทราบข่าวในพระราชวัง พระกุมารตรัสว่าที่ทรงออกผนวชเพราะกลัวชรา พยาธิ และมรณะและจะแสวงหาทางหลุดพ้นเพื่อช่วยเหลือชาวโลกให้ได้ พระราชครูและปุโรหิตได้ทูลชักชวนพระกุมารกลับ แต่พระกุมารทรงปฏิเสธ เมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จทั้งสองจึงอำลากลับสู่เมืองโดยได้แต่งตั้งจารบุรุษไว้คอยสืบเส้นทางที่พระกุมารเสด็จไป

สรรคที่10 เศฺรณฺยาภิคมน – กาเข้าเผ้าของพระเจ้าเศรณยะ กล่าวถึงพระกุมารเสด็จข้าแม่น้ำคงคาผ่านเข้าสู่เมืองราชคฤห์ที่มีภูเขาทั้งห้าแวดล้อม ชาวเมืองตื่นตะลึงบในความงามของพระองค์จึงพากันชุมนุมตามเฝ้าดู พระเจ้าเศรณยะทอดพระเนตรเห็นคนชุมนุมกันจากเบื้องบนปราสาทจึงตรัสถามจนทราบสาเหตุ พระองค์จึงเสด็จไปเฝ้าพระกุมารขนภูเขาปาณฑวะและทรงเชื้อเชิญให้อยู่ครองราชย์สมบัติครึ่งหนึ่ง แต่พระกุมารทรงปฏิเสธและไม่ทรงยินดี

สรรคที่11 กามวิครฺหณ – การขจัดความหลงใหลในกาม กล่าวถึงพระกุมารโพธิสัตว์ทรงปฏิเสธคำเชื้อเชิญของพระเจ้าเศรณยะ ทรงอธิบายให้เห็นโทษของกามและอานิสงส์ในการออกจากกามตลอดจนความปรารถนาโมกษะ พระเจ้าเศรณยะทรงซาบซึ้งพระทัยจึงขอให้พระองค์เสด็จมาโปรดเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว พระกุมารโพธิสัตว์ทรงรับโดยดุษณีภาพแล้วเสด็จต่อไปยังอาศรมไวศวัมตระ ฝ่ายพระราชาก็เสด็จกลับสู่พระราชวัง

สรรคที่12 อรฑทรฺศน – ทรรศนะของพระมุนีอราฑะ กล่าวถึงพระกุมารโพธิสัตว์เสด็จถึงอาศรมของพระมุนีอราฑะและได้รับการต้อนรับอย่างดี พระมุนีอราฑะได้อธิบายทรรศนะของตนแก่พระกุมารโพธิสัตว์ พรองค์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้จึงหลึกไปสู่อาศรมขอพระมุนีอุทรกะ แต่แล้วก็ทรงปฏิเสธทรรศนะของพระมุนีอุทรกะอีก จากนั้นจึงเสด็จไปประทับที่ตำบลคยะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำไนรัญชนา ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นเวลา 6 ปี โดยมีปัญจวัคคีย์ฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางจึงเลิกเสีย ครั้งนั้นเทวดาดลใจนางนันทพลาธิดาหัวหน้าคนเลี้ยงโคให้นำข้าวปรายาสมาถวาย ปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์เสวยพระกระยาหารจึงหนีจากพระองค์ จากนั้นพระองค์จึงเสด็จไปสู่โคนต้นอัศวัตถพฤกษ์ทรงรับหญาคาจากคนตัดหญ้าและปูลาดเป็นอาสนะประทับนั่งตั้งปณิธานมู่งสู่การตรัสรู้

สรรคที่13 มารวิชย – การชนะมาร กล่าวถึงพระกุมารโพธิสัตว์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะตรัสรู้ ฝ่ายพญามารจึงพร้อมด้วยบุตรและธิดาเข้าไปรบกวนพระกุมารโพธิสัตว์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงหวั่นไหวพญามารจึงยิงศรเข้าใส่ แต่ศรก็มิอาจทำร้ายพระองค์ได้  พญามารจึงนึกถึงกองทัพของตน เหล่าเสนามารจึงมาปรากฏตัว ขณะนั้นท้องฟ้ามืดสนิท การต่อสู้ระหว่างพญามารกันพระกุมารโพธิสัตว์เริ่มขึ้น เกิดแผ่นดินไหว มหาสมุทรสั่นสะเทือน งูใหญ่เห็นอปุสรรคก็ออกมาขู่ฟ่อๆ ทวยเทพก็ร้องไหฮือๆ เมื่อพญามารเคลื่อนทันเข้าโจมตีด้วยวิธีต่างๆ พระกุมารโพธิสัตว์ก็ไม่ทรงสะดุ้งกลัว ในที่สุดพญามารและเสนามารก็ล่าถอย ทัองฟ้าและพระจันทร์ก็สว่างสดใส ฝนโบกขรพรรษาที่มีกลิ่นหอมก็โปรยปรายลงมา

สรรคที่14 พุทฺธตฺวรปฺราปฺติ – การบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า กล่าวถึงพระกุมารโพธิสัตว์ทรงเข้าฌานมุ่งสู่การตรัสรู้ เมื่อพระองค์บรรลุพระสัพพัญญูตญาณ โลกสั่นสะเทือน ชาวโลกต่างก็มีความสุข เทวดาก็สาธุการ พระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ 7 วัน ทรงเห็นว่าพระธรรมลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจจึงดำริที่จะไม่สั่งสอน พระอินทร์และพระพรหมจึงมาทูลของอาราธนา ต่อมาพระองค์ทรงดำริที่จะไปโปรดพระมุนีอราฑะและอุทรกะแต่ทั้งสองเสียชีวิตไปก่อนจึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ จากนั้นจึงเสด็จดำเนินไปยังแคว้นกาศี

สรรคที่15 การประกาศพระธรรมจักร กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จไปยังแคว้นกาศีเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ ฝ่ายปัญจวัคคีย์เมื่อเห็นพระองค์เสด็จมาแต่ไกล ได้ตกลงกันว่าจะไม่ถวายการต้อนรับ แต่แล้วก็ลืมข้อตกลงที่ทำกันไว้ ทุกคนต่างลุกขึ้นต้อนรับพระองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่าพระองค์ตรัสรู้แล้ว จากนั้นจึงทรงแสดงอริยมรรคมีองค์แปดและอริยสัจสี่ ในจำนวนนั้นเกาณฑินยะได้ดวงตาเห็นธรรม ยักษ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นปฐพีจึงป่าวประกาศข่าว เมื่อวงล้อแห่งธรรมหมุนไปในไตรโลก เทวดาทั้งหลายก็เปล่งเสียงสาธุการ

สรรค16 ธารศรัทธาแห่งพุทธสาวก กล่าวถึงพระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดอัศวชิตและโปรดยศกุลบุตรพร้อมด้วยสหาย 54 คนจนบรรลุพระอรหัตผลแล้วจึงทรงส่งไปประกาศพระศาสนาในที่ต่างๆ ส่วนพระองค์เสด็จไปโปรดฤษีกาศยปะ 3 พี่น้องพร้อมด้วยบริวารที่ตำบลคยะจนบรรลุอรหัตผลทั้งหมด จากนั้นจึงเสด็จไปโปรดพระเจ้าเศรณยะพิมพิสาร พระราชาเสด็จมาเฝ้าพร้อมด้วยบริวาร ชาวเมืองเห็นพระกาศยปะ 3 พี่น้องอยู่กับพระพุทธองค์ก็แปลกใจ พระพุทธองค์จึงโปรดให้พระเอารุวิลวะกาศยปะแสดงปาฏิหาริย์ พระกาศยปะเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าแสดงฤทธิ์ด้วยการยืน เดิน นั่ง นอน ในอากาศ พ่นน้ำและไฟออกมาพร้อมกัน จากนั้นจึงลงมาถวายบังคมและประกาศว่าตนเป็นศาย์ของพระพุทธองค์ เมื่อดินถูกเตรียมไว้ดีแล้วพระพุทธองค์จึงเทศนาโปรดพระราชาและบริวารจนได้ดวงตาเห็นธรรม

สรรค17 การบรรพชาของมหาสาวก กล่าวถึงพระเจ้าเศรณยะพิมพิสารทรงถวายพระเวณุวันเป็นพระอารามแห่งแรกแด่พระพุทธองค์ พระอัศวชิตเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ อุปติษยะเห็นพระอัศวชิตเดินสำรวมน่าเลื่อมใสจึงติดตามไปเพื่อสนทนาธรรม พระอัศวชิตกล่าวสั้นๆว่า ผลทุกอย่างเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับผลก็ดับ อุปติษยะได้ฟังก็เกิดดวงตาเห็นธรรมละทิ้งลัทธิเดิมของตนและนำความไปบอกเมาทคลโคตรผู้เป็นสหายจนได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน  จากนั้นจึงชวนกันไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อขอบวช ภายหลังทั้งสองได้เป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์ ต่อมาพราหมณ์กาศยปะได้ละทิ้งทรัพย์และภรรยาออกแสวงหาความหลุดพ้นได้มาพบพระพุทธองค์ที่เจดีย์พหุปุตรกะจึงน้อมตนเข้าไปเฝ้า พระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดจนบรรลุอรหัตผล ครั้งนั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่ท่ามกลางพระสาวกทั้ง 3 ดุจพระจันทร์เพ็ญลอยอยู่ท่ามกลางดาวฤกษ์ 3 ดวงในเดือนชเยษฐา (เดือน7)

สรรคที่18 การโปรดเศรษฐีอนาถปิณฑิทะ กล่าวถึงเศรษฐีสุทัตตะเดินทางจากแคว้นโกศลไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์และได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ในเวลากลางคืน พระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดจนเศรษฐีได้บรรลุโสดาปัตติผล ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากความเชื่อเดิมๆ โดยเฉพาะประกฤติและปุรุษ เศรษฐีมีศรัทธาปรารถนาจะสร้างพระวิหารถวายที่เมืองศราวัสตีจึงทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จไปโปรด ต่อมาเศรษฐีเดินทางกลับไปเมืองศราวัสตีพร้อมด้วยพระอุปติษยะเพื่อสร้างพระวิหารเมื่อได้ไปถึงได้ขอซึ้ออุทยานจากพระราชกุมารเชตะโดยนำทรัพย์มาปูลาดจนเต็มอุทยาน พระกุมารเชตะทรงเลื่อมใสในศรัทธาของเศรษฐีจึงอุทิศป่าทั้งหมดถวายพระพุทธองค์ด้วย เศรษฐีสร้างพระเชตะวันวิหาร โดยมีพระอุปติษยะควบคุมการก่อสร้างจนพระวิหารแล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว

สรรค19 การโปรดพระพุทธบิดาและพระโอรส กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จจากเมืองราชคฤห์ไปยังเมืองกปิลวาสตุโดยมีพระภิกษุ 1000 รูปตามเสด็จ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาจนทรงเลื่อมใส มหาชนและพระกุมารที่ศรัทธาต่างพากันออกผนวชตามมากมาย เช่น อานันทะ อนิรุทธะ เทวทัตตะ เป็นต้น ครั้งนั้นอุทายีและอุบาลีก็ออกบวชตามด้วย พระเจ้าศุทโธทนทรงสละราชสมบัติให้พระอนุชาปกครองและประทับอยู่ในพระราชวังอย่างราชฤษี ฝ่ายพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จไปประทับที่ป่านยโครธะ

สรรคที่20 การรับพระวิหารเชตะวัน กล่าวถึงพระพุทธองค์ทรงโปรดชาวเมืองกปิลวาสตุแล้วได้เสด็จไปยังเมืองศราวัสตีของพระเจ้าปเสนชิตพร้อมด้วยพระสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้นเสด็จถึงเศรษฐีสุทัตตะได้ถวายพระเชตะวันวิหารเป็นที่ประทับ พระเจ้าประเสนชิตเสด็จไปเฝ้าสนทนาธรรม ณ พระเชตะวันวิหาร ทรงแสดงธรรมโปรดพระราชาจนเลื่อมใสอย่างมาก ฝ่ายเดียรถีย์ขาดลาภสักการะเพราะพระราชาหันมานับถือพระพุทธองค์จึงท้าทายให้แสดงปาฏิหาริย์ พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ปราบเจ้าลัทธิทั้งหลายแล้วได้เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาและประทับจำพรรษาบนสวรรค์ คั้นออกพรรษาแล้วจึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกาศยะ

สรรคที่21 สายธารแห่งการบรรพชา กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จโปรดประชาชน เช่น ทรงโปรดชโยติษกะและหมอชีวกที่กรุงราชคฤห์ ทรงโปรดพระเจ้าอชาตศัตรูที่ชีวกัมวัน และทรงโปรดบุคคลต่างๆ ในสถานที่ต่างๆมากมาย๒๓ พระเทวทัตเห็นความยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ก็บังเกิดความริษยาจึงคิดทำร้ายพระพุทธองค์ โดยการกลิ้งหินที่เขาคฤธรกูฏและปล่อยช้างตกมันเพื่อทำร้ายพระพุทธองค์ แต่ก็มิอาจทำร้ายพระองค์ได้ พระเจ้าอชาตศัตรูจึงบังเกิดความเสือมใสในพระพุทธองค์เป็นอย่างยิ่ง  ครั้งนั้นพระเกียรติยศของพระพุทธองค์ได้แผ่ขจรขจายไปทั่วทุกทิศ ส่วนพระเทวทัตมีแต่ความอับเฉา

สรรคที่22 การเสด็จเยือนอัมรปาลีวัน  กล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จจากเมืองราชคฤห์ไปยังเมืองปาฏลิบุตรประทับที่เจดีย์ปาฏลิ ที่แห่งนั้นเสนาบดีวรษการะสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานของชาวลิจฉวี พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นทวยเทพนำทรัพย์สมบัติมาเก็บไว้จึงพยากรณ์ว่าเมืองนี้จะโด่งดังในอนาคต เมื่อเสด็จต่อไปจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคาพระพุทธองค์ได้ทรงนำหมู่ภิกษุเหาะข้ามแม่น้ำคงคา จากนั้นจึงเสด็จต่อไปยังหมู่บ้านกุฏิและหมู่บ้านนาทีกะแสดงธรรมแล้วเสด็จต่อไปยังเมืองไวศาลีโดยประทับที่อัมรปาลีวัน และทรงเทศนาโปรดนางอัมราลีที่มาเฝ้าจนได้ดวงตาเห็นธรรม

สรรคที่23 การปลงพระชนมายุสังขาร กล่าวถึงกษัตริย์ลิจฉวีนำโดยพระเจ้าสิงหะเสด็จมาฟังธรรมที่อัมรปาลีวันและอาราธนาพระพุทธองค์เพื่อรับอาหารบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อรู้ว่านางอัมรปาลีได้อาราธนาพระองค์ไว้ก่อนแล้วจึงขุ่นเคืองพระทัยเล็ยน้อยแต่ก็ระงับได้ด้วยหลักพุทธธรรม วันรุ่งขึ้นทรงรับบิณฑบาตจากนางอัมรปาลีแล้วเสด็จต่อไปยังหมู่บ้านเวณุมตี ทรงประทับจำพรรษาที่นั่นแล้วเสด็จกลับมาที่เมืองไวศาลีอีกครั้งโดยประทับที่สระมรกฏะ ขณะนั้นพญามารได้มาทูลอารธนาให้เข้าสู่นิรวาณ พระพุทธองค์ตรัสว่าอีกสาม 3 จะเข้าสู่นิรวาณ พญามารจึงอันตรธานไป ขณะนั้นแผ่นดินได้สั่นสะเทือนและเกิดความโกลาหลทั่วทุกทิศ

สรรคที่24 พระมหากรุณาต่อกษัตริย์ลิจฉวี กล่าวถึงพระอานันทะเห็นแผ่นดินไหวก็เกิดอาการขนลุกชูชันจึงทูลถามถึงสาเหตุ พระพุทธองค์จึงตรัสให้ทราบและทรงปลอบใจพระอานันทะ ขณะนั้นกษัตริย์ลิจฉวีพากันมาเฝ้า พระองค์ทรงทราบความคิดของกษัตริย์ลิจฉวีจึงตรัสปลอบพระทัยและเมื่อจะเสด็จจากเมืองไวศาลีพระองค์จึงรับสั่งให้กษัตริย์เหล่านั้นกลับ๒๔ กษัตริย์ลิจฉวีกลับสู่พระราชวังด้วยอาการโศกเศร้า

สรรคที่25 ระหว่างวิถีสู่นิรวาณ กล่าวถึงเมืองไวศาลีมีความเศร้าหมองครอบคลุมไปทั้งเมือง พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเมืองไวศาสีเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงเสด็จสู่โภคนครและตรัสให้พระสาวกทั้งหลายยึดมั่นในพระธรรมวินัย ทรงรับอาหารบิณฑบาตครั้งสุดท้ายจากนายจุนทะแล้วเสด็จต่ไปยังเมืองกุศินคร เสด็จข้ามแม่น้ำอิราวดี ทรงสนานด้วยน้ำในแม่น้ำหิรัญยวดี และเสด็จไปยังป่าสาละ ทรงรับสั่งให้พระอานันทะจัดเตรียมที่บรรทมระหว่างต้นสาละคู่เพื่อจะเข้าสู่นิรวาณในปัจฉิมยาม พระอานันทะเศร้าโศกมีน้ำตาปิดกั้นดวงตาตลอดเวลา เมื่อพระพุทธองค์ทรงบรรทมบนพระแท่นความเงียบสงบก็เข้ามาเยือน ทรงรับสั่งให้พระอานันทะไปแจ้งข่าวแก่เจ้ามัลละ เมื่อเจ้ามัลละมาเฝ้าจึงตรัสปลอบด้วยพระธรรมเทศนา จากนั้นเจ้ามัลละก็เสด็จกลับเข้าสู่เมืองด้วยความทุกข์และสิ้นหวัง

สรรคที่26 มหาปรินิวาณ กล่าวถึงสุภัทรปริพาชกมาขอเข้าเฝ้าแต่พระอานันทะห้ามไว้พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าและแสดงธรรมโปรดจนบรรลุอรหัตผล สุภัทระปรารถนาจะเข้าสู่นิรวาณก่อนพระพุทธองค์จึงหมอบราบลงกับพื้นและนอนแน่นิ่งไปเหมือนกับงู พระพุทธองค์จึงให้ประกอบพิธีเผาศพของสภัทระ เมื่อผ่านปฐมยามทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุและตรัสปัจฉิมโอวาทว่าด้วยความไม่ประมาท แล้วเข้าปฐมฌานไปจนถึงสมาบัติ 9(สมาบัติ9* มีรูปฌาน 4 อรูปฌาน 5 สัญญาเวทยิตนิโรธ1) จากนั้นจึงเข้าสมาบัติย้อนกลับโยปฏิโลมไปถึงปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเข้าฌานต่อไปอีกจนถึงจุตตถฌานครั้นออกจากจตุตถฌานจึงเข้าสู่มหาปรินิวาณ ขณะนั้นมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งแผ่นดินไหว ฟ้าผ่า พายุพัด ทวยเทพต่างเศร้าโศก ฝ่ายพญามารและเสนามารต่างพากันลิงโลดดีใจ เมื่อสิ้นสุดพระศากยมุนีโลกจึงเศร้าหมองไปทุกหย่อมหญ้า

สรรคที่27 สดุดีพระนิรวาณ กล่าวถึงทวยเทพต่างสดุดีพระนิรวาณ ฝ่ายอนิรุทธะเห็นโลกถูกตัดขาดจากแสงสว่างจึงพรรณนาความเลวร้ายของสังสารวัฏ เจ้ามัลละพร้อมกันออกมาจากเมืองทั้งน้ำตาและได้อัญเชิญพระพุทธสรีระไปวางบนพระแท่นงาช้างแล้วบูชาด้วยมาลัยและประพรมน้ำหอมชั้นดี จากนั้นเคลื่อนพระบรมศพผ่านเข้ากลางเมืองแล้วออกทางประตูนาคะ ข้ามแม่น้ำหิรัณยวดี แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระจิตกาธานซึ่งก่อด้วยไม้หอมชนิดต่างๆ ใกล้กับเจดีย์มกุฏะ เมื่อได้เวลาถวายพระเพลิงจิตกาธานกลัลไม่ลุกไหม้ เพราะแรงอธิษฐานของพระกาศยปะซึ่งกำลังเดินทางมา ครั้นพระกาศยปะเดินทางมาถึงพระเพลิงก็ลูกไหม้ขึ้นเอง พระเพลิงเผาไหม้พระบรมศพเหลือเพียงพระบรมสารีริกธาตุ เจ้ามัลละชำระล้างให้สะอาดแล้วได้บรรจุลงในพรชนะทองคำและสวดบทสรรเสริญ จากนั้นจึงสร้างปะรำเป็นที่ประดิษฐานเพื่อบูชาสักการะ

สรรคที่28 การแจกพระบรมสารีริกธาตุ กล่าวถึงราชทูตจากนครทั้ง 7 ส่งทูตมาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ แต่เจ้ามัลละไม่ยอม กษัตริย์ทั้ง 7 จึงกรีฑาทัพมาเพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ พราหมณ์โทรณะได้ออกมาหย่าศึกจึงไม่มีการสู้รบกัน ครั้งนั้นพระบรมสารีริกธาตุถูกแบ่งออกเป็น 8 ส่วน พราหมณ์โทรณะเก็บภาชนะแจกพระธาตุไว้ ส่วนพระสรีรังคารที่แหลือชาวปสละเก็บไว้บูชา ดังนั้นครั้งแรกจึงมีสถูปทั้งหมด 8 องค์ รวมสถูปที่พราหมณ์โทรณะสร้างและสถูปบรรจุพระสรีรังคารจึงเป็นสถูป 10 องค์ ครั้นเมื่อพระเจ้าอโศกทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนาพระองค์ทรงรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุมาจากสถูป 7 องค์แล้วแบ่งไปบรรจุในสถูป 84000 องค์ที่สร้างขึ้นใหม่ทั่วชมพูทวีป พระองค์ไม่ได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาจากสถูปองค์ที่ 8 ซึ่งอยู่ในเมืองรามปุระเพราะมีพวกนาคเผ้ารักษาไว้อย่างดี พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าและทรงปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจนได้บรรลุโสดาบัน ตอนท้ายของสรรคนี้ผู้รจนากล่าวถึงอานิสงส์ของการบูชาพระบรมสารีริกธาตุและการทำใจให้บริสุทธิ์และกล่าวว่าที่ท่านรจนามหากาพย์พุทธจริตขึ้นมิใช่ต้องการจะอวดความรู้หรือความชำนาญเชิงกวี แต่ต้องการแสดงหลักพุทธธรรมให้แพร่หลายเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกยิ่งๆขึ้นไป

            สำหรับฉันทลักษณ์ ที่อัศวโฆษใช้รจนามหากาพย์พุทธจริต(ส่วนนี้ข้าพเจ้าขอตัดออกมิได้คัดลอกให้อ่าน เพราะการคัดลอกนี้จะคัดลอกเพียงคำแปลเนื้อความเท่านั้น มิได้คัดลอกในส่วนของภาษาให้ศึกษาด้วย สำหรับผู้ตอนการศึกษาให้หาหนังสือมาศึกษาเอาเอง

            ข้าพเจ้าหวังว่ามหากาพย์พุทธจริตฉบับแปลเป็นภาษาไทยเล่มนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจศึกษาวรรณคดีสันสกฤตเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไม่มากก็น้อย คุณความดีที่หากจะพึงมีข้าพเจ้าขออุทิศบุชาคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ตลอดจนท่านมหากวีอัศวโฆษผู้เป็นเจ้าของผลงานอันทรงคุณค่าเรื่องนี้ แต่หากมีที่ผิดพลาดจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีน้อมรับคำติชมและขออภัยท่านผู้อ่านผู้ทรงความรู้ไว้ ณ ที่นี้

            ท่านที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณอาจารย์กรุณา กุศลาสัย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา ซึ่งเป็นผู้จุดประกายและผลักดันให้ข้าพเจ้าทำงานแปลชิ้นนี้จนสำเร็จ ขอขอบคุณอาจารย์ ดร.สมบัติ มั่งมีสุขศิริ ที่กรุณาช่วยตรวจแก่สำนวนที่ไม่กระจ่างชัด ขอของพระคุณอาจารย์อัญชนา จิตสุทธิญาณ หัวหน้าภาควิชาภาษาตะวันออก ที่กรุณาอ่านตรวจทานภาษาไทย และขอขอบคุณทุกท่านที่มิได้เอ่ยนามในที่นี้แต่มีส่วนสนับสนุนให้ข้าพเจ้าทำงานจนสำเร็จ ขอให้ทุกท่านจงได้รับส่วนแห่งความดีนี้และขอให้ธรรมของพระพุทธองค์จงดำรงยั่งยืนตลอดกาลนาน

สำเนียง   เลื่อมใส

ผู้อำนวยการศูนย์สัสสกฤตศึกษา

ศูนย์สันสกฤตศึกษา

ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี

มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพมหานคร

1 พฤศจิกายน 2547


มีอีก http://www.gonghoog.com/main/index.php/2012-11-10-06-30-55
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...