ผู้เขียน หัวข้อ: ทิพยอำนาจ : บทที่ ๑๐ วิธีสร้างทิพยอำนาจ ทิพพจักขุ ตาทิพย์  (อ่าน 1302 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ทิพยอำนาจ

พระอริยคุณาธาร (ปุสโส เส็ง , ปธ. 6)

วัดป่าเขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น

เรียบเรียง



บทที่ ๑๐  

วิธีสร้างทิพยอำนาจ ทิพพจักขุ ตาทิพย์


ทิพยอำนาจข้อนี้ หมายถึงความสามารถในการเห็นรูปทิพย์ เห็นเหตุการณ์ หรือความเป็นไปของสรรพสัตว์ และเห็นสิ่งลี้ลับได้ด้วยอำนาจตาทิพย์ อันบริสุทธิ์เกินกว่าตามนุษย์ธรรมดาท่านเรียกทิพยอำนาจข้อนี้ว่า ทิพพจักขุญาณ แปลว่ารู้เห็นด้วยตาทิพย์หรือเห็นด้วยตาทิพย์ เรียกสั้นๆ ดังตั้งเป็นชื่อข้างบนนี้บ้าง.

สิ่งที่สามารถในการเห็น หรือมีลักษณะเห็นได้ดังตา ท่านเรียกว่าจักษุทั้งนั้น จะประมวลคำชื่อจักษุที่ท่านกำหนดไว้ในที่ต่างๆ มาไว้ในที่นี้ พร้อมกับอธิบายลักษณะความหมายไว้พอเป็นที่สังเกต ดังต่อไปนี้

๑. มังสจักษุ ตาเนื้อ ได้แก่ตาธรรมดาของสามัญมนุษย์ ซึ่งสามารถมองเห็นรูปวัตถุทั้งปวงและสิ่งซึ่งเนื่องด้วยรูปวัตถุ เช่น พยับแดดและแสงสว่างเป็นต้น ความสำคัญของตาเนื้ออยู่ที่จักขุประสาท หรือที่เรียกว่าแก้วตา มิได้อยู่ที่เนื้อตาทั้งหมด หากแต่เป็นสิ่งเนื่องกัน เมื่อส่วนประกอบของดวงตาเสียไปแม้ประสาทจักขุหรือแก้วตายังดีก็จะทำให้รู้สึกมัวฝ้าฟาง มองดูอะไรไม่ค่อยเห็นชัด.

๒. ปัญญาจักขุ ตาปัญญา ได้แก่ความรู้ความเห็นเหตุผลและความจริงส่วนสามัญ อันสาธารณะทั่วไปแก่วิญญูชนทั้งปวง ผู้มีปัญญาดีย่อมมองเห็นเหตุผลและความจริงอันเป็นส่วนสามัญได้ง่าย คล้ายมองเห็นด้วยตาธรรมดา ผู้มีปัญญาทรามย่อมมองเห็นเหตุผลและความจริงส่วนสามัญได้ยาก เหมือนคนตาฟางมองเห็นอะไรไม่ถนัดชัดเจนฉะนั้น.

๓. ฌานจักขุ ตาฌาน ได้แก่การเห็นสรรพนิมิตในฌานของผู้บำเพ็ญฌาน คล้ายเห็นด้วยตาธรรมดาเป็นที่รู้กันอยู่ในหมู่พุทธศาสนิกชนว่า ตาใน นั่นเอง ตาชนิดนี้ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์ในอดีต อนาคต และปัจจุบันได้ คล้ายคลึงกับตาทิพย์ เป็นแต่ยังไม่บริสุทธิ์เท่าเทียมตาทิพย์ เห็นได้แต่สิ่งหยาบๆ และเห็นได้ในระยะใกล้ คือถ้าเป็นส่วนอดีตก็เป็นอดีตใกล้ ถ้าเป็นอนาคตก็เป็นอนาคตใกล้ ถ้าเป็นส่วนปัจจุบันก็เป็นปัจจุบันใกล้.

๔. ทิพพจักขุ ตาทิพย์ ได้แก่ตาของเทพเจ้า หรือบุคคลผู้เจริญฌานสมบูรณ์ด้วยทิพยอินทรีย์ มีภาวะทางใจเสมอด้วยเทพเจ้าแล้ว ตาทิพย์ย่อมสามารถเห็นทิพยรูปทั้งปวง เห็นเหตุการณ์หรือความเป็นไปของบุคคลในระยะไกล ทั้งในส่วนอดีต อนาคต และปัจจุบัน และสามารถเห็นสิ่งซึ่งลี้ลับมีอะไรปกปิดกำบัง กับมองทะลุไปในสิ่งกีดขวางทั้งปวงได้ เกินวิสัยตามนุษย์ธรรมดาหลายล้านเท่า ตาทิพย์นี้เป็นทิพยอำนาจที่มุ่งหมายจะอธิบายในที่นี้.

๕. ธัมมจักขุ ตาธรรม ได้แก่วิปัสสนาญาณของพระอริยโสดาบัน ซึ่งมองเห็นทะลุความจริงในด้านโลกว่า ทุกสิ่งที่มีเกิดต้องมีดับ และมองเห็นทะลุความจริงในด้านธรรมว่า ทุกสิ่งไม่มีเกิดต้องไม่มีดับ หมายความว่าเห็นโลกและธรรมทะลุแล้วเชื่อมั่นว่ามีธรรมชาติไม่มีทุกข์ ซึ่งตรงกันข้ามกับโลกซึ่งเป็นธรรมชาติมีทุกข์ เป็นผู้หยั่งลงสู่กระแสธรรม ดำเนินตรงไปสู่ด้านปราศจากทุกข์ได้อย่างไม่ยอมถอยหลัง มีหวังบรรลุภูมิที่ปราศจากทุกข์ได้แน่นอนแล้ว.

๖. ญาณจักขุ ตาญาณ ได้แก่ปรีชาสามารถหยั่งรู้หยั่งเห็นเหตุผล และความจริงส่วนวิสามัญทั้งในด้านโลกและด้านธรรมยิ่งๆ ขึ้นของพระอริยบุคคลชั้นสูงกว่าพระโสดาบัน ต่ำกว่าพระอรหันต์ สามารถบรรเทาราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางไปจากขันธสันดานได้มากยิ่งกว่าภูมิพระโสดาบัน ไตรลักษณญาณเกือบจะแจ่มแจ้งทุกประการแล้ว ความเห็นลักษณะความไม่เที่ยง และความเป็นทุกข์ของโลกแจ่มแจ้งแก่ใจแล้ว แต่ความเห็นลักษณะความเป็นอนัตตาของโลกยังไม่แจ่มแจ้งแก่ใจ ยังมัวซัวในบางสิ่ง อวิชชาจึงยังเหลืออยู่ในขันธสันดาน เป็นเหตุให้มีอุปาทานในทุกข์เป็นบางส่วน.

๗. พุทธจักขุ ตาพุทธะ ได้แก่ปรีชาญาณที่สามารถมองเห็นโลกและธรรมตามความเป็นจริงได้หมดทุกแง่ทุกมุมแล้ว สามารถสังหารอวิชชาขาดเด็ดจากขันธสันดาน บรรลุถึงภูมิพระนิพพาน ดับทุกข์โศกโรคภัยได้หมดแล้ว ถึง “ความเป็นแก้ว” ดวงหนึ่งในจำนวนแก้ว ๓ ดวง คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ผู้บรรลุถึงภูมินี้เรียกว่าพระอรหันต์ มีจิตใจบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ เป็นผู้ตื่นตัวเต็มที่แล้ว หายละเมอเพ้อฝันแล้ว เมื่อใจบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ แม้ปรีชาญาณของท่านก็บริสุทธิ์ดุจแก้วเช่นเดียวกันฉะนั้น เมื่อจะสมมติให้เข้าใจง่าย ข้าพเจ้าจึงพอใจเรียกว่าตาแก้ว เป็นตาของท่านผู้ตื่นตัวเต็มที่แล้วจำพวกเดียว เป็นตาที่สามารถมองเห็น “พระแก้ว” คือ“วิสุทธิเทวา” บรรดาที่ปรินิพพานไปแล้ว ทั้งสามารถฟังเสียงพระแก้วได้ด้วย เป็นตาที่ดีวิเศษประเสริฐสูงส่งกว่าตาทิพย์ เพราะเทพเจ้าธรรมดาซึ่งมีตาทิพย์ไม่สามารถมองเห็นพระแก้ว คือพระอรหันต์ และไม่สามารถได้ยินเสียงของท่านด้วย เว้นแต่เทพเจ้าผู้บรรลุถึงภูมิพระแก้วบางพระองค์เท่านั้น.

๘. สมันตจักขุ ตารอบด้าน ได้แก่พระสัพพัญญุตัญญาณ พระอนาวรญาณ พระทศพลญาณและพระเวสารัชชญาณ ของพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระญาณครอบสากลโลกสากลธรรม สมด้วยคำยอพระเกียรติพระองค์ว่า โลกจักขุ โลกันตทัสสี ทรงเห็นโลก ทรงเห็นที่สุดโลก คนธรรมดาอยู่ในโลกแต่ไม่เห็นโลก จึงกระทบกระทั่งกับโลกร่ำไป ส่วนพระบรมศาสดาทรงเห็นโลกแล้วจึงไม่กระทบกระทั่งกับโลก นักธรรมสามัญทั้งหลายแม้ศึกษาธรรม ประพฤติธรรมแต่ก็ยังไม่เห็นธรรมถูกถ้วนทุกแง่ทุกมุม จึงกระทบกระทั่งกับธรรมร่ำไป ส่วนพระบรมศาสดาทรงเห็นธรรมถูกถ้วนทุกแง่ทุกมุม จึงไม่กระทบกระทั่งกับธรรม ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมเสมอไป พระเนตรคือพระปรีชาญาณของพระองค์แจ่มใสที่สุด สามารถมองเห็นได้กว้างไกลที่สุดโดยรอบทุกทิศทุกทาง มองทะลุไปทั่วสากลจักรวาล ยิ่งกว่าตาของท้าวพันตาหลายล้านเท่า ยิ่งกว่าตาของท้าวมหาพรหมผู้เป็นประชาบดีใหญ่ยิ่งในหมู่ประชาสัตว์หลายแสนเท่า ทรงมองเห็นเหตุการณ์เบื้องหลังที่ผ่านมาแล้วได้ไกลประมาณแสนโกฏิอสงไขยกัป ทรงเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าที่จะมาถึงได้ไกลประมาณแสนโกฏิอสงไขยกัปเช่นเดียวกัน ทรงเห็นเหตุการณ์จำเพาะหน้าได้ถ้วนถี่ทุกประการ และทรงเห็นเหตุผลได้ละเอียดถี่ถ้วนที่สุด จึงทรงสามารถบัญญัติพระธรรมวินัยไว้เป็นหลักศึกษาแก่พุทธเวไนยได้ประณีตบรรจง สมบูรณ์ด้วยอรรถพยัญชนะ พร้อมพรั่งด้วยเหตุและผล ทนต่อการพิสูจน์ของนักปราชญ์ ไม่มีใครอาจค้านติงได้ สมกับคำยอพระเกียรติว่า สมันตจักขุ พระผู้มีจักษุรอบด้านแท้เทียว.

บรรดาจักขุดังได้กล่าวมา มังสจักขุเป็นตาธรรมดาของสามัญมนุษย์ สำเร็จมาแต่กุศลกรรมที่ทำเอาไว้แต่บุพเพชาติ มิใช่วิสัยที่จะพึงแต่งสร้างเอาได้ในปัจจุบัน หากจะฝึกหัดให้ดีบ้างก็เพียงเล็กน้อยคือทำให้จักษุประสาทผ่องใส ใช้การได้ดีกว่าปกติบ้างเล็กน้อย แต่จะให้มังสจักขุกลายเป็นทิพยจักขุนั้นเป็นการเกินวิสัย มิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้, ปัญญาจักขุเป็นตาปัญญาที่สาธารณะแก่สามัญชนอาจแต่งสร้างให้ดีวิเศษขึ้นได้ด้วยการศึกษาสำเหนียกคำสอนของนักปราชญ์ด้วยการคิดอ่านเหตุผลต้นปลายของสิ่งทั้งหลาย และด้วยการอบรมใจให้ผ่องแผ้วหายขุ่นมัว, ฌานจักขุเป็นตาในของผู้เจริญฌาน รู้เห็นเหตุการณ์ได้บ้างเป็นบางประการ เป็นสิ่งสามารทำให้เกิดมีขึ้นได้ ไม่ใช่สิ่งเกินความสามารถของสามัญมนุษย์, ทิพพจักขุเป็นตาใจที่แจ่มใส มองเห็นรูปทิพย์และเหตุการณ์ได้ดีวิเศษ เป็นสิ่งเนื่องกับใจ สามารถสร้างขึ้นได้ ไม่เกินวิสัยสามัญมนุษย์เหมือนกัน, ธรรมจักขุเป็นตัววิปัสสนาญาณที่ประหารกิเลสขั้นต้น สาธุชนผู้ไม่ประมาทอาจทำให้เกิดขึ้นได้ ไม่เป็นสิ่งเกินวิสัยเช่นเดียวกัน, ญาณจักขุเป็นตัววิปัสสนาญาณขั้นสูงขึ้นไป อันอริยชนผู้บรรลุภูมิธรรมขั้นต้นแล้วพึงขวนขวายสร้างสืบต่อขึ้นไป, พุทธจักขุเป็นตาแก้วของพระอรหันต์ผู้เสร็จกิจกำจัดกิเลสแล้วอยู่เย็นใจ ไม่เป็นสิ่งเกินวิสัยที่จะก้าวไปถึงเหมือนกัน เพราะผู้เป็นพระอรหันต์ท่านก็เป็นปุถุชนมาก่อนมิใช่เป็นพระอรหันต์แต่กำเนิด, ส่วนสมันตจักขุนั้น เป็นวิสัยของท่านผู้มีบารมีใหญ่ยิ่งจะพึงได้พึงถึง มิใช่วิสัยของสามัญชน เมื่อได้ทราบลักษณะจักขุต่างๆ พอสมควรฉะนี้แล้ว ควรเริ่มศึกษาทิพพจักขุโดยเฉพาะได้ ฉะนั้น จะได้กล่าวถึงทิพพจักขุต่อไป การที่จะเข้าใจทิพพจักขุได้ง่ายนั้น ต้องเข้าใจกำเนิดทิพย์ที่มีทิพพจักขุโดยกำเนิดพอสมควร ฉะนั้น จะได้อธิบายกำเนิดทิพย์และทิพพจักขุโดยกำเนิดก่อน แล้วจึงจะอธิบายลักษณะทิพพจักขุที่ทำให้เกิดขึ้นต่อไป.

เทพเจ้าเป็นพวกกำเนิดทิพย์ มีทิพยอินทรีย์สมบูรณ์ทุกประการ มีที่อยู่คือฉกามาพจรสรรค์และพรหมโลก ดังกล่าวแล้วในบทว่าด้วยทิพพโสต ยังมีพวกที่เป็นทิพย์และคล้ายทิพย์บนพื้นโลกใกล้ๆ กับแดนมนุษย์นี้อีก พวกที่เป็นทิพย์นั้นเป็นเทพเจ้าชั้นภาคพื้นดินและอากาศบางจำพวกส่วนพวกคล้ายทิพย์นั้นเป็นพวกอทิสสมานกาย หรืออมนุษย์ มีความเป็นอยู่คล้ายคลึงกับมนุษย์เป็นแต่ร่างของเขาละเอียดและเบากว่าร่างของมนุษย์ ไปมาได้ว่องไว คนทั้งหลายรู้จักพวกนี้ในชื่อว่า พวกลับแลบ้าง พวกบังบดบ้าง พระภูมิเจ้าที่บ้าง อย่างต่ำคือคำว่าผี พวกนี้มีตาดีกว่ามนุษย์ธรรมดามาก มองเห็นทะลุเครื่องกีดขวางได้ และมองเห็นได้ไกลเกินตาปกติของมนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า เช่น เขาอยู่กรุงเทพฯ มองไปเห็นถึงยุโรปและอเมริกา ตาชนิดนี้เรียกว่าตาทิพย์ โดยกำเนิดของพวกทิพย์หรือพวกคล้ายทิพย์

ทีนี้เราลองหันมาดูจำพวกสัตว์ดิรัจฉานบ้าง ซึ่งมันอยู่ใกล้ๆ กับมนุษย์ มีรูประกอบขึ้นด้วยธาตุหยาบๆ เหมือนมนุษย์ แต่มันมีตาดีกว่ามนุษย์หลายเท่าเช่น สุนัข ไก่ เห็นผีได้ สัตว์ป่าหากินกลางคืนมันเห็นอาหารที่มันต้องการได้ เห็นอันตรายของมันได้เช่น เสือเป็นต้น มดมองทะลุสิ่งกีดขวางได้ เคยมีผู้ทดลองเอาน้ำตาลวางไว้ในที่ปราศจากมด ชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงมดจะยกโขยงกันมาจากที่ไกล มากินน้ำตาลนั้น ภายหลังทดลองใหม่ เอาน้ำตาลวางไว้ในที่มีน้ำกั้นโดยรอบ มดจะไม่มาเลยสักตัวเดียว แสดงว่ามันมองเห็นว่ามีอะไรกั้น ซึ่งไม่สามารถเข้าไปกินน้ำตาลได้ มันจึงไม่มา ถ้าจะว่ามันมาครั้งแรกเพราะได้กลิ่น ครั้งที่ ๒ ซึ่งเอาน้ำหล่อไว้ก็คงจะส่งกลิ่นไปได้เช่นกัน ทำไมมันจึงไม่มากิน การที่มันไม่มาในครั้งที่ ๒ จึงส่อแสดงว่ามันมีตาทิพย์ มองเห็นสิ่งกีดขวางในระยะไกลเกินสายตาธรรมดา เรื่องนี้แม้ข้าพเจ้าก็ได้ทดลองและประจักษ์ผลเช่นที่เล่านี้เหมือนกัน

ทีนี้หันมาดูในหมู่มนุษย์เราบ้าง คนที่มีตาดีวิเศษเกินคนธรรมดาดั่งมดหรือเทพเจ้ามีบ้างหรือไม่? ได้เคยอ่านเรื่องคนที่มองเห็นเหตุการณ์อนาคตในต่างประเทศ ที่มีผู้นำมาเขียนเล่าไว้มากราย จำไม่ได้ตลอด จึงไม่อาจเล่าไว้ในที่นี้ได้ ทั้งเห็นว่าเป็นพยานไกลเกินไป อยากจะได้พยานใกล้ๆ กว่านี้สักหน่อย นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณเวลาจันทรคราสสุริยคราสได้ถูกต้องแม่นยำทั้งวันเวลาเข้าออก นักอุตุนิยมศาสตร์สามารถพยากรณ์อากาศ เมฆฝน พายุ ได้แม่นยำ นักโหราศาสตร์สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ของโลกและเหตุการณ์เฉพาะบุคคลได้ถูกต้องเป็นส่วนมาก และนักจิตศาสตร์สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ของโลกและของบุคคลได้แม่นยำเหมือนตาเห็น ที่เป็นได้ทั้งนี้แม้มิใช่ทิพพจักขุโดยตรงก็เป็นเรื่องใกล้เคียง พอจะสันนิษฐานได้ว่าทิพพจักขุอาจมีได้เช่นกัน นักศาสตร์ต่างๆ ดังกล่าวมานี้เขาอาศัยปัญญาจักขุ รู้เหตุผลกฎเกณฑ์ของสิ่งนั้นๆ แล้วคำนวณคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตได้ ปัญญาจักขุเป็นสิ่งเนื่องด้วยจิตใจ แม้ทิพพจักขุก็เป็นสิ่งเนื่องกับจิตใจไฉนจึงจะมีไม่ได้ นักฝึกฝนจิตใจในพระพุทธศาสนาสมัยปัจจุบันแม้จะมิได้รับสมัญญาว่านักจิตศาสตร์ ก็มิใช่ปราศจากความรู้ทางจิตใจ เป็นแต่ไม่ได้แสดงความรู้ทางด้านนี้ให้ปรากฏแก่โลกอย่างผาดโผน คนทั้งหลายจึงไม่รู้ว่าชาวพุทธเป็นนักจิตศาสตร์

สมัยพุทธกาลชาวพุทธมีชื่อเด่นในทางจิตศาสตร์ มีความสามารถทางทิพยอำนาจหลายประการ พระบรมศาสดาจารย์ทรงเป็นเยี่ยมที่สุด ทรงสามารถในทิพยอำนาจทุกประการ พระอัครสาวกซ้าย-ขวาเป็นเยี่ยมรองลงมา พระอนุรุทธเถระทรงเป็นเยี่ยมทางทิพพจักขุโดยเฉพาะ ในสมัยพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานนั้น ท่านทรงทราบได้ดีว่าเสด็จปรินิพพานแล้วหรือยัง คือในวาระที่ทรงเข้าสู่ความสงบตามลำดับ และทวนลำดับอยู่นั้น ถ้าดูด้วยตาธรรมดาก็ว่าเสด็จปรินิพพานแล้ว แต่พระอนุรุทธเถระบอกว่ายังไม่เสด็จสู่ปรินิพพาน เป็นแต่ทรงเข้าฌานสมาบัติ เมื่อพระบรมศาสดาทรงยับยั้งอยู่ในฌานพอสมควรแล้ว จึงเสด็จปรินิพพานในระหว่างแห่งฌานที่ ๔ และที่ ๕ ทันทีนั้นพระอนุรุทธเถระจึงบอกว่าเสด็จปรินิพพานแล้ว พุทธบริษัทจึงได้จัดการพระบรมศพ

เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานล่วงมาได้ประมาณ ๒๓๖ ปีเศษ พระมหาโมคคัลลีบุตรติสสเถระเล็งดูกาลอนาคตของพระพุทธศาสนา เห็นว่าต่อไปชมพูทวีปจะไม่เป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนาๆ จะไปเจริญรุ่งเรืองในทวีปอื่น จึงได้ถวายพระพรพระเจ้าอโศกมหาราชขออุปถัมภ์ เพื่อจัดส่งพระเถรานุเถระเป็นคณะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศนอกชมพูทวีป ด้านใต้ถึงเกาะลังกา ด้านตะวันตกถึงเปอร์เซีย ด้านเหนือถึงประเทศแถบเชิงเขาหิมาลัย ด้านตะวันออกถึงสุวรรณภูมิ เหตุการณ์ก็สมจริงดังคาด พอพระพุทธศักราชประมาณ ๑,๑๐๐ ปีเศษพระพุทธศาสนาก็อันตรธานจากชมพูทวีป ไปเจริญรุ่งเรืองยังนานาประเทศจริงๆ สุวรรณภูมิ คือแหลมทองซึ่งหมายถึงผืนแผ่นดินตั้งแต่อ่าวเบ็งกอลมาถึงทะเลญวนได้เป็นที่รับรองพระพุทธศาสนามาตั้งแต่พระพุทธศักราชประมาณ ๒๓๖ ปีเศษ มีโบราณวัตถุสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นสักขีพยานในโบราณสถานนั้นๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ ที่จังหวัดนครปฐม มีวงล้อธรรมจักรทำด้วยศิลาขนาดใหญ่โตมาก ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น เพราะยังไม่เกิดประเพณีสร้างพระพุทธรูป ที่เมืองเสมา(ร้าง) ในจังหวัดนครราชสีมาก็มีวงล้อธรรมจักร ทำด้วยศิลาขนาดเดียวกันกับที่นครปฐม และที่ตำบลฟ้าแดดสูงบาง จังหวัดกาฬสินธุ์มีภาพสลักศิลาเป็นเรื่องพุทธประวัติ ซึ่งเป็นพยานว่าพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง ณ แหลมทอง โดยเฉพาะที่นครปฐมและนครราชสีมาในสมัยเดียวกัน ประมาณว่าในราวพุทธศตวรรษที่ ๔

การที่พระมหาโมคคัลลีบุตรติสสเถระสามารถคาดเหตุการณ์ได้ถูกต้องเป็นระยะไกลถึงเกือบพันปีเช่นนี้ ย่อมต้องมีทิพพจักขุแจ่มใสจริงๆ แน่นอนเมื่อทราบแล้วท่านก็ดำเนินการแก้วิกฤตการณ์ไว้ล่วงหน้าทันที ผลดีที่เกิดขึ้นคือ พระพุทธศาสนาแพร่หลายและดำรงอยู่ได้ในนานานประเทศนอกชมพูทวีปมาจนถึงปัจจุบัน ชมพูทวีปคืออินเดียซึ่งเป็นที่กำเนิดของพระพุทธศาสนาได้ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนามานานประมาณพันปีแล้ว เพิ่งจะมีพระภิกษุจากลังกา พม่า และอาหม เข้าไปทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในชมพูทวีปอีกเมื่อประมาณ ๖๐ ปีมานี่เท่านั้น ถึงกระนั้นก็ยังหวังความเจริญรุ่งเรืองเหมือนในสมัยพุทธกาลได้ยากเพราะสภาพเหตุการณ์ของบ้านเมืองและประชาชนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ลัทธิศาสนาอื่นได้ฝังรากแทนที่พระพุทธศาสนามานาน บุคคลผู้จะนำพระพุทธศาสนาไปปลูกฝังลงยังอินเดียได้อีกจะต้องเป็นผู้มีบุญญาภิสมภาร และอิทธาภินิหารเป็นที่อัศจรรย์ ยิ่งกว่าเจ้าลัทธิคณาจารย์ในถิ่นนั้นอย่างมาก

คำทำนายโบราณชิ้นหนึ่งได้เป็นที่ตื่นเต้นสนใจกัน เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมานี้มีว่าเมื่อพระพุทธศาสนาถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปีนับแต่พุทธปรินิพพานมา พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล พระมหาเถระโพธิสัตว์ผู้มีบุญญาภิสมภาร มีอิทธาภินิ-หาร เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ จะได้เป็นประธานาธิบดีสงฆ์ ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ เริ่มต้นที่อินเดีย ไปยุโรปและอเมริกา ประชาชนชาวโลกจะหันมานับถือพระพุทธศาสนามากมาย คนทั้งหลายจะนิยมในการฝึกฝนอบรมจิตใจในทางพระพุทธศาสนา ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข ด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา ดังนี้บัดนี้ก็จวนจะถึงสมัยกึ่งพระพุทธศาสนาแล้ว เงาเจริญแห่งพระพุทธศาสนาเริ่มปรากฏแล้ว ชาวอัศดงคตประเทศกำลังหันมาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น แต่ใครเป็นตัวการตามทำนายนั้น ยังมิได้เป็นที่ปรากฏแก่วงการพระพุทธศาสนา ขอให้คอยดูต่อไปว่าจะจริงเท็จแค่ไหน ถ้าคำทำนายเป็นจริงขึ้นก็แปลว่า ชาวพุทธผู้ให้คำทำนายไว้นั้นมีทิพพจักขุวิเศษที่สุดได้แน่ๆ ทีเดียว และตัวการในคำทำนายนั้น จะเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของโลกสมัยใหม่ด้วย.



๑. ถึงแล้ว คือ พ.ศ.๒๕๐๐-๒๕๑๖.


ทีนี้ลองหันไปพิจารณาเหตุการณ์ตามพุทธทำนายดูบ้างว่าเป็นจริงเพียงไร จะได้นำมาให้พิจารณาเฉพาะข้อที่พอจะมองเห็นความจริงได้ คำทำนายนั้นปราชญ์ทางภาคอิสานประพันธ์เป็นคำโคลงและใช้โวหารเป็นปริศนาโดยมาก ต้องแปลความหมายถูกต้อง จึงจะทราบว่าคำทำนายนั้นถูกต้องกับความจริง คำทำนายเริ่มต้นว่า

เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๒,๐๐๐ ปีเมื่อไร เหตุการณ์ต่างๆ แปลกประหลาดจะเกิดขึ้นในโลก คือภิกษุในพระพุทธศาสนาจะเกิดนิยมสะสมเงินทองซื้อจ่ายขายกิน ลูกศิษย์จะไม่ยำเยงเกรงกลัวครูบาอาจารย์ คนแก่คนเฒ่าจะถูกเด็กๆ เย้าหยอกเล่นดั่งเพื่อนๆ หญิงชายอายุ ๑๓ ปีสามารถมีลูกได้, ฟองน้ำจะกลายเป็นรูปช้างแผดเสียงไปตามลำแม่น้ำ หมายถึงเรือยนต์กลไฟ, หินก้อนเบ้อเร่อจะฟูน้ำและไหลไปตามน้ำได้ หมายความว่าจะมีวัตถุทำด้วยหินลอยน้ำได้ หรืออีกนัยหนึ่งคนซึ่งเคยเป็นผู้หนักแน่นในศีลธรรมจะกลายเป็นคนใจเบา ผันแปรไปตามกระแสกิเลสซึ่งเปรียบด้วยหนองน้ำ, นักปราชญ์จะทำการทดน้ำตามห้วยหนองคลองบึงบางต่างๆ จนทำให้น้ำไม่ไหลเหมือนแต่ก่อน ในที่สุดที่ขังน้ำนั้นๆ ก็จะขาดเขินน้ำแห้งผากไป, คางคกจะร้องขัดฝน หมายความว่ามนุษย์จะประดิษฐ์เครื่องทำฝนเสียเองไม่ต้องง้อธรรมชาติ,ไส้เดือนและปลากั้งจะบิน หมายความว่าจะเกิดมีสายโทรเลข โทรศัพท์ ซึ่งมีลักษณะเหมือนไส้เดือน และจะเกิดมีอากาศยานซึ่งมีรูปลักษณะคล้ายปลากั้งบินบนได้, หนูจะทำฤทธิ์ให้แมวกลัว หมายความว่าคนจำพวกหนึ่งซึ่งเคยอ่อนน้อมยอมกลัวผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ จะเกิดความฮึกหาญทำการให้คนผู้ยิ่งใหญ่ยอมกลัวได้, หมาจิ้งจอกจะเห่าช้าง หมายความว่าบุคคลจำพวกหนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนหมาจิ้งจอกจะเกิดหาญ กล่าวติเตียนบุคคลผู้มีลักษณะเหมือนช้าง, กุ้งจะกุมกินปลาบึก หมายความว่าคนโกงจะโกงกินคนดีมีศีลธรรม, ปลาซิวจะไล่กัดจระเข้ จระเข้จะหนีไปซ่อนอยู่ตามเงื้อมผา หมายความว่าคนใจเบาเหมือนปลาซิวจะทำการขับไล่คนโตซึ่งเปรียบเหมือนจระเข้ให้ต้องหลบหลีกปลีกตัวไปหลบซ่อนอยู่ตามหุบผา ฯลฯ ลองพิจารณาดูซิว่าเป็นจริงหรือไม่ในปัจจุบันนี้

ทีนี้ลองหันมาพิจารณาดูคำทำนายของบุคคลยุคใหม่ ซึ่งพอจะรู้เรื่องกันได้อยู่บ้าง คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงเทพฯ นี้ได้ทรงพยากรณ์ว่า ความสุขสมบูรณ์ของพระราชวงศ์ของพระองค์ จะดำรงอยู่แค่ ๑๕๐ ปี พอครบกำหนดก็เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศทันที

เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) เมื่อไปสร้างวัดเขาพระงาม ที่จังหวัดลพบุรี สร้างพระพุทธรูปไว้บนไหล่เขา ให้นามพระว่ากึ่งยุค คือ ท่านคิดว่าในสมัยกึ่งพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองคล้ายกับสมัยพุทธกาล ท่านพิจารณาดูชีวิตของท่านจะไม่ได้อยู่เห็นสมัยนั้น แต่คิดอยากทำอะไรไว้เป็นที่ระลึกสำหรับกึ่งยุคบ้าง จึงคิดคำนวณนับแต่วันตรัสรู้มาจนถึงเวลาที่ท่านสร้างพระพุทธรูปใหญ่นั้นครบ ๒,๕๐๐ ปีพอดี จึงได้จัดการฉลองและขนานพระนามพระพุทธรูปนั้นว่า พระกึ่งยุค ในคราวมีงานฉลองวัดและพระพุทธรูปใหญ่นั้น มีผู้ต่อว่าท่านว่า มาสร้างวัดไว้ในป่าในดงใหญ่โต ต่อไปจะมีใครมาดูแลรักษา ทำเสียเงินเสียทองไปเปล่าๆ ท่านจึงกล่าวตอบเป็นคำทำนายว่า ต่อไปไม่นานสถานที่นี้จะมีบ้านเมืองคนอยู่เต็ม มีไฟฟ้าใช้สว่างไสวทั่วไปแม้กระทั่งในวัดนี้ ดังนี้ บัดนี้เหตุการณ์ก็เป็นจริงดังที่ท่านทำนายไว้ทุกประการ

ท่านเหล่านี้ต้องมีอนาคตังสญาณอันเป็นส่วนหนึ่งของทิพพจักขุญาณแน่ๆ จึงสามารถทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เช่นนั้น.



๑. ฝนเทียม


ชาวประมงที่ลงหาปลาในทะเล ขณะที่เขาลงดำน้ำหาปลานั้น ถ้าจะมีภัยจากปลาใหญ่ เช่นปลาฉลามหรือปลาหมอ เขาสังเกตเห็นคลื่นใต้น้ำเป็นทางมาก่อน ถ้ารีบขึ้นจากน้ำเสียทันทีก็พ้นภัยโดยนัยเดียวกันเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่จะมีมาในอนาคตย่อมมีเงามาก่อน ผู้มีตาดีย่อมสังเกตเห็น และคาดการณ์ถูกต้องดังตัวอย่างที่ให้ไว้แล้ว ส่วนเหตุการณ์ในอดีตไกลนั้นย่อมทิ้งเงาหรือร่องรอยไว้ในวัตถุสถาน หรือพื้นที่นั้นให้คนตาดีหยั่งทราบได้เช่นเดียวกัน นักปราชญ์ทางโบราณคดีผู้มีความรู้เชี่ยวชาญ หยิบวัตถุโบราณขึ้นมาชิ้นหนึ่งพิจารณาดูอยู่ครู่เดียวก็บอกได้ว่าเป็นของทำในสมัยไหนชนชาติใดเป็นคนทำ การที่นักโบราณคดีทราบได้เช่นนั้น นอกจากรูปลักษณะและความนานของวัตถุนั้นเป็นเครื่องบอกแล้ว กระแสจิตของผู้สร้างวัตถุนั้นซึ่งยังตราติดอยู่กับวัตถุนั้นเป็นเครื่องบอกอีกด้วย คือพอสัมผัสวัตถุนั้นเข้ากระแสจิตอันตราติดอยู่กับวัตถุก็แล่นเข้าสัมผัสกับจิตใจของผู้จับต้องทันที นักโบราณคดีซึ่งเป็นผู้ละเอียดลออ มีสมาธิแน่วแน่ จึงสามารถรับทราบสัมผัสกระแสจิตนั้น มองเห็นภาพความเป็นไปในอดีต อาจวาดภาพพิสดารกว้างขวางได้ด้วย เราจึงรู้สึกแปลกใจในการที่นักโบราณคดีวาดภาพเหตุการณ์ของบ้านเมืองในอดีตได้เป็นคุ้งเป็นแคว คล้ายได้เห็นมาด้วยตาตนเองฉะนั้น ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้ไปสำรวจเมืองอู่ทอง แรมคืนในที่นั้นเพียงคืนเดียวเขาสามารถบรรยายภาพเหตุการณ์ของเมืองอู่ทองสมัยยังดี กับสมัยเมืองแตก ให้เราฟังอย่างกะเขาได้เห็นกะตาของเขาเอง การที่เป็นได้เช่นนั้นก็เนื่องด้วยความมีสมาธิแน่วแน่ของเขา สามารถรับสัมผัสกับกระแสจิตของคนในอดีตได้ ทั้งมองเห็นภาพทางใจคล้ายเห็นด้วยตาธรรมดาอีกด้วย เขาจึงสามารถบรรยายภาพเหตุการณ์ในอดีตได้ดี และมีส่วนถูกต้องตรงกับความจริงเป็นส่วนมากดังเป็นที่ยอมรับรองความจริงทางประวัติศาสตร์นั้นแล้ว

นอกจากความรู้เห็นเหตุการณ์ในส่วนอดีตและอนาคตแล้ว ยังมีความรู้เห็นเป็นส่วนปัจจุบันเฉพาะหน้าอีกด้วย ผู้มีจิตใจเป็นสมาธิแน่วแน่จะสามารถรู้เห็นเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ ได้ล่วงหน้าก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะมาถึง คล้ายชาวประมงรู้จักคลื่นภัยจากปลาใหญ่ในทะเลฉะนั้น เหตุการณ์ประจำวันโดยมากเป็นเหตุการณ์เล็กน้อยไม่สลักสำคัญ ถ้าเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตสลักสำคัญ จะมีเงามาปรากฏล่วงหน้านานๆ ผู้มีญาณจะเห็นภาพเหตุการณ์นั่นล่วงหน้าแต่เวลาเนิ่นๆ ญาณทั้ง ๓ ส่วนนี้แหละเป็นส่วนประกอบของทิพพจักขุญาณ ฉะนั้น จะได้กำหนดลักษณะญาณ ๓ ประการนี้ไว้พอเป็นที่สังเกตของผู้สนใจศึกษา ดังต่อไปนี้

๑. อตีตังสญาณ ปรีชาหยั่งเห็นเหตุการณ์ในส่วนอดีตกาลนานไกล มีลักษณะให้มองเห็นภาพเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วขึ้นในมโนทวาร แล้วรู้ว่าเป็นเหตุการณ์อะไร แต่ครั้งไหน บุคคลผู้มีญาณชนิดนี้เมื่อไปที่ไหนจะทราบเรื่องราวของที่นั้นในสมัยอดีตตามความเป็นจริง เหมือนตนเองได้เห็นมา ถ้าเป็นนักประวัติศาสตร์จะสามารถเขียนบรรยายเหตุการณ์บ้านเมืองนั้นๆ ในสมัยอดีตได้ดีเป็นที่น่าอัศจรรย์ เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วนับตั้งหลายพันปี หรือยิ่งกว่าก็ตาม ภาพของเหตุการณ์นั้นๆ ยังเหลือติดอยู่กับที่นั้นไม่ลบเลือนไปตามกาลเวลา จิตใจของคนผู้อยู่อาศัยสถานที่นั้นในสมัยนั้นเป็นอย่างไรก็ย่อมทิ้งกระแสให้ตราติดอยู่กับวัตถุสถานหรือพื้นภูมินั้น ไม่ลบเลือนไปง่ายๆเช่นเดียวกัน อนึ่งบุคคลผู้เคยอยู่อาศัยสถานที่นั้น แม้ตายไปแล้วตั้งนานๆ วิญญาณของเขาก็ยังเฝ้าแฝงอยู่ ณ ที่นั้นก็มี สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้มีญาณสามารถเห็นและรู้สึกทางมโนสัมผัสได้ จึงสามารถรู้เรื่องราวขึ้นได้ ข้าพเจ้าขอให้ข้อสังเกตสำหรับผู้ได้อบรมจิตในทางสมาธิเพื่อกำหนดรู้เหตุการณ์ในอดีต ดังต่อไปนี้

ถ้าท่านไปพัก ณ ที่ใด ถ้าที่นั้นเป็นที่ซึ่งท่านเคยอยู่อาศัย หรือเคยเกิดตายมาแล้ว เมื่อท่านทำความสงบใจแม้เพียงขั้นอุปจารสมาธิเท่านั้น ภาพเหตุการณ์ในอดีตจะมาปรากฏเกิดขึ้นในมโนทวาร เหมือนภาพบนจอภาพยนตร์ฉะนั้น แล้วจะเกิดญาณหยั่งรู้ตามภาพนั้นขึ้นในลำดับ ถ้าไม่รู้พึงกำหนดถามในใจว่าเป็นภาพอะไรเมื่อไร แล้วทำความสงบต่อไปให้เข้าถึงขีดขั้นของฌานที่ ๔แล้วเคลื่อนจิตออกมาเพียงขั้นอุปจารสมาธิ ก็จะเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นตามเป็นจริง ถ้าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางจิต จะกินเวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ทราบเรื่องตลอด ถ้าที่นั้นมิได้เกี่ยวข้องกับชีวิตของท่านในกาลอดีตมาเลย จะไม่มีภาพเช่นนั้นปรากฏขึ้นเอง ถ้าท่านอยากทราบว่าในอดีตที่นั้นเคยเป็นอะไร พึงทำความสงบใจถึงขั้นอุปจารสมาธิ แล้วกำหนดถามในใจว่า ที่นี้เคยเป็นอะไร แล้วทำความสงบใจต่อไปจนถึงขีดขั้นของฌานที่ ๔ ยั้งอยู่ในฌานพอสมควรแล้ว จึงเคลื่อนจิตถอยออกมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ ภาพเหตุการณ์ในอดีตก็จะปรากฏขึ้นตามเป็นจริง ถ้าที่นั้นเคยเป็นอะไรมาก่อนก็จะปรากฏภาพ และจะเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้น ถ้ายังไม่รู้ก็พึงปฏิบัติโดยนัยก่อนก็จะรู้เรื่องได้.

เพื่อเป็นประโยชน์แก่นักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ จะได้สังเกตและค้นคว้ามาเขียนเรื่องราวในสมัยดึกดำบรรพ์ของแหลมทองสู่กันฟัง ประดับสติปัญญา จะวาดภาพแหลมทองในสมัย ๔,๐๐๐ ปีก่อนโน้นไว้ ดังต่อไปนี้

นับถอยหลังคืนไปจากปัจจุบันนี้ ประมาณ ๔,๐๐๐ ปี แผ่นดินที่รู้กันว่าสุวรรณภูมินี้ มีอาณาเขตตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของอ่าวเบ็งกอลไปจดฝั่งอ่าวตังเกี๋ย ด้านเหนือสุดจดถึงเทือกเขาหิมาลัย ด้านตะวันออกด้านใต้จดถึงชวามลายู ดินแดนภายในเขตที่กำหนดนี้เป็นที่อยู่ของชนชาติเผ่าผิวเหลืองหรือขาวใส รูปร่างสันทัดหน้ารูปไข่ ผิวพรรณละเอียดเกลี้ยงเกลามีชื่อเรียกว่า มงเก่าคือชาติมงคลเก่านั่นเอง บาลีเรียกว่าอริยกชาติ เรียกเสียใหม่ว่าอารยันเก่าก็ได้ เพราะมีอารยันใหม่เกิดขึ้นทางอินเดียแล้ว แต่เดิมนั้นชนชาตินี้มีภูมิลำเนาอยู่แถบเชิงเขาหิมาลัย ด้านตะวันออก ตรงเหนืออ่าวเบ็งกอล เมื่ออารยันใหม่คือชนชาติผิวขาวหลั่งไหลลงมาจากด้านเหนือเขาหิมาลัย ข้ามตรงที่ลาดต่ำของเขาหิมาลัยด้านตะวันตก ยกเข้าครอบครองผืนแผ่นดินเหนืออ่านเปอร์เซีย แล้วร่นมาทางตะวันออกจนถึงใจกลางชมพูทวีป รุกไล่เจ้าของถิ่นเดิม คือชนชาติผิวดำให้ร่นลงไปทางใต้สุดของชมพูทวีป และรุกเบียดชาติมงเก่าให้รุดหน้ามาสู่สุวรรณภูมิยิ่งขึ้น

เมื่อชาติมงเก่าเข้ามาครอบครองสุวรรณภูมิก็ได้ครองความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ทั่วไป เพราะมีวัฒนธรรมดีกว่าเจ้าของพื้นที่ซึ่งเป็นชนชาติป่าเถื่อนทั่วไป ได้มีการปกครองกันโดยระเบียบเรียบร้อย เป็นอาณาจักรหลายอาณาจักร คือผืนแผ่นดินที่เป็นประเทศพม่ามอญเดี๋ยวนี้ ด้านตะวันตกจดอ่าวเบ็งกอล ด้านตะวันออกจดถึงเขาธงไชย ด้านใต้จดถึงฝั่งทะเล ด้านเหนือจดถึงแดนภูตันตะ เชิงเขาหิมาลัย มีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่าสุธรรมวดี มีนครหลวงชื่อสุธรรมนคร ตั้งอยู่ฝั่งทะเลใต้ปากอ่าวเบ็งกอลลงไปที่เรียกในบัดนี้ว่าเมืองสะเทิม

ผืนแผ่นดินที่เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล ตั้งแต่เหนือจังหวัดนครปฐมลงไปจนถึงชาวมลายูอาณาจักรหนึ่ง มีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่าศรีวิชัย มีนครหลวงชื่อนครชัยศรี ตั้งอยู่ที่ฝั่งทะเลตรงจังหวัดนครปฐมเดี๋ยวนี้ เป็นเมืองท่าค้าขาย

ผืนแผ่นดินแถบเขาบรรทัดด้านใต้ ตั้งแต่สุดแหลมทองตะวันออกไปจนจดเขาธงไชยทางตะวันตก ด้านเหนือถึงที่ตั้งจังหวัดอุตรดิตถ์เดี๋ยวนี้ด้านใต้จนเขตศรีวิชัยราวเมืองสุพรรณบุรี เป็นอาณาจักรหนึ่งมีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่า ทวาราวดี มีนครหลวงชื่อสุรบุรี ตั้งอยู่ฝั่งอ่าวทางตะวันออกใต้พระพุทธบาทสระบุรีลงไปหน่อยหนึ่ง เมืองลพบุรีเวลานั้นเป็นเมืองปากอ่าวภาคเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน

และเลยขึ้นไปจนถึงดินแดนที่เป็นมหรัฐตุงคราศรีเดี๋ยวนี้ เป็นอาณาจักรหนึ่งมีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่าโยนก มีนครหลวงชื่อชยเสนะตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำโขงตอนเหนือภาคอิสานของประเทศไทยในปัจจุบัน

และดินแดนที่เป็นประเทศลาวบัดนี้ เป็นอาณาจักรหนึ่งมีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่าพนม มีนครหลวงชื่อโพธิสาร ตั้งอยู่บนเกาะในทะเลสาบตรงที่เป็นเมืองสกลนครเดี๋ยวนี้

ผืนแผ่นดินในที่ลุ่มราบของแม่น้ำโขงตอนบนด้านตะวันออกเขาหิมาลัย มีทะเลสาบใหญ่ ๒ แห่ง คือหนองแส และกาหลง ด้านเหนือจดเขาล้านช้างด้านใต้จดเขาล้านช่อง ด้านตะวันออกจดเขาอว่ายลาว ด้านตะวันตกจดแดนภูตันตะเป็นอาณาจักรหนึ่ง มีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่าแถน มีนครหลวงชื่อเมืองหนองแส หรือเมืองแถน ตั้งอยู่ริมทะเลสาบหนองแส ภายหลังมาแยกเป็นสองอาณาจักร ตอนใต้เรียกชื่ออาณาจักรว่าแมน ตั้งอยู่ฝั่งทะเลสาบกาหลง แม่น้ำสำคัญของสองอาณาจักรนี้ นอกจากแม่น้ำโขงซึ่งไหลผ่านจากเหนือลงใต้ทางด้านตะวันตกของอาณาจักรแล้ว อาณาจักรแถนมีแม่น้ำลูกยางไหลผ่านไปตะวันออก ตกทะเลจีน ส่วนอาณาจักรแมนมีแม่น้ำบั้งลมกับบั้งไฟ ออกจากทะเลสาบกาหลงใหลไปตกทะเลกวางตุ้ง อีกอาณาจักรหนึ่งซึ่งเป็นของชนชาติเผ่าผิวเหลืองเหมือนกัน ตั้งอยู่ตรงผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิด้านตะวันออก มีแม่น้ำสำคัญคือแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง ออกจากเขาล้านช่องไหลไปตกทะเลตังเกี๋ยผืนแผ่นดินยาวไปตามชายทะเลจากเหนือลงใต้ถึงที่เป็นประเทศเขมรบัดนี้ เรียกชื่ออาณาจักรในครั้งนั้นว่าจุลลณี หรือณีเฉยๆ มีนครหลวงชื่ออารวี หรือวีเฉยๆ สมัยหลังต่อมาเรียกเมืองหล้าน้ำ ประชาชนชาติเผ่าผิวเหลืองในอาณาจักรดังกล่าวทั้งหมดนี้พูดภาษาเป็นคำพยางค์เดียวโดดๆ แต่ละคำมีความหมายตายตัว เป็นถ้อยคำฟังเข้าใจง่ายและไพเราะสละสลวย มีหลักภาษาเป็นระเบียบแบบแผน เป็นภาษาเดียวกันกับชนชาติเผ่าผิวเหลือง ซึ่งยังอยู่ ณ ดินแดนเดิมแถบเชิงเขาหิมาลัยเหนืออ่าวเบ็งกอลขึ้นไป

ในสมัยพุทธกาลหมอชีวกโกมารภัจจ์ไปทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าไปอยู่ในราชสำนักพระเจ้ากรุงศรีวิชัย ในสุวรรณภูมินานถึง ๑๒ ปี ครั้นกลับไปกรุงราชคฤห์ ประเทศมคธแล้วได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลสนทนาด้วยภาษาชาวสุวรรณภูมิ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสด้วยได้อย่างสนุกสนาน หมอชีวกหลากใจจึงกราบทูลถาม ตรัสตอบว่าเป็นภาษากำเนิดของพระองค์เอง ชาวศากยะพูดกันด้วยภาษานี้ หมอชีวกจึงกราบทูลชมว่าเป็นภาษาไพเราะสละสลวยฟังเข้าใจง่าย แต่ละคำมีความหมายตายตัว

หลังพุทธปรินิพพานต่อมาประมาณ ๓๐๐ ปีเศษ พระโสณเถระกับพระอุตรเถระเป็นหัวหน้าคณะ ถูกจัดส่งมาทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ท่านข้ามอ่าวเบ็งกอล ขึ้นบกที่เมืองสุธรรมนคร ประเทศสุธรรมวดี เดินมาสู่นครชัยศรี ประเทศศรีวิชัย แล้วเลียบอ่าวขึ้นมาลพบุรี สุรบุรี ประเทศทวาราวดี ขึ้นเหนือไปโดยลำดับถึงประเทศโยนกซึ่งมีเมืองชยเสนะเป็นราชธานี ที่ทราบกันในภายหลังนี้ว่าเมืองเชียงแสน แล้วล่องลงไปตามลำแม่น้ำโขงถึงประเทศพนม ซึ่งมีเมืองโพธิสารเป็นราชธานี ได้ยับยั้งทำการอยู่ประเทศนี้นานพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในประเทศนี้มาก ได้จัดส่งปราชญ์แห่งประเทศนี้ไปทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนายังอาณาจักรแถน แมน และจุลลณี จนถึงอาณาจักรจีนเป็นที่สุด พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากฐานลงในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๔ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันบัดนี้ประชาชนเผ่าผิวเหลืองดูเหมือนจะถือว่าเป็นพระศาสนาของพระมหามุนี แห่งเชื้อชาติของตนเองซึ่งจะละทิ้งเสียมิได้ทีเดียว.

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
๒. อนาคตังสญาณ ปรีชาหยั่งเห็นเหตุการณ์ในอนาคตไกล มีลักษณะมองเห็นภาพเหตุการณ์อันจะมีในอนาคตซึ่งปรากฏชัดในมโนทวาร แล้วหยั่งรู้ว่าเป็นเหตุการณ์อะไร จะเกิดขึ้นเมื่อไร ณ ที่ไหน บุคคลผู้มีญาณชนิดนี้สามารถพยากรณ์เหตุการณ์อนาคตได้แม่นยำดุจตาเห็น ดังสมเด็จพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า บ้านปาฏลีจะเป็นที่แก้ห่อสินค้าในอนาคต และจะเป็นมหานครเจริญรุ่งเรือง ซึ่งต่อมาไม่นานก็เป็นจริงดังพยากรณ์ ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของอินเดีย คือปัฏนา ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่าเมืองปาฏลีบุตร เป็นนครหลวงของอินเดีย รุ่งเรืองที่สุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชครองชมพูทวีป

ได้ทรงพยากรณ์ว่า พระอานนท์จะทรงบรรลุภูมิพระอรหันต์ในวันเริ่มทำปฐมสังคายนา ก็สมจริงดังทรงพยากรณ์ ได้ทรงพยากรณ์เหตุการณ์เกี่ยวกับพระศาสนาของพระองค์ไว้หลายเรื่องหลายตอน ระบุชื่อบุคคลผู้จะเป็นหัวหน้าทำสังคายนาไว้ถูกต้องหมดทุกครั้งทั้ง ๓ ครั้งที่ทำในชมพูทวีป ทรงพยากรณ์เหตุการณ์ของพระศาสนาในสมัย ๒,๐๐๐ ปีไว้ก็ถูกต้อง และทรงพยากรณ์เหตุการณ์ของโลกไว้ก็ถูกต้องมาแล้วเป็นส่วนมาก ดังได้เล่าไว้ในเบื้องต้นของเรื่องนี้ พระมหาโมคคัลลีบุตรติสสเถระเล็งเห็นว่า ต่อไปเบื้องหน้าพระพุทธศาสนาจะอันตรธานจากชมพูทวีป ขอพระบรมราชูปถัมภ์จัดส่งพระเถระไปทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศ เหตุการณ์ก็เป็นจริงตามนั้น ในเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้พันปีเศษ ประเทศอินเดียต้องสูญจากพระพุทธศาสนามาประมาณเกือบพันปี เราต้องเป็นหนี้ปรีชาญาณส่วนนี้ของพระมหาโมคคัลลีบุตรติสสเถระอย่างมากมาย

มีคำทำนายว่าสมัยกึ่งพระพุทธศาสนาจะมีขึ้นถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล จะมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์ เชี่ยวชาญทางอภิญญา และพระมหาเถระโพธิสัตว์ผู้มีบุญญาภินิหารในสุวรรณภูมิจะได้รับเกียรติเป็นประธานาธิบดีสงฆ์สากล จะทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก ตั้งต้นที่อินเดียไปยุโรปและอเมริกา มหาชนชาวโลกจะหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก โลกจะร่มเย็นเป็นสุขด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา ดังนี้ ข้าพเจ้าได้เรียนถามพระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่าคำทำนายโบราณนี้จะเป็นจริงไหม ท่านว่า เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลานี้ก็จวนถึงแล้ว เราคอยดูต่อไป.

วิธีการกำหนดรู้เหตุการณ์ในอนาคต สำหรับผู้อบรมจิตใจนั้นเป็นดังนี้ เมื่อต้องการอยากทราบเหตุการณ์ในอนาคตของโลก ของพระศาสนา หรือของตนเอง พึงทำความสงบใจถึงขั้นอุปจารสมาธิ แล้วนึกถามขึ้นในใจว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแก่โลก แก่พระศาสนา หรือแก่ตนเอง แล้วพึงทำความสงบต่อไปจนถึงขีดขั้นของฌานที่ ๔ แล้วพึงเคลื่อนจิตถอยออกมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ ถ้าเหตุการณ์อะไรจะมีขึ้นก็จะปรากฏภาพเหตุการณ์นั้นขึ้นในมโนทวาร จะเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นในลำดับนั้นด้วย แต่ถ้าไม่รู้พึงกำหนดถาม แล้วเข้าสู่ความสงบดังวิธีที่กล่าวแล้วในข้ออตีตังสญาณนั้น ก็จะทราบได้ ท่านผู้เชี่ยวชาญทางจิตใจอาจรู้เห็นได้โดยมิต้องทำการกำหนดรู้ดังที่ว่านี้ เพราะจิตใจของท่านบริสุทธิ์แจ่มใสประดุจกระจกเงาบานใหญ่ เหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร จะมีเงาปรากฏที่จิตใจของท่านเสมอไป บางท่านอาจใช้วิธีอธิษฐานไว้ว่า ถ้าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นข้างหน้า จงปรากฏให้ทราบล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาใกล้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นเงาของเหตุการณ์จะมาปรากฏที่จิตให้ท่านทราบดังนี้ก็มี แต่บางท่านเกรงว่า การกำหนดรู้ก็ดี การอธิษฐานไว้ก็ดี จะทำให้เกิดสัญญาลวงขึ้นได้ จึงไม่ยอมทำอะไรอย่างอื่นนอกจากการทำการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสไว้ประดุจเงาบานใหญ่ ให้เงาเหตุการณ์มาปรากฏขึ้นเอง.

๓. ปัจจุปันนังสญาณ ปรีชาหยั่งรู้หยั่งเห็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน มีลักษณะให้มองเห็นภาพเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นในระยะกาลใกล้ๆ และรู้ได้ว่าเป็นเหตุการณ์อะไร จะเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไรกับมีลักษณะให้มองเห็นเหตุการณ์จำเพาะหน้าได้แจ่มแจ้ง มีปฏิภาณทันเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยบุคคลผู้มีญาณชนิดนี้จะสามารถนำชีวิตผ่านเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นไปได้ จะมีปฏิภาณทันกับเหตุการณ์ทุกครั้งไป เหตุการณ์ที่จะมีขึ้นในชีวิตประจำวันย่อมปรากฏเป็นภาพนิมิตในขณะหลับหรือในขณะทำสมาธิ มีลักษณะที่พึงสำเหนียกดังต่อไปนี้

(๑.) กามคุณ คือลาภผลสักการะ มักจะปรากฏภาพนิมิตเป็นภาพสตรี เด็ก ดอกไม้ มือ อุจจาระ น้ำหลาก ขึ้นในมโนทวารขณะทำความสงบใจ หรือมิฉะนั้นก็ในขณะหยั่งลงสู่ความหลับ ถ้าภาพที่เห็นเป็นสิ่งประณีตบรรจง ลาภผลสักการะที่จะบังเกิดก็ประณีตบรรจง ถ้าเป็นภาพสิ่งสกปรกลามก ลาภผลสักการะที่จะบังเกิดก็สกปรกเศร้าหมอง ถ้าเป็นภาพน้ำหลากจะเกิดลาภผลสักการะเหลือเฟือ ถ้าในขณะที่ภาพนิมิตปรากฏนั้นใจสะเทือน แสดงว่าจะเกิดความยินดียินร้ายในลาภผลสักการะ ถ้าใจเฉยๆ ก็จะมีอุเบกขาธรรมในอารมณ์คือลาภผลสักการะนั้น.

(๒.) นินทา ปสังสา คือความนินทาและสรรเสริญ เมื่อจะเกิดขึ้นมักจะปรากฏเป็นภาพช้างเยี่ยมหน้าต่าง ส่องกระจก หรือมองเห็นหน้าตาตัวเอง ขึ้นในมโนทวารขณะทำความสงบใจหรือขณะหยั่งลงสู่ความหลับ ถ้าปรากฏว่าใจสะเทือนต่อภาพนิมิตนั้น แสดงว่าจะเกิดความยินดียินร้ายในนินทาหรือสรรเสริญนั้น ถ้าใจเฉยๆ แสดงว่าจะมีอุเบกขาธรรมในนินทาและสรรเสริญ.

(๓.) สุขัญจทุกขัง คือความสุขและความทุกข์จะเกิดขึ้น มักจะปรากฏภาพนิมิตเป็นอากาศโปร่ง ที่อยู่สวยงาม น้ำพุพุ่งเป็นฝอย แสดงว่าจะอยู่เย็นเป็นสุขสบาย ถ้าภาพนิมิตปรากฏเป็นภาพลุยโคลนตม เดินที่ชื้นแฉะ นอน แต่งตัวด้วยอาภรณ์ใหม่ๆ ปลงผม กินอาหาร แสดงว่าจะเกิดเจ็บป่วยไม่ผาสุกสบายขึ้น ถ้าปรากฏว่าใจสะเทือนต่อภาพนิมิตแสดงว่าจะเกิดความยินดียินร้ายในสุขและทุกข์ ถ้าใจเฉยๆ แสดงว่าจะมีอุเบกขาธรรมในสุขและทุกข์นั้น.

(๔.) กิจจากิจจัง คือการทำสิ่งเป็นประโยชน์และไร้ประโยชน์จะเกิดขึ้น มักจะปรากฏภาพนิมิตเป็นภาพเดินบนสะพาน เห็นรั้วเห็นสะพาน เห็นกำแพง ข้ามรั้วกำแพง มีสิ่งขวางหน้า แสดงว่าจะได้ทำกิจเป็นประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ตามลักษณะนิมิตนั้น ถ้าใจสะเทือนในขณะภาพนิมิตปรากฏแสดงว่าจะเกิดความยินดียินร้ายในการทำกิจ ถ้าใจเฉยๆ แสดงว่าจะมีอุเบกขาธรรมในขณะทำกิจนั้นๆ.

(๕.) ยสายสัง คือความมียศและความไร้ยศจะเกิดขึ้น มักปรากฏภาพนิมิตเป็นภาพไต่ภูเขาปีนที่สูง ขั้นบันได ขึ้นปราสาท ขึ้นเจดีย์ แสดงว่าจะได้ยกย่องเชิดชูไว้ในตำแหน่งหรือเกียรติ ถ้าปรากฏภาพว่าไต่ป่ายปีนหรือขึ้นที่นั้นๆ ด้วยความลำบากและลื่นไถลพลัดตกลง แสดงว่าจะเสื่อมความยกย่องในตำแหน่งหรือเกียรติ หรือถึงกับเสียยศเสียศักดิ์ทีเดียว ถ้าใจสะเทือนในขณะปรากฏภาพนิมิต จะเกิดความยินดียินร้ายในยศหรืออยศนั้น ถ้าใจเฉยๆ ก็จะมีอุเบกขาธรรมในยศหรืออยศที่เกิดขึ้นนั้น.

(๖.) ชยาชยัง คือความมีชัย-ปราชัยจะเกิดขึ้น มักจะเกิดภาพนิมิตเป็นภาพพายเรือในน้ำหรือบนบก ลอยคอในน้ำ ถ้าพายเรือในน้ำจะปราชัย ถ้าพายเรือบนบก หรือลอยคอในน้ำจะได้ชัยชนะ ถ้าในขณะปรากฏภาพนิมิตนั้นใจสะเทือนก็จะเกิดความยินดียินร้ายในชัยชนะหรือปราชัยถ้าใจเฉยๆ ก็จะมีอุเบกขาธรรมในชัยชนะหรือปราชัยนั้น.

ได้นำลักษณะภาพนิมิตและการตีความหมายมาไว้ให้สังเกตเพียงบางส่วน ผู้สนใจพึงศึกษาสำเหนียกด้วยตนเองก็จะทราบได้ดี ข้อสำคัญอย่าตั้งความรังเกียจและอย่าติดนิมิตอันเกิดขึ้น พึงวางใจเป็นกลางแล้วศึกษาสำเหนียกเพื่อรู้เท่าทัน ก็จะเกิดญาณในส่วนปัจจุบันอย่างดีในกาลต่อไป.

เมื่อได้ทำความเข้าใจลักษณะญาณในกาลทั้ง ๓ กาลอันเป็นส่วนประกอบทิพพจักขุญาณฉะนี้แล้ว พึงทำความเข้าใจลักษณะทิพพจักขุญาณโดยเฉพาะต่อไป ทิพพจักขุญาณมีลักษณะเห็นรูปทิพย์ทั้งปวง คือเห็นเทพเจ้าตั้งแต่ภาพพื้นดินขึ้นไปจนถึงพรหมโลก เห็นสิ่งในระยะไกล คือมองทะลุไปในสากลจักรวาล เห็นสิ่งลี้ลับคือสิ่งมีอะไรกำบัง เห็นสภาพจิตใจของบุคคลอื่น สัตว์อื่น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

๑. เห็นรูปทิพย์ คือเทพเจ้านั้น มีลักษณะการเห็นเช่นเดียวกับเห็นด้วยจักษุธรรมดา เมื่อเทพเจ้ามาหารือว่าไปพบเข้า ณ ที่ใดๆ ผู้มีทิพพจักขุย่อมเห็นและพูดจาสนทนากับเขาได้เช่นเดียวกับเห็นคนและพูดจาสนทนากับคนได้ฉะนั้น ส่วนการเห็นผีนั้น แม้ผู้มีฌานจักษุก็อาจเห็นได้ ไม่ต้องถึงมีทิพพจักขุ.

รูปทิพย์ เป็นรูปที่ผ่องแผ้ว ใสสะอาดเหมือนแก้วและเบาว่องไว มีรัศมีสว่างรุ่งเรืองเป็นปริมณฑล ที่เรียกว่าสว่างทั่วทิศในสำนวนบาลี เพราะเป็นรูปสำเร็จด้วยใจหรือสัญญาของเขา ผู้มีทิพพจักขุที่บริสุทธิ์ผ่องใสเท่านั้นจึงจะเห็นรูปทิพย์ได้ ขณะที่เทพเจ้ามาปรากฏกายเฉพาะหน้านั้นจะมีรัศมีสว่างรุ่งเรืองมาก่อน ครั้นแล้วก็จะเห็นเทพเจ้า โดยรูปลักษณะสีสันวรรณะตามบุญญานุภาพของเขา เหมือนเห็นคนในที่เฉพาะหน้าฉะนั้น เมื่อเขามีกิจธุระอะไร เขาก็จะรีบบอกให้ทราบ เพราะเขาอยู่ไม่นาน และอยากจะทราบอะไรจากเขา หรือมีกิจธุระอะไรที่จะพูดกับเขาก็ต้องรีบพูด พูดเสร็จธุระเขาจะลาและหายวับไปทันที การที่เทพเจ้าไม่สามารถยั้งอยู่ได้นานในแดนมนุษย์ ก็เพราะทนกลิ่นไม่ไหว แต่ถ้ามาหาผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วค่อยยังชั่ว เพราะกลิ่นศีลกลบกลิ่นสาบของมนุษย์ได้บ้าง ดังคำว่า สีลคนฺโธ อนุตฺตโร กลิ่นศีลเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งหลาย มีจันทน์และกฤษณาเป็นต้น เพราะหอมทวนลมไปได้ไกล แล้วมานมัสการและฟังธรรมตามเวลาอันควร ดังเทพเจ้าไปเฝ้าฟังพระธรรมเทศนาหรือถามปัญหากะพระบรมศาสดาฉะนั้น วิธีฝึกฝนจิตเพื่อให้เกิดญาณทัสสนะรู้เห็นเทพเจ้าได้นั้น ตรัสเรียกว่า อธิเทวญาณทัสสนะ และตรัสยืนยันว่า เมื่ออธิเทวญาณทัสสนะของพระองค์ยังไม่บริสุทธิ์แจ่มใสเพียงใด ยังไม่ทรงปฏิญาณว่าตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงนั้น ต่อเมื่ออธิเทวญาณทัสสนะของพระองค์บริสุทธิ์ผ่องใสดีแล้ว จึงทรงปฏิญาณว่าตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะได้นำวิธีฝึกเพื่ออธิเทวญาณทัสสนะมาตั้งไว้พอเป็นแนวทางปฏิบัติของผู้ใคร่ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อคราวประทับตำบลคยาสีสะ ได้ตรัสเล่าวิธีฝึกสมาธิเพื่ออธิเทวญาณทัสสนะไว้ว่า

(๑.) เมื่อพระองค์ยังเป็นโพธิสัตว์ก่อนหน้าตรัสรู้ ได้รู้จักโอภาส (คือแสงสว่างทางใจ) แต่ไม่เห็นรูปทั้งหลายได้ จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อเห็นรูป.

(๒.) เมื่อพากเพียรไป ได้เห็นรูปดังพระประสงค์ แต่ไม่สามารถยับยั้งสนทนาปราศรัยกับเทพเจ้าได้ จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อสามารถยับยั้งสนทนาปราศรัยกับเทพเจ้า.

(๓.) เมื่อพากเพียรไป ได้สามารถยับยั้งสนทนาปราศรัยกับเทพเจ้าได้ แต่ไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมาจากเทพนิกายใด จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ.

(๔.) เมื่อพากเพียรไป ได้ทราบเทพเจ้าเหล่านั้นว่ามาจากเทพนิกายนี้ เทพนิกายโน้น สมปรารถนา แต่ไม่ทราบว่าได้เป็นเทพเจ้าด้วยกรรมอะไร จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ.

(๕.) เมื่อพากเพียรไป ก็ได้ทราบตามความมุ่งหมายข้อ ๔ แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีอาหารอย่างไร เสวยสุขทุกข์อย่างไร จึงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ.

(๖.) เมื่อพากเพียรไป ได้ทรงทราบตามความมุ่งหมายข้อ ๕ แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีอายุเท่าไร จะดำรงอยู่นานเท่าไร จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ.

(๗.) เมื่อพากเพียรไป ได้ทราบความมุ่งหมายข้อ ๖ แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นเคยอยู่ร่วมกับพระองค์มาหรือไม่ จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ.

(๘.) เพื่อพากเพียรไป ก็ได้ทรงทราบตามความมุ่งหมายข้อ ๗ นั้นสมดังปรารถนา.

แล้วตรัสย้ำในที่สุดว่า ภิกษุทั้งหลาย! อธิเทวญาณทัสสนะมีปริวัฏ ๘ ประการนี้ยังไม่บริสุทธิ์ดีเพียงไร เราก็ยังไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงนั้น เมื่อใดอธิเทวญาณทัสสนะมีปริวัฏ ๘ ประการนี้บริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้นเราจึงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแจ้งชัดญาณทัสสนะได้เกิดแก่เราว่า เจโตวิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ไม่มีอีกดังนี้

รวมใจความของวิธีตามที่ตรัสนี้ได้ว่า

ก. ทำให้เกิดโอภาส คือแสงสว่าง โดยวิธีดังจะกล่าวข้างหน้า.

ข. ดำรงสมาธิไว้ให้ได้นานที่สุดที่จะนานได้.

ค. สำเหนียกเพื่อรู้เรื่องควรรู้เกี่ยวกับเทพเจ้านั้น จนรู้หมดทุกประการ.

เมื่อมีอธิเทวญาณทัสสนะ ๘ ประการนี้แล้ว ชื่อว่ามีทิพพจักขุ เห็นรูปทิพย์ได้.

๒. เห็นสิ่งในระยะไกลนั้น ได้แก่มีความสามารถแผ่รัศมีความสว่างทางใจ ไปทั่วสากลจักรวาล แล้วมองเห็นสิ่งที่มีอยู่ภายในรัศมีแสงสว่างนั้น โลกธาตุมีอยู่ ณ ที่ใดๆ ก็มองเห็นหมดรูปลักษณะสัณฐานของโลกเรานี้ก็มองเห็นได้ชัด เหมือนมองเห็นสิ่งเล็กน้อยบนฝ่ามือได้ฉะนั้นสภาพบ้านเมือง ถนนหนทาง ถ้ำภูเขาเลากาหรือพื้นภูมิประเทศซึ่งยังไม่เคยไปเห็นเลยก็จะมองเห็นตรงกับสภาพที่เป็นจริงทุกประการ พระบรมศาสดาเสด็จไปที่ไหนไม่ต้องตรัสถามทาง และไปถูกก็ด้วยญาณชนิดนี้ พระกัมมัฏฐานรุ่นเก่าพวกหนึ่งฝึกหัดเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ไม่ยอมถามถึงหนทางที่จะไป ใคร่จะไปที่ไหนก็กำหนดในใจแล้วไป ชั้นแรกจะหลงทางวนเวียนป้วนเปี้ยนไปมา แต่ก็อดทนเอา ในที่สุดก็จะเกิดญาณทางดวงใจ รู้จักทางไปกำหนดทิศทางได้แม่นยำ เดินลัดตัดตรงไปสู่ที่หมายปลายทางได้ดีกว่าคนธรรมดาที่ชำนาญทางในทางนั้นเสียอีก จนถึงบางท่านมีคนเล่าลือว่าย่นหนทางได้ ซึ่งเป็นฤทธิ์ประการหนึ่ง แต่ความจริงเป็นเพียงรู้จักทางลัดตัดตรงเท่านั้น.

๓. เห็นสิ่งลี้ลับได้นั้น คือสามารถมองทะลุเครื่องกีดขวางกำบังได้ เช่น ฝา กำแพง ภูเขาหรือวัตถุใดๆ ก็ตาม แล้วมองเห็นสิ่งซึ่งต้องการเห็น อันซ่อนเร้นปิดบังในภายในเครื่องกำบังนั้นๆความสามารถในการนี้สำเร็จขึ้นได้ด้วยอำนาจใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากเครื่องหมองมัวในภายในใจเช่นนั้นย่อมเป็นที่ตั้งแห่งทิพยอินทรีย์อย่างดี ธรรมชาติใจย่อมไปได้ในที่ทั้งปวง ไม่มีติดขัด เมื่อไปได้ในที่ทั้งปวงไม่ติดขัด ก็ย่อมเห็นได้ในที่ทั้งปวงไม่ติดขัดเช่นเดียวกัน ฉะนั้นจึงสามารถเห็นสิ่งลี้ลับได้ในเมื่อประสงค์จะดู แต่ธรรมดาผู้ก้าวขึ้นสู่ภูมิศีลธรรมอันดีจนถึงมีทิพพจักขุนี้ ย่อมไม่ปรารถนาดูซอกแซกไปในสิ่งที่ไม่ควรดูควรเห็น ไม่เหมือนคนธรรมดาผู้ไม่มีตาชนิดนี้ มักจะปรารถนาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น เหมือนเด็กๆ ชอบดูอะไรต่ออะไรซอกแซก แต่ครั้นบรรลุความเป็นผู้ใหญ่แล้วนิสัยชอบดูอย่างเด็กๆ นั้นก็หายไปฉะนั้น.

๔. เห็นจิตใจของคนอื่นได้ คือสามารถมองเห็นลักษณะสภาพจิตใจของคนอื่น สัตว์อื่นถูกต้องตรงกับความจริง จิตใจของบุคคลธรรมดาย่อมประกอบด้วยรูปลักษณะแสงสีและกระแสอันเป็นวิสัยแห่งทิพพจักขุได้ดังนี้

ก. จิตสัมปยุตต์ด้วยราคะ มีรูปลักษณะยั่วยวน ประกอบด้วยสีแดงสดหรือสีเหลืองส้ม มีกระแสสัมผัสอบอุ่น ยวนใจ.

ข. จิตสัมปยุตต์ด้วยโทสะ มีรูปลักษณะน่ากลัว ประกอบด้วยสีแดงเข้มหรือเหลืองแก่ มีกระแสสัมผัสเร่าร้อน กดข่มใจ.

ค. จิตสัมปยุตต์ด้วยโมหะ มีรูปลักษณะน่าเกลียด ประกอบด้วยแสงสีมัว สีดำหรือสีเมฆ มีกระแสสัมผัสร้อนอบอ้าว อึดอัดใจ.

ฆ. จิตสัมปยุตต์ด้วยคุณธรรม มีศรัทธา ศีล เป็นต้น มีรูปลักษณะน่านิยม ประกอบด้วยแสงสีสว่างสดใส มีกระแสสัมผัสชื่นๆ เย็นๆ เบาใจ.

ง. จิตสัมปยุตต์ด้วยสมาธิ มีรูปลักษณะน่าเคารพเกรงขาม ประกอบด้วยแสงสว่างเป็นประกายสดใส มีกระแสสัมผัสดูดดื่ม ชุ่มชื่น เย็นใจ.

จ. จิตสัมปยุตต์ด้วยปัญญา มีรูปลักษณะน่าบูชา ประกอบด้วยแสงสว่างเป็นประกายแวววาว มีกระแสสัมผัสจูงใจ โปร่งใจ.

ฉ. จิตสัมปยุตต์ด้วยวิมุตติ มีรูปลักษณะน่าทัศนา ประกอบด้วยแสงสว่างแจ่มจ้า เป็นประกายผ่องแผ้ว มีกระแสสัมผัสซาบซ่าน เฟื่องฟูใจยิ่ง.



๑. จิตใจแท้ๆ ไม่มีสี แต่จิตใจของคนมีกิเลสปรากฏมีสี แก่ผู้มีทิพพจักษุ.


รูปลักษณะ แสงสี และกระแสของจิตใจตามที่กล่าวนี้เป็นเพียงสังเขป กำหนดไว้พอเป็นแนวสังเกตศึกษาของผู้สนใจในทิพพจักขุญาณ ผู้มีทิพพจักขุญาณมองเห็นจิตใจของคนของสัตว์โดยรูปลักษณะแสงสี และรู้สึกกระแสสัมผัสทางใจเช่นนั้นแล้ว ย่อมวินิจฉัยได้ถูกต้องว่า คนนั้น สัตว์นั้นมีจิตใจอย่างไร ควรได้รับการสงเคราะห์ด้วยวิธีใดหรือไม่ ทั้งนี้ก็เป็นด้วยได้อบรมจิตใจตนเอง ได้สังเกตรูปลักษณะแสงสี และกระแสจิตของตนเองเป็นอย่างดีแล้ว เมื่อประสบกับจิตใจของผู้อื่นจึงรู้เห็นได้ เช่นเดียวกับรู้เห็นจิตใจของตนเอง ดังกล่าวไว้ในเจโตปริยญาณนั้นแล้ว.

นอกจากตาทิพย์ที่สามารถเห็นรูปทิพย์เป็นต้น ดังกล่าวมาแล้ว ยังมีตาชั้นสูงอีกชนิดหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าสมมติเรียกว่า ตาแก้ว ย่อมสามารถเห็นพระแก้ว คือวิสุทธิเทวา ซึ่งได้แก่พระอรหันต์ ตาชั้นนี้เป็นของพระอรหันต์ผู้ตื่นเต็มที่แล้ว ไม่ประสงค์จะกล่าวพิสดารในที่นี้ เพียงเยืองความไว้ให้ทราบนิดหน่อยเท่านั้น.

เมื่อได้ทราบลักษณะทิพพจักขุพอสมควรเช่นนี้ ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะทราบวิธีปลูกสร้างทิพพจักขุต่อไป ได้กล่าวไว้หลายแห่งแล้วว่า ที่ตั้งของทิพยอินทรีย์นั้นคือจิตใจ เมื่อบริสุทธิ์ทิพยอินทรีย์ก็บริสุทธิ์เช่นเดียวกัน ฉะนั้น จุดของการปลูกสร้างทิพพจักขุคือจิตใจ ในการฝึกจิตเพื่อให้เกิดทิพพจักขุ มีลำดับขั้นดังต่อไปนี้

๑. อาศัยอิทธิบาทภาวนา เป็นกำลังฝึกจิตใจให้ได้สมาธิถึงฌานที่ ๔ เป็นอย่างต่ำ ทำการเจริญฌานนั้นให้ชำนิชำนาญด้วยขั้นทั้ง ๕ ของฌานจนได้เจโตวสี มีอำนาจทางใจ ดังกล่าวไว้ในบทที่ ๒.

๒. เจริญกสิณ อันเป็นเครื่องนำทิพพจักขุโดยเฉพาะ ช่ำชองจนเป็นปฏิภาคนิมิต กสิณ อันเป็นเครื่องนำทิพพจักขุนี้มี ๓ ประการ คือ

(๑) เตโชกสิณ.

(๒) โอทาตกสิณ.

(๓) อาโลกกสิณ.

วิธีปฏิบัติกสิณได้กล่าวไว้แล้วในบทที่ ๓ ในบรรดากสิณ ๓ ประการ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อาโลกกสิณเป็นเยี่ยมที่สุด ปราชญ์ฝรั่งนิยมใช้ลูกแก้วหรือน้ำใสๆ เป็นเครื่องนำทิพพจักขุก็น่าจะเข้ากันได้ เพราะแสงสว่างกับแก้วย่อมคล้ายคลึงกัน ข้าพเจ้าไม่ขอแนะนำในการเพ่งลูกแก้วและน้ำตามวิธีฝรั่ง เพราะได้มีผู้เขียนไว้แล้ว ผู้ต้องการจะหาอ่านได้.

๓. เมื่อได้กสิณอันเป็นเครื่องนำทิพพจักขุประการใดประการหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นเตโชกสิณและโอทาตกสิณพึงเจริญให้ยิ่ง จนปรากฏดวงกสิณเป็นสีขาวใสบริสุทธิ์ก่อน จึงจะฝึกเพื่อทิพพจักขุได้ ถ้าเป็นอาโลกกสิณเมื่อได้แม้เพียงขั้นอุคคหนิมิตปรากฏก็เป็นแสงใสพอควร เมื่อจิตสงบถึงขั้นอัปปนา ก็จะเป็นแสงใสบริสุทธิ์ เป็นที่ตั้งแห่งทิพพจักขุได้ ต่อนั้นไปพึงฝึกทิพพจักขุโดยวิธีอธิเทวญาณทัสสนะ ดังกล่าวมาแล้ว คือ

(๑.) ทำโอภาสให้มีประมาณมาก และให้เป็นแสงใสบริสุทธิ์ได้เท่าไรยิ่งดี แผ่รัศมีโอภาสไปเป็นปริมณฑลรอบๆ ตัวให้ได้กว้างขวางที่สุด.

(๒.) สำเหนียกในใจเพื่อเห็นรูปทิพย์ไว้เสมอ เมื่อเห็นแล้วพึงพยายามยั้งอยู่ในสมาธิอันมีสมรรถภาพให้เห็นรูปทิพย์ได้นั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ พึงศึกษาสำเหนียกเหตุให้สมาธิเคลื่อน ดังที่ตรัสแก่พระอนุรุทธเถระนั้นให้ดี แล้วพยายามกำจัดเหตุเช่นนั้นให้หายไป เหตุให้สมาธิเคลื่อนที่ตรัสแก่พระอนุรุทธะ มีในอุปักกิเลสสูตร ตรัสไว้ ๑๐ อย่าง คือ

(๑) วิจิกิจฉา ความสงสัย

(๒) อมนสิการ ความไม่เอาใจใส่

(๓) ถีนมิทธะ ความท้อแท้ซบเซา

(๔) ฉัมภิตัตตะ ความหวาดสะดุ้ง

(๕) อุมพิละ ความตื่นเต้น

(๖) ทุฏฐุลละ ความหยาบกระด้าง

(๗) อัจจารัทธวิริยะ ความเพียรเกินไป

(๘) อติลีนวิริยะ หย่อนความเพียรเกินไป

(๙) นานัตตสัญญา ใส่ใจมากอย่างยิ่ง

(๑๐) อติชฌายิตัตตัง รูปานัง เพ่งรูปมากเกินไป

(๓.) พึงสำเหนียกเพื่อรู้เรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าที่ได้พบเห็นนั้นให้รู้เรื่องตลอด อนุโลมตามวิธีที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในข้อว่าด้วยอตีตังสญาณ และอนาคตังสญาณ นั้นเรื่อยๆ ไป.

๔. เพื่อป้องกันมิให้หลงตนลืมตัว พึงเจริญอภิภายตนะ ๘ ประการ ต่อไปนี้ด้วย คือ

(๑) เมื่อท่านใส่ใจรูปธรรมอันใดอันหนึ่ง ณ ภายในจนจิตใจเป็นหนึ่ง จะเกิดเห็นรูปกายภายนอกเพียงนิดหน่อย ซึ่งมีพรรณะดีหรือเลวแล้ว พึงกำหนดใจไว้เสมอว่าเราเป็นผู้รู้เห็นครอบงำรูปเหล่านั้นดังนี้เสมอไป.

(๒) ทำดังข้อหนึ่ง ได้เห็นรูปกายภายนอกมากมายมีพรรณะดีหรือเลวแล้ว พึงกำหนดใจไว้ดังในข้อ ๑ เสมอไป.

(๓) เมื่อท่านใส่ใจอรูปธรรมอันใดอันหนึ่ง ณ ภายในจนใจเป็นหนึ่ง เกิดเห็นรูปกายภายนอกนิดหน่อย มีพรรณะดีหรือเลวแล้ว พึงกำหนดใจไว้ดังในข้อ ๑ เสมอไป.

(๔) ทำเหมือนข้อ ๓ ได้เห็นรูปภายนอกมากมาย มีพรรณะดีหรือเลวแล้ว พึงกำหนดใจไว้ดังในข้อ ๑ เสมอไป.

(๕-๘) ทำเหมือนข้อ ๓ ได้เห็นรูปภายนอกประกอบด้วยสีต่างๆ คือ เขียว เหลือง แดง ขาวผ้าสีเขียว เหลือง แดง ขาว และเครื่องประดับสีเขียว เหลือง แดง ขาว แล้วพึงกำหนดใจไว้เสมอไปว่า เรารู้เห็นครอบงำรูปเหล่านั้น ดังนี้ ความหลงตนลืมตัวก็จะถูกกำจัดไป เป็นไปเพื่อรู้ยิ่งเห็นจริงสิ่งควรรู้ควรเห็นยิ่งขึ้น ไม่ติดอยู่ในสิ่งได้รู้ได้เห็นนั้นๆ หรือไม่หลงไปว่าสิ่งนั้นๆ เป็นตัวเป็นตนของตน หรือเป็นของๆ ตน.

๕. เมื่อเจริญกสิณอันเป็นเครื่องนำทิพพจักขุโดยเฉพาะประการใดประการหนึ่ง จนถึงชั้นฌานที่ ๔ ก็ดี เจริญกรรมฐานอันใดอันหนึ่งอื่นๆ จนได้ฌานที่ ๔ ก็ดี นับว่าได้บรรลุภูมิอันเป็นที่ตั้งแห่งทิพยอำนาจแล้ว เมื่อจะน้อมไปเพื่อทิพพจักขุต่อไปพึงสำเหนียกก่อนว่าฌานที่ ๔ นั้น จิตใจใสสะอาดปราศจากราคีแล้ว มีรัศมีสว่างแลเห็นกายและใจตนเองได้ชัดเจนแล้วพึงฝึกแผ่รัศมีสว่างนั้นให้เป็นปริมณฑลออกไปรอบๆ ตัวให้กว้างขวางไกลที่สุดจนสุดขอบจักรวาลได้ยิ่งดี และพึงอยู่ด้วยอาโลกสัญญานั้นทั้งกลางคืนและกลางวันเนืองๆ ทำใจให้เปิดเผยทุกเมื่อ อย่ายอมให้ความรู้สึกที่ทำใจให้ห่อเหี่ยวมัวซัวมาครอบงำเป็นอันขาด จิตใจเมื่อได้รับอบรมด้วยแสงสว่างอยู่อย่างนี้ ย่อมเป็นใจบริสุทธิ์ผ่องใส มีรัศมีแจ่มใสยิ่ง เปรียบดังแก้วมณีโชติฉะนั้น เมื่อนั้นทิพพจักขุอันบริสุทธิ์เกินกว่าจักขุสามัญมนุษย์ก็เกิดขึ้นได้ รู้เห็นอะไรๆ เกินวิสัยสามัญมนุษย์ดังกล่าวมาแล้ว ถ้าปุถุชนได้ทิพพจักขุมักจะลำบากเมื่อเห็นสิ่งน่ากลัว เช่นยักษ์ ใจหวาดสะดุ้งแล้วสมาธิย่อมเคลื่อน ทิพพจักขุย่อมหายไปฉะนั้น เมื่อได้แล้วอย่าพึงวางใจ พึงเจริญธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป.



http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/ ทิพยอำนาจ-12.htm
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...