รู้เท่าทันป้องกันลุกลาม 'ข้อไหล่ติด' โรคใกล้ตัวพึงระวัง!!
อวัยวะทุกส่วนใน ร่างกายต่างมีความสำคัญ ข้อไหล่ติด เป็นอีกอาการความเจ็บป่วยที่ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต อีกทั้งยังสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจซึ่งในอาการดังกล่าวหากมองข้ามอาจลุกลาม กลายเป็นปัญหาใหญ่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย!!
อาการข้อไหล่ติดหรือโรคข้อไหล่ยึดติด ลักษณะดังกล่าวเป็นอาการที่รองลงมาจากการปวดคอ ปวดหลัง ดังนั้นการรู้หลักสังเกตตนเองนับแต่เริ่ม มีอาการเจ็บหัวไหล่ช่วงแรก การดูแลสุขภาพปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญที่จะช่วยป้องกันก่อนต้องเผชิญกับอาการข้อไหล่ ติด
ดร.มนต์ทณัฐ โรจนาศรีรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ไคโรเมด สหคลินิกและโฆษกสมาคมการแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า อาการข้อไหล่ติดมักพบหลังจากมีการเจ็บของข้อไหล่ซึ่งอาจเจ็บอยู่เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนและเมื่ออาการทุเลาลงจะตามมาด้วยอาการยกแขนไม่ขึ้นหรือยกแขน แต่ละครั้งจะรู้สึกติดขัดการใช้ชีวิตประจำวันอาจไม่เหมือนเดิม
ไหล่ติด ถึงแม้จะเป็นอาการที่รองลงมาจากการปวดคอปวดหลัง แต่ในแง่ของการดูแลหรือสาเหตุของปัญหามาจากสิ่งเดียวกันคือ ลักษณะโครงสร้างที่อาจจะผิดรูป ลักษณะการใช้งานที่ผิดวิธี ซึ่งลักษณะของอาการในเบื้องต้น การขยับของไหล่จะค่อนข้างลำบาก มีอาการเจ็บโดยแรก ๆ อาจจะเจ็บไม่มากเท่าไหร่มีความรู้สึกเหมือนกับไหล่ขัด ลักษณะการเคลื่อนไหวก็จะน้อยลงกว่าปกติ
แต่ หากปล่อยทิ้งไว้ 2-3 เดือนอาการก็อาจกำเริบมากขึ้น อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นและด้วยอาการปวดที่รุนแรงอาจทำให้ไม่อยากขยับซึ่งการ ไม่ขยับเคลื่อนไหวจะทำให้เกิดการเชื่อมติดแข็งยิ่งขึ้นซึ่งผู้ที่กำลังเผชิญ กับภาวะไหล่ติดเบื้องต้นอาจจะยกแขนได้อยู่บ้างหากมี ผู้ช่วยให้ขยับ แต่ก็จะมีอาการเจ็บค่อนข้างรุนแรง
เมื่อเป็นเช่นนี้คนไข้ก็จะไม่อยากยกแขนขยับเคลื่อนไหว พอไม่ขยับก็จะเกิดอาการเชื่อมติดของไหล่ยิ่งขึ้นเพราะ เป็นลักษณะอาการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่หรือบริเวณกล้ามเนื้อที่หุ้มข้อ ไหล่อยู่และเมื่อเกิดลักษณะการอักเสบขึ้น ก็พัฒนากลายเป็นเยื่อพังผืด แนวกล้ามเนื้อก็จะสูญเสียการ เคลื่อนไหวหรือการยืดหยุ่นที่ถูกต้องไป พอกล้ามเนื้อไม่ขยับหรือไม่ยืดหยุ่นก็จะขยับไม่ได้ก็จะมีอาการของการติดขัด ในส่วนนั้น
“แต่อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้อาการปวดจะค่อย ๆ ลดลงได้เอง แต่คงต้องใช้ระยะเวลาซึ่งก็แล้วแต่สาเหตุ ไหล่ติดเกิดได้จากหลายปัจจัยนับแต่เรื่องของการเล่นกีฬาผิดวิธี อุบัติเหตุ รวมถึงลักษณะอาการที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่และอีกสิ่ง หนึ่งที่เป็นต้นเหตุ แต่อาจมองข้ามกันนั่นก็คือ ลักษณะโครงสร้างที่ผิดรูป”
ลักษณะโครงสร้างสามารถมีผลกระทบได้นับแต่ฝ่าเท้า ข้อเท้า เข่า ตะโพก หลัง ต้นคอ ไหล่ไปแทบทุกส่วนเรียกว่า ถ้าหากไม่ปรับเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็จะส่งผล ลักษณะไหล่ติดก็มีความเชื่อมโยงกับการ ที่มีโครงสร้างผิดสมดุลและใน โครงสร้างที่ผิดสมดุลก็ทำให้เกิดอาการในหลายส่วนได้
“ถ้ามีโครงสร้างที่ผิดรูป อย่างหลังค่อมซึ่งหลังค่อมจะหมายถึงลักษณะศีรษะมีการทิ้งถ่วงมาทางด้านหน้า มาก น้ำหนักของศีรษะที่ทิ้งมาทางด้านหน้าจะทำให้เกิดการแบกรับน้ำหนักที่ก้านคอ ในจุดนี้มากกว่าปกติ การทำงานของกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงโครงสร้างจะมีการหดเกร็งมากเกินไป
สังเกตได้ว่าคนที่มีลักษณะอาการดังกล่าวกล้ามเนื้อต้นคอ บ่าไหล่จะเกร็งแข็ง นานวันเข้าจากเรื่องของอาการปวดกล้ามเนื้อธรรมดาก็ส่งผลทำให้เกิดการเสื่อม สภาพของแนวกระดูกและข้อ ท้ายที่สุดเมื่อเกิดการเสื่อมสภาพเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบในแนวของเส้นประสาท ซึ่งแนวกระดูกสันหลัง มีสามส่วนคือ กระดูกและข้อ เนื้อเยื่ออ่อนเส้นเอ็นยึดกล้ามเนื้อและแนวเส้นประสาท ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นก็สามารถกระทบได้ทั้งสามส่วนเพราะอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ เคียงกัน”
ส่วนถ้าช่วงลำตัวมีลักษณะการแอ่นผิดรูป ลักษณะเท้าแบน การลงน้ำหนักของฝ่าเท้าก็จะผิดตำแหน่ง พอการรับน้ำหนักไม่สมดุลก็ส่งผลทำให้เกิดการสึกกร่อนของหมอนรองกระดูกบริเวณ ข้อเข่าได้ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและก้าวไปสู่ ข้อเข่าเสื่อม ในที่สุด ดังนั้นในเรื่องนี้อย่ามองเพียงแค่ว่าเป็นข้อเข่าเสื่อม แต่ ควรมองถึงสาเหตุที่แท้จริงและควรต้องแก้ไขรักษาในส่วนนั้นร่วมด้วย
สัญญาณเตือนในเรื่อง ของไหล่ติดอย่าง ที่กล่าว อาการเริ่มต้นคือ อาการปวด ขยับแล้วเจ็บและอาจจะมีอาการของการยืดเหยียดแขนได้ไม่สุดหรือไม่ดีเท่าที่ ควร มีอาการเจ็บ แปลบ ๆ ที่หัวไหล่ ฯลฯ ซึ่งก็จะเป็นสัญญาณแรก ที่แจ้งว่าอาจกำลังเผชิญภาวะไหล่ติด เหยียดไหล่ไม่สุด
การดูแลป้องกันเพื่อให้หลีกไกลจากภาวะไหล่ติดก็คงต้องแบ่งเป็นในเรื่องของ โครงสร้าง หากทราบว่าหลังค่อมก็ ต้องพยายามอย่าให้หลังค่อม หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ ไหล่บิด การยกของหนัก ที่สำคัญ ไม่ควรละเลยการออกกำลังกายสม่ำเสมอในท่วงท่าที่ช่วยพยุงหัวไหล่
อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการสะพายของหนัก หิ้วของหนักตลอดเวลา หรือนอนเท้าแขน ฯลฯ ซึ่งก็อาจทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ได้ แต่อย่างไรแล้ว หากมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้นไม่ควรนิ่งนอนใจควรได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่าง ละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ขณะที่ไหล่ติดเป็นโรคที่อยู่ใกล้ชิดเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา หากรู้อย่างเท่าทันดูแลสุขภาพ แต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยให้ไกลห่างจากความเจ็บป่วยดังกล่าวได้.
สรรหามาบอก
- สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย เชิญชวนประชาชนและผู้สนใจทั่วไปเข้าฟังบรรยายพิเศษภาคประชาชนเรื่อง “ร่วมพลังเอาชนะมะเร็งเต้านม” จากคณะแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านม ใน วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2553 เวลา 16.30-18.30 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเจ้า พระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ สนใจสำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 08-5243-3500
- ไคโรเมด สหคลินิก ขอเชิญผู้สนใจร่วมสัมมนา “Active Therapy แนวคิดใหม่ในการรักษาอาการปวดคอ ปวดหลังแบบไม่ผ่าตัด” พร้อมตรวจโครงสร้างร่างกายและ ตรวจ InBody ในวันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2553 เวลา 13.00-16.00 น. ณ ไคโรเมด สหคลินิก ชั้น 3 อาคารแบงคอลเมดิ เพล็กซ์ (BTS เอกมัย) สำรองที่นั่งหรือสอบถามข้อมูล โทร. 0-2713-6745-6
- โรงพยาบาลมนารมย์ ขอเชิญพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจรับฟังบรรยายและร่วมกิจกรรมเวิร์กช็อปใน “หลักสูตร พ่อแม่รับมือเด็กดื้อ เด็กซน เด็กสมาธิสั้น ได้อย่างถูกวิธี” ระหว่างวันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม ถึง เสาร์ที่ 11 กันยายน 2553 เวลา 09.00-12.00 น. จำนวน 4 ครั้ง ผู้ปกครองท่านใดสนใจต้องการเข้าร่วมอบรมสอบถามข้อมูล โทร. 0-2725-9595, 0-2399-2822 ต่อ 544 (ด่วน! รับจำนวนจำกัด)
- มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดย ศ.พญ. สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองประธานบริหารมูลนิธิรามา ธิบดีฯ และประธานโครงการหน่วยจัดการความรู้เรื่องการสร้างเสริมสุขภาพผู้บริหาร มูลนิธิรามาธิบดีฯ ร่วมกับ มูลนิธิเผยแผ่ศาสนาและพัฒนาคุณภาพชีวิต กระทรวงวัฒนธรรม โดย สมาน คุณากรไพบูลย์ศิริ เลขานุการมูลนิธิเผยแผ่ศาสนาฯ จัด “โครงการเผยแผ่ศาสนาและพัฒนาคุณภาพชีวิต” ขึ้น โดยลักษณะของโครงการเป็นกิจกรรมฝึกอบรมด้านศาสนา คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มารยาทชาวพุทธและค่ายวิทยาศาสตร์แนวพุทธศาสตร์ นิทรรศการวิทยาศาสตร์ รวมทั้งจัดอบรมความรู้เรื่องเพศศึกษาและยาเสพติดให้แก่นักเรียน เพื่อให้เยาวชนปลอดจากการติดยาเสพติด มีความประพฤติและค่านิยมในการดำรงชีวิตที่เหมาะสม สร้างจิตสำนึก สร้างภูมิต้านทานให้กับตนเองด้วยคุณธรรม ทั้งนี้เพื่อเผยแผ่หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปสู่เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ห่างไกลความเจริญ มีระยะเวลาการดำเนินการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2554.
กินขนมไทยตามธาตุหลังอาหาร...ช่วยระบบย่อยทำงานดี
ขนมไทยที่เรารู้จักมีมากมายหลากหลายชนิด ซึ่งส่วนใหญ่มีส่วนผสมหลัก ได้แก่ น้ำตาล แป้ง และกะทิ ที่สาว ๆ บางคนเห็นแล้วต้องเบือนหน้าหนี แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน และหากเราเพิ่มความใส่ใจในการเลือกรับประทานขนมไทยสักนิด นอกเหนือจากรสชาติที่หวานอร่อยแล้วทราบหรือไม่ว่าการรับประทานขนมไทยหลัง อาหารและตามธาตุเกิดก็ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้เช่นกัน
ความหวานของน้ำตาลนอกจากจะเป็นตัวเสริมช่วยเพิ่มรสชาติให้ ขนมไทยมีรสชาติดีแล้วยังสามารถช่วยถนอมอาหารได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ที่สำคัญคนโบราณนิยมรับประทานขนมไทยหลังอาหาร เนื่องจากน้ำตาลซึ่งเป็นแป้งโมเลกุลเดี่ยวจะสามารถช่วยย่อยอาหารที่รับ ประทานเข้าไปได้เป็นอย่างดีและหากเราเลือกรับประทานตามธาตุของตนเองด้วยยิ่ง เป็นการเสริมธาตุในร่างกายให้ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งธาตุของแต่ละคนจะแตกต่างกันและแบ่งออกมาตามลักษณะเด่นของร่างกาย ตลอดจนนิสัยใจคอของคนเราที่แตกต่างกัน
การเลือกขนมไทยที่อิ่มอร่อยและมีสุขภาพดีตามธาตุ แบ่งออกได้ดังนี้ ธาตุดิน (ผู้ที่เกิดเดือน ม.ค.,พ.ค. และ ก.ย.) มักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบน้ำย่อย เนื่องจากเป็นธาตุที่หนักแน่น จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยและไฟเบอร์สูง โดยขนมไทยที่เหมาะกับคนธาตุดิน ได้แก่ สาคูไส้หมู,ข้าวเกรียบปากหม้อ ที่รับประทานคู่กับผักสด ๆ เป็นการเพิ่มเส้นใยให้ร่างกาย หรืออาจจะเลือกรับประทานขนมไทยที่มีส่วนผสมของผลไม้และธัญ พืชด้วย เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วแดงต้มน้ำตาล
ธาตุลม (ผู้ที่เกิดเดือน ก.พ., มิ.ย. และ ต.ค.) ระบบภายในร่างกายมีความเป็นกรดมาก ทำให้ร่างกายมีช่องว่างของอากาศ ควรเลี่ยงรับประทานอาหารหรือขนมที่มีส่วนผสมของกะทิ เช่น บัวลอย, ปลากริมไข่เต่า และขนมหวานประเภท แกงบวดต่าง ๆ ที่มักใช้กะทิในปริมาณ มาก ๆ ส่วนธาตุน้ำ (ผู้ที่เกิดเดือน มี.ค., ก.ค., พ.ย.และ ธ.ค.) ร่างกายจะมีความชื้นและเย็น ควรเลือกรับประทานขนมจำพวกให้ความหวานและร้อนแก่ร่างกาย โดยขนมไทยที่เหมาะกับคนธาตุน้ำ ได้แก่ มันเทศต้มน้ำขิง, ไข่ต้มน้ำขิง ฯลฯ หรือขนมไทยที่ให้รสชาติเผ็ดร้อน เพราะความเผ็ดร้อนในขนมจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ช่วยขับเหงื่อ ขับลม ในกระเพาะอาหารและสำไส้ แก้อาการจุก เสียด แน่น เฟ้อ ได้ด้วย
ธาตุไฟ (ผู้ที่เกิดเดือน เม.ย. และ ส.ค.) ร่างกายจะมีระบบเผาผลาญในร่างกายดีมาก สามารถเลือกอร่อยกับขนมไทยได้หลากหลาย แต่ถ้าจะเลือกรับประทานขนมไทยเพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายสามารถรับประทาน ขนม ไทยคู่กับน้ำแข็งได้ เช่น ขนมลอดช่อง, กระท้อนลอยแก้ว ฯลฯ
การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงนั้นจำเป็นที่ต้องดูแลจากภายในสู่ภายนอก ดังนั้นการเลือกรับประทานขนมไทยให้ถูกกับธาตุ นอกจากจะอิ่มอร่อยแล้วยังสามารถช่วยส่งเสริมธาตุในร่างกายให้สมบูรณ์ยิ่ง ขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดีอีกด้วยค่ะ.
ทีมวาไรตี้
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=85105.
.
.