ผู้เขียน หัวข้อ: คงกระพัน กำบังกาย! เรื่องเล่าจากลูกชาย ‘ขุนพันธ์’ มือปราบขมังเวทย์  (อ่าน 1932 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


คงกระพัน กำบังกาย! เรื่องเล่าจากลูกชาย ‘ขุนพันธ์’ มือปราบขมังเวทย์

เป็นหนังที่หลายคนพูดถึงในขณะนี้ สำหรับ “ขุนพันธ์” ซึ่งได้นำพล็อตมาจากข้อมูลข้อเท็จจริงของ อดีตตำรวจผู้เป็นตำนาน พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือ ชื่อจริง “บุตร พันธรักษ์” เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช

พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ถือเป็นเกียรติประวัติของ “กรมตำรวจ” เพราะปราบโจรชื่อดังมาทั่วสารทิศ ใครที่ว่า “เก่ง” ใครที่ว่า “ขลัง” ท่านสามารถปราบลงได้เกือบหมด อาทิ เสือฝ้าย เสือดำ เสือมเหศวร และอื่นๆ อีกมากมาย จนได้รับฉายาหลายชื่อ เช่น จอมขมังเวทย์ รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง (เชื่อว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจากพระยาพิชัย) นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว เป็นต้น

และเพื่อให้ทราบถึงวีรกรรมความเด็ดเดี่ยวของท่าน วันนี้ “อาสาม ไทม์แมชชีน” แห่งทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ก็ได้รับเกียรติจาก ลูกชายคนที่ 9 ของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช คือ นายณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช ซึ่งปัจจุบันก็อายุ 65 ปีแล้ว มาเล่าเรื่องราวต่างๆ จากปากพ่อสู่ลูกให้ฟัง…


นายณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช ลูกชายคนที่ 9 ของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช คือ ปัจจุบันอายุ 65 ปี


หนังที่ได้ดัดแปลงจากเค้าโครงเรื่องจริงของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช

นายตำรวจขมังเวท 3 วิชากล้าแกร่งพิชิตโจรผู้ร้าย

แค่เอื้อนเอ่ยถามถึงเกียรติประวัติ ณสรรค์ หรือ คุณหนุ่ย ลูกชายคน 9 ของขุนพันธ์ ก็เริ่มเล่าว่า สมัยผมเด็กๆ พ่อเคยมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ เรื่องการปราบโจรผู้ร้ายสำคัญๆ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง ตั้งสุพรรณบุรี พิจิตร ชัยนาท เท่าที่จำได้คือ 12 ชุมโจร ส่วนทางใต้ ประเภทเสือ ทั้งหมด 18 คน ที่จำได้คือ เสือกลับ เสือสาย เสือเมือง ซึ่งเสือทางใต้เหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นเสือที่มีวิชาอาคม ในกลุ่มจะอยู่กันประมาณ 3-7 คนเท่านั้น แตกต่างจากเสือภาคกลางจะอยู่กันเป็นชุมโจร ก๊กละประมาณ 30 – 45 คน เนื่องจากเสือทางภาคกลางจะเน้นเครื่องลางของขลัง แตกต่างจากทางใต้ที่เน้นวิชาอาคม

“คุณพ่อฝึกวิชาอาคมหลายอย่าง คือ หลังจากจบโรงเรียนนายร้อยที่ จ.พัทลุง จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่สำนักเขาอ้อ สำนักนี้เขาจะสอนตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น เกิดมาก็จะมีการทำพิธีขึ้นเปล ซึ่งเขาจะมีพิธีการของเขา รวมไปถึงการใช้สมุนไพร หากตายก็จะมีพิธีการมัดตราสัง ต้องดูฤกษ์ดูยามในการเผา สิ่งที่คุณพ่อเรียนมา ประกอบด้วย 1.วิชากำบังตัว 2.อยู่ยงคงกระพัน 3.การดูฤกษ์ยาม โดยเฉพาะการดูฤกษ์ดูยาม คุณพ่อจะใช้มากเพราะต้องออกไปรบทัพจับศึก ทั้งนี้ คนที่จบมาจากสำนักเขาอ้อ จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ถ้าไม่เป็นโจร ก็เป็นตำรวจ ซึ่ง “เสือกลับ คำทอง” จะเรียนก่อนคุณพ่อ คุณพ่อถือเป็นรุ่นน้อง โดยเสือกลับ เรียนกับอาจารย์เอียด ส่วนขุนพันธรักษ์ราชเดช พ่อผมเขาเรียนกับอาจารย์ทอง โดยมีฤาษีรูจี เป็นต้นตำรับของวิชา”


พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือ ชื่อจริง “บุตร พันธรักษ์”

นาทีไล่ล่า “เสือกลับ” อีก 1 โจรตำนาน ผู้สำเร็จวิชา “กำบังกาย กำบังสิ่งของ”

ลูกชายคน 9 ของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เล่าแบบนึกภาพตามได้ต่อว่า ตอนที่พ่อเรียนวิชากำบังกายนั้น คุณพ่อเรียนกับอาจารย์ทอง ท่านถามกับอาจารย์ทองว่า “ผมเรียนขนาดนี้สามารถจับเสือกลับได้หรือยัง” อาจารย์ทองตอบว่า “ได้แล้ว” จากนั้นคุณพ่อจึงออกไปไล่ตามจับ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจับเสือกลับได้ ไล่ล่ามาเป็น 10 ปี ไม่มีใครเคยเห็นเสือกลับ เพราะเขา “หายตัวได้”เนื่องจากมีวิชากำบังตัว

ขุนพันธ์ ตามจับอยู่หลายปี กระทั่งวันหนึ่งช่วงประมาณ ตี 2 ได้มีสายตำรวจพาพ่อมาที่บ้านของเสือกลับ โดยมีนายตำรวจนายอื่นอีก รวมกัน 5-6 คน จากนั้นขุนพันธ์ มาซุ่มดูอยู่ พร้อมกระซิบบอกว่า“เสือกลับนุ่งโสร่ง” ขุนพันธ์บอกกับลูกน้องให้เตรียมพร้อม เพราะเห็นเสือกลับยืนอยู่หน้าบ้าน แต่แค่อึดใจเสือกลับเดินเข้าไปในบ้าน ปรากฏว่า ไม่เห็นตัวแล้ว!

ตึก…ตึก! เสียงตอกรั้วคอกควายดังออกมาจากหลังบ้าน ขุนพันธ์ หันไปบอกผู้ติดตามอีกครั้ง “ไอ้กลับทำคอกควายอยู่หลังบ้าน” ขุนพันธ์คลานนำอย่างเงียบเชียบที่สุด ค่อยๆ ออกไปด้านนอก ซึ่งมีต้นไม้ พุ่มไม้ เข้าใกล้ได้ประมาณ 5-6 วา จึงเห็นตัว แต่ที่แปลกคือ คนที่เห็น “ไอ้กลับ” มีเพียง 2 คนเท่านั้น คือ ขุนพันธ์ พ่อของผม และ สายตำรวจ ที่นำทางให้ ขุนพันธ์ให้สัญญาณคนตามหลังมาให้หมอบค่อยๆ คลานไปเรื่อยๆ ผ่านพุ่มไม้ด้านนอก





ภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์” จะหยิบเอาเรื่องราวและเกร็ดประวัติเและตัวตนของ พล.ต.ตขุนพันธรักษ์ราชเดชมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์

คุณพ่อเล่าว่า ตั้งใจว่าจะคลานเข้าไปในระยะ 2 วา จากนั้นก็จะกระโจนเข้าตะครุบ แต่ปรากฏว่าเสือกลับได้หันหลังกลับมา เดินกลับเข้าใกล้ๆ แต่แล้วก็กลับตัวทันทีทันใด ตำรวจที่ตามไปด้วย ดัน “มือไว” กดเปรี้ยง! (ทั้งที่สั่งแล้วว่าห้ามยิง) กระสุนออกมาจากตำรวจติดตาม กระสุนพุ่งเข้าที่สะบัก แต่กระสุนเจาะเนื้อไม่เข้า นาทีนั้น ขุนพันธ์ ไม่รอช้าวิ่งตามเสือกลับไป

“เสือกลับ วิ่งหนี ขุนพันธ์ วิ่งตาม เสือกลับวิ่งแล้วก็หกล้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งไปคลอง ซึ่งน้ำสูงแค่หัวเข่า แต่ก็มีตลิ่งสูง เสือกลับพยายามปีนตลิ่งหนี “เปรี้ยง!” เสียงปืนดังมาจากด้านหลังอีกครั้ง คราวนี้กระสุนพุ่งไม่ตรงเป้า แต่ก็ทำให้เสือกลับเสียจังหวะตกลงมาจากตลิ่งที่กำลังปีน ขุนพันธ์ พร้อมกับผู้ติดตามวิ่งตามเข้าไป ปรากฏว่า เสือกลับ หายไปแล้ว!?”

นายณสรรค์ ยอมรับว่า เสือกลับ ถือเป็นโจรคนเดียวที่เล็ดลอดมือของยอดตำรวจมือปราบจอมขมังเวทย์ ทั้งนี้ โจรส่วนใหญ่ไม่ “ตาย” ก็เลือกที่จะ “มอบตัว” โดยหลังจากเหตุการณ์นี้ก็ได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ซึ่งคุณพ่อไม่ได้ตามไปจับเพราะอยู่นอกเขตพื้นที่รับผิดชอบ


ถูกตั้งฉายาว่า ‘ขุนพันธ์ ดาบแดง’ (เชื่อว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจากพระยาพิชัย)


กริช อาวุธประจำกายขุนพันธ์


อาวุธที่ตกทอดมาถึงลูก

“อะแวสะดอ ตาเละ” โจรแหกคุกผู้โหดเหี้ยม ใช้กริชเกี่ยวไส้ กระสุนไม่ได้เฉียดกาย!

อาสาม ไทม์แมชชีน พูดคุยกับ คุณหนุ่ยมาถึงตรงนี้ คุณหนุ่ยก็เริ่มเอ่ยชื่อเสืออีก 1 คนที่ถือว่าเก่งมาก นั้นก็คือ “อะแวสะดอ ตาเละ” จอมโจรแดนใต้ผู้โหดเหี้ยม

“คุณพ่อบอกว่า “เสือกลับ” นับว่าเป็นเสือที่เก่งที่สุดที่เคยเจอมา ซึ่งแตกต่างจาก “อะแวสะดอ ตาเละ” เพราะ อะแวสะดอ ไม่มีวิชากำบังกาย เป็นโจรที่แหกคุกออกมา จากนั้นก็หนีขึ้นไปอยู่บนเขาบูโด จากนั้นก็ค่อยๆ ก็แผ่อิทธิพลด้วยการเก็บภาษีเอง ใครไม่ให้ก็จะใช้กริชใส่ไปในหลอดลมค่อยๆ หมุนลงไปดึงไส้ขึ้นมา เขาจะส่งลูกน้องลงมาเก็บค่าคุ้มครอง แม้เขาจะไม่ใช่ศาสนาพุทธ แต่เขาก็มีเครื่องราง แขวนเหมือนกัน”

ลูกชายขุนพันธ์ เล่าต่อว่า วันไหนที่เขาอารมณ์ดี เขาจะแสดงอิทธิฤทธิ์ ด้วยการขึ้นไปนั่งบนครกตำข้าว จากนั้นเขาก็จะกางร่ม จากนั้นก็ให้ลูกน้องชักปืนยิงใส่ กระสุนไม่ได้เข้าไปในรัศมีร่มของเขาเลย โดยกระสุนจะเบี่ยงเบนไปทิศทางอื่น ไม่ว่าจะยิงในระยะไหน โดยเขาได้พกเครื่องราง ตับเหล็ก เคราทองแดง ช้องหมูป่า

ก่อนที่จะตามจับ อะแวสะดอ นั้น กรมตำรวจได้สั่งให้มีการตั้งทีมขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครตามจับได้ ขุนพันธ์ พ่อผมจึงอาสานำทีมไปจับ โดยในทีมจะมีทั้งหมด 7 คน บางคนก็มีวิชาอาคม บางคนก็ไม่มี แต่ก่อนที่จะออกไปจับนั้น คุณพ่อ​ จะดูดวงให้กับลูกน้อง ว่ามีดวงเจ็บหรือตายหรือไม่ บางทีออกไปจับแค่ 2 คน หรือ 3 คนก็มี เพราะคนอื่นไปไม่ได้ เวลาลงพื้นที่จะเป็นคนนำตลอด เพื่อให้ลูกน้องเชื่อใจ


สิ่งที่คุณพ่อเรียนมา 1.วิชากำบังตัว 2.อยู่ยงคงกระพัน 3.การดูฤกษ์ยาม โดยเฉพาะการดูฤกษ์ดูยาม คุณพ่อจะใช้มากเพราะต้องออกไปรบทัพจับศึก


วันไหนที่ขุนพันธ์อารมณ์ดี จะแสดงอิทธิฤทธิ์ ด้วยการให้ลูกน้องชักปืนยิงใส่ โดยกระสุนจะเบี่ยงเบนไปทิศทางอื่น ไม่ว่าจะยิงในระยะไหนก็ตาม

วันที่ไปจับ คือ มีสายคนหนึ่งมาบอกว่าอะแวสะดอ จะลงจากเขาบูโด ซึ่งสายคนนั้น คือ “กำนัน” ที่บูโด เนื่องจากแกมีลูกชาย ถูกอะแวสะดอ ยิงเสียชีวิต เนื่องจากมีการชักชวนให้เข้าพวกแต่ถูกปฏิเสธ กำนัน รู้สึกเจ็บแค้นจึงมาเป็นสายให้ ช่วงใกล้สว่าง เสียงกระรอกเริ่มทักมา แสดงว่ามีคนมา ขุนพันธ์​ พร้อมกับลูกน้องก็ซุ่มอยู่ทางเดิน ตำรวจมือไว อีกคนก็ดันชักปืนยิง ซึ่งตอนนั้นใช้ “ปืนคาบศิลา” ก็ต้องใส่ดินปืนใหม่ เพราะยิงได้ทีละนัด โจรก็วิ่งหนีไปไกลแล้ว

“ขุนพันธ์ วิ่งตามไปกอดคอแล้วก็ชกต่อยกัน พ่อใช้เท้าเกี่ยวไปเท้าอะแวสะดอ แต่เขาก็ไม่ล้ม เพราะเขาตัวสูงมาก ประมาณ 180 ซม. ส่วนขุนพันธ์ สูงเพียง 164 ซม. ต่างคนต่างชักกริชของตัวเองออกมา และเชือดคอกันและกัน แต่ก็ไม่เข้า จากนั้นก็ต่อสู้กันกระทั่งล้มลง อะแวสะดอก อยู่ด้านล่าง ขุนพันธ์ได้ใช้ศอกทั้ง 2 ข้าง ค้ำไปไหล่ทั้งสองข้าง ซึ่งคนเป็นมวยเวลาสู้ชั้นเชิงจะแตกต่างกัน คุณพ่อเอง เคยเรียนตั้งแต่มัธยม แล้วก็มาเรียนเพิ่มที่ตอนเป็นตำรวจ กระทั่งจับได้ ก็เลยนำไปขังในห้องขัง”

ลูกชายขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้เล่านาทีสุดท้ายของชีวิต “อะแวสะดอ ตาเละ” ว่า พ่อได้สั่งให้ลูกน้องเฝ้าตลอด ขังที่สถานีตำรวจที่ตีนเขาบูโด โดยต้องจับมัดด้วยผ้าขาวม้า เนื่องจากหากใส่กุญแจมือ เขามีวิชาสามารถรูดให้โซ่ตรวนหลุดได้ จึงใช้ผ้าขาวม้า มัดไว้ กระทั่ง เขาก็กินยาตายไปเอง”


ลูกชายคนที่ 9 ของขุนพันธ์ ถ่ายรูปคู่กับอนันดา ผู้รับบท ขุนพันธ์

มือปราบจอมขมังเวทย์ ผู้ถ่อมตัว ครองตนด้วยความดี คอยพร่ำสอนลูกหลานอยู่ในศีลธรรม

ลูกชายคนที่ 9 ได้กล่าวถึง พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ว่า พ่อไม่ได้มีเครื่องรางอะไรมาก แต่เขาจะมีวิชาในตัวเขา แต่ที่ตกทอดมา ก็มี เขากวางคุด เหล็กกายสิทธิ์ ปรอทซอ นอกจากนี้ ก็มีพระ เช่น พระผงสุพรรณ ซึ่งของต่างๆ เหล่านี้ เมื่อคุณพ่อเสียก็แบ่งให้ลูกหลาน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คุณพ่อจะใช้คาถาอาคมเป็นหลัก เพราะเวลาสู้กับโจร ของพวกนี้อาจจะหล่นได้ ฉะนั้น จึงฝึกคาถา อาคมมากกว่า

“ทุกวันท่านจะตื่นประมาณ ตี 3-4 โดยจะเริ่มไหว้พระก่อน จากนั้นก็จะไปรดน้ำต้นไม้ ซึ่งท่านมีต้นว่านอยู่ ใครจะไปรดไม่ได้ เพราะท่านมีคาถาในการรด ก่อนจะทานข้าว ก่อนจะอาบน้ำ ก็เสกข้าว เสกน้ำก่อน ส่วนมารุ่นหลังอย่างผม ผมก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ ถามหน่อย “ใครจะปฏิบัติได้” ​แค่ลงจากบ้านก็มีคาถา ถามว่า “ผมได้วิชามั้ย” ก็ได้บ้าง แต่เราไม่ได้รบกับใคร ก็เลยได้แต่แขวนพระ ท่องคาถาบ้าง ท่านเองก็ไม่เคยหวงวิชา ใครมาถามก็บอก เพราะพ่อบอกว่า มันอยู่ที่การปฏิบัติ เพราะบางทีเขาห้ามกินของบางอย่าง เช่น มะละกอ ปลาไหล ตำลึง เป็นต้น ภรรยาผู้อื่นห้ามยุ่ง ผมก็เลยเราไม่รู้ได้ไหม แกบอกว่า ก็อย่าไปทำสิ!” บุตรชายเล่าพลางหัวเราะ

ชีวิตคุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ 2 ครั้ง ที่ถูกมีดเชือดที่คอ โดยต่อสู้กับ อะแวสะดอ และ เสือสัง ส่วนโดนยิงหรือไม่นั้น ผมถามคุณพ่อว่า ได้ข่าวว่าพ่อหนังเหนียวจริงหรือเปล่า คุณพ่อตอบว่า “โอ๊ย..มันยิงพ่อไม่ถูกเองลูก” แล้วคุณพ่อหายตัวได้จริงไหม “โอ๊ย..มันมองไม่เห็นเองลูก” ส่วนมากไปจับโจรก็จับมืดๆ มันมองไม่เห็นเอง”

“ท่านจะสอนว่า เราเกิดเป็นมนุษย์นั้น “ให้” ดีกว่า “รับ” เราจะมีความภูมิใจมากกว่า เวลาทำงาน ยศ ตำแหน่ง อยู่ที่หน่วยงาน แต่เกียรติประวัติ การให้เกียรติ บางคนได้ลาภได้ยศมา แต่ก็ไม่มีเกียรติ ความดีของคุณพ่อทำมา เหมือนกับผมที่อนุญาตให้เขาทำหนัง เขาเห็นว่าความดีของคุณพ่อสมควรที่จะประกาศให้คนทั่วไปรับรู้ว่า คนแบบนี้มีอยู่จริง ซึ่งคิดว่า พ่อผมอยู่มา 4 แผ่นดิน ความดีใครทำใครได้ เขามาขอทำหนัง ผมก็เลยขออนุญาต” ลูกชายขุนพันธรักษ์ราชเดช เล่าถึงวีรกรรมของคุณพ่อ ผู้เป็นที่เคารพของคนทั่วไปและวงการผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

จาก http://thaivanni.com/news/8552

สำรอง http://www.sookjai.com/index.php?topic=179272.0
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...