ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตที่สงบเย็นจากข้างใน ของ ปวีณา ชารีฟสกุล  (อ่าน 2100 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ชีวิตที่สงบเย็นจากข้างในของปวีณา ชารีฟสกุล (1)

เมื่อดูจากหน้าจอทีวี คุณเจี๊ยบ - ปวีณา ชารีฟสกุล คือนักแสดงที่มีผลงานอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเธอได้รับบทบาทแม่ผู้แสนดีหลายเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ที่น่าสงสาร ถ้าไม่ยากจนก็เป็นแม่ที่ต้องประสบพบเจอกับความเศร้ารันทดจนเว็บไซต์พันทิปขนานนามให้เธอว่า “แม่ทุกสถาบัน”

เธออยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 30 ปีเคยทั้งถ่ายแบบโฆษณา เป็นนักแสดง เป็นนักร้อง เคยได้รับรางวัลดาราประกอบหญิงดีเด่นและรางวัลแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมจากการรับบท ป้อม ผู้หญิงห้าว ๆ ผมสั้นเกรียน จากภาพยนตร์เรื่อง “เวลาในขวดแก้ว”

ชีวิตของคุณเจี๊ยบเรียบง่ายและให้สัมภาษณ์สื่อน้อยมาก ใครอาจมองว่าเธอเป็นคนนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่ความจริงแล้วเธอให้นิยามตัวเองว่าเป็นคนแบบ “กรอบนอกนุ่มใน” ข้างนอกอาจมองดูห้าว ๆ แต่ข้างในเป็นคนอ่อนไหวง่าย และที่ใครอาจไม่รู้คือเธอนับถือศาสนาพุทธมาตลอด ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามอย่างที่หลายคนเข้าใจ

…ยังมีเรื่องราวในชีวิตของเธอเรื่องไหนอีกบ้างที่เราไม่รู้ ไปฟังเธอเล่ากันเลยดีกว่า


ลูกเสี้ยวหลายเชื้อชาติ

หลายคนเข้าใจว่าเจี๊ยบเป็นมุสลิมเพราะเห็นนามสกุล “ชารีฟสกุล” ความจริงแล้วเจี๊ยบเป็นลูกเสี้ยวหลายเชื้อชาติ ทางฝั่งคุณปู่คุณพ่อเป็นชาวต่างชาติ มีเชื้อสายอินเดียปากีสถาน ส่วนฝั่งคุณย่าเป็นจีน ทางฝั่งคุณตาคุณยายก็มีเชื้อสายมอญ

ตอนเจี๊ยบอายุได้ 2 - 3 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ก็แยกทางกัน คุณพ่อไปทำงานที่สหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้เจี๊ยบจึงไม่ได้เจอท่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ มาเจอกันอีกทีตอนโตอายุ 20 กว่า ๆ แล้ว ส่วนใหญ่คนที่เลี้ยงดูเราจึงเป็นคุณยาย คุณแม่ และคุณป้า

เมื่อคุณแม่แต่งงานใหม่ ก็มีน้องเพิ่มมาอีก 3 คน แต่ตอนหลังท่านก็แยกทางกับคุณพ่อเลี้ยง ทำให้ต้องเลี้ยงลูกถึง 4 คน ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าคุณพ่อเลี้ยงจะช่วยส่งเสียบ้าง แต่ด้วยอาชีพของแม่ที่รับโน่นรับนี่มาขาย ไม่ใช่งานที่มีรายได้มั่นคงเจี๊ยบคิดว่าแม่ก็คงลำบากไม่น้อย

ส่วนชีวิตของเจี๊ยบ แม้ไม่ถึงกับอดอยาก แต่ถ้าถามว่าสบายไหม ก็ไม่สบายชีวิตคล้ายกับเด็กที่ครอบครัวแตกแยกทั่วไปมีบ้างที่คิดน้อยใจว่าทำไมคุณพ่อไม่มาหาเราเลย คุณพ่อไม่รักเราอย่างโน้นอย่างนี้ ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นไม่เคยขาด ส่วนใหญ่ที่ขาดคือข้าวของที่เราอยากได้มากกว่า เช่นเสื้อผ้า ชุดนักเรียนที่ใช้ก็ตกทอดมาจากญาติพี่น้อง เสื้อผ้าใหม่ของเราก็คือเสื้อผ้าของญาติที่ไม่ใช้แล้ว ช่วงอายุ 14 - 15 ปีเจี๊ยบอยากได้กางเกงยีน แต่คุณแม่บอกว่า มีค่าเทอมให้ก็ดีแล้ว ถ้าอยากได้มากกว่านี้ท่านก็ไม่สามารถให้ได้ ทำให้เจี๊ยบฝังใจว่า ถ้ามีเงินสิ่งแรกที่ต้องมีให้ได้คือกางเกงยีน แล้ววันหนึ่งความฝันนี้ก็เป็นจริง

หาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุ 15

สมัยวัยรุ่นเจี๊ยบเลือกเรียนศิลปะอย่างที่ตัวเองสนใจ โชคดีที่ทางบ้านเข้าใจ ปล่อยให้เราได้เรียนอย่างที่ชอบ หลังจบจากโรงเรียนมักกะสันพิทยา เจี๊ยบก็สมัครเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนอาชีวศิลปศึกษา สายวิจิตรศิลป์ได้เรียนทั้งปั้นทั้งวาดรูป

เมื่อเข้าเรียนปีแรก รุ่นพี่ปีสองมาชักชวนให้ไปถ่ายโฆษณาแปรงสีฟัน ได้เงินก้อนแรกมา 2,000 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับเด็กที่เงินร้อยยังไม่เคยได้จับ เพราะตอนนั้นเจี๊ยบได้เงินไปโรงเรียนวันละ 10 บาทเท่านั้น เมื่อได้เงินมาเจี๊ยบก็แบ่งให้คุณแม่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเอาไปซื้อกางเกงยีนอย่างที่อยากได้และเก็บที่เหลือไว้ใช้

ครั้งแรกที่ทำงาน เจี๊ยบรู้สึกว่าทำไมมันยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้ ต้องถ่ายหลายครั้งมากกว่าจะผ่าน แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง เพราะหลังจากนั้นก็มีงานโฆษณาเข้ามาเรื่อย ๆ จนแทบไม่มีเวลาเรียนพักหลังจึงหยุดเรียนไปเป็นนักแสดงแล้วถึงกลับไปเรียนที่โรงเรียนพาณิชย์อีก ตะเกียกตะกายจนจบ จบแล้วก็ยังเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฏสวนสุนันทาตอนอายุ 30 กว่า ๆ เพราะมองว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างคิดว่าเราส่งน้องเรียนจบปริญญาตรีทุกคน แล้วตัวเราเองจะไม่เรียนได้อย่างไร

หลังจากเข้าวงการตอนอายุ 15 ปีเป็นต้นมา เจี๊ยบก็ทำหน้าที่เหมือนหัวหน้าครอบครัว หาเลี้ยงทุกคนในบ้าน ช่วง 5 ปีแรกมีคุณแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเจี๊ยบเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วมาตั้งแต่เด็ก ท่านก็จะเป็นห่วง เพราะบางครั้งต้องทำงานอดหลับอดนอน คุณแม่ไม่ใช่คนนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่ท่านเป็นคนดุและเข้มงวดมาก สมัยเด็ก ๆ จำได้ว่าเคยหนีคุณแม่ไปอยู่บนต้นไม้เป็นครึ่งวัน เพราะรู้ว่าท่านปีนตามขึ้นไปตีไม่ได้ และด้วยความที่ต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัวตัดสินใจปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เจี๊ยบก็จะมีบุคลิกเป็นคนแข็ง ๆนิสัยแมน ๆ แบบ “กรอบนอกนุ่มใน” ดูเหมือนแข็งแรง แต่มุมอ่อนแอก็มี เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเห็น

หลายคนอาจคิดว่างานในวงการบันเทิงไม่มั่นคง แต่สำหรับเจี๊ยบเป็นอาชีพที่มั่นคงมาก ถ้าเรารู้จักบริหารเงินให้เป็น หลังจากเป็นนักแสดงได้พักใหญ่ เจี๊ยบก็มีโอกาสได้แสดงละครกับ แม่แอ๊ด - โฉมฉาย ฉัตรวิไลซึ่งเป็นบุคคลที่เจี๊ยบเคารพรักมาก เธอสอนเจี๊ยบหลายอย่าง โดยเฉพาะวิธีแบ่งสันปันส่วนเงินรายได้ เธอว่า “ทำอย่างนี้สิลูกแบ่งอย่างนี้สิ ส่วนนี้เก็บ ส่วนนี้ใช้ นี่สำหรับไปเที่ยว นี่สำหรับพ่อแม่น้อง ๆ”

ในวงการบันเทิงมีบุคคลที่เจี๊ยบต้องกราบขอบพระคุณมากมาย ตั้งแต่ผู้ใหญ่ของกันตนาที่ปั้นเรามา แล้วส่งไปให้ แม่ต้อย - สุพรรณ บูรณะพิมพ์ นักแสดงรุ่นครูผู้มีเมตตาช่วยฝึกสอนการแสดง รวมถึงแม่ตุ๊ก - ดวงตา ตุงคะมณี แม่ตุ๊กจะสอนเรื่องมุมกล้องว่า กล้องสอง กล้องสาม คืออะไร เดินอย่างไรไม่ให้เหลื่อมกัน ฯลฯเพราะช่วงเข้าวงการใหม่ ๆ เจี๊ยบยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

หลังจากแสดงละครได้ไม่นาน เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตให้ได้เป็นนักร้อง เมื่อเจี๊ยบได้พบนักร้องระดับตำนานท่านหนึ่งที่เห็นแววเจี๊ยบจากการนั่งเล่นกีต้าร์กับกลุ่มเพื่อนที่หน้าบ้านเขาคนนั้นคือใคร และความจริงแล้วเจี๊ยบถนัดเป็นนักแสดงหรือนักร้องมากกว่ากัน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังค่ะ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


จาก http://www.secret-thai.com/article/8721/paweena1/




ชีวิตที่สงบเย็นจากข้างในของปวีณา ชารีฟสกุล (2)

บางครั้งชีวิตของเราก็เหมือนชะตาฟ้าลิขิตไว้แล้วว่าต้องเกิดในครอบครัวนี้มีพ่อแม่พี่น้องแบบนี้ แต่บางอย่างก็มาจากสองมือของเราเอง
 

ด้วยความที่เจี๊ยบเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 15 ปี และทำหน้าที่หาเลี้ยงทุกคนในครอบครัว ทั้งคุณแม่และน้อง ๆ ต่างพ่ออีก 3 คน ทำให้เจี๊ยบมีนิสัยเป็นคนแข็ง ๆ เพราะต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัวด้วยตัวเอง ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนสลับหน้าที่กับคุณแม่ เพราะคุณแม่มีหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกินของคนในบ้าน ส่วนเจี๊ยบก็เหมือนหัวหน้าครอบครัว ออกไปทำงานนอกบ้าน กลับมาก็อยากได้ความรู้สึกสบายผ่อนคลายจากคนในบ้าน โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เรียกว่ามาถึงสำรับกับข้าวต้องพร้อม

ความจริงสมัยเด็ก ๆ คุณแม่ชอบสอนด้วยการตี แต่พอโตขึ้นทำงานทำการแล้วก็จะบอกคุณแม่ว่า “โตแล้ว ห้ามตี แต่ดุได้”เวลาคุณแม่ดุตอนเด็ก ๆ เจี๊ยบก็หนีขึ้นต้นไม้แต่พอโตขึ้นก็ขับรถหนี ให้อารมณ์เราเย็นก่อนแล้วค่อยกลับมาคุยกัน

สำหรับเจี๊ยบคุณแม่เป็นผู้หญิงแกร่งและเด็ดเดี่ยว ท่านจะสอนลูกในเรื่องความรักว่า เวลารักใคร ให้เลือกคนที่ “เขารักเรา”อย่าไปเลือกคนที่ “เรารักเขา” เป็นคำสอนง่าย ๆ แต่ลึกซึ้ง เพราะถ้าเรารักเขามากก็จะเสียเปรียบ (หัวเราะ) แต่ถ้าเขารักเรา อย่างน้อย ๆ เราก็จะได้เปรียบนิดหน่อย นี่คือวิธีคิดของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีถูกไม่มีผิด แต่เจี๊ยบเชื่อว่า คนที่มีครอบครัวจะสัมผัสได้และทุกวันนี้คำสอนของคุณแม่ก็เป็นความจริงเพราะกว่า 15 ปีที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมา เราก็อยู่กันอย่างมีความสุข

นักแสดงคนอื่นอาจอยากให้มีข่าวของตัวเองปรากฏในสื่อ แต่เจี๊ยบกลับคิดว่าอยากให้ผู้ชมเห็นฝีมือการแสดงของเรามากกว่า เพราะช่วงเข้าวงการใหม่ ๆ โดยเฉพาะช่วงที่ออกเทป เจี๊ยบเจอสื่อเยอะมาก เมื่อหลายวันก่อนเจี๊ยบไปค้นเจอตลับเทปของตัวเอง เห็นแล้วถึงกับต้องอุทานในใจว่า“อุ๊ยตาย! ของโบราณขนาดนี้จะหาเครื่องเล่นได้ที่ไหนล่ะเนี่ย”

สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่เคยเห็นเจี๊ยบแสดงแต่บทแม่ในจอทีวี อาจคิดไม่ถึงว่าครั้งหนึ่งเจี๊ยบเคยเป็นนักร้องมาก่อน แต่การเป็นนักร้องของเจี๊ยบก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด…

ชีวิตนักร้อง…ทำได้แต่ไม่ใช่แนวถนัด

เจี๊ยบเชื่อว่า โชคชะตาฟ้าลิขิตมีจริงเหมือนที่ครั้งหนึ่งบันดาลให้เจี๊ยบได้มีโอกาสเจอกับ คุณอิทธิ พลางกูร นักร้องชื่อดังในยุคนั้น ตอนนั้นเจี๊ยบเล่นละครแล้วและพักอยู่บ้านคุณป้า ด้วยความที่เล่นกีต้าร์เป็นตั้งแต่อยู่ ม.1 ว่าง ๆ ก็จะชวนสมัครพรรคพวกตั้งวงเล่นกีต้าร์ร้องเพลงด้วยกันที่หน้าบ้านแล้วบังเอิญที่คุณอิทธิก็มีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันวันหนึ่งอยู่ดี ๆ พี่เขาก็เดินเข้ามาชวนว่า “ร้องเพลงเป็นหรือเปล่า…ออกเทปไหม”

หลังจากนั้นชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งก็พลิกผันครั้งใหญ่ ได้ไปเรียนร้องเพลงและเรียนอ่านโน้ตกับครูชาวฟิลิปปินส์ ได้ออกเทปกับค่าย “ครีเอเทีย” เทปชุดแรกออกแนวโป๊ง ๆ ชึ่ง สนุกสนาน การแต่งตัวก็ออกแนวหวานแหววแต๋วจ๋า ซึ่งไม่ใช่ตัวเราเลย จนชุดที่สอง โปรดิวเซอร์ถึงได้ค้นพบว่าตัวจริงของเจี๊ยบเป็นคนห้าว ๆ เลยให้ใส่กางเกงยีนเสื้อเชิ้ตอย่างที่เราถนัด พอออกเทปชุดสามก็ได้ไปเรียนร้องเพลงกับ ครูอ้วน -มณีนุช เสมรสุต โดยมี โจ – มณฑานี ตันติสุข แต่งเพลงให้ ซึ่งกลายเป็นเพลงรักที่ดังมาจนถึงทุกวันนี้ เช่นเพลง ไม่ขอเป็นรอง

ถามว่าร้องเพลงเป็นสิ่งที่เจี๊ยบถนัดไหมตอบเลยว่าไม่ค่ะ ถนัดเป็นนักแสดงมากกว่าเพราะรู้สึกเครียดกับการร้องเพลง เครียด

เวลาไปแสดงคอนเสิร์ตแล้วมีคนชมอยู่ข้างหน้าเป็นหมื่น ๆ เจี๊ยบเป็นนักร้องที่เครียดมากด้วยเหตุนี้หลังออกเทปชุดสามแล้ว เจี๊ยบก็บอกลาวงการนี้ เพราะคิดว่า ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้คนอื่นได้เห็นแล้วว่า “หนูทำได้”แต่ “หนูสู้ไม่ไหว หนูเหนื่อย” สุขภาพก็ไม่ดีเจอดรายไอซ์ นอนพักผ่อนไม่เป็นเวลาต้องเดินทางทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ไหนจะต้องตีตั๋วเครื่องบินกลับมาถ่ายละครอีกเลยขอโบกมือบ๊ายบายอาชีพนี้เลยดีกว่า

วันที่เหนื่อยที่สุด

ช่วงที่เป็นนักร้องใหม่ ๆ เจี๊ยบทัวร์คอนเสิร์ตไปด้วยแสดงละครไปด้วย บางครั้งรู้สึกเหนื่อยท้อแท้ขึ้นมาตามประสาเด็ก แต่โชคดีที่มี “พี่กิต” รุ่นพี่ที่คบกันมาตั้งแต่เด็กและอยู่หมู่บ้านเดียวกันพูดเตือนสติ

เมื่อเริ่มเข้าวงการพี่กิตจะทำหน้าที่คล้ายผู้จัดการส่วนตัว ไปไหนไปด้วย เพราะคุณแม่ของเจี๊ยบไว้วางใจ พี่กิตมีบุคลิกเหมือนผู้หญิงและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเจี๊ยบเวลาที่เหนื่อย ฟาดงวงฟาดงา เขาก็จะมีเหตุผลดี ๆ มาพูดให้เจี๊ยบมีพลังใจได้ทุกครั้ง

วันนั้นเจี๊ยบเหนื่อยกับการทำงานมากไม่อยากร้องเพลง ไม่อยากแต่งตัว ไม่อยากแต่งหน้า ชักดิ้นชักงออยู่ในห้องแต่งตัวกับพี่กิตสองคน พี่กิตมองดูเจี๊ยบแต่ไม่ปลอบปล่อยให้ปลดปล่อยอารมณ์จนพอใจ พอหยุดแล้วพี่กิตก็พูดว่า

“เหนื่อยแล้วใช่ไหม เหนื่อยแล้วฟัง!”

“เราน่ะ ชื่ออะไร” พี่กิตถามเจี๊ยบ

ด้วยคำถามธรรมดา ๆ แต่ชวนให้ฉงน

“ชื่อปวีณา ทำไมคะ”

“แล้วตอนนี้มีหน้าที่อะไร” พี่กิตถามต่อ

“ดูแลที่บ้าน” เจี๊ยบตอบแบบงง ๆไม่เข้าใจว่าพี่กิตถามทำไม

“เออ…แล้วถ้าไม่ทำแบบนี้ ที่บ้านจะเอาอะไรกิน น้องยังเรียนหนังสืออยู่หรือเปล่า ส่วนแม่ก็หวังพึ่งเธอคนเดียวใช่ไหม เอาสิเลิกก็เลิกไปสิ ไปขายลูกชิ้นปิ้งก็ได้ ได้วันละ200 บาท จะพอเลี้ยงทั้งครอบครัวไหม”

ฟังพี่กิตพูดแล้วเจี๊ยบก็ได้คิด เมื่อคิดได้ ก็ยอมรับกับความเป็นจริง ไม่รู้สึกทุรนทุรายและมีแรงฮึดทำงานต่อไป น่าเสียดายที่พี่และเพื่อนที่แสนดีคนนี้จากไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง วันที่พี่กิตจากไปเป็นวันที่เจี๊ยบรู้สึกเสียใจมาก และคิดอยู่เสมอว่า ที่เดินมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะมีพี่กิตอยู่เคียงข้าง

ช่วงที่เป็นวัยรุ่นบางช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองหลงระเริง เตลิดเปิดเปิง เพราะเพื่อนมากลากไป เจี๊ยบจะมีคำถามขึ้นมาในใจว่า “เรามาจากไหนเหรอ” พยายามคิดเสมอว่า อย่าหลงตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของสมมุติมาแล้วก็ไป ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ก็ลงมาได้

นอกจากนั้นโชคดีที่เจี๊ยบมีแนวคิดในการใช้ชีวิตว่า “อย่าไปรับรู้อะไรมากแล้วชีวิตจะมีความสุข” ทำให้เวลามีใครชมหรือวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบเราก็ไม่ค่อยไปรับรู้บางครั้งเพื่อนโทร.มาเล่าให้ฟัง เจี๊ยบก็จะตัดบทว่า “จบแล้วใช่ไหม จบแล้วแค่นี้นะขี้เกียจฟัง”

เจี๊ยบเป็นคนมีหลักการในการใช้ชีวิตหลักในการทำงาน และหลักในการดูแลครอบครัว อย่างที่เล่าในตอนแรกว่า คุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกันตอนเจี๊ยบยังเล็กมาเจอคุณพ่ออีกครั้งตอนอายุ 20 กว่า ๆครั้งแรกที่เจอกัน เจี๊ยบยังจำได้ไม่ลืม…

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

จาก http://www.secret-thai.com/article/8739/paweena2/




ชีวิตที่สงบเย็นจากข้างในของ ปวีณา ชารีฟสกุล(จบ)

ราว 20 ปีหลังคุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกันเจี๊ยบก็มีโอกาสได้เจอคุณพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต ในสถานการณ์แบบนี้บางคนอาจยินดีปรีดาแต่สำหรับเจี๊ยบกลับตรงกันข้าม

ที่ผ่านมาเจี๊ยบรับรู้เรื่องราวของคุณพ่อผ่านรูปถ่ายเก่า ๆ ที่คุณแม่นำมาให้ดู เลยพอจะจินตนาการได้ว่าท่านหน้าตาเป็นอย่างไร

เจี๊ยบอาจเป็นคนนิ่ง ๆ สบาย ๆ แต่ความจริงเก็บกดความรู้สึกบางอย่างมาตลอดครั้งแรกที่นัดเจอคุณพ่อ หรือที่เจี๊ยบเรียกว่าป๋า มันเกิดความรู้สึกหลากหลายมากดีใจที่ได้เห็นหน้าค่าตา แต่อีกอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งที่รุนแรงมากกว่าคือ ความรู้สึกน้อยใจว่า “ทำไมป๋าต้องทิ้งเจี๊ยบไปด้วย!”

ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน เมื่อป๋าจะเข้ามากอด เจี๊ยบก็รีบขับรถหนีไปเลย เพราะยังไม่พร้อมที่จะพูดคุย แต่หลังจากนั้นเราก็นัดเจอกันอีกครั้ง และครั้งนี้เจี๊ยบก็ได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจด้วยคำถามที่ทำให้คุณพ่ออึ้งไปเลยว่า

“เพิ่งคิดถึงเหรอ” สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่คงเสียดแทงใจคุณพ่ออยู่ไม่น้อย ท่านบอกกับพี่สาวคนโตว่า เจี๊ยบเหมือนคุณปู่มากอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งหน้าตาและคำพูดคำจาที่ตรงไปตรงมา แต่หลังจากนั้นด้วยสายสัมพันธ์ความเป็นพ่อเป็นลูก เจี๊ยบก็ทำหน้าที่ดูแลคุณพ่อเป็นอย่างดี เพราะคิดว่าพ่อแม่ก็คือพ่อแม่ เขาให้ชีวิตเรามา ไม่มีเขาก็ไม่มีเราในวันนี้ บางอย่างขาด บางอย่างเกิน เราก็ต้องให้อภัย ยิ่งเมื่อได้ศึกษาธรรมะ ใจของเจี๊ยบก็เย็นลงเยอะ มันทำให้มองข้ามความน้อยใจในตอนแรกไปได้และคิดได้ว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถย้อนกลับไปเริ่มใหม่ได้ ถ้าจะเริ่มใหม่ เริ่ม ณ วันนี้ดีกว่า

อีกอย่างการเป็นชาวพุทธทำให้เจี๊ยบเชื่อว่า การตอบแทนพระคุณพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญ เราจะเจริญรุ่งเรืองได้ก็ต้องมีความกตัญญู ดูแลบุพการีของเราให้ดีเท่าที่เราจะทำได้ บางคนอาจจะไม่มีเงิน ก็ไม่ต้องตอบแทนทางเงิน แต่ไปตอบแทนทางด้านจิตใจ พ่อแม่บางครั้งก็ไม่ต้องการเงิน แค่หาเวลาไปกินข้าว ไปเจอหน้าก็เพียงพอแล้ว

ตอนนี้นอกจากจะดูแลคุณพ่อแล้วเจี๊ยบก็ดูแลคุณแม่เป็นอย่างดี ทั้งเงินทองความเอาใจใส่ ปีหนึ่งก็จะจัดทริปให้ไปเที่ยวกับหลาน ๆ ปีละ 2 ครั้งในช่วงปิดเทอมเล็กและปิดเทอมใหญ่ ที่สำคัญ หลังจากน้องชายเสีย เจี๊ยบก็ทำหน้าที่ส่งเสียหลานทั้งสองคนด้วยตัวเอง

กฎเหล็กในการทำงาน

เจี๊ยบทำงานในวงการบันเทิง เป็นนักแสดงมาหลายปี ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับรางวัลอะไร แต่ถ้าได้ก็จะบอกตัวเองว่าอย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เราเชื่อมั่นว่า “เราทำได้”

ช่วงแรก ๆ เจี๊ยบได้รับบทนางเอก หลังจากนั้นก็เป็นน้า ช่วงนี้จะค่อนข้างลำบากนิดหนึ่งเพราะหาบทเล่นยาก แต่พอได้มาเล่นเป็นแม่ คราวนี้ก็สบายใจเลย เป็นแม่มาทั่วหล้า จนพันทิปให้รางวัล “แม่ทุกสถาบัน” เพราะบางช่วงเล่นเป็นแม่เกือบจะทุกช่องและออกอากาศในเวลาไล่เลี่ยกัน

ความจริงเจี๊ยบเคยลองเล่นบทอื่นดูบ้างเหมือนกัน อย่างบทร้าย แต่เล่นแล้วคนรอบข้างจะสรุปตรงกันว่า “หล่อนเล่นเป็นคนดีเถอะ หน้าหล่อนไม่ให้” แล้วบทแม่ที่เจี๊ยบได้รับก็มักจะเป็นแม่ที่จิตใจดียากจนข้นแค้น จนบางครั้งก็อยากบอกว่า“ฉันขอเป็นแม่รวย ๆ บ้างได้ไหม จะได้อยู่ห้องแอร์สบาย ๆ นี่เล่นเป็นแม่ก็ยังเป็นแม่ที่ลำบากลำบนอีก ต้องใช้ชีวิตอยู่กลางทุ่งกลางนา” แต่ได้แต่คิดนะคะ เพราะบทไหนมาเราก็ต้องเล่น ในเมื่อคิดจะเป็นนักแสดงก็ต้องไม่กลัวความลำบาก เพราะเจอแน่นอน

ที่สำคัญ ในการทำงานเจี๊ยบมีกฎเหล็กของตัวเองว่า หนึ่ง ต้องตรงต่อเวลา ส่วนมากเจี๊ยบจะไปถึงกองถ่ายละครก่อนเวลาเสมอ สอง ต้องทำการบ้าน การเป็นนักแสดงจะว่าไปแล้วต้องดูแลตัวเองให้ดีไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องหน้าตา แต่เรื่องสมองก็สำคัญ เพราะต้องจดจำบทต่าง ๆ ให้ได้อย่างเจี๊ยบได้รับบทแม่หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน ก็ต้องแยกบทบาทในแต่ละเรื่องให้ชัดเจน เจี๊ยบจะแยกบทของแต่ละเรื่องไว้เป็นกอง ๆ วันนี้ถ่ายเรื่องนี้เสร็จก็เอาบทไปวาง แล้วหยิบบทที่จะถ่ายวันพรุ่งนี้มาอ่านต่อ ในแต่ละคืนหลังอาบน้ำเสร็จเจี๊ยบก็จะนั่งบนเตียง อ่านบท แล้วสวมวิญญาณของบทบาทนั้นทันที

20 กว่าปีกับความสนใจในทางธรรม

บางคนอาจคิดว่า คนเราเข้าวัดเวลาทุกข์ใจ แต่สำหรับเจี๊ยบเลือกที่จะเข้าวัดในวันที่สุขใจ…

ตอนเด็ก ๆ คุณยายและคุณแม่จะพาเจี๊ยบไปทำบุญที่วัดมาตลอด สิ่งนี้หล่อหลอมให้เราสนใจในเรื่องนี้ จนวันหนึ่งที่เข้าวงการบันเทิง พี่ตุ๋ย – มนฤดี ยมาภัย เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกันก็ชวนไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่ามัชฌิมาวาส แถวจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่นี่สงบร่มเย็น เป็นวัดป่าขนานแท้ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใด ๆ ไปแล้วก็ได้ฝึกจิตอยู่กับธรรมะและธรรมชาติ สมัยนั้นเรานั่งเครื่องบินไปลงที่ขอนแก่น เมื่อไปถึงก็จะมีเด็กวัดขับรถกระบะปุเลง ๆ มารับไปที่วัดเราก็จะไปถือศีล 8 กินอาหารวันละมื้อนอนกุฏิหลังเล็ก ๆ แต่ตอนนี้วัดป่าแห่งนี้เจริญกว่าเมื่อก่อนมาก และแทบทุกครั้งที่ไปที่นี่เราก็จะหาโอกาสไปใส่บาตรหลวงตามหาบัวที่วัดป่าบ้านตาดด้วย หลวงตาก็จะให้หนังสือมาอ่านทุกครั้ง

ตอนแรกที่ไปปฏิบัติธรรม เจี๊ยบคิดแค่ว่า อยากรู้ว่าการไปนอนวัดเป็นอย่างไรแต่พอได้เจอหลวงพ่อ ได้ฟังธรรมะมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้จิตใจโน้มเอียงไปทางนี้โดยปริยาย เพราะมองเห็นข้อดีของการฟังธรรมและปฏิบัติภาวนาที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เจี๊ยบเป็นคนที่โมโหแรงคนใกล้ตัวจะรู้ดี ปกติไม่ค่อยวี้ดใครง่าย ๆแต่ถ้าลุกขึ้นมาวี้ดเมื่อไหร่ แสดงว่าถึงที่สุดแล้วจริง ๆ

ด้วยความที่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้นเด็ดขาดทั้งกับตัวเองและคนอื่น เวลาทำอะไรพลาด เราก็จะจดจำ คราวหลังจะไม่ทำอีกแม้ไม่คาดหวังว่าคนอื่นจะเป็นแบบเรา แต่ก็อยากให้คนอื่นเรียนรู้ จดจำเพื่อแก้ไขให้ดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าไม่ เมื่อก่อนจะโมโหมากแต่พอได้ฟังธรรมะมากขึ้นก็ทำให้มองโลกกว้างขึ้น แล้วก็ใจเย็นลง

ยิ่งเมื่อได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาสที่ว่า “เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งดีที่มีอยู่” เจี๊ยบก็น้อมนำมาใส่ใจทำให้ใจเย็นลงมาก ใครทำไม่ดีก็ให้อภัยง่ายขึ้น บอกตัวเองว่า “เชื่อเถอะว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ เชื่อเถอะว่าเขาพยายามแล้วแต่คนเราก็พลาดกันได้”

จนวันหนึ่งไปเล่นละครเรื่อง รักเกิดในตลาดสด ทำให้เจอกับ พี่อี๊ด - สุเทพ ประยูรพิทักษ์ พี่อี๊ดเล่าให้ฟังว่า เขาทำบุญด้วยการบูรณปฏิสังขรณ์วัดในต่างจังหวัดฟังแล้วเจี๊ยบเกิดความสนใจ เพราะชอบศิลปะเก่า ๆ โบราณ ๆ อยู่แล้ว ทุกวันนี้เราจะมีกลุ่มของเราที่นัดกันช่วงเสาร์ - อาทิตย์เดินทางไปทำงานที่วัด โดยสละแรงกายสละเงินทองเท่าที่เราพอจะทำได้

เจี๊ยบจะแบ่งเงินจากการแสดงละครไว้ต่างหากเพื่อทำบุญโดยเฉพาะ เพราะการบูรณปฏิสังขรณ์วัด เราต้องซื้อสี ทองคำเปลว และอื่น ๆ กันเอง บางครั้งก็บอกบุญเพื่อน ๆ คนรอบข้างบ้าง ใครมีเท่าไหร่ก็มาร่วมทำบุญด้วยกัน

ตอนแรกเจี๊ยบไม่คิดว่าการบูรณปฏิสังขรณ์วัดจะช่วยให้เราใจเย็น แต่พอได้ลงรักปิดทองพระพุทธรูป ก็ค้นพบความสุขสงบที่เกิดจากสมาธิ เพราะจิตจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอย่างเดียว การลงรักปิดทองพระพุทธรูปให้สวยต้องใช้ความมานะบากบั่น ความใจเย็น กว่าจะติดได้แต่ละแผ่นจิตของเราต้องนิ่ง แรก ๆที่จิตไม่นิ่ง ทองคำเปลวที่เราติดก็จะมีรอยหยัก ไม่เรียบ

เจี๊ยบชอบการฝึกจิตด้วยวิธีนี้มาก บางครั้งเข้าโบสถ์ไปตอนเช้า กลับออกมาอีกทีก็ 5 -6 โมงเย็น ไม่หิวน้ำ ไม่หิวข้าวจิตมันนิ่ง มีความอิ่มเอมอยู่ข้างใน เหมือนได้ปฏิบัติธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สำคัญเมื่ออยู่ที่วัด เจี๊ยบรู้สึกว่าสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ไม่ต้องแต่งหน้า ไม่ต้องระวังอะไร จิตใจจึงผ่อนคลาย มีความสุข

เจี๊ยบถือว่าวงการบันเทิงได้สร้างชีวิตให้เรา ทำให้มีเงินมีทองดูแลพ่อแม่พี่น้องและเมื่อถึงวันนี้ก็ยังทำให้มีเงินไปทำบุญสมความตั้งใจอีกด้วย

แต่บุญนี้จะใช้เงินอย่างเดียวไม่ได้ตัวเราต้องลงไปฝึก ไปปฏิบัติด้วย จึงจะสัมผัสได้ถึงความสงบเย็นแห่งบุญค่ะ


(เรื่อง ปวีณา ชารีฟสกุล เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ ภาพ วรวุฒิ วิชาธร)

จาก http://www.secret-thai.com/article/8801/paweena3/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...