ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตคลอเสียงเพลงเคล้าเสียงหัวเราะของ สุเทพ ประยูรพิทักษ์  (อ่าน 1166 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ราว 20 กว่าปีที่แล้วใครเคยดูโฆษณา“เสี่ยฮีโน่” ที่มีเพลงฮิตติดหูว่า“…เสี่ยเก่า เสี่ยใหม่ เสี่ยไฮเทค เสี่ยใหญ่เสี่ยเล็ก…เสี่ยฮีโน่ทั้งเมือง” คงจะจำอาเสี่ยในโฆษณานี้ได้แม่นยำเพราะนอกจากหน้าตาจะดูอารมณ์ดีแล้ว ยังแขวนพระเครื่องเต็มคอแถมยังใส่แหวนทองวงใหญ่จนดูเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่ให้ผู้ชมได้ยิ้มสนุกไปด้วยทุกครั้ง

หลายคนอาจไม่ทราบว่าเสี่ยฮีโน่คนนี้นอกจากจะแสดงเป็นเสี่ยแล้ว ยังควบตำแหน่งคนแต่งเพลงและร้องเพลงนี้ด้วยคุณอี๊ด - สุเทพ ประยูรพิทักษ์ นักร้องดารานักแสดงที่มีภาพลักษณ์อาเสี่ยติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ เล่าย้อนความหลังให้เราฟังด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่ผ่อนคลาย

ชีวิตที่มีเสียงเพลงเป็นเพื่อนมาค่อนชีวิตและเรื่องราวของการเป็นนักแสดงที่ดูเหมือนจะตกกระไดพลอยโจนมากกว่าจะเกิดจากความตั้งใจ รวมถึงสาเหตุที่ชักนำให้เขาชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ไปซ่อมวัดวาอารามเกิดขึ้นได้อย่างไร คุณอี๊ดพร้อมแล้วที่จะเล่าให้เราฟังอย่างเป็นกันเอง

เกาะเรือพ่วง กินข้าววัด

วัยเด็กของผมเป็นความทรงจำที่งดงามมาก ตอนนั้นสังคมไทยยังเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันมากกว่านี้ ผมเกิดริมคลองบางหลวง ได้เล่นน้ำคลอง เกาะเรือพ่วงเล่นตามประสาเด็ก สมัยก่อนเวลาปิดเทอมเด็ก ๆ จะมารวมตัวกันแถวบ้านผม เพราะเป็นท่าน้ำใหญ่ มีวัดตั้งอยู่ติดกันหลายวัดทั้งวัดสังข์กระจาย (วัดสังข์กระจายวรวิหาร)วัดมอญ (วัดราชคฤห์วรวิหาร) วัดหงส์ (วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร) ตอนนั้นน้ำในคลองยังใส ชาวบ้านยังตักขึ้นมาต้มดื่มได้ ที่สำคัญ น้ำประปายังไม่มี เวลาจะใช้น้ำก็ตักน้ำคลองมาแกว่งสารส้ม

ตอนเด็ก ๆ ผมใกล้ชิดกับคุณพ่อมากท่านไปไหนผมไปด้วย คุณพ่อทำงานเกี่ยวกับปศุสัตว์ มีหน้าที่ตรวจโรคของหมู ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน

คุณพ่อเป็นคนมีเพื่อนมาก จิตใจดีเพื่อนฝูงรักใคร่ และตัวท่านเองก็รักและมีเมตตากับคนอื่น ไม่เคยสอนให้ลูกหลานไปชกต่อยกับใคร แต่ตัวท่านเองถือว่าเป็น“นักเลง” มาก นักเลงสมัยก่อนหมายถึงคนที่จริงใจ เอื้อเฟื้อกับเพื่อน เวลาพรรคพวกมีปัญหาก็ช่วยเคลียร์ให้

ด้วยความที่พ่อเคยเป็นนักมวยคาดเชือกมาก่อน ท่านจึงมีความเป็นนักสู้สูงมาก แม้กระทั่งจะหัดลูกให้ว่ายน้ำท่านก็มีวิธีการไม่เหมือนใคร วันหนึ่งหลังจากที่เห็นผมพยายามหัดว่ายน้ำอยู่เป็นวัน ๆ ก็ยังว่ายไม่ได้ คุณพ่อจึงทำเสาไม้ไผ่ไว้กลางน้ำ แล้วว่ายน้ำกระเตง ผมไปเกาะไว้ที่เสาต้นนั้น พร้อมกับบอกผมว่า “ถ้าอยากกลับมาที่ท่าก็ต้องว่ายกลับมาเอง” มิหนำซ้ำยังโยนลูกหมาตัวหนึ่งลงไปในน้ำด้วย หมาก็ตะกุย ๆ ว่ายน้ำใหญ่จนถึงฝั่ง แต่ผมกลับร้องไห้ด้วยความกลัวอยู่พักใหญ่ คุณพ่อจึงพูดกับผมว่า “หมายังกลับได้เลย ทำไมแกจะกลับไม่ได้” (หัวเราะ)

จริงอย่างที่ท่านว่า เพราะในที่สุดผมซึ่งอายุราว 5 ขวบก็ตะกุยน้ำกลับเข้าท่าในท่าเดียวกับลูกหมาตกน้ำนั่นเอง และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมก็ว่ายน้ำเป็น

ผมชอบสังคมไทยสมัยก่อนที่ผู้ใหญ่จะให้ความรักความเมตตากับเด็ก แม้จะไม่ใช่ญาติก็รักเอ็นดูเหมือนญาติ เวลาพ่อจะไปไหนทีก็มักจะนำผมไปฝากไว้บ้านญาติหรือไม่ก็ฝากไว้กับพระที่วัด เวลาฝากไว้กับพระที่วัดก็ไม่ต้องให้สตางค์ลูก เพราะคุณพ่อรู้ว่าอยู่วัดไม่อดตายแน่ ๆ

แต่การจะกินข้าววัดได้ต้องใช้ความกล้าเพราะผมต้องแย่งกินกับเด็กวัด ช่วงชีวิตตอนนี้สอนให้ผมรู้ว่า ถ้าเรามัวแต่อายไม่กล้า และเราก็จะไม่มีทางทำสิ่งใดได้สำเร็จรวมถึงยังได้เรียนรู้ระเบียบวินัยจากการกินข้าววัด เพราะกินเสร็จแล้วต้องช่วยเขาเก็บกวาด เช็ดล้างถ้วยชาม และถ้ามีญาติพี่น้องบวช ผมก็จะทำหน้าที่เด็กวัดคอยถือย่ามเวลาพระเดินบิณฑบาต

เย็น ๆ หลวงพ่อก็จะสอนให้อ่านหนังสือสอนให้สวดมนต์ สมัยก่อนยาเสพติดไม่เยอะมากเท่าสมัยนี้ และไม่เป็นที่นิยมในหมู่บ้านใครไปเสพ ไปหยิบจับถือว่าน่ารังเกียจมากกิจกรรมที่วัยรุ่นสมัยนั้นทำคือการเล่นกีฬาอย่างฟุตบอล เล่นเสร็จก็นั่งคุยกันที่ราวสะพาน แต่ต้องไม่เกิน 5 คน เพราะยุคนั้นเป็นยุคที่บ้านเมืองมีความวุ่นวายจึงห้ามชุมนุมกัน



ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่เด็ก

พอผมอายุได้ 10 ขวบ คุณพ่อก็เสียในฐานะลูกชายคนโต แต่เป็นลูกคนที่สามผมจึงต้องช่วยคุณแม่ทำงานทุกอย่าง เมื่อสิ้นคุณพ่อ คุณแม่พยายามทำงานหารายได้มาเลี้ยงลูก ๆ ทั้ง 6 คน ท่านมีความสามารถในการทำอาหารตำรับชาววัง รวมถึงงานเย็บปักถักร้อยต่าง ๆ โชคดีที่เราอยู่ใกล้กับหอพักนักศึกษาวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จฯผมกับพี่สาวจึงช่วยแม่เดินเร่ขายขนมตามหอพัก รวมถึงรับจ้างทำงานสารพัด ทั้งรับจ้างโม่แป้งที่กว่าจะได้เงินสัก 4 บาทต้องโม่แป้งให้ได้ถึง 15 กิโลกรัม แม้กระทั่งรับขายเรียงเบอร์ผมก็เคยทำมาก่อน

สมัยวัยรุ่นผมเล่นฟุตบอลเก่ง จึงสมัครไปเป็นนักฟุตบอลรุ่นเยาวชนของสโมสรธนาคารกรุงเทพพาณิชยการซึ่งดังมากที่สุดในยุคนั้น ที่สำคัญ ยังได้ค่าจ้างวันละ 25 บาทมาช่วยจุนเจือครอบครัว แต่เล่นได้สักระยะ อนาคตของผมกับเส้นทางสายนี้ก็ดับวูบลง เหตุมาจากการที่ผมฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อจะสมัครเข้าทีมชาติไทย ทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดจนเกิดการบาดเจ็บมีเลือดช้ำใน คุณหมอจึงแนะนำให้เลิกเล่น เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตราย

ผมไม่ใช่คนที่รักเรียน แต่ก็ไม่ได้มีนิสัยเกเร ทำงานได้เงินมาก็ให้คุณแม่อย่างเดียว เพราะรู้ว่ามีคนในครอบครัวอีกหลายปากหลายท้องที่ต้องดูแล มีบ้างที่เคยทำงานได้เงินเยอะ ๆ แล้วฟุ้งเฟ้อ พาเพื่อนไปเที่ยวไปกิน ซื้อข้าวของเครื่องใช้แพง ๆแต่สุดท้ายชีวิตวัยเด็กที่เคยลำบากก็จะคอยดึงให้ผมใคร่ครวญว่าสิ่งที่ทำอยู่สมควรหรือไม่ เราควรจะพอแค่ไหน

ทุกวันนี้ผมอยากให้เด็กไทยรู้จักการประหยัด และที่อยากบอกมากที่สุดคือหากเราเป็นเด็ก ห้ามก้าวร้าวกับผู้ใหญ่เด็ดขาด คนสมัยก่อนอยู่กันอย่างสงบสุขเพราะเด็กเชื่อฟังผู้ใหญ่ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่สอนให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ผมเชื่อว่าความเท่าเทียมกันเป็นสิ่งที่ดี แต่คงไม่ใช่การเท่าเทียมกันทุกเรื่อง มีบางเรื่องที่ต้องยกไว้ โดยเฉพาะในสังคมไทย ผมคิดว่าการมีสัมมาคารวะ การพูดจานอบน้อมกับผู้ใหญ่ และรู้จักกาลเทศะยังเป็นสิ่งจำเป็นมาก

ฝึกร้องเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์

ตอนผมอายุได้ 23 ปีคุณแม่ก็มาจากไปอีกคน เหลือแต่ลูก ๆ ที่ต้องดูแลตัวเองผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนักร้องอาชีพ คิดแค่ว่าชอบเสียงเพลงเท่านั้น

สมัยเป็นเด็กผมนั่งฟังเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ซ้ำไปซ้ำมา ยุคก่อนมีแต่คลื่นเอเอ็มเท่านั้น ยังไม่มีเอฟเอ็มเหมือนยุคนี้และเพลงที่มีให้ฟังก็เป็นเพลงฝรั่ง แม้จะไม่เข้าใจภาษา แต่ผมสัมผัสได้ว่าท่วงทำนองนั้นไพเราะ เพราะมันออกมาจากใจจริง ๆ

ช่วงหนึ่ง วัยรุ่นยุคนั้นจะชอบใส่กางเกงยีนฟิต ๆ สวมเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ ๆ เหมือนเอลวิส เพรสลีย์ จนเมื่อเพลงของวงเดอะบีเทิลส์เข้ามา พร้อม ๆ กับหนังตะวันตกเรื่องหนึ่งที่พระเอกสวมรองเท้าผ้าใบ นุ่งกางเกงยีน ใส่เสื้อยืดดังไปทั่ว คราวนี้วัยรุ่นทั่วบ้านทั่วเมืองก็แต่งตาม ที่สำคัญในช่วงสงครามที่มีทหารอเมริกันเข้ามาในประเทศไทย ทหารเหล่านี้ก็มีอิทธิพลต่อการฟังเพลงสากลของคนไทยเช่นกัน

เพลงไหนที่ชอบ ผมก็จะไปซื้อเทปคาสเซ็ตมาอัด ฟังแล้วฟังอีก พยายามถอดเนื้อร้องมาฝึกร้อง ส่วนน้องชายของผมอีกสองคนคือ อ้อย ชอบเล่นเบส ส่วน ติ่งก็ชอบเล่นกีตาร์ วันหนึ่งเราสามคนจึงรวมตัวกันตั้งวงดนตรีเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง
แต่เส้นทางการทำงานของผมไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นนักร้อง แต่เริ่มจากอะไรนั้น คราวหน้าผมจะเล่าให้ฟัง

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Secret Box

ความสุขแท้อยู่ข้างใน ใครที่แสวงหาความสุขจากข้างนอก ย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา

ว.วชิรเมธี





ช่วงอายุ 50 กว่า ๆ ผม (สุเทพ ประยูรพิทักษ์) เคยนั่งมองย้อนชีวิตตัวเองไม่เคยนึกฝันว่าดนตรีจะพาเรามาได้ไกลขนาดนี้

ดนตรีทำให้โลกนี้น่าอยู่ ทำให้ชีวิตของคนรื่นรมย์ มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนาม ต่อให้ร้องเพลงไม่เพราะ เล่นดนตรีไม่เก่ง แต่ถ้ารักในเสียงเพลง ผมก็คิดว่าเพียงพอแล้วที่คนคนนั้นจะรู้จักความอ่อนโยน ผมเชื่อว่าเสียงเพลงกล่อมเกลานิสัยของคน จากหยาบกระด้างให้ละเอียดอ่อน จากคิดถึงแต่ตัวเองให้คิดถึงคนอื่น

หลังเรียนจบด้านครูจากวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จฯ ผมก็เริ่มงานแรกด้วยการเป็นพนักงานในโรงแรมพลาซ่าพัฒน์พงษ์ได้ทำแทบจะทุกหน้าที่ ตั้งแต่โอเปอเรเตอร์รับโทรศัพท์ รูมเซอร์วิส ได้เรียนรู้งานบริการจากประสบการณ์จริง เพราะยุคนั้นแทบจะไม่มีโรงเรียนด้านนี้โดยตรงในประเทศไทย แต่ทำได้ประมาณ 5 - 6 ปีผมก็เริ่มชักชวนน้องชาย อ้อย และ ติ่งให้มาตั้งวงดนตรีด้วยกัน

วงดนตรี “พี่ร้อง น้องเล่น”

ด้วยความที่คุณพ่อเสียตั้งแต่เด็กและคุณแม่ก็มาจากไปตอนผมอายุได้ 23 ปีพวกเราพี่น้องจึงต้องดูแลกันเอง แต่โชคดีที่ท่านทั้งสองอบรมพวกเรามาเป็นอย่างดีเราจึงรักและดูแลกัน ท่านสอนให้น้องเคารพพี่ ไม่พูดจาก้าวร้าวต่อกัน เวลาโกรธกันพวกเราไม่เคยขึ้นคำว่า “ไอ้” แม้แต่ครั้งเดียว น้อง ๆ เรียกผมว่า “พี่” ทุกครั้งไม่เคยเรียกชื่อเฉย ๆ เราให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ผมรักและไม่เอาเปรียบน้อง น้อง ๆ ก็รักและให้ความไว้วางใจผม ผมรู้สึกว่า ครอบครัวของผมโชคดีมากที่มีความรักความผูกพันอย่างเหนียวแน่น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเราต่อสู้มาด้วยกัน

การจะเป็นนักร้องในยุคนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีโรงเรียนไหนสอน และไม่มีโค้ชหรือครูคอยให้คำแนะนำ เราเรียนรู้ทุกอย่างจากประสบการณ์ตรง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง เราตั้งวงดนตรีของเราเองวงแรกว่า“เดอะเปปเปอร์” เล่นเพลงของ Peter,Paul and Mary ซึ่งเป็นนักร้องแนวโฟล์คซองที่มีการเล่นและประสานเสียงที่มีเอกลักษณ์ เราก็นำมาเล่นดู ปรากฏว่าเล่นได้ดี เราเลยเริ่มเห็นทางของตัวเอง จากเล่นในบาร์เล็ก ๆ แถวพัฒน์พงษ์ เราก็เริ่มขยับไปเล่นในโรงแรมแอมบาสซาเดอร์และเปลี่ยนชื่อวงเป็น “ดิอีซี่” จนได้ไปเล่นที่โรงแรมแมนดาริน เราก็เปลี่ยนชื่อวงอีกครั้งเป็น “เดอะแซคส์” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ผมร้องเพลงของเดอะบีเทิลส์และเพลงในยุค 60 - 70 ที่กำลังโด่งดังรวมถึงเพลงไทยอีกหลายเพลง เราอยู่ที่นี่ถึง 26 ปีเต็ม

คนเที่ยวกลางคืนในยุคนั้นส่วนใหญ่จะรู้จักวงของเราเพราะดังมากถึงขนาดหกโมงเย็น คนฟังต้องมาเข้าคิวรอซื้อบัตรทั้งที่ราคาค่าเครื่องดื่มในโรงแรมก็ไม่ใช่ถูก ๆ แล้วคนฟังก็มีหลากหลายอาชีพ ทั้งข้าราชการพนักงานบริษัท พ่อค้าแม่ค้า ผมเชื่อว่านอกจากเสียงเพลง การเอนเตอร์เทนคนฟังด้วยการพูดคุยให้ความสนุกสนานก็เป็นสิ่งสำคัญ แรก ๆ ผมไม่กล้าพูด กลัวว่าจะเป็นการก้าวร้าวผู้ฟัง แต่ตอนหลังก็เริ่มด้วยการเกริ่นให้เขาทราบว่านี่คือการแสดงเพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย มีรอยยิ้มเสียงหัวเราะ

“คุณควรมาดูเราด้วยความสนุก ถ้าไม่สนุกอย่ามา” ผมพูดท้าทายไว้อย่างนี้เลย

และคนดูที่มาเที่ยวก็รู้สึกสนุกกับผมจริง ๆ ถึงขนาดที่มีบางคนตะโกนถามผมว่า “ชีวิตมึงนี่ไม่เคยเศร้าเลยนะ” ผมก็ตอบติดตลกไปว่า “ผมไม่เคยเศร้าเลย ที่ทำอยู่ก็ได้เงินทั้งนั้น”

แต่ก่อนจะมีชื่อเสียง วง “เดอะแซคส์”ของเราต้องผ่านการซ้อมมาอย่างหนักสองปีเต็ม เช้าสัก 10 โมงอาบน้ำอาบท่ากินข้าวเสร็จ มาถึงโรงแรมบ่ายสองโมง เราก็ซ้อมดนตรีต่อจนถึงหกโมงเย็น สองทุ่มก็เริ่มเล่นเป็นอย่างนี้อยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็เริ่มอยู่ตัวชีวิตเริ่มสบาย ๆ มากขึ้น

ผมคิดว่า เราอยู่ในวงการนี้ได้นานเพราะเรามองว่านี่คือสิ่งที่เรารัก เป็นอาชีพเป็นความศรัทธา เราอยากทำให้คนฟังมีความสุขทุกครั้งที่ขึ้นเวที จนวันหนึ่งผมก็ได้รับความสนใจจากค่ายเพลง ได้ออกเทปครั้งแรกกับค่าย นิธิทัศน์โปรโมชั่นร้องเพลง “ป่าลั่น” ที่ คุณสุเทพ วงศ์กำแหงเคยร้องไว้จนกลายเป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงอย่างสูงสุดให้ผม ส่วนเพลงที่เป็นของผมเองคือ “หิ่งห้อย” ซึ่งฮิตติดหูผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นชีวิตของผมก็เข้าสู่วงการแสดง ได้เล่นละครกับ คุณคณิต คุณาวุฒิเล่นภาพยนตร์กับ คุณบัณฑิต ฤทธิ์ถกลทั้ง “คนดีที่บ้านด่าน” และ “บุญชู”

ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเล่นละครเพราะร้องเพลงอย่างเดียวก็หนักพอแล้วแต่คุณคณิตผู้กำกับเห็นบุคลิกของผมแล้วชอบ อยากให้มาแสดงละคร จึงตื๊อผมอยู่หลายครั้งให้ผมรับเล่นเป็นคนสุพรรณในเรื่อง “สาทร ดอนเจดีย์” ของไนท์สปอตคู่กับคุณญาณี จงวิสุทธิ์ ตอนแรกผมเล่นไม่ได้เลย จนผู้กำกับบอกว่าให้เล่นเป็นตัวของตัวเอง เท่านั้นแหละก็ลื่นปรื๊ด ๆ คนดูชอบมาก ดังจนต้องมีภาคสอง ยิ่งเมื่อได้สนิทกับคุณญาณีซึ่งเรียนการแสดงมาโดยตรงช่วยชี้แนะ ผมก็ยิ่งมีความสุขกับงานนี้ ผมนับถือเป็นครูคนหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว ก่อนแนะนำอะไรผม เธอจะยกมือไหว้แล้วพูดว่า “พี่อี๊ด หนูว่าพี่ทำได้แล้วละ แต่มีอีกนิดหนึ่ง พี่จะต้องทำอย่างนี้นะคะ” ทุกวันนี้ผมเล่นละครแบบลื่นไหลไปเรื่อย ๆ ทำทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ สบาย ๆ ง่าย ๆ ไม่เครียด เมื่อปีที่แล้วผมมีคอนเสิร์ตใหญ่ “Remember by สุเทพ & เดอะแซคส์” จัดโดย คุณเป็ดเชิญยิ้ม รวมถึงยังมีงานละครเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แค่นี้ผมก็พอใจกับชีวิตของตัวเองมากแล้ว



ทำบุญด้วยการซ่อมแซมวัด

เรื่องราวการทำบุญของผม เรียกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ว่าได้ แต่บังเอิญไปตรงกับจริตของผม มีอยู่วันหนึ่งผมไปเล่นฟุตบอลกับรุ่นน้องที่จังหวัดลพบุรี เล่นเสร็จเขาก็ชวนไปซ่อมแซมวัดใกล้ ๆ ที่พักด้วยกันชื่อ วัดธรรมิกาวาส ตอนแรกผมไม่ทราบว่าจะต้องช่วยอย่างไร รุ่นน้องก็พาไปดูบอกว่าให้ช่วยทาสีวัด ลงรักปิดทองหลวงพ่อองค์ใหญ่ ผมไม่เคยทำมาก่อน แต่ครั้งแรกที่ทำมีความสุขมาก

ผมรู้สึกว่านี่เป็นหนทางดี เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง คนทำบุญในสมัยนี้อาจจะใช้เงินกันเยอะ แต่การทำอย่างนี้ต้องใช้ใจต้องไปช่วยกวาดลานวัด ล้างห้องน้ำ ทาสีปูพื้นกระเบื้อง ผมไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ทำด้วยความศรัทธา

ยิ่งทำก็รู้สึกว่าใจเราเกิดปีติ จึงทำมาเรื่อย ๆ เดือนหนึ่งก็ชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ที่รักในการทำบุญแบบนี้ไปลงมือลงแรงด้วยกัน เราใช้ชื่อกลุ่มว่า “เพื่อนร่วมทาง” เราเดินทางไปทั่วประเทศ ทั้งอ่างทอง นครปฐม ลำปาง ฯลฯ เสาะหาวัดที่ทรุดโทรมเข้าไปขออนุญาตเจ้าอาวาส แล้วซ่อมแซมมากว่า 200 วัด ยกเว้นวัดที่ขึ้นทะเบียนเราก็จะไม่เข้าไปทำ ทำเสร็จแล้วเราก็จะฉลองด้วยการทำบุญทอดผ้าป่า

ผมซ่อมแซมวัดก็เพราะอยากให้วัดเป็นที่พึ่งของคนยุคนี้ อยากให้เด็กรุ่นใหม่หันหน้าเข้าหาวัด เพราะพระธรรมคือความสุขที่แท้จริง ผมคิดว่า“เดินไปเถอะ เดินไปหาพระธรรม”ทำเสร็จแล้วชาวบ้านก็ได้เข้ามากราบไหว้มาสำรวมจิตใจ แค่มองเห็นพระพุทธรูป ผมว่าเราเองก็ได้ธรรมะแล้ว เพราะท่านนั่งนิ่ง ๆ เพื่อจะบอกเราว่า ความสงบเป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิต เมื่อเราสงบเราก็สบาย ใครจะทำอย่างไร ใครจะด่าอย่างไรก็ไม่สน นั่งภาวนาไปอย่างนี้ คนอื่นเอากิเลสมาให้เรา เราไม่ไปแตะ เราก็ไม่ทุกข์

สำหรับหลักในการใช้ชีวิตของผมคือทำอะไรก็ตั้งใจให้ดีที่สุด ส่วนชีวิตที่จะมีความสุขได้ หนึ่งคือ มีพระธรรมในหัวใจ สอง มีพ่อแม่ก็ต้องกตัญญูรู้คุณ สาม ไม่มีหนี้สิน สี่ ไม่อิจฉาริษยา ห้าคือ ไม่หักหลังเพื่อน

คนเรามีห้าอย่างนี้ไปไหนก็สบาย ลองดูไหมครับ

Secret Box

วางความคิด ชีวิตสงบ

ฟุ้งตามความคิด ชีวิตไม่สงบ


ว.วชิรเมธี


จาก http://www.secret-thai.com/article/5213/suthep1/

http://www.secret-thai.com/article/5219/suthep2/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...