น้ำตาลูกผู้ชาย... "ภรรยาผมถูกข่มขืน" (มติชน)
เพราะได้ชื่อว่าเป็นเพศที่เข้มแข็ง "ผู้ชาย" จึงไม่ยอมเสียน้ำตาให้กับอะไรง่าย ๆ แต่หากมีวันใดที่ต้องเสีย "น้ำตาลูกผู้ชาย" เรื่องนั้นคงเป็นเรื่องที่ "สุดจะทน" ได้จริง ๆ อย่างชีวิตของผู้ชายคนนี้ ขอเรียกเขาด้วยนามสมมุติว่า "ประเสริฐ" ผู้มีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักและการให้อภัย แม้สิ่งที่เขาได้รับมันจะทำให้เขา "เจ็บปวด" จนต้องเสียน้ำตาก็ตาม
ประเสริฐเป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตทั้งการงานและการเงิน แม้จะไม่มีโซ่ทองคล้องใจแต่เขาก็มีภรรยาที่น่ารักครองคู่ด้วยกันมากว่า 7 ปี
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อภรรยาเดินเข้ามาในบ้านด้วยน้ำตานองหน้า แล้วโผเข้ากอดเขาร้องไห้ร้องห่มเจียนขาดใจ
"เกิดอะไรขึ้น" ประเสริฐยกมือลูบศีรษะของภรรยาแสนสวยอย่างเบามือ
"ฉันถูกข่มขืน!!" น้ำเสียงแผ่วเบาแทบกระซิบ
ประเสริฐชาดิกไปทั้งตัว ตอนแรกเขาไม่เข้าใจคำว่า "ข่มขืน" หมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อรวบรวมสติได้ ความโกรธก็พลุ่งพล่าน
"มันเป็นใคร!!" น้ำเสียงเกรี้ยวกราด
"เจ้านาย" น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม
พอได้ยินคำตอบจากปากภรรยา ประเสริฐแทบจะไม่เชื่อหูว่า...ผู้ชายสารเลวคนนั้น คือบุคคลที่เขาและภรรยาให้ความเคารพนับถือตลอดมา ความเจ็บปวดคราวนี้มันทำให้น้ำตาใส ๆ ไหลคลอออกมาจากดวงตา
ใจหนึ่ง "แค้น" ผู้ชายสารเลวคนนั้น ใจหนึ่ง "สงสาร" ภรรยาเหลือเกิน เขามองใบหน้าของภรรยาที่บัดนี้ชุ่มไปด้วยคราบน้ำตา พร้อมกับพูดออกมาว่า "คุณจะสู้หรือเปล่า ถ้าคุณสู้ ผมจะสู้กับคุณ แต่ถ้าคุณไม่สู้ เราก็เลิกกัน"
เป็นคำพูดที่เหมือนน้ำทิพย์ชโลมลงมากลางหัวใจอันแห้งผากของภรรยาสาว เธอกอดสามีแล้วร้องไห้อีกครั้ง ดีใจเหลือเกินที่สามีเข้าใจและพร้อมจะอยู่เคียงข้าง หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็เดินหน้าสู้ เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ชายไร้ศีลธรรมซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในขั้นรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
น่านับถือ "หัวใจผู้ชาย" คนนี้ยิ่งนัก เพราะนอกจากจะยอมรับในตัวภรรยา ยังลุกขึ้นสู้ไปพร้อมๆ กับเธออีกด้วย ทั้งที่เขาเปิดอกยอมรับว่า "เจ็บปวด" ที่สุดในชีวิต
"ผมเจ็บช้ำไม่น้อยไปกว่าเขา (น้ำเสียงสั่น น้ำตาคลอเบ้า) ถ้าสมมุติว่า เขาไม่สู้ผมก็จะเลิก เพราะผมคงรับเขาไม่ได้ แต่เมื่อเขาบอกว่าสู้ ผมก็จะอยู่ข้าง ๆ สู้กับเขาด้วย" ประเสริฐเผยความในใจ ในวันที่เขาพาภรรยาเข้ารับการบำบัดสภาพจิตใจที่มูลนิธิเพื่อนหญิง
เพราะความรักของเขาเปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจ และให้อภัย
"ก่อนจะแต่งงานกัน เราทั้งคู่ใช้เวลาเรียนรู้นิสัยซึ่งกันและกันมากพอสมควร ผมมองเขาอย่างลึกซึ้งทั้งภายนอกและจิตใจข้างในว่าเป็นคนอย่างไร ผมรักภายในของเขา ไม่ได้รักภายนอก แม้ความเจ็บปวดครั้งนี้มันจะลบยากพอสมควร แต่ความรักภายในมันเหนือสิ่งต่างๆ มันทำให้ผมยกโทษได้ เพราะเขาไม่ผิด แต่ถ้าเขาไปมีกิ๊กโดยตรง แน่นอนผมก็รับไม่ได้ แต่เมื่อเขาถูกกระทำ ผมต้องเข้าใจว่า เขาไม่อยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน"
นอกจากเข้าใจภรรยาแล้ว เขายังหันมาพิจารณาตัวเองด้วย
"มันก็ทำให้ผมกลับมามองตัวเองว่า ผมมีส่วนผิดหรือเปล่า ซึ่งก็มี เพราะที่ผ่านมา ผมทำแต่งานจนไม่ค่อยได้ดูแลเขาเท่าที่ควร ซึ่งถ้าผมดูแลเขาดีกว่านี้ เรื่องก็คงไม่เลวร้าย"
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ประเสริฐฝากเตือนผู้หญิงทุกคนว่า
"ความรุนแรงในผู้หญิงมีมากขึ้นเรื่อยๆ วัดได้จากทุกครั้งที่กะพริบตาลงมา นั่นแหละ คือภัยคุกคามทางเพศ ในฐานะที่ผมเป็นผู้ชายและไม่อยากให้ผู้หญิงคนอื่นเป็นอย่างภรรยาผม ผมอยากให้ทุกคนระวังตัว โดยเฉพาะภัยทางเพศในที่ทำงาน ผู้หญิงต้องไม่เปิดโอกาสหรือช่องว่างให้อยู่กับผู้ชายสองต่อสอง ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหนก็ตาม เพราะสาเหตุที่ผู้หญิงถูกกระทำส่วนหนึ่งเกิดจากความใกล้ชิด"
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเสริฐก็ออกตัวว่า ผู้ชายไม่ได้เลวร้ายทุกคน แม้ในสังคมปัจจุบัน ผู้ชาย 90 เปอร์เซ็นต์ มองผู้หญิงเป็น "ขนมหวาน" ที่ถ้ามีจังหวะหรือโอกาสเมื่อไหร่จะฉกฉวยทันทีก็ตาม
"ผู้ชายจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่ที่เขามีคุณธรรม จริยธรรมแค่ไหน แต่ทางที่ดีถือคติว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง ดีที่สุด" ประเสริฐปิดท้าย
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพประกอบจาก มติชนออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552
.
http://icare.kapook.com/rape.php?ac=detail&s_id=37&id=1984.
.