แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
ซิมเก็ง
ฐิตา:
ปรัชญา ปารามิตาหฤทัยสูตร เป็นพระสูตรดั้งเดิมที่สุด กับทั้งเป็นมูลฐานของทฤษฎีศูนยตา เป็น พระสูตรสำคัญของทั้งมหายานและวัชรยาน คุรุนาคารชุนผู้ก่อตั้งนิกายมาธยมิก ราว ค.ศ.1 เป็นผู้รวบรวม อยู่ใน”มาธยมิกศาสตร์ ท่านกุมารชีพได้แปลเป็นพากษ์จีน ประ มาณพุทธศตวรรษที่ 10 แพร่หลายมากจนถึงปัจจุบันที่เรียกว่า ซิมเก็ง
南 無 大 悲 觀 自 在 菩 薩
ซิมเกง
มอ ฮอ ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ ซิม เกง . กวน จือ ไจ ผู่ สัก ฮัง ชิม ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ ซือ . เจียว เกียน อู วัน ไก คง . ตู อีไช คู หงุก . เส ลี จือ . เสก ปุก อี คง . คง ปุก อี เสก . เสก เจียก ซือ คง . คง เจียก ซือ เสก . เซา เซียง ฮัง เสก . หยิด ฝุก ยู่ ซือ . เส ลี จือ . ซือ จู ฝับ คง เซียง . ปุก เซง ปุก มิก . ปุก เกียว ปุก เจง . ปุก เจง ปุก กำ . ซือ กู คง จง บู เสก . บู เซา เซียง ฮัง เสก . บู งัน ยือ พี เสก เซง อี . บู เสก เซง เฮียง มี ฉก ฝับ . บู งัน ไก . ไน จี บู อี เสก ไก . บู บู เมง . หยิด บู บู เมง จิน . ไน จี บู เลา ซือ . หยิด บู เลา ซือ จิน . บู คู จิบ หมิก เตา . บู ตี หยิด บู เตก . อี บู ซอ เต็ก กู . ผู่ ที สัก ตอ . อี ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ กู . ซิม บู ควง ไง . บู ควง ไง กู . บู เยา คง ปู . ยิน ลี ติน เตา มง เซียง . กิว เกง นิบ พัน . ชาม ซือ จู ฟู . อี ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ กู . เตก ออ เนา ตอ ลอ ซำ เมียว ซาม ผู่ ที . กู จือ ปอ แย ปอ ลอ มิก ตอ . ซือ ไต เซง เจา . ซือ ไต เมง เจา . ซือ บู เซียง เจา . ซือ บู ตัง ตัง เจา . แนน ชี อี ไช คู . จิน สิด ปุก ฮี . กู ส่วย ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ เจา . เจียก ส่วย เจา หวัก . กิด ตี กิด ตี . ปอ ลอ กิด ตี . ปอ ลอ เจง กิด ตี . ผู่ ที สัก พอ ฮอ .
ฐิตา:
http://www.youtube.com/watch?v=P2D8epuXla8# Prajna-paramita Hrdaya Sutram (The Heart Sutra) 般若心経
บรรยายความปรัชญาปารามิตาหฤทัยสูตร
ปรัชญา คือ หลักแห่งความรู้ชั้นสูงเพื่อให้เกิดปัญญา ปัญญานั้นแยกออกได้เป็น 2 ทาง คือ สมมุติสัจจ์ หรือปัญญาทางโลกและปรมัตถสัจจ์หรือปัญญาทางธรรม สมมุติสัจจ์ คือ ความจริง ที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ของอายตนะเป็นความจริงจากการเปรียบเทียบ ปัญญาทางโลก นั้นนำพา ความสุข ทางกาย ใจ ในระยะสั้นชั่วครั้งชั่วคราวทำให้มนุษย์ หลงไหลในโลกียะสุข ส่วน ปรมัตถสัจจ์ คือ ความจริงแท้ดั้งเดิม ซึ่งลึกลงไป เป็นธรรมชาติแท้ นั่นคือความว่างเปล่า หรือ ศูนยตา ปัญญาในทางธรรมนั้น เป็นความสุขทางจิต เพื่อได้ความสุขนิรันดร ปัญญาของ มนุษย์ เป็นปัญญาที่ยึดติดอยู่ในความโลภ โกรธ หลง ปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญา แห่งอิสระ เห็นแจ้ง ศูนยตา เพื่อความสุขอันนิรันดร
ตามความหมายแห่งพระสูตรนี้ เป็นไปเพื่อ ให้เกิด ปัญญาแห่งพระพุทธเจ้า เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้เป็นเช่นพระพุทธเจ้า ปารามิตา แปลว่า ข้ามไป ฝั่งโน้น ในทางพุทธศาสนาได้แบ่งโลกออกเป็น 2 ฝั่ง โลกฝั่งนี้คือโลกียะโลก โลกแห่งความ หลงติด ยึดมั่น ขาดอิสระ โลกอีกฝั่งคือโลกุตระโลก คือโลกที่ประทับแห่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย โลกแห่งความเห็นแจ้ง อิสระ ศูนยตา( ว่างเปล่า ) หฤทัย ความหมาย ทางโลกียะ คือ ใจอัน เป็นแหล่งเก็บปัญญา เพื่อแย่งชิงความสุขทางโลก โดยยึดติด อยู่กับ ความโลภ โกรธ หลง ส่วนหฤทัยตามความหมายแห่งโลกุตระนั้น คือ จิตแหล่งเก็บ ปัญญา เพื่อไปสู่พระนิพพาน อันจะทำให้เราได้เป็นเช่นพระพุทธเจ้าในที่สุด ปรัชญาปารามิตาหฤทัย สูตร คือ คำสอนหัวใจแห่งปัญญานำพาข้ามฝากฝั่ง
พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์ เมื่อปฏิบัติซึ้งในปรัชญาปารามิตาเพ่งเห็นขันธ์ 5 เป็นความว่างเปล่า จึงข้ามพ้นทุกข์
การเห็น การได้ยินของมนุษย์เริ่มด้วยการเห็นและได้ยินในระดับตื้น เห็นผิวเผินก่อนหลัง จากนั้น ถ้าเราได้ดำเนินการต่อไปก็จะเห็นและได้ยินด้วยจิตตามมา เป็นการเห็นและ ได้ยินลึกซึ้งเข้าไป อีกระดับหนึ่ง นั่นคือการเพ่งต่อจากการเห็น เมื่อเพ่งเห็นแล้วได้ปฏิบัติต่อคือการพิจารณา ผล ที่ได้สมบูรณ์ คือเห็นลึกซึ้งถึงธรรมชาติอันแท้จริงของสรรพสิ่ง การเพ่งมองเห็นด้วยจิต คือ สมาธิ การพิจารณาต่อมาคือวิปัสสนา ทั้ง 2 วิธีคือการเรียนรู้แผนที่เพื่อใช้ใน การเดินทางเข้าสู่ ประตูแห่งความเป็นพุทธะการปฏิบัติทั้ง 2 วิธี เพื่อให้เกิดปัญญา ปัญญาที่ว่าคือปัญญา ในการ อ่านแผนที่อย่างชำนาญและไม่หลงทาง ดังที่ท่านนาคารชุนโพธิสัตว์ได้กล่าวไว้ว่า “ปัญญา คือตา ปฏิบัติคือเท้า จะไปถึงดินแดนที่เย็นสบาย (พระนิพพาน)”ปัญญาจากตาคือทฤษฎี ทฤษฎีที่ไม่มีการปฏิบัติ ก็เปล่าประโยชน์ การปฏิบัติที่ไม่มีทฤษฎี ก็สับสนหลงทางได้ง่าย ดั่งคนตาบอดคลำทาง ดังนั้นปัญญาจากการเพ่ง(สมาธิ) ปัญญาจากการคิด(วิปัสสนา)จะให้ ผลสมบูรณ์ คือปัญญาที่ได้จากการปฏิบัติ
เราเคยได้อ่าน ได้ยินเรื่องศูนยตา เราเคยได้ คิดถึง ความหมายของศูนยตา สุดท้ายเราเคยได้เข้าสู่ ศูนยตา นั่นคือผลที่สมบูรณ์ บรรลุความรู้แจ้ง แล้ว ความว่างเปล่าหรือศูนยตา คือความว่างเปล่า เอกภาพ สันติภาพอันนิรันดร ตามนัยแห่ง พระสูตรนี้ความว่างเปล่ามิใช่ความว่างเปล่า ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยไม่มีความมี และความไม่มี อันเกิดขึ้นลอยๆทุกสิ่งสัมพันธ์กัน ความว่างเปล่าเป็นที่เกิดของสรรพสิ่ง สรรรพสิ่งก็เป็นที่เกิด ของความว่างเปล่า วินาทีนี้เกิดมาจากการดับของวินาทีก่อน และการดับของวินาที นี้จึง ได้เกิดวินาทีหน้า เกิดดับ ดับเกิด วนเวียนตลอดไป คล้ายดังมีและคล้ายดังไม่มี ความสัมพันธ์ ที่เกี่ยวเนื่องกันนั้นมีในทุกสรรพสิ่งไม่มียกเว้น ความสัมพันธ์ของเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต ความสัมพันธ์ของโลก ธรรมชาติ สังคม สรรพสัตว์ มนุษย์ ความว่างเปล่าเกิดในจิต ของมนุษย์ และก็มีแต่มนุษย์ที่เข้าถึงความว่างเปล่าได้
ฐิตา:
สิทธิพิเศษนี้มิใช่มีไว้เพื่อให้มนุษย์ อยู่เหนือสรรพ สิ่งทั้งมวล มนุษย์ไม่ใช่ผู้ได้รับสิทธิ์ในการทำลายล้างธรรมชาติ ในการทำลายชีวิตสัตว์ เพื่อ ความสนุกสนาน เพราะความหลงในอำนาจของความเป็นมนุษย์ ใช้ความเป็นมนุษย์ไปในทาง ที่ไม่ถูกต้อง ธรรมชาติโลกก็ถูกทำลาย คนก็ต้องรับภัยพิบัติต่างๆของธรรมชาติ ปฏิกิริยาเรือน กระจก วาตะภัย อุทกภัย ภัยจากเพลิงไหม้ คนทำลายสังคม เพียงเพื่อความโลภของตน เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ประเทศที่ร่ำรวยด้วยการส่งออกอาวุธและสารเคมีในการผลิตยาเสพติด สุดท้ายเยาวชนในประเทศของตนเองก็เป็นผู้เสพยาเสพติดมากที่สุด สงครามไม่ว่าด้วยวิธีใด สงครามด้วยกำลังพล สงครามเศรษฐกิจด้วยกำลังเงิน สงครามทางเทคโนโลยี่ ล้วนก่อทุกข์ ให้ชาวโลก เพียงเพื่อสนองกิเลสแสวงหาอำนาจความเป็นใหญ่แห่งตน หรือความชอบธรรมใน การจัดการกับผู้อื่นตามแต่ตนพอใจ
การเอารัดเอาเปรียบของสังคมที่เข็มแข็ง ที่มีกำลัง และ ความคิด ที่ดีกว่า เพียงเพื่อความเหลือกินเหลือใช้ของตน สิ่งซึ่งผู้อ่อนแอกว่าได้รับ ก็คือความ ทุกข์ยากลำบาก แต่สิ่งซึ่งผู้แข็งแกร่งได้รับก็คือความเย่อหยิ่งลำพอง ความล่มสลายของความ สุขพื้นฐาน ความก้าวร้าว ความกระเสือกกระสนเพื่อหาทางเอาเปรียบผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้า ชาวโลกได้เข้าสู่หนทางแห่งปรัชญาความว่างเปล่า สิ่งเลวร้ายทั้งหลายก็จะไม่เกิด การกิน เพื่ออยู่ สร้างความสมดุลของสรรพสิ่ง การอยู่เพื่อกินได้ทำลายความสมดุลของสรรพสิ่ง ผล ของความว่างเปล่าที่สังคมโลกได้รับคือสันติภาพอันนิรันดร ผลความว่างเปล่าที่ปัจเจก บุคคล ได้รับคือความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวล มีแต่ผู้ที่เห็นแจ้งและเข้าถึงซึ่งธรรมชาติแท้ของความ ว่าง เปล่าเท่านั้นที่อยู่เหนือความเลวร้ายทั้งมวล สามารถอยู่กับความเลวร้ายได้โดยไม่เลวร้าย ตาม สภาพแวดล้อมรอบตัว
ดังเช่นบัวแม้เกิดในโคลนตม แต่บัวก็ไม่ได้ปนเปื้อนด้วย โคลนตม เลย ทรัพย์สิน เงินทอง ถ้าเราไม่สามารถเห็นถึง ธรรมชาติแท้ของมันแทนที่เราจะ เป็นผู้ใช้ ทรัพย์สิน เงินทอง เรากลับเป็นผู้ถูกทรัพย์สินใช้ เราต้องตกเป็นทาสของมัน ต้องทนทุกข์ ต้องใช้ความโลภ โกรธ หลง อย่างที่สุดเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของมัน รักษามัน สรรพสัตว ์และสรรพสิ่ง ประกอบกันขึ้น มาจากขันธ์ 5 รูป และ จิตวิญญาณรูป(ร่างลักษณะ) เวทนา (อารมณ์) สัญญา(ความจำ) สังขาร(ความรู้สึก) วิญญาณ(จิต) กรรม(การกระทำ) ต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากขันธ์ 5 เป็นตัวควบคุม ดังเช่นการได้เห็นภาพอันสวยสดงดงาม ความ ชอบความต้องการเป็นเจ้าของ ก็บังเกิดขึ้น ต่างกันในขณะที่เห็นภาพที่น่าเกลียดน่ากลัว ความชอบความอยากได้เป็นเจ้าของก็ไม่เกิด
ปรากฏการณ์ทั้ง 2 เกิดจากขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัว กำหนด เมื่อใดเราเพ่งเห็นขันธ์ 5 คือความว่างเปล่า สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายไม่เกิด ภาพที่เห็นด้วย ตาจะมีลักษณะใดก็ตามจะสวยสดงดงามในจิตเสมอ ดังเช่นภาพพระพุทธ องค์ในรูปดุร้าย น่าเกลียดน่ากลัวของชาวพุทธวัชระยาน พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์ท่านเห็นแจ้ง และเข้าถึง ซึ่งความว่างเปล่า อยู่เหนือความควบคุมของขันธ์ 5 สามารถใช้ขันธ์ 5 ตามความปารถนา ของตน จึงข้ามพ้นสรรพทุกข์ ตัวเราก็เช่นกันเห็นแจ้งในความว่างเปล่าของขันธ์ 5 เราก็เป็น เช่นดังองค์พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์
รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือรูป รูปไม่อื่นไปจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าไม่อื่นไปจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ว่างเปล่า
ประโยคทั้ง 2 นี้เป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา เห็นแจ้งในรูปเป็นความว่างเปล่า เกิดมหาปัญญา เห็นแจ้งในความว่างเปล่าเป็นรูป เกิดมหากรุณา เมื่อเห็นแจ้งในรูปเป็นความว่างเปล่า ความ ยึดมั่นในอัตตาย่อมไม่มี ความหลงในสรรพสิ่งย่อมถูกทำลายไป ธรรมชาติแท้ของสรรพสิ่ง ก็บังเกิดขึ้นในจิต นั่นคือ มหาปัญญา ได้บังเกิดขึ้น และเมื่อได้เห็นแจ้งถึงความว่างเปล่าได้ กำเนิดรูป ความรัก ความเมตตากรุณาในสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติแท้ย่อมบังเกิดขึ้น ความ เมตตากรุณาที่เกิดจากปัญญาจะไม่มืดบอด หลงไหล ความรักของพ่อและแม่ที่มีต่อลูกเป็น เช่นเดียวกัน แต่พื้นฐานของการปฏิบัตินั้นต่างกัน โดยพื้นฐานของผู้ชายจะแข็งกร้าว การ แสดงออกในความรักก็แข็งแกร่งขาดความอ่อนโยน ดุด่าเฆี่ยนตี
จนบางครั้งผู้เป็นลูก ก็ เข้าใจผิดว่าสิ่งที่พ่อปฏิบัติกับตนเป็นความเกลียดชัง ส่วนผู้เป็นแม่รักลูกด้วยความอ่อนโยน ทะนุถนอมลูกส่วนใหญ่เข้าใจว่าแม่รักตนเองมากกว่าพ่อ นั่นคือความคิดของปุถุชน ที่ยังยึดติด ในอัตตา ในขันธ์ 5 ความทุกข์ทรมานใจก็เกิดขึ้น พรหมวิหารธรรมเป็นบ่อเกิดอันสำคัญ ของ มหาเมตตา เมตตา(ปารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) กรุณา(ปารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข) มุทิตา (ยินดีในความสุขของผู้อื่น) อุเบกขา(ความมีใจเป็นกลาง วางเฉยในสิ่งที่ควรจะเฉย) การมองสภาพของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในปัจจุบัน ด้วยอุปทานในปัจจุบันว่าผู้นี้เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติ เป็นคนในครอบครัว เป็นคนในชาติเดียวกัน คนนี้เป็นมิตร คนนี้เป็นศัตรู แต่ ความเป็นจริงเราไม่รู้เลยว่า ผู้ที่เป็นศัตรูของเราในอดีตชาติหลายกัปหลายกัลป์เคยเป็นพ่อ เป็นแม่ของเรามาก่อนหรือไม่
ฐิตา:
ด้วยการมองโดยโพธิจิตให้มองว่าทุกสรรพชีวิต ที่เกิดมาใน ปัจจุบันชาติ ได้เคยเป็นบุรพการีของเรามาก่อน ความรัก ความเมตตาต่อสังคมชาวโลก ก็เกิดขึ้น สันติภาพเกิดขึ้นทันที เพียงแต่เรารักชาวโลกที่อายุน้อยกว่าเหมือนน้อง เหมือนลูก ของตน รักผู้สูงวัยกว่าดังพี่ ดังพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ความสุขสันติในสังคมเกิดขึ้น ความ ขัดแย้งถึงแม้จะเกิดขึ้นก็เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้วยความรัก มิใช่เกิดขึ้นด้วยความเกลียดชัง ความเอารัดเอาเปรียบกัน ความมุ่งแต่จะทำลายล้างกันก็ไม่บังเกิดขึ้น สำหรับอุเบกขาธรรมนั้น ความวางเฉยความมีใจเป็นกลาง ชนส่วนใหญ่แปลความเพื่อเข้าข้างตนเอง เพียงใช้ความ หมายว่างความวางเฉย ดังเช่นคำว่าสิทธิมนุษย์ชน มนุษยธรรม 2 ประโยคนี้มีไว้เพื่อใช้บีบ บังคับสังคมที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น ธิเบตถูกจีนยึดครองมาหลายสิบปี ไม่เคยมีมหาอำนาจ ใดในโลกนี้ใช้คำว่าสิทธิมนุษย์ชนกันชาวธิเบต
สิทธิมนุษย์ชน และมนุษยธรรมจะใช้ก็ต่อเมื่อ ตนเองได้ประโยชน์ และเมื่อตนเองอาจจะต้องเสียประโยชน์ ก็ไม่ยอมพูดถึงคำว่ามนุษย์ชนเลย ไม่ว่าใครจะเรียกร้องอย่างไร สันติภาพอันนิรันดรของโลกจึงเป็นแต่เพียงความฝันเท่านั้น ใน ความเป็นจริงสันติภาพอันนิรันดร์ของโลกเกิดขึ้นได้ถ้าชาวพุทธทั่วโลก เข้าสู่หัวใจของพุทธ ศาสนาอย่างแท้จริงนั่นคือเข้าสู่ปรัชญาแห่งความว่างเปล่าเผยแพร่ และชักชวนชาวโลก ให้เข้า สู่หัวใจของพุทธศาสนาและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ชาวพุทธในบางส่วนก็มุ่งเน้นไปทางปัจเจก พุทธะถือเรื่องการหลุดพ้นเป็นเรื่องส่วนตน ไม่เกี่ยวข้องกับสังคมโลก ถึงแม้พระพุทธเจ้าได้สอน ทางเดินให้ชาวพุทธเดินไปสู่นิพพานมากมาย แต่เส้นทางที่พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติเองเป็น ตัวอย่าง คือ เส้นทางเห่งมหาเมตตาและมหาปัญญา การมุ่งแต่มหาปัญญาอย่างเดียว โดย ละทิ้งเส้นทางแห่งมหาเมตตาความสุขส่วนตนบังเกิด แต่ความสุขโดยรวมจากสันติภาพอัน นิรันดรก็ไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้ พระนิพพานที่บังเกิดขึ้นก็เอนเอียง
ดังนั้น พระปัญญา และพระเมตตาต้องควบคู่กันไป คนอยู่ สังคมต้องอยู่ ธรรมชาติต้องอยู่และโลกก็ต้องอยู่ คำสอนของพุทธศาสนาวัชระยาน พระพุทธเจ้าโปรดสรรพสัตว์ตามสภาพของ สรรพสัตว์นั้นๆ บางครั้งอ่อนโยนนุ่มนวล บางครั้งแข็งกร้าว บางครั้งดุร้ายน่ากลัว บางครั้งมาในรูปของสตรีเพศ การแสดงปาฏิหาริย์ปราบชฎิลดาบสก็ด้วยเหตุผลนี้ แต่ทั้งปวงเกิดจากมหาปัญญา ที่เห็นซึ้งใน ธรรมชาติของสรรพสัตว์นั้นๆ และความรักเมตตาในสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมอบพระมหาปัญญาไว้ให้ชาวโลกด้วยพระมหากรุณา หัวใจของพระพุทธศาสนา หัวใจ ของ การตรัสรู้ก็คือพระมหาปัญญาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์นั่นเอง
โอ สารีบุตร ธรรมทั้งปวงว่างเปล่า ไม่มีรูป ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่เพิ่ม ไม่ลด ในความว่างเปล่าไม่มีรูป
ธรรมในความหมายแรก คือ องค์รวมขันธ์ 5 เป็นสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง และเป็นความว่าง เปล่าดังได้กล่าวไว้แล้ว ธรรมในอีกความหมายหนึ่ง คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าอันเป็นแนว ทางในการบรรลุความหลุดพ้น ธรรมในความหมายทั้ง 2 เกาะเกี่ยวสัมพันธ์ อิงซึ่งกัน และกัน อยู่ตลอด เมื่อเราเห็นแจ้งธรรมแรกเป็นความว่างเปล่า ธรรมที่ 2 ก็ว่างเปล่าด้วย เมื่อสรรพสิ่ง ว่างเปล่า เครื่องมือในการจัดการสรรพสิ่งก็ไม่จำเป็นต้องมีและว่างเปล่าด้วย ขณะที่ความ ว่างเปล่าบังเกิดสรรพสิ่ง ธรรมทั้งปวงก็ บังเกิดด้วย เพื่อจัดการควบคุมสรรพสิ่ง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติ แท้ของสรรพสัตว์ ในสายตาของผู้ที่ยังวนเวียนอยู่ในขันธ์ 5 การเกิด เป็นความปิติยินดี เป็นความบริสุทธิ์
ดังคำพูดที่ว่าเด็กเกิดใหม่บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ใดๆ การเกิดเป็นความที่ควรปิติจริงๆ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ค่าของการเกิดที่แท้จริง ค่าที่แท้จริงของ การเกิดคือมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่มีโอกาสได้ตรัสรู้หลุดพ้นจากบ่วงของวัฏฏะ ความตายที่คน ทั่วไปว่าเป็นความหมองมัว โศกเศร้า การตายโดยที่เรายังไม่ได้พัฒนาจิตเลย นั้นจึงเป็นความ เศร้าเสียใจ เมื่อมีชีวิตอยู่เราได้ให้อะไรแก่โลก แก่สังคมโลกบ้าง เราได้ตักตวงโอกาส ที่ได้เกิด มาโดยพัฒนาจิตวิญญาณของเรามาได้เท่าไร และเราได้มอบสิ่งซึ่งเราได้ตักตวง ไว้คืนให้แก่ ชาวโลก เป็นจำนวนเท่าไร การเข้าสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วกลับออกไปด้วยมือเปล่า เป็นเรื่องที่ น่าเศร้ามาก เช่นกันการเข้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่ได้อะไรเลยแถมยังร่วมกัน ทำลายภูเขา ศักดิ์สิทธิ์อีกนั่นยิ่งน่าเศร้ามากกว่า
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คือ โลก การเกิดมาคือการเข้าสู่ภูเขา ศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆวันเราได้เข้าร่วมขบวนการทำลายภูเขาอยู่ตลอดเวลาทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว การใช้ทรัพยากรอย่างไม่รู้คุณค่า การสร้างมลภาวะต่างๆ การกอบโกยหาประโยชน์เข้าตน โดยไม่คำนึงถึง ผลเสียที่สังคมชาวโลกจะต้องรับนั่น คือ การเข้าร่วมขบวนการทำลายภูเขา ศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันเราได้ให้อะไรแก่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์บ้าง เราเคยรักษาสภาวะแวดล้อม ของโลก หรือไม่ เราเคยร่วมสร้างสันติในสังคมบ้าน สังคมประเทศ สังคมโลกหรือไม่ เราเคย ชักชวนชาวโลกให้เข้าสู่หนทางแห่งความสุขอันนิรันดร์ตามแนวแห่งพระศาสนาหรือ ไม่ ภูเขา ศักดิ์สัทธิ์แม้วันหนึ่งข้างหน้าจะต้องสูญสลายไปด้วยกฎแห่งอนิจจัง แต่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควร ต้องถูกทำลายลงด้วยมือของเรา หนทางที่จะยืดเวลาแห่งกฎอนิจจังของโลกคือการนำมนุษย์ เข้าสู่พระนิพพานให้มากที่สุด ก่อนที่ความตายจะมาเยือนเรา
ฐิตา:
สรรพสัตว์ตนใดที่เกิดแล้วไม่ ต้องตาย เมื่อสรรพสัตว์เกิดแล้วต้องตาย ทำไมการเกิดจึงบริสุทธิ์ แล้วการตายต้องหมองมัว ความบริสุทธิ์ที่คนชอบเปรียบเทียบว่าเป็นดังเช่นกระจกเงาที่ไม่มีฝุ่นละออง จับสามารถ มองภาพของตัวเราได้ชัดเจนทุกชอกทุกมุม สภาพนั้นเราต้องมั่นคอยเช็ดคอยถู และคอยดู ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้ากระจกเงาไม่มี ตัวเราก็ไม่มี เราก็ไม่ต้องเช็ดถู เราก็ไม่ต้องคอยส่อง ดูตัว สภาพเช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ ดังนั้นเมื่อข้ามพ้นสิ่งปรุงแต่งเข้าสู่ความว่างเปล่า เห็นแจ้ง ในธรรมชาติแท้แล้ว สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่บริสุทธิ์และไม่ไม่บริสุทธิ์ ไม่มัวหมองและ ไม่ไม่มัวหมอง ความไม่เพิ่มไม่ลด เมื่อเราเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้วสรรพสิ่งก็ไม่ปรากฏในจิต เราก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มหรือลดสิ่งใด
ขณะที่เราอยู่ในสถานที่ที่ว่างเปล่าสักแห่ง เราพอใจ และ เป็นสุขในสภาพนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหาสิ่งใดมาเพิ่มหรือรื้อทิ้งสิ่งใด แต่ถ้าเราไม่พอใจ ไม่เป็นสุขในสภาพนั้นเราก็ต้องเหนื่อย ดิ้นรนเพื่อเพิ่มหรือลด เปลี่ยนแปลงสภาพนั้น เมื่อเรา อยู่เหนือสภาพความพอใจและไม่พอใจแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องเสาะหาธรรมวิเศษ ใดๆมาเพิ่ม หรือตัดทอนธรรมใดๆพุทธสุภาษิตที่ว่า รู้จักพอก่อสุขทุกสถานแม้เลยล่วงมา มากกว่า 2500ปี ยังคงความศักดิ์สิทธิ์เสมอ ความเดือดร้อนของมนุษย์ทั่วทั้งโลกก็มาจาก คำว่า”ไม่รู้จักพอ” ประเทศใหญ่ ไม่พอ ในอำนาจจึงพยายามทอดเงาของตนออกไปเพื่อทับเพื่อปกคลุมประเทศ ที่เล็กกว่า คนในประเทศเล็กไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ก็รับทุกสิ่งที่ประเทศอันได้ชื่อ ว่าพัฒนา แล้วส่งมาให้ ไม่ว่าสิ่งที่ได้รับจะเป็นพิษหรือไม่ จะเหมาะสมกับตนหรือไม่ ด้วยความด้อย ความรู้แห่งตน เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง สุดท้ายจึงถูกช้างเหยียบตาย ดังนั้นพุทธสุภาษิตที่ว่า การ เป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลกจึงบังเกิดขึ้น จึงเป็นการเพิ่มทุกข์ในทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่เป็นทุกข์ใด เลยเพราะพระองค์อยู่ด้วยธรรมเดียวคือ ว่างเปล่า
ไม่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ไม่มีจักษุธาตุ ไม่มีมโนธาตุ
ตา หู จมูก สิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะภายใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นอายตนะ ภายนอกที่ต่อเชื่อมกัน ตาเห็น หูได้ยิน ลิ้นได้รส กายรับความรู้สึก ใจในที่นี้ในทางวิทยาศาสตร์ คือ สมองแหล่งรวมของสรรพสิ่งที่อายตนะรับเข้ามา ทุกส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นกายเนื้อ เกิดจาก เซลล์ไข่ของแม่และเซลล์อสุจิของพ่อ เซลล์ได้แบ่งตัวเป็นอวัยวะต่างๆ และเป็นตัวมนุษย์ใน ที่สุด ในทุกขณะที่เราคงสภาพเป็น มนุษย์อยู่นั้นเซลล์ในร่างกายตายไป และเกิดใหม่ขึ้น ทดแทนตลอด เวลา การตาย การเกิดของเซลล์เมื่ออยู่ในสภาพที่สมดุลตามธรรมชาติ ของมัน ก็เกิดความ สมบูรณ์แข็งแรง แต่ถ้าเซลล์ตายมากกว่าเกิด หรือเกิดมากกว่าตาย ความสมดุล ไม่มี เราก็เจ็บไข้ ได้ป่วย ทรมาน อะไรเป็นสาเหตุหลักของการขาดสมดุลของเซลล์ อาหาร น้ำ อากาศ ยา อารมณ์
อุตสาหกรรมที่ขาดความรู้ ขาดการควบคุม เห็นแก่ได้ ปล่อยสารพิษ ลงในน้ำ ปล่อยควันพิษขึ้น ไปในอากาศ การใช้สารเคมีอย่างมหาศาลในการผลิตอาหาร การใช้ยาเคมีอย่างฟุ่มเฟือย ในการ รักษาโรค การแย่งชิงกันกิน ชิงกันอยู่ ชิงกันมี ทำให้เกิด ความเครียดอารมณ์เสียเกือบตลอดชีวิต เรากินน้ำที่เป็นพิษ กินอาหารที่เป็นพิษ หายใจเอา อากาศพิษ แถมด้วยอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นพิษ อีก ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการกระทำของคน ฉะนั้น คนจึงได้รับสิ่งเหล่านั้น ปลูกถั่วได้ถั่วปลูกแตงได้ แตง กฎแห่งกรรมที่หนีไม่พ้น เซลล์ตาย มากกว่าเกิดหรือเซลล์เกิดมากกว่าตายเป็นส่วนที่เกิดกับ กายแต่ความรู้สึก เจ็บปวดทรมาน เกิดในจิต ถ้าเรายังคงไม่เข้าใจใน ธรรมชาติแท้ของเซลล์เราก็จะต้องประสพ กับความ เจ็บ ปวด ทรมานครั้งแล้ว ครั้งเล่าเมื่อเรารู้ซึ้งถึงธรรมชาติแท้ของเซลล์ เราก็ปฏิบัติต่อมันได้ อย่างถูกต้อง ความสมดุลก็เกิดตลอดเวลา ความรู้ ความไม่รู้ทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้น ในจิต เท่านั้น มีเพียงจิต เท่านั้นที่เห็นหรือไม่เห็นธรรมชาติของเซลล์(ความว่างเปล่า) และจิตก็เป็น ผู้สั่งการให้สู่ การ ปฏิบัติ
ดังนั้น ความสุขจากความสมบูรณ์แข็งแรง หรือความทุกข์จากการ เจ็บปวด จิตจึงเป็น ผู้รับผลนั้น ในผู้มีปัญญาเมื่อพูดถึงขันธ์ 5 เป็นศูนย์ ความบรรลุก็บังเกิด ขึ้นทันที ในระดับ รอง เมื่อยังไม่เห็นถึงความว่างเปล่าของสรรพสิ่งก็ต้องพูดให้แคบเข้า มาอีก ชี้ให้เห็นถึงร่างกายเป็นศูนย์ เมื่อซึ้งแล้วสรรพสิ่งก็คือศูนย์ จักษุธาตุ(ธรรมชาติแท้ของการเห็น) มโนธาตุ(ธรรมชาติแท้ของการรับรู้) การรู้เห็นในธรรมชาติแท้ของสรรพสิ่ง รู้เห็นในความ ว่างเปล่า ก็ว่างเปล่าเช่นกันไม่มีอวิชชา ไม่มีความสิ้นไปแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่ ความตาย ไม่มีความสิ้นไปแห่งความแก่ ความตายอวิชชา ความหมายตามพจนานุกรม หมายถึงความ ไม่รู้ เฉพาะความไม่รู้ทางแห่งนิพพาน ไม่รู้อดีต อนาคต ไม่รู้แจ้งด้วยปัญญา มิใช่การเรียนรู้ อวิชชาเป็นหัวใจของวงล้อแห่งวัฏฏะสงสารเป็นกงกรรมกงเกวียนที่เราต้องเวียน ว่าย ใครบ้างที่ ต้องอยู่ในวงล้อแห่งวัฏฏะนี้ คำตอบ คือสรรพสัตว์ใน 3 ภพ 6 ภูมิ มนุษย์ก็คือหนึ่งในสรรพสัตว์ นั้น
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version