เด็กดื้อได้ดี…มีอยู่จริง อุ๋ย – บุดด้าเบลสเรื่อง อุ๋ย – บุดด้าเบลส (นที เอกวิจิตร) เรียบเรียง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์
ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี อย่าตัดสินใครจากภายนอก หากเรายังไม่รู้จักเขาดีพอ…อุ๋ย บุดด้าเบส (Buddha Bless) หรือ นที เอกวิจิตร ก็เช่นกัน เขาคือผู้ชายที่ใครๆ มักตัดสินว่าเป็น “แบดบอย เกเร ไม่มีสาระ” ทว่าตัวตนที่แท้จริงของชายคนนี้จะเป็นอย่างไร Secret จะพาคุณไปรู้จักเขาแบบโคลสอัพความสุขของผมทุกวันนี้คือครอบครัวครับ ความผูกพันของผมกับครอบครัวมากจนถึงขั้น “กลัว” และเรียกได้ว่าความผูกพันนี้ถือเป็นบ่วงเลยแหละ ที่บอกว่ากลัว เพราะว่าวันหนึ่งเราก็ต้องจากกัน ผมจึงกลัวที่จะสูญเสีย แต่กว่าจะให้ความสำคัญกับครอบครัวได้อย่างนี้…ผมก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้โลกมาประมาณหนึ่งเลย
สมัยเด็ก ๆ ผมดื้อมาก ซนมาก เถียงพ่อเถียงแม่ประจำ ยิ่งถ้ามั่นใจว่าตัวเองไม่ผิดแล้วละก็ คนอย่างผมไม่มีทางยอมเลย ทำอะไรก็เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ค่อยนึกถึงใจพ่อแม่ จนวันหนึ่งที่ครอบครัวเริ่มมีปัญหาการเงิน วันนั้นเองที่ทำให้ผมเริ่มคิดถึงใจพ่อแม่สงสารท่าน และเริ่มคิดอยากช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว
จากที่เคยใช้ชีวิตสบาย ๆ มาตลอดผมตัดสินใจหางานพิเศษทำ แม้จะเป็นงาน“เบ๊” ก็ยอม เท่านั้นไม่พอ ผมยังต้องประหยัดให้ได้มากที่สุดด้วย เพราะผมตั้งใจจะใช้เงินก้อนนี้ดูแลตัวเองและเจียดให้พ่อแม่ด้วย
เงินเดือนเดือนแรกในชีวิต แม้จะน้อยกว่าแต๊ะเอียที่เคยได้ แต่เงินจำนวนนี้ก็ทำให้ผมภูมิใจที่สุด เพราะมันแลกมาด้วยความโคตรทรมาน โคตรไม่มีความสุขโคตรลำบาก และไร้ศักดิ์ศรีที่สุด
ผมอดทนใช้ชีวิตอย่างนี้อยู่ราวหนึ่งปีจนเรียนจบจึงเริ่มหางานทำอย่างจริงจังเชื่อไหมว่า บทพิสูจน์ชีวิตช่วงนี้เองที่ทำให้ผมรู้ว่า ถ้าจะทำดี ผมต้องเริ่มจากคนใกล้ตัวที่สุดอย่างพ่อแม่ก่อน เพราะถ้ามัวแต่ทำดีกับคนอื่น แต่ลืมพ่อแม่ตัวเอง มันก็จะทำให้เรารู้สึกละอายใจ เรื่องนี้ถึงใครจะไม่รู้ แต่ตัวเราเองนี่แหละที่รู้อยู่แก่ใจ
ทุกวันนี้ความสุขของผมคือ แบ่งเงินให้พ่อแม่ได้ใช้บ้าง หรือถ้าพ่อแม่ป่วยขึ้นมาผมก็สามารถดูแลท่านได้ พ่อแม่อยากกินอะไร อยากไปเที่ยวไหน ผมก็พาไปได้
ส่วนเรื่องคนรอบ ๆ ตัว ถ้าผมสามารถทำอะไรที่ถนัดหรืองานที่เกี่ยวกับอาชีพ เช่นร้องเพลงให้การกุศล ผมก็พร้อมจะทำ หรือแม้แต่การแชร์ประสบการณ์ปฏิบัติธรรมตามที่ต่าง ๆ ผมก็รับอยู่เป็นประจำ
เรื่องธรรมะนั้น แม่ผมปลูกฝังเรื่องการทำบุญใส่บาตร ไหว้พระมาตั้งแต่เด็ก ๆสมัยผมเรียนชั้นประถม โรงเรียนก็เคยให้เดินจงกรม นั่งสมาธิ ช่วงนั้นผมรู้สึกว่า “โหโคตรช้าเลย แก่ แล้วก็ไร้สาระ” แต่ก็ทนทำพอให้ผ่าน ๆ ไป
มาวันหนึ่งเรื่องร้ายที่สุดก็เกิดกับครอบครัวผม เพราะ “บ้านไฟไหม้” พ่อแม่ คนในครอบครัวต่างก็เป็นทุกข์ ผมอยากทำให้ทุกคนสบายใจขึ้นบ้าง ประกอบกับเคยได้ยินมาว่า “การปฏิบัติธรรมได้บุญมากกว่าสร้างวัดทั้งหลังอีก” คิดไปคิดมาลองไปทรมานตัวเอง ทำอะไรที่ขัดอกขัดใจดูบ้างก็น่าจะดี
ไม่นานผมก็ได้ลองปฏิบัติธรรมครั้งแรกในชีวิต ครั้งนี้ผมตั้งใจมากเป็นพิเศษเพราะอยากแบ่งบุญให้พ่อกับแม่ เพราะถ้าทำเพื่อตัวเอง ผมจะคิดว่า “กูไม่เชื่อว่ามาปฏิบัติธรรมแค่ 8 วัน แล้วชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร”
ด้วยความตั้งใจ ในที่สุดธรรมะก็ทำให้ผมเปลี่ยนชีวิตได้จริง ๆ จนเป็นที่มาของการไปปฏิบัติธรรมครั้งต่อ ๆ มา จนถึงขั้นไปบวชศึกษาพระธรรมอย่างจริง ๆ จัง ๆ อีกหนึ่งพรรษา พุทธศาสนาทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น…มากขึ้น และผมก็หันมาใช้ศีลห้าในการดำเนินชีวิตตั้งแต่นั้นมา โดยไม่แตะต้องของมึนเมาอีกเลย
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่า “โชคดีที่มีเรื่องแย่ ๆ ไม่อย่างนั้นชีวิตผมคงจะเละเทะมากกว่านี้”
ครั้งล่าสุดผมไปปฏิบัติธรรมที่บ้านพุฒมณฑา มีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติ “การแยกความเจ็บปวด” ออกจากใจ ผมฝึกอยู่หลายครั้งจนเข้าใจว่า หัวใจของการแยกความเจ็บปวดก็คือ อย่าผลักความเจ็บปวดไปอย่าหนีความเจ็บปวด แต่ให้ทำเหมือนเราเป็นเพื่อนกัน และเมื่อเราอยู่กับความเจ็บปวดได้ เราก็จะไม่ทุกข์ ยิ่งถ้าสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย การฝึกแบบนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
หลังจากนั้นไม่นาน ผมมีโอกาสไปเยี่ยมพ่อบุญธรรมซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ลูก ๆ ของท่านพากันบอกว่าพออาการปวดกำเริบหนัก ๆ ท่านก็จะหงุดหงิดจนนอนไม่ได้ คนรอบตัวพากันเครียดไปหมด ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องการแยกความเจ็บปวดที่ผมไปฝึกปฏิบัติมาให้ท่านฟัง ต้องบอกว่าพ่อบุญธรรมของผมเป็นคนเข้าวัดเข้าวาตลอด มีศีลห้า นั่งสมาธิแต่ไม่เคยฝึกปฏิบัติในเรื่องนี้มาก่อนเลยผมพยายามค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟังจนจบเชื่อไหมว่าท่านร้องไห้ออกมาแล้วกอดผมพูดขอบคุณไม่ขาดปากว่า
“ถ้าคิดว่าปาป๊ามีบุญคุณกับอุ๋ย นี่คือการตอบแทนที่ดีที่สุดมากกว่าอะไรทั้งนั้น”
ผมขอร้องให้พ่อบุญธรรมฝึกแยกความเจ็บปวดตั้งแต่วันนี้และฝึกต่อไปทุก ๆ วันเพราะอย่างน้อยการฝึกปฏิบัติครั้งนี้ก็เหมือนการทำข้อสอบ ถ้าสอบผ่านก็คือตายแบบไปสู่สุคติ ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน แต่ถ้าสอบตกก็คือตายด้วยความทรมาน หลังจากคืนนั้นผ่านไป ลูก ๆ ของท่านบอกว่าท่านหงุดหงิดน้อยลงมาก นั่นหมายความว่า สิ่งที่ผมสอนช่วยได้มากจริง ๆ หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์พ่อบุญธรรมก็เสีย แต่ถึงอย่างไรผมก็เชื่อว่าจิตสุดท้ายของท่านน่าจะไปสู่สุคติภูมิ
เรื่องของพ่อบุญธรรมนี้ทำให้ผมประทับใจมาถึงทุกวันนี้ เพราะผมได้นำความรู้จากการปฏิบัติธรรมไปเผยแพร่ต่อและสามารถช่วยคนให้พ้นทุกข์ในวาระสุดท้ายของชีวิตได้จริง ๆ
ผมคิดว่า การทำความดีต้องเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน เราต้องไม่เบียดเบียนใคร ทำแล้วสบายใจ และอย่ามองข้ามคนใกล้ตัวต้องดูแลเขาให้ดี ก่อนจะแผ่ขยายความดีออกไปรอบ ๆ ตัวเรา
ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้ ไม่นานสังคมก็จะเต็มไปด้วยคนดีครับ จาก
http://www.secret-thai.com/category/article/page/6/