ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมของตาหง่า กินไก่นรก โดย หลวงปู่พุทธะอิระ  (อ่าน 2146 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนนี้ตอนท่านไปอยู่ปราจีนบุรี กิ่งอำเภอสระมรกต ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ ตาหง่า มีอาชีพตีไก่ ต่อมาไม่นานตาหง่าเป็นโรคที่ต้องเจาะคอรูเบ้อเร่อ ขากเสลดไม่ได้ ต้องเอาขนไก่แยงเข้าไปในคอ แล้วดึงออกมา รีดเอาเสลดออกจากขนไก่ เวลาจะพูดก็ต้องอุดรูที่คอก่อน ปากก็เน่า ตอนนอนคนอื่นเขากรนครอก ๆ ตาหง่ากรนเหมือนกันแต่เสียง ก๊อก ก๊อก เหมือนไก่ร้อง

ก่อนจะตายลูกหลานซื้อฟูกอย่างดีให้นอน แต่ไม่นอน กลับไปเอาไม้ไผ่มาผูกเป็นคอน แล้วขึ้นไปนอนบนคอนไม้ นั่งจับเจ่าอยู่บนนั้น ทำกิริยาเหมือนไก่ ตอนใกล้ ๆ จะตายเข้าขั้นตรีฑูต นอนฟูกอย่างดีก็ไม่ได้ ต้องเอาทรายเอาฟางมารองนอน ข้าวที่เขาใส่จานมาให้ก็กินไม่ได้ ต้องโปรย แล้วเอาลิ้นเอาปากไล่แทะไล่จิกเหมือนไก่ เหตุเพราะว่าตาหง่าชอบกินไก่นรกซึ่งวิธีการทำไก่นรกนั้น เขาเอาไก่ไปฝังดินโผล่แค่คอแล้วกรอกน้ำกะทิไก่ยังเป็น ๆอยู่เลย กรอกน้ำกะทิทุกวัน ๆ และกรอกอะไรอีกสารพัด เวลาตาหง่าจะตาย มือทั้งสองจะชนกัน ปากก็ไล่จิกข้าว ลูกหลานเลยต้องผูกเอาไว้ที่เสาเรือน ผูกมือสองข้างกับขาสองข้างโยงคนละเสา ดึงจนกระทั่งเชือกบาดเข้าไปในเนื้อเห็นกระดูกขาวเหวอะหวะ

มีคนนิมนต์ให้หลวงปู่ไปช่วย ซึ่งตอนนั้นตาหง่ายังมีไก่อยู่เป็นร้อย ๆ ตัวท่านจึงบอกว่าปล่อยไก่ไปเถอะเขาเลยนำไก่ไปปล่อยที่วัดแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ จึงทำให้ตาหง่าจากที่เคยร้องก๊อก ๆ ตอนกลางคืนก็หยุดร้อง จากที่เคยเอามือเคาะกันเสียงดังโป๊ก ๆ จนเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกเคาะก็หยุดเคาะ หลวงปู่จึงบอกให้ถวายสังฆทานกรวดน้ำแผ่เมตตา ตาหง่าจึงค่อยสงบลง ร่างกายก็ค่อยดีขึ้นหน่อย

ชีวิตหลังความตาย และโลกก่อนตาย จึงเป็นชีวิตที่ยากต่อการคาดเดา ถ้าจิตเรา สมาธิเรา สติเราไม่มั่นคง บางทีจะทำให้เราต้องอับเฉาเศร้าหมองได้ ดังนั้นท่านจึงเน้นว่าพยายามรักษาสติเอาไว้ ถ้าตราบใดที่เรายังไม่เป็นตัวของตัวเองเราก็ยิ่งต้องฝึกให้มากขึ้น

สติ ธรรมะ ไม่ได้มีไว้พกพาอวดใคร หลวงปู่สอนไว้ว่ามีเอาไว้ใช้เวลาเราเผชิญต่อกิจกรรมการงานหรือปัญหาของชีวิต แล้วเราตัดสินไม่ได้ แก้ไขไม่สะดวก ไม่ละเอียด รอบคอบ ธรรมะมันจะเกิดตอนนี้ เสียแล้วก็ไม่ร้องไห้ ได้ก็ไม่ดีใจจนกลายเป็นประมาท นั่นคือคนมีธรรมะ อายุเวลาล่วงเลยไป

ทุกวัน ๆ ไม่มีใครหนุ่มตลอดกาล มันต้องแก่ลงทุกวัน กาลเวลามันกลืนกินสรรพสัตว์ ท่านจึงเตือนเสมอว่า พยายามรักษาสติให้ได้มาก อย่าปล่อยให้ตัวเองหลงใหลได้ปลื้มไปกับสิ่งไร้สาระ
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...