ธรรมท้ายปีที่อินเดีย ดาไลลามะ-พระไทยดวงตาทุกคู่จ้องไปยังองค์ดาไลลามะแห่งทิเบต ผู้เผยแผ่ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจายไปทั่วโลก
คนไทยราว 200 คนนั่งเงียบกริบ พระภิกษุสงฆ์จากประเทศไทยจากวัดต่างๆ อย่าง วัดหนองป่าพง วัดป่าสุขโต วัดชลประทานรังสฤษฏ์และวัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม มารวมกันอย่างมีการนัดหมาย
การสนทนาธรรมระหว่างพระภิกษุสงฆ์ไทยกับพระภิกษุสงฆ์ทิเบต โดยการประสานงานของหอจดหมายเหตุท่านพุทธทาส อินทปัญโญ เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมโรงแรมไฮแอท กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย
องค์ดาไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบต ประสูติเมื่อ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2478 ในแคว้นอัมโด หมู่บ้านตักเซอร์ อยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของทิเบต ทรงได้รับเลือกเป็นประมุของค์ใหม่ของทิเบตตั้งแต่อายุ 2 ขวบ โดยผ่านการพิสูจน์ตามธรรมเนียมของโบราณประเพณี ตามความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดของชาวทิเบต
ชาวทิเบตมีความเชื่อว่า องค์ดาไลลามะทุกพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด หลังผ่านการคัดเลือกแล้ว ประมุขทุกพระองค์จะประทับอยู่ ณ พระราชวังโปตาลา กรุงลาซา แต่องค์ดาไลลามะองค์ปัจจุบัน ทรงลี้ภัยการเมืองจากทิเบตมาอยู่ธรรมศาลา ประเทศอินเดียตั้งแต่ พ.ศ. 2505
ศาสนกิจในพระองค์ นอกจากเป็นผู้นำจิตวิญญาณชาวทิเบตโดยทั่วไปแล้ว ยังเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อชาวโลกอีกด้วย
ทรงเรียนรู้หลายแขนงอย่างแตกฉาน ไม่ว่าจะเป็นตรรกวิทยาแบบพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมทิเบต ภาษาสันสกฤต การแพทย์ ปรัชญา นอกจากนี้ยังเรียนกวีนิพนธ์ ดนตรี ภาษาศาสตร์ เพื่อใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ทรงเสด็จประเทศไทยถึง 3 ครั้งคือ พ.ศ.2510, 2515 และ 2536 แต่ละครั้งได้พบกับสมเด็จพระสังฆราช และเดินทางไปพบท่านพุทธทาสภิกขุ ประทีปธรรมแห่งสวนโมกข์เพื่อสนทนาธรรม ก่อให้เกิดสายใยแห่งธรรม ระหว่างทิเบต-ไทยในกาลสืบมา
พระองค์ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อ พ.ศ.2532
องค์ดาไลลามะก้าวสู่ห้องประชุมพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา ในเวลาประมาณ 08.00 น. ทรงแสดงธรรมหัวข้อ หนึ่งจุดหมายหลายหนทาง หลังจากนั้นมีการซักถาม สนทนาธรรมกันอย่างออกรสตลอด เวลา 2 วัน สารธรรมในพระองค์น่าสนใจยิ่ง
องค์ดาไลลามะตรัสว่า แต่เดิมนั้นพุทธศาสนาพระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ทำให้ศาสนากระจายไปยังประเทศต่างๆมากมาย คนที่ลึกซึ้งกับศาสนาก็จะรักษาเอาไว้ แต่คนที่ไม่ลึกซึ้งก็อาจเปลี่ยนศาสนาไป อย่างไรก็ตาม พระธรรมในศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นๆ ยังนำไปปฏิบัติ อย่างเรื่องความเมตตา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี การที่พระองค์ได้พบปะพูดคุยกับศาสนาอื่นๆ มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้ความคิดใหม่ๆ และได้ประโยชน์มาก
ภาษามีความสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
สมัยพุทธกาล แม้จะมีภาษาอื่นๆมากมาย แต่พระพุทธองค์ทรงใช้ภาษาบาลีเป็นหลัก เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพาน พระไตรปิฎกก็เกิดขึ้นให้ได้เรียนรู้กัน ทั้งในมหาวิทยาลัยนาลันทา ตักศิลา ล้วนมีการเรียนรู้และปฏิบัติในทางเดียวกัน แปลกกันเพียงว่า สายนาลันทาใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก แต่มิว่าใช้ภาษาใดก็สอนเรื่องในพระไตรปิฎกเหมือนกัน
คนเราไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร เราก็ต้องอยู่ในโลกเดียวกัน การอยู่ร่วมกันไม่ควรแตะต้องเรื่องศาสนา ต้องเมตตากัน จะได้มีความกลัวระหว่างกันน้อยลง ถ้าเราคิดถึงคนอื่น เข้าใจคนอื่น ความกลัวของเราก็จะน้อยลง มองในทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเรามีความกรุณา เลือดก็จะไหลเวียนดีขึ้น ถ้าเรามีความกลัว ความกลัวก็จะกัดกินความสุขของเรา
ดังนั้น คนเราต้องฝึกให้มีความกรุณา เพราะความกรุณาจะเป็นพื้นฐานที่ดี แม้จะเป็นคนไม่มีศาสนาก็ตาม เรื่องนี้ผ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว เป็นประโยชน์มาก
พระองค์ถามอย่างอารมณ์ดีเรื่องคนไทยบวชต้นไม้ ต้นไม้มีจิตหรือเปล่า หรือต่อไปต้นไม้ต้องมีวินัยต้นไม้ด้วย ตรัสพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนขยายความต่อว่า ในศาสนาชินโตของญี่ปุ่นก็ถือว่าต้นไม้ก็มีจิตวิญญาณด้วยเหมือนกัน เรื่องราวเหล่านี้ต้องคุยกัน
เรื่องพระสงฆ์ในพุทธศาสนา พระองค์ตรัสว่า คนที่ทิเบตบางคนก็ดูกันที่จำนวนม้า ว่าพระรูปใดมีม้ามากกว่ากัน นับว่าเป็นเรื่องโง่เขลาในสมัยก่อน สาเหตุเรื่องนี้มาจากอะไร ก็มาจากคนจำนวนมากมายมีอวิชชาอยู่ ยังไม่เข้าใจธรรมอย่างแท้จริงนั่นเอง
ปัญหาของโลกปัจจุบัน
พระองค์ตรัสว่า สถานการณ์โลกมีความรุนแรงของสงครามคน มากมายทุกข์ยากและคนเหล่านี้ทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ของโลกได้เหมือนกัน แต่เป็นทางที่ไม่ดี เราต้องคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่ๆ เราจะนิ่ง เฉยไม่ได้ และยังมีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมากอีกด้วย
ยังมีปัญหาเรื่องคอรัปชัน คอรัปชันเป็นปัญหาใหญ่ของโลก อาจเกิดมาจากความยากจน เรื่องคนจนคนรวยเป็นปัญหาใหญ่ของอินเดีย แม้จะมีคนร่ำรวยแต่ก็มีคอรัปชันสูง เคยถามนักเรียนว่า คอรัปชันเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า นักเรียนตอบว่า ถ้าไม่คอรัปชันก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก
คอรัปชันกำลังเป็นปัญหา มันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง และเป็นโรคพุทธศาสนาก็ไม่อาจสามารถรักษาได้ง่ายๆ ระบบการตรวจสอบแทนที่จะทำงานกันก็ไม่ทำ
แนวทางแก้ปัญหานั้น ทรงแนะว่าคนเราต้องมีวินัยในตนเอง มีหลักศีลธรรม เพราะศีลธรรมทำให้มีการควบคุมตนเอง นี่ก็เป็นหลักหนึ่งของฆราวาส โลกภายหน้าเราฝันถึงสันติสุข แต่เราจะบรรลุถึงความฝันได้อย่างไร ทางหนึ่งคือ เราต้องให้การศึกษาต่อผู้คนโดย เฉพาะจิตใจของคนแต่ละคน
การแก้ปัญหาต้องเป็นไปอย่างจริงจัง เรื่องศีลธรรมและจริยธรรมสมัยใหม่เป็นแบบเรื่องโลกวิสัยของฆราวาส และคิดแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงนั่นแหละ คนทั่วโลกต้องคิดหาทางร่วมกัน เพราะความรุนแรงต่างๆ ไม่เกิดผลดีอะไรเลย
เราต้องจับมือกันเพื่อสันติภาพ แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้เราต้องมีความสงบภายใน ความสงบภายในเกิดจากการคิดหาเหตุผลทำอย่างไรไม่ให้เกิดความรุนแรง ความรุนแรงเกิดจากความกลัว เรายิ่งให้ความสำคัญมัน มันก็ยิ่งเกิดมากขึ้น เหมือนเราให้อาหาร สุนัข เมื่อเราให้อาหารมัน ต่อไปมันเห็นเราหางมันก็จะแกว่ง
พระองค์เคยมาเมืองไทย เมืองไทยมียุงชุมมาก ยุงมันกินเลือด
แล้วมันก็ไป เราให้เลือดมัน มันก็ไม่เห็นความกรุณาเรา มองมาที่สัตว์ตัวใหญ่ขึ้น คือมองมาที่มนุษย์ด้วยกัน เมื่อก่อนเราอยู่ได้ด้วยตนเอง แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องเป็นมิตรกับชาติอื่น อย่างจีนแม้ในความเป็นจริงในใจอาจมีความไม่ไว้วางใจอยู่ก็ตาม เพราะความสัมพันธ์นั้น แท้จริงอยู่ที่ความไว้วางใจกัน
ปัจจุบันสงครามเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว การจับมือกันรับผิดชอบต่อโลกเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าส่งไปยังโลกอื่นได้ก็ดี.
จาก
http://www.thairath.co.th/content/316563