ผู้เขียน หัวข้อ: แหม่ม-อลิสา ขจรไชยกุล ชีวิตพลิกผันจากดารา…สู่แม่ค้าฮาเฮ  (อ่าน 1255 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



แหม่ม-อลิสา ขจรไชยกุล ชีวิตพลิกผันจากดารา…สู่แม่ค้าฮาเฮ

ณ คอนโดพี 2 ในอาณาบริเวณของเมืองทองธานี อดีตนางเอกและนักแสดงชื่อดังกำลังผัดข้าวให้ลูกค้าที่มายืนรอซื้อกลับบ้านด้วยใบหน้ามีความสุข

ก่อนหน้านี้ข่าวคราวของ คุณแหม่ม-อลิสา ขจรไชยกุล ที่ปรากฏตามสื่อทำให้ภาพของเธอเป็นผู้หญิงโชคร้าย เผชิญกับความล้มเหลวในการทำธุรกิจจนมีหนี้สินหลายล้าน มีโรคประจำตัวสารพัด ทั้งโรคซึมเศร้า โรครูมาทอยด์ โรคความดันโลหิตสูง แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่ให้เธอต้องเดินออกจากวงการบันเทิงคือ การที่เธอมีรูปร่างอ้วนเกินกว่าจะปรากฏตัวในจอทีวี

ทว่าภาพของเธอในชุดแม่ค้ากำลังยืนผัดข้าวให้ลูกค้าด้วยใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มสีสันอะไรเลย กลับดูสดชื่น แจ่มใส อีกทั้งระหว่างการสนทนาเธอก็ยังฮัมเพลงโปรด “รสชาติความเป็นคน” ของมาช่า วัฒนพานิช ให้ฟังอย่างสบายอกสบายใจ…“ไม่มีชีวิตของใครที่ดีที่สุด ต้องมีสะดุด ต้องมีหลงทาง ไม่มีชีวิตของใครที่ดีทุกอย่าง ต้องล้มลงบ้างสักวัน มันคือรสชาติความเป็นคน…”

กว่าจะกลับมาหัวเราะได้ง่ายๆ และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ในชีวิตได้อย่างทุกวันนี้ คุณแหม่มผ่านบททดสอบอะไรมาบ้าง เธอยินดีจะควงตะหลิวไปเล่าไปอย่างสนุกสนาน


อดีตนางงามหลายเวที

ปกติแล้วแหม่มเป็นคนอารมณ์ดี แต่ไม่ได้หมายความว่ายิ้มได้ตลอดเวลา เวลาทำกับข้าวให้ลูกค้ายุ่ง ๆ เหนื่อย ๆ ก็ยิ้มไม่ออกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังว่ามาเจอแหม่มตัวจริงแล้วจะยิ้มทุกครั้ง ส่วนใหญ่คนรู้จักจะรู้ว่า เราชอบพูดยอกย้อน เหน็บแนม ประชดประชัน เล่นมุกให้คนที่อยู่ใกล้ได้หัวเราะจนลืมทุกข์ลืมโศก

ครั้งหนึ่งมีน้องผู้หญิงมาปรึกษาปัญหาชีวิต หลังฟังอยู่นานแหม่มก็ชวนคุยว่า “หนูอย่าคิดอะไรเล้ย ดูพี่สิ พี่น่ะไม่ชอบปา อยู่อย่างหนึ่งนะ” น้องฟังแล้วคงสงสัย “ปา อะไรเหรอพี่” คราวนี้ก็เข้าทางแหม่มสิคะ “ก็ ปา เข้าไปปูนนี้ยังหาสามีเป็นตัวเป็นตนไม่ได้เลยน่ะซี้” (ฮา) วันนั้นนอกจากน้องผู้หญิงจะหัวเราะแล้ว เธอยังบอกแหม่มว่า “หนูไม่เครียดแล้วพี่”

นี่คือความสุขเล็กๆ ของแหม่มที่บางครั้งได้นำบทเรียนในชีวิตของตัวเองมาเป็นวิทยาทานให้กับคนอื่น เราต่างก็เคยพบเจออุปสรรคปัญหาในชีวิตกันมาแล้วทั้งนั้น แต่บางจังหวะที่ตีบตัน เคร่งเครียด การได้ระบายความคิดความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นฟัง ก็ทำให้สิ่งที่หนักหนาสาหัสดูบรรเทาเบาบางลงได้

ชีวิตของแหม่มไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อซึ่งเป็นชาวต่างชาติ แยกทางกับคุณแม่มาตั้งแต่แหม่มยังเล็ก ส่วนใหญ่แหม่มจะอยู่กับคุณยายและญาติ ๆ ที่จังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะคุณยาย แหม่มจะใกล้ชิดและรักมาก ตอนกลางคืนเราก็จะนอนด้วยกัน

สมัยก่อนการเป็นเด็กผู้หญิงลูกครึ่ง “หัวแดง” ถือเป็นปมด้อย ไม่เหมือนสมัยนี้ นอกจากจะโดนเพื่อนล้อแล้ว สรีระของแหม่มก็สูงใหญ่กว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่โชคดีที่ คุณน้าปรีชา ขจรไชยกุล ทำให้ปมด้อยนี้กลายเป็นปมเด่น

ท่านพาแหม่มเดินสายประกวดนางงามตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้าง ที่ได้ก็เป็นขันน้ำ พานรอง มายุคหลัง ๆ จึงเริ่มได้เป็นเงิน แต่ก็หลักพันหลักหมื่นเท่านั้น จนกระทั่งช่วงเรียน ม.3 แหม่มได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดมิสเวิลด์ในปี 2526 และเข้าประกวดนางสาวไทยในปี 2527 หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง เล่นละครเรื่องเบญจรงค์ 5 สี มี คุณจิ๋ม-มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช เป็นผู้จัด แสดงร่วมกับ คุณมยุรา ธนะบุตร และดาราชื่อดังในยุคนั้น ก่อนจะรับบทนางเอกเต็มตัวให้กับสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เรื่อง หัวใจสองภาค

จุดพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต

หลังจากทำงานในวงการบันเทิงได้พักใหญ่ แหม่มก็เริ่มทำธุรกิจขายของตกแต่งบ้าน ลงทุนไปเยอะมาก แต่สินค้าที่ขายโดนลอกเลียนแบบ เพราะเม็ดพลาสติกชนิดเดียวกัน แต่คนที่ลอกเลียนสามารถทำออกมาได้ในจำนวนที่เยอะกว่า ประกอบกับเศรษฐกิจฟองสบู่ในปี 2540 ทุกอย่างก็เลยพังครืนลงมา ต้องล้มละลายกลายเป็นหนี้ ทำให้บ้านเดี่ยวสองหลัง รถยุโรปและรถญี่ปุ่นอีกหลายคันที่เคยมีหายวับไปกับตา!

แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ ความเครียดที่เกาะกุมใจจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า ด้วยความเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เมื่อประสบปัญหาก็ไม่ค่อยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร คิดแก้ปัญหาวนไปเวียนมาอยู่คนเดียว จนที่สุดก็กลายเป็นปิดตัวเอง ไม่อยากเจอหน้าผู้คน ที่สำคัญ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแหม่มทานยาลดความอ้วนเพื่อควบคุมน้ำหนักมาโดยตลอด เมื่อถึงจุดหนึ่งร่างกายก็เริ่มดื้อยาและแสดงอาการป่วยให้เห็น เริ่มจากโรครูมาทอยด์ที่ทำให้เจ็บปวดทรมานจนน้ำตาไหล เพราะปวดบวมตามข้อมือข้อเท้า เป็นๆ หายๆ ถึงขนาดกำมือไม่ได้อยู่สองสามปี แต่ไม่คิดว่าจะไปหาหมอ เพราะกลัวเข็มมากที่สุดในชีวิต

ครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ แหม่มเคยประสบอุบัติเหตุ มีรถจักรยานหักหลบรถสิบล้อมาเฉี่ยวชนแหม่มจนตกท้องร่องข้างทาง เมื่อไปโรงพยาบาล นอกจากหมอจะทำแผลให้แล้ว ยังฉีดยากันบาดทะยักให้ด้วย แต่ฉีดอยู่หลายครั้งก็ไม่เข้า ฉีดไปฉีดมาจนแหม่มกลัวอย่างหนักชักคาเข็มไปเลยตั้งแต่นั้นมาแหม่มก็เลยหลีกเลี่ยงการไปหาหมอ เพราะกลัวว่าหมอจะจับฉีดยาอีก

เมื่อป่วยเป็นรูมาทอยด์แหม่มจึงยอมทนเจ็บปวดทรมานอยู่นาน ถึงขนาดเห็นขั้นบันไดแล้วร้องไห้ เพราะถ้างอเข่าเมื่อไหร่ก็จะเจ็บปวดทรมาน เหมือนหัวเข่าจะแตกสลายเลยทีเดียว แต่แม้จะปวดถึงขนาดนั้นแหม่มก็ยังไม่ยอมไปหาหมอ จนคุณแม่ทนไม่ไหว ต้องจูงมือพาไปหาหมอด้วยกัน

วันที่ไปหาหมอ แหม่มเดินตามหลังคุณแม่ น้ำตาไหลพรากๆ ราวกับเด็กเล็กๆ จนคุณแม่หันมาถามว่า “ไม่อายเขาเหรอลูก” นาทีนั้นบอกได้คำเดียวว่ากลัวเจ็บมากกว่าอาย แต่กว่าจะรักษาให้อาการดีขึ้นก็ต้องไปเข้าคอร์สฝึกลุก เดิน ยืน นั่งใหม่อยู่นานนับเดือน

หลังจากนั้นไม่นานแหม่มก็ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง วันที่ตัดสินใจขับรถไปหาหมอนั้น เเหม่มรู้สึกเวียนศีรษะมาก เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ด้วยความที่กลัวเข็ม ใจก็คิดแต่ว่า “เขาจะเจาะเราไหมนะๆ” จนทำให้ความดันพุ่งสูงปรี๊ด หมอ พยาบาลเห็นแล้ววิ่งวุ่นกันใหญ่ พอได้นอนพักและทานยาจนความดันลดแล้ว หมอจึงให้กลับบ้านพร้อมจ่ายยามาชุดหนึ่ง

เมื่อร่างกายอ่อนแอ โรคต่างๆ ก็ดาหน้ากันเข้ามา วันหนึ่งแหม่มสังเกตว่ามีก้อนสองก้อนหย่อนออกมาจากช่องคลอดลักษณะเป็นสีน้ำตาลขนาดเท่าไข่เป็ด จิ้มดูแล้วไม่เจ็บ เลยไปซื้อยารักษามดลูกอักเสบมากินเอง ปรากฏว่า ขนาดของมันลดลงแต่ด้วยความที่กลัวจะเป็นเนื้อร้าย แหม่มจึงตัดสินใจไปหาหมอสูติ หมอบอกว่าเป็นมดลูกหย่อน ต้องรักษาด้วยการตัดออก

ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเจ็บป่วยกี่ครั้ง แหม่มก็ไปหาหมอและนอนโรงพยาบาลคนเดียวเพราะไม่อยากรบกวนใคร แม้จะมีญาติพี่น้องอยากจะช่วยเหลือดูแล แต่แหม่มเกรงใจ เพราะแต่ละคนก็มีภาระของตัวเอง

ความจริงแหม่มก็อยากมีเพื่อนคู่คิดสักคน แต่ในวัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายมาขอแต่งงาน แต่แหม่มตอบปฏิเสธไป

Secret Box

สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

พุทธศาสนสุภาษิต





สำหรับคนอื่น เวลามีความทุกข์แล้วอาจเข้าวัดไปสงบจิตสงบใจ แต่สำหรับแหม่มจะเข้าวัด ช่วงที่ตัวเองมีความสุข สบายใจเท่านั้น แหม่มชอบทำบุญ ไม่เลือกว่าจะต้องเป็นวัดไหนอย่างไร ขอให้เป็นวัดที่อยากเข้าไปเป็นพอ

สมัยก่อนเวลามีความทุกข์ แหม่มก็เคยเลือกวิธีผิดๆ กินเหล้าเมามายข้ามวันข้ามคืน สุดท้ายก็พบว่านอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาได้แล้ว ยังเมาค้าง ปวดหัว ไม่สบายไปหลายวัน

แหม่มคิดว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้นก็จะมีวิธีคิด วิธีแก้ปัญหาที่ดีขึ้น เมื่อก่อนมีปัญหาอะไรจะเก็บมาทุกข์นาน ย้ำคิดย้ำทำจนเครียด แต่เดี๋ยวนี้มีปัญหาปุ๊บก็ตัดได้ปั๊บ คิดแค่ว่า “ปัญหานี้ถ้าเราแก้ไม่ได้ก็ลองปล่อยมันไป เดี๋ยวคำตอบจะมีมาให้เราเอง”

สมัยเป็นวัยรุ่นเลิกกับแฟนคนแรกก็ร้องไห้ปางตาย แต่หลังจากนั้นพอคนที่สามที่สี่ก็เฉย ๆ คิดว่า “อ๋อ…เขาไปแล้วเหรอ” ไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ แต่กลับเข้าใจได้ว่า “ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร”

วิธีคิดพิชิตหนี้ก้อนใหญ่

ช่วงหลังปี 2540 แหม่มประสบวิกฤติชีวิตครั้งใหญ่ ทั้งล้มละลาย เป็นหนี้หลายล้าน เลิกกับแฟน ป่วยหนัก เรียกว่า ทุกอย่างรุมเร้าถึงที่สุดจนไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาไหนก่อนดี

เมื่อมองย้อนกลับไป แหม่มคิดว่าตอนนั้นตัวเองนำปัญหาทุกอย่างมารวมกันเป็นก้อนใหญ่เอง จนมองไม่ออกว่าจะสะสางได้อย่างไร ทั้งที่ความจริงแล้วทุกปัญหามีทางออก ถ้าเรารู้จักจัดเรียงลำดับจากน้อยไปมาก จากง่ายไปยาก จากปัญหาแรกไปปัญหาสุดท้าย แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่ามีปัญหา แล้วจึงคิดหาเหตุหาผล ที่สุดคำตอบก็จะมาเอง

แทบไม่น่าเชื่อว่า คนที่สอนให้แหม่มแก้ปัญหาอย่างถูกต้องคือพนักงานธนาคาร เพราะหลังจากเป็นหนี้ธนาคารหลายล้าน จนไม่ทราบว่าจะหาเงินมาใช้หนี้ได้อย่างไร พนักงานธนาคารที่แหม่มต้องเจรจาเรื่องหนี้ด้วยก็แนะนำว่า

“พี่ลองเขียนรายการหนี้ของพี่ออกมานะ จากหนี้ก้อนโตที่สุด ไปจนถึงหนี้ที่น้อยที่สุด หลังจากนั้นพี่ก็เริ่มใช้หนี้น้อยๆ ก่อนแล้วที่เหลือพี่ก็ค่อย ๆ ทยอยใช้คืนไปเรื่อย ๆ จนหมด”

แหม่มทำตามคำแนะนำนั้น จนวันนี้สามารถใช้หนี้ได้เกือบหมด แทบไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีกต่อไป มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาขายอาหารตามสั่ง วันนี้อาจขายดี อีกวันขายไม่ดีก็ไม่เครียด รู้จักทำใจตัวเองให้สบาย ๆ

เกือบแต่งงาน แต่ไม่ได้แต่งเพราะ…

ชีวิตทุกวันนี้ของแหม่มเรียกว่าโสดสนิท สมัยก่อนด้วยความที่คิดว่า “เราสวยเลือกได้” ก็เลือกเยอะ ด้วยความที่แหม่มเติบโตมาจากครอบครัวที่แตกแยก ทำให้มีปมในใจว่า หากวันหนึ่งมีครอบครัวแล้วต้องหย่าร้าง ลูกก็ต้องอยู่คนเดียว มีชีวิตเหมือนเรา คิดแล้วก็กลัว พอคบกันไปสักพัก คนที่คิดว่าจะแต่งงานด้วยกลับเลิกรากันไป

ส่วนคนที่มาขอแต่งงานด้วย แหม่มก็ตอบปฏิเสธเขาไป เพราะคิดว่าตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงได้ไม่นาน ยังสนุกกับการใช้ชีวิต กลัวว่าถ้าแต่งงานไปแล้ว ชีวิตคงจบลงแค่นั้น สุดท้ายเขาก็เลยไปแต่งกับคนอื่น

ทุกวันนี้ตั้งจิตอธิษฐานเลยว่า ถ้าจะมีใครเข้ามาก็ขอให้เราเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ไปกินข้าว ดูหนัง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ในอีกแง่หนึ่ง แหม่มพบว่าการไม่มีแฟนก็มีความสุขไปอีกแบบ เพราะเพื่อนหลายคนที่มีครอบครัวมักจะพูดให้ฟังแบบขำ ๆ ว่า

“เป็นโสดน่ะดีแล้ว แกรู้ไหมว่าฉันจะไปไหนแต่ละทีต้องขออนุญาตสามีอยู่ 3 วัน แถมพอออกจากบ้านปั๊บ โดนถามทันทีว่า ‘จะกลับกี่โมง’ ชีวิตไม่มีอิสระเลย”

ส่วนเรื่องมีลูก สมัยก่อนแหม่มเคยคิดว่าอยากมีลูกเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ได้แต่เลี้ยงหลานชื่อ น้องใบเตย ลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องแทน แหม่มรักเขาเหมือนลูก ดูแลตั้งแต่ตอนที่แม่เขาท้อง และช่วยเลี้ยงจนอายุ 2 ขวบ ตอนนี้เขาอยู่กับแม่ที่ศรีราชา ว่างๆ แหม่มก็จะไปเยี่ยม

สำหรับเรื่องคู่ครอง แหม่มคิดว่าแล้วแต่บุญแต่กรรม ถ้ามีก็ดีจะได้มีเพื่อนคู่คิด แต่ถ้าไม่มีก็ดี ชีวิตก็สงบราบรื่น เป็นอิสระ แหม่มคิดว่าถ้าเราคิดในแง่ดี อย่าไปคิดลบเสียอย่าง เราก็หาความสุขให้ตัวเองได้แล้ว

อย่าทักทายด้วยคำที่ทำร้ายกันอีกเลย

แหม่มคิดว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่น่ารัก อบอุ่น แต่บางครั้งเราก็อาจทำร้ายคนอื่นโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะแทนที่เราจะทักทายกันว่า “สบายดีไหมคะ ช่วงนี้ทำอะไรอยู่” เรากลับทักทายด้วยคำพูดที่ว่า

“ต๊าย…ไปทำอะไร ทำไมปล่อยให้อ้วนขนาดนี้ ดูแลตัวเองบ้างนะ…”

หรือถ้าผอมลง หลายคนก็คงจะเคยได้ยินคำพูดประมาณนี้

“ต๊าย…เป็นอะไร ทำไมถึงผอม ลดความอ้วนหรือผัวมีเมียน้อย…”

ค่านิยมที่ว่าเป็นดาราแล้วต้องผอม หุ่นดีอยู่เสมอ สร้างความกดดันให้แหม่มเป็นอย่างมาก เพราะช่วงที่ป่วยแหม่มต้องกินยาสเตียรอยด์เลยทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีใครรู้ บางครั้งพอบอกใครว่าอ้วนเพราะกินยา คนที่เข้ามาทักก็คิดว่าแหม่มหาข้อแก้ตัว ใครที่คิดแบบนี้ช่วงแรกๆ แหม่มก็จะตอกกลับไปอย่างไม่ถนอมน้ำใจว่า

“ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็นดารา ไม่ใช่คนในบ้านคุณ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดูนะคะ เปลี่ยนช่องได้เลยค่ะ” หลัง ๆ เจอคำถามนี้มากเข้า แหม่มก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร แล้วเดินผ่านไปเลย คิดในใจว่า “ถ้ากูตอบ มึงก็ตาย” เพราะถ้าใครทักมาแบบนี้ แหม่มก็โต้กลับไปเจ็บๆ เหมือนกัน

หลายคนฟังแล้วอาจคิดว่าแหม่มเป็นคนแรง แต่แหม่มคิดว่านี่คือชีวิตของเรา ไม่จำเป็นต้องให้ใครตัดสิน ทำไมต้องให้คนอื่นมานั่งบอกว่า “ฉันต้องเป็นอย่างนั้น ฉันต้องทำอย่างนี้”

แต่สำหรับใครที่ทำได้อย่างที่สังคมคาดหวัง แหม่มก็ดีใจด้วย อย่าง พี่ตั๊ก – มยุรา เศวตศิลา ซึ่งมีระเบียบกับตัวเองดีมาก เมื่อ 20 ปีที่แล้วเราเคยเล่นละครด้วยกัน แหม่มยังตัวเท่าพี่เขาเลยแต่เวลาผ่านไปเขาก็ยังเป็นตั๊กที่ตัวเท่าเดิม แต่แหม่มกลับกลายเป็นตั๊ก-ตั๊ก (ฮา) แทน

แหม่มคิดว่าคงมีหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกันนี้ จึงอยากจะบอกคนอื่นๆ ในสังคมว่า เรามาเปลี่ยนคำทักทายใหม่เป็น “สบายดีไหม” หรือ “วันนี้ดูสดใสจัง” เพื่อเป็นการให้กำลังใจกันดีกว่าค่ะ ลองหามุมดีๆ ของคนอื่นมาพูด แหม่มคิดว่าสังคมไทยจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ

Secret Box

อิสรภาพของมนุษย์ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการมีโอกาสที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น

อัลแบร์ กามูส์ นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส




ก่อนจะเปลี่ยนจากดารามาเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง แหม่มก็เคยถามตัวเองว่า “เราจะทำอาชีพอะไร ถ้าวันหนึ่งไม่รับงานแสดง” จนเมื่อเจอกับวิกฤติของชีวิต ทำให้งานแสดงหดหาย สิ่งที่เคยทำมาตั้งแต่เด็กก็กลายมาเป็นคำตอบ…

แจกจ่ายความสุขด้วยอาหาร

ตอนยังเป็นเด็ก แหม่มอยู่กับยายและป้า เมื่อถึงเวลาทำกับข้าว ป้าก็จะเรียกลูกหลานผู้หญิงในบ้านมาช่วยกันหยิบนู่นตำนี่ ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องช่วย แต่สำหรับตัวแหม่มเองชอบมาก เลยทำให้มีความสุขในการทำอาหาร และชอบชิมอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ

แหม่มคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในด้านนี้ นอกจากทำอาหารไทยได้ก็ยังทำอาหารฝรั่งได้ด้วย สมัยก่อนไปทานที่ร้านไหนแล้วอร่อยก็จะลองกลับมาทำที่บ้าน หรือบางครั้งได้อ่านตำราอาหารที่ชอบก็ลองทำเลย ที่สำคัญ แหม่มทำอาหารแต่ละครั้งต้องหม้อใหญ่ๆ ทำเสร็จก็นำไปฝากคนโน้นคนนี้ ใครกินแล้วบอกว่าอร่อย เราก็มีความสุข

นอกจากอาหารฝรั่ง อาหารที่แหม่มชอบกินมากที่สุดคืออาหารญี่ปุ่น เพราะไม่ค่อยมีน้ำมัน แถมยังอร่อยและดีต่อสุขภาพ ตัวแหม่มเองก็คอยระวังเรื่องน้ำหนักตัว รู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย ก็ต้องระวังเรื่องการกินให้มาก

ความจริงแหม่มเคยพยายามออกกำลังกาย แต่รู้สึกว่าเหนื่อยมาก วันหนึ่งๆ แค่ยืนขายอาหารตามสั่งอย่างเดียว ตกเย็นก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว อย่างมากที่สุดที่คิดว่าจะทำคือ เล่นฮูลาฮู้ปเท่านั้นเอง

“สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม…”

นอกจากขายอาหารตามสั่ง แหม่มก็มีโอกาสให้กำลังใจคนอื่น เพราะมีหลายคนที่ไม่ได้เป็นลูกค้าอย่างเดียว แต่กลายเป็นเหมือนญาติพี่น้อง เวลามีความทุกข์ใจเรื่องอะไรเขาก็จะมาเล่าให้ฟัง ด้วยความที่แหม่มเป็นคนสนุกสนาน ชอบหาเรื่องขำๆ มาคุย ไม่ทุกข์ ไม่เครียด บางวันลูกค้าแซวว่า “ทำไมวันนี้พี่สวยจังเลย” แหม่มก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส ตอบเขาไปว่า “พอดีชีวิตพี่ยุ่งมาก จนไม่มีเวลาขี้เหร่นะคะคุณน้อง” เลยได้ฮากันไปทั้งแม่ค้าทั้งลูกค้า

ก่อนหน้านี้แหม่มอาจไม่อารมณ์ดีเท่านี้ แต่พอผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาได้ ชีวิตก็เหมือนฟ้าหลังฝน สมัยก่อนเวลาโกรธอะไรก็ตีอกชกหัว ทุบกระจก เตะเก้าอี้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าทำแบบนั้นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แถมยังเจ็บตัวอีกต่างหาก ดังนั้นสำหรับคนที่เจอปัญหาแล้วคิดจะฆ่าตัวตาย แหม่มก็อยากจะถามว่า

“ทำไปทำไม…คิดดีแล้วหรือว่าถ้าไม่มีเรา ปัญหาทุกอย่างจะจบ ไม่ใช่กลายเป็นทิ้งปัญหาไว้ให้คนอื่นหรือ คุณรักตัวเองเป็นไหม…ถ้ารักเป็น คุณจะไม่คิดทำแบบนี้หรอก ที่สำคัญ รักใครก็รักได้ แต่อย่ารักให้มากกว่าพ่อแม่ เพราะคนที่รักเราที่สุดคือสองคนนี้จริงๆ”

สำหรับคนที่เจอปัญหาอะไรก็แล้วแต่ อันดับแรกต้องทำใจให้นิ่ง ค่อยๆ ทบทวนปัญหาด้วยตัวเอง อย่าให้อารมณ์โกรธ โมโห เศร้า หดหู่เป็นใหญ่ ที่สำคัญ ตัวเราต้องตั้งสติให้ได้ก่อน ก่อนที่จะไปขอความช่วยเหลือหรือขอความคิดเห็นจากคนอื่น ถ้าคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะจัดการกับปัญหานั้นอย่างไร หากปล่อยได้ให้ปล่อยไปก่อน อย่าเอาใจไปดิ้นทุรนทุราย เมื่อถูกจังหวะถูกเวลามันก็จะมีทางออกของมันเอง

เมื่อก่อนตอนเป็นนักแสดง มีชื่อเสียง แหม่มเคยตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่า พออายุ 50 ปีจะเกษียณ เพื่อใช้เวลาพักผ่อน ทำสิ่งที่ชอบ แต่มาถึงวันนี้คงไม่ได้แล้ว เพราะสิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นอย่างที่ฝัน แต่ถามว่าทุกข์ไหม ตอบได้เลยว่า “ไม่” มีแต่ความคิดว่า “ฉันจะสู้ต่อ…ไม่เป็นไร เกษียณ 50 ไม่ได้ก็ 55 แล้วกัน”

ตอนนี้แหม่มอายุ 49 แล้ว เมื่อถึงวันที่อายุ 55 ก็คิดว่าตัวเองคงยังไม่แก่ ถ้ากลัวแก่ ก็จะไปนั่งมองหนุ่ม ๆ ให้สดชื่นหัวใจเข้าไว้ค่ะ (ฮา)

ชีวิตนี้ยังมีหวัง

ทุกวันนี้แหม่มใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ แม้แต่หน้ายังไม่ค่อยแต่ง เวลามีปัญหาอะไรเข้ามาก็จัดการด้วยจิตใจที่เบิกบานมากขึ้น รู้จักให้กำลังใจตัวเอง เพราะค้นพบแล้วว่า แม้กำลังใจจากพ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตรจะมีค่ามากก็จริง แต่ก็ไม่ดีเท่ากับการที่เรารู้จักให้กำลังใจตัวเอง

ต่อให้บางคนบอกว่า พื้นฐานชีวิตของตัวเองย่ำแย่แค่ไหน พ่อแม่เลิกร้างแยกทางกัน หรือพ่อติดเหล้า แม่ติดยา น้องติดการพนัน ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราจะต้องย่ำแย่ตาม เราต้องใช้ชีวิตด้วยความหวังและทำทุกอย่างให้ดีขึ้นด้วยตัวเอง

ชีวิตของแหม่มเคยอยู่ในจุดที่ติดลบ เป็นหนี้ แต่เราก็ยังมีหวังว่าชีวิตนี้จะใช้หนี้ให้หมด และค่อยๆ ทำมาเรื่อยๆ ทีละนิดจนทุกวันนี้ก็ใกล้ความจริงแล้ว

ที่สำคัญ แหม่มคิดว่าเราต้องพยายามทำความฝันที่เหลืออยู่ แหม่มมีความฝันว่าอยากเจอคนดีๆ สักคนที่สามารถเป็นเพื่อนคู่คิดของเราได้ รวมถึงอยากทำสิ่งดีๆ ให้แม่บ้าง ให้สมกับที่ท่านเลี้ยงดูเรามา ปัจจุบันนี้แม่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ นานๆ ทีถึงจะกลับมา ที่ผ่านมาแหม่มทำให้ท่านเป็นห่วงกังวล เวลาที่เหลือจากนี้เลยอยากให้ท่านสบายใจ คิดอยู่เสมอว่าท่านให้ชีวิตเรามา แค่นี้ก็เป็นพระคุณมากโข จนไม่ทราบว่าจะตอบแทนอย่างไรได้หมด อย่างน้อยๆ ที่แหม่มพอจะทำได้คือ อยากให้แม่ยิ้มได้มีความสุขเมื่อนึกถึงเรา

แม้ว่าวันนี้แหม่มจะผันตัวเองจากดารามาเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง แต่ก็ยังมีผู้จัดบางท่าน เช่น พี่กอบ–กอบสุข จารุจินดา เปิดโอกาสให้กลับมาเล่นละคร พี่กอบให้กำลังใจว่า “มาเล่นละครเถอะ อย่าคิดอะไรมาก” ล่าสุดจึงได้แสดงละครเรื่อง เจ้าจอม ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของบุษยมาสโดยรับบทเป็นแม่ท่านชายรวมถึง คุณวุธ-อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร ผู้จัดฯ และผู้กำกับฯ ในนามบริษัท ดูมันดี จำกัด ก็ชวนมาเล่นละครเรื่อง พรายพยากรณ์ ละครแนวลึกลับในสไตล์โรแมนติกคอมเมดี้ เรียกว่ายังไม่ห่างหายจากวงการละคร และยังมีความสุขที่จะทำงานในวงการนี้

ชีวิตของแหม่มผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ แต่ไม่ว่าจะผิดจะพลาดอย่างไร ทุกอย่างคือบทเรียนที่ดี ไม่มีชีวิตของใครที่สมบูรณ์แบบ แต่ขอให้ทุกคนมีความสุขกับความไม่สมบูรณ์แบบนั้นนะคะ

Secret Box

สุดยอดของศิลปะ ก็คือศิลปะในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขท่ามกลางเวลาแห่งความทุกข์

ท่าน ว.วชิรเมธี


จาก http://www.secret-thai.com/uncategorized/1455/mam-alisa/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...