หัวใจไม่เคยแพ้ของทนงศักดิ์ ศุภการ (1)ว่ากันว่า “ทองแท้ไม่กลัวไฟ” ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตของคนเราที่พบเจออุปสรรคปัญหาใดๆก็ไม่หวั่นเกรง แต่กลับจะยิ่งทำให้หัวใจแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับชีวิตของ คุณ
ทนงศักดิ์ ศุภการ ช่างภาพ นักแสดง ที่ต้องพานพบกับเรื่องราวของความสูญเสีย พลัดพรากและไม่ได้อย่างที่ใจหวัง จนน่าจะนำความทุกข์ใจมาให้อย่างใหญ่หลวง แต่ด้วยเลือดนักสู้ที่มีอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม เขาก็ก้าวผ่านเรื่องราวนั้น ๆ มาได้อย่างมีสติ แม้บางเรื่องเมื่อคิดขึ้นมาครั้งใด จะทำให้หวนคิดถึงความรู้สึกในครั้งนั้นจนทำให้น้ำตาคลอเบ้า แต่ในวันนี้เขาได้วางมันไว้เป็นอดีตที่มีคุณค่าและเป็นบทเรียนที่สมควรถ่ายทอดให้คนอื่นฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ต่อไป
ชีวิตเด็กวัดบ่มเพาะเลือดนักสู้ผมเกิดมาในครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ไม่ได้เรียนหนังสือทั้งคู่ พ่อเป็นชาวจังหวัดอุดรธานี ส่วนแม่เป็นชาวจีน
กวางตุ้งที่เกิดและโตที่กรุงเทพฯ หลังจากแต่งงานกัน พ่อกับแม่ก็หาเลี้ยงครอบครัวด้วยการเปิดร้านตัดเสื้ออยู่แถววัดหัวลำโพง ผมเองเป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องห้าคน
ช่วงชีวิตมัธยมปลายของผมถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ผมออกจากบ้านมาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดไตรมิตรวิทยาราม เพราะอยากช่วยแบ่งเบาภาระของที่บ้าน ตอนแรกก็ไปอาศัยนอนห้องเพื่อนที่มาจากต่างจังหวัดอยู่ไปอยู่มาเมื่อเขาย้ายออกไป ผมก็ได้นอนห้องนั้นแทนเขา สมัยก่อนเด็กวัดมาจากต่างจังหวัดเพื่อเรียนหนังสือ พ่อแม่ของพวกเขาก็จะฝากฝังให้หลวงตาที่เป็นที่เคารพนับถือช่วยดูแล บางคนก็ไม่ได้ยากจนพ่อแม่มีที่นามากมาย แต่ต้องมาอยู่วัดก็เพราะพ่อแม่อยากให้ลูกได้รับการอบรมบ่มนิสัยที่ดี
ในแต่ละวัน ผมต้องตื่นแต่เช้ามารดน้ำต้นไม้ กวาดขี้นก ช่วงไหนมีพระมาบวชใหม่ ก็จะช่วยท่านแต่งตัว ถ้ามีงานเลี้ยงบนโบสถ์ ก็ช่วยจัดเตรียมอาหาร พอเสร็จเรียบร้อย ก็ช่วยล้างจาน ตอนเย็นก็ต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์
สังคมของเด็กวัดที่นี่จะมีพระคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนใหญ่เย็นวันศุกร์เด็กวัดจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด พอเย็นวันอาทิตย์ก็จะกลับมารายงานตัวตอนหกโมงเย็น มีการเช็กชื่อ ใครทำอะไรไม่ดีไว้ หลวงพ่อหลวงพี่ก็จะเรียกมาอบรมสั่งสอน
ในวันสำคัญทางศาสนา เราจะช่วยกันล้างโบสถ์ ขายดอกไม้ธูปเทียน ผมขยันตั้งใจทำงานทุกอย่าง จนกระทั่งวันหนึ่งหลวงลุงก็เอ่ยปากให้ผมอยู่ต่อได้ พร้อมกับจะส่งเสียให้เรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นที่มีพ่อแม่นำมาฝากฝัง
ชีวิตเด็กวัดสอนให้ผมรู้จักปรับตัวและรักที่จะเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ ไม่ว่าจะอยู่ในหน้าที่ไหน ผมจะคิดเสมอว่าต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เมื่อเป็นเด็กวัดก็ต้องเป็นเด็กวัดที่ขยัน ทำงานเรียบร้อยจนถึงขั้นที่หากเราไม่อยู่ เขาจะต้องคิดถึงเรา การเป็นเด็กวัดให้อะไรผมหลายอย่าง โดยเฉพาะการได้เห็นความหลากหลายของชีวิต เพราะคนที่เข้ามาในวัดมีตั้งแต่คนยากจนที่เข้ามาขอข้าวกิน ทั้งคนร่ำรวยมีเงินเป็นแสนเป็นล้านที่นำเงินมาบริจาคให้วัดผมได้เห็นช่องว่างที่แตกต่างกันนี้ เช่นเดียวกับตอนที่เล่นละคร บางครั้งผมรับบทเป็นคนจน ต้องไปถ่ายทำในชุมชนแออัด เราก็เห็นสภาพความเป็นอยู่ของเขาว่าเป็นอย่างไร ในขณะที่บางเรื่องผมเล่นเป็นเศรษฐี มีบ้านใหญ่โต มันทำให้ผมเห็นว่าชีวิตของเราก็แค่นี้มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะอยู่บ้านหลังไหนแต่มันอยู่ที่เราต้องใช้ชีวิตให้มีคุณค่ามากกว่า
เรื่องเฉียดตายที่มาจากความประมาทหลังเรียนจบ ม.ศ.3 ผมตั้งใจจะเป็นทหาร เลยไปสอบเตรียมทหาร แต่สอบไม่ติด พอขึ้น ม.ศ.5 ก็เบนเข็มไปสอบ
นายร้อยตำรวจ แต่ติดเป็นตัวสำรองสุดท้ายจึงมาเรียนโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย
ช่วงมัธยมปลาย ผมค่อนข้างเกเรแต่ไม่ได้ไปทำเรื่องเสียหายอะไร ผมมีเพื่อนสนิทเรียนถ่ายภาพอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ เขาเลยชวนผมโดดเรียนไปเป็นแบบให้เขาถ่าย ไป ๆ มา ๆ ผมก็ชักอยากถ่ายภาพเป็นบ้าง เขาก็เลยสอนให้ ทั้งการจัดแสง จัดไฟ เข้าห้องมืด คราวนี้เริ่มสนุกเลยสนใจเรียนรู้ด้วยตัวเองจนกลายเป็นอาชีพในที่สุด
ก่อนหน้านี้ผมเคยอยากเป็นนักมวยถึงขนาดให้พ่อพาไปฝากตัวกับ คุณนิวัฒน์เหล่าสุวรรณวัฒน์ โปรโมเตอร์ของ
เขาทราย แกแล็กซี่ เขามีค่ายมวยอยู่ใกล้บ้าน ตอนยังเด็ก หลังเลิกเรียนผมมักไปซ้อมมวย แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยรุ่งเพราะเพื่อนในค่ายบอกว่า “หน้าอย่างมึงไปเล่นหนังดีกว่า อย่ามาต่อยมวยเลยเดี๋ยวแหกหมด”
หลังจากนั้น เมื่อโตขึ้น ผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับแวดวงหมัดมวยอีกเลย แต่กลับมาเอาดีด้านการเป็นช่างภาพแทน ในยุคนั้นช่างภาพมืออาชีพไม่ได้มีมากมายเหมือนทุกวันนี้ อาชีพช่างภาพทำให้ผมมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ สามารถส่งน้องเรียนหนังสือและซื้อรถสปอร์ตให้ตัวเองได้
ผมเริ่มอาชีพนี้ด้วยการไปช่วยงานถ่ายรูปของ คุณศักดิ์ชัย กาย เพื่อนสมัยมัธยม ที่ปัจจุบันคือช่างภาพมืออาชีพและเจ้าของนิตยสาร Lips หลังจากนั้นก็ไปเป็นช่างภาพให้กับบริษัทสถาปนิกชื่อ ไรเฟนเบิร์กที่เป็นการร่วมทุนกันระหว่างคนไทยและต่างชาติ โดยทำหน้าที่ถ่ายภาพโรงแรมและอาคารต่าง ๆ นอกจากนี้ทางบริษัทเองก็เปิดรับงานจากเอเจนซี่ต่าง ๆ ด้วย แม้แต่ตอนที่เล่นละคร ผมก็ยังไม่ทิ้งอาชีพช่างภาพและจากการทำงานนี่เองที่ทำให้ผมประสบอุบัติเหตุ จนแทบจะทำให้กลายเป็นคนพิการ หรือถ้าร้ายแรงกว่านั้นก็อาจเสียชีวิตไปแล้ว
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 1มกราคม 2537 ตอนนั้นผมแต่งงานมีลูกชายสองคนแล้ว วันนั้นผมต้องไปถ่ายรูปที่ Bank of Tokyo เป็นตึกสูงตรงถนนสาทรซึ่งบริษัทญี่ปุ่นเป็นคนก่อสร้าง ความจริงผมถ่ายภาพที่นี่ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ภาพที่ได้ยังไม่สวยเพราะถ่ายจากข้างล่าง มองขึ้นไปเห็นสายไฟระเกะระกะ ผมจึงต้องถ่ายใหม่อีกครั้ง โดยขอให้ทางบริษัทช่วยจัดหารถเครนให้ จะได้ถ่ายจากมุมสูง
วันนั้นผมขนอุปกรณ์การถ่ายภาพไปครบชุด เมื่อคนขับรถเครนส่งผมขึ้นไปอยู่ในจุดที่ผมต้องการแล้ว เขาก็งีบหลับทันที ผมไม่ได้สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองไปเรื่อย ๆ สมัยก่อนการถ่ายภาพยังใช้ฟิล์มอยู่ และมีกล้องตัวหนึ่งต้องใช้ผ้าคลุมเพื่อจะดูเฟรม ด้วยความประมาท ผมไม่ทันคิดว่าจุดที่ยืนอยู่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูง ดังนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ผมตวัดผ้าออกไป ผมก็โดนไฟดูดเข้าอย่างจังจนตัวชักกระตุก!
ตอนแรกผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ยังปลอบใจว่าสงสัยคงเอี้ยวตัวแรงไปหรือเปล่าตัวเลยกระตุก แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ผมก็เริ่มแน่ใจว่าตัวเองกำลังโดนไฟดูด เพราะรู้สึกเจ็บก้น เจ็บขา แสบร้อนไปทั่วทั้งแขนในใจร้องว่า “แม่ช่วยด้วย…แม่ช่วยด้วย”สักพักผมก็หลุดจากการถูกไฟดูดและล้มฟุบอยู่ตรงนั้น โชคดีที่ยังมีสติอยู่ ผมก็สำรวจตัวเองว่าเป็นอะไรมากน้อยแค่ไหน ก็พบว่ามือซ้ายร้อนมากและยกไม่ขึ้น แถมยังไหม้เป็นริ้ว ๆ เหมือนเนื้อย่าง ผมพยายามถอดกำไลเงินออกจากข้อมือ เพราะคาดว่าอีกสักพักมือคงจะพองบวมจนถอดไม่ออกแน่ ๆ
หลังลงจากรถเครนได้แล้ว ผมก็เก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งหมดไว้ท้ายรถ แล้วเรียกแท็กซี่ให้พาไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด…ทันทีที่พยาบาลใช้กรรไกรตัดเสื้อและกางเกงออกแล้วเห็นบาดแผล ก็อุทานออกมาว่า“โอ้โฮ!” คำอุทานนี้ทำให้ผมรู้ว่าอาการของผมคงหนักหนาสาหัสมากทีเดียว แล้วก็จริงอย่างนั้น คุณหมอคนแรกที่เห็นอาการบอกว่ากรณีของผมอาจจะต้องตัดแขน เพราะว่ามันน่าจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่โชคดีที่คุณหมอเจ้าของไข้บอกว่าให้เก็บมือไว้ก่อน แม้ว่าเนื้อที่แขนซ้ายจะไหม้จนต้องตัดออกไปมากแต่ก็ยังมีความหวัง
ด้วยความที่เนื้อบริเวณมือโดนไฟไหม้คุณหมอจึงต้องรักษาด้วยการตัดทิ้งและนำเนื้อบริเวณท้องมาปิดที่มือแทน ในการผ่าตัดครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ความตายเหลือเกิน เพราะการผ่าตัดใช้เวลานานมากผมสลบไปหลายชั่วโมง ครั้งแรกที่รู้สึกตัว มันลืมตาไม่ขึ้น จนทำให้ใจเสียพานคิดไปว่า “ทำไมไม่เห็นใครเลย ได้ยินแต่เสียง…เราตายไปแล้วหรือเปล่านี่”
ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างความตายกับการที่ต้องเผชิญกับการรักษาที่แสนเจ็บปวดทรมาน อะไรจะดีกว่ากัน แต่ตอนนั้นผมยังไม่พร้อมที่จะตาย แม้จะไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้ไป แขนข้างซ้ายของผมจะใช้งานได้มากน้อยแค่ไหน
ผมอยู่กับความไม่แน่ใจนานนับปีต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่กับเตียงนานสองเดือนให้พยาบาลล้างหน้า แปรงฟัน เช็ดก้น
เวลานอนก็ต้องนอนท่าเดียว เพราะมีแผลที่สะโพกหนึ่งแผล แผลที่ขาข้างขวาอีกหนึ่งแผลมือก็ขยับไม่ได้ กลางคืนก็นอนผวา ฝันว่าไฟดูด พอตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าเป็นเรื่องจริงก็ยิ่งสลด ดังนั้นวันแรกที่ผมอาบน้ำได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด
แต่สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน หลังจากนั้นไม่นานผมก็ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยของภรรยาที่ต้องใช้เวลาในการดูแลรักษาถึงสามปีเต็ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานใจที่สุดในชีวิตของผมก็ว่าได้…
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
Secret Box
เพชรพลอยเป็นประกายเพราะขัดเกลา คนจะดีพร้อมต้องผ่านความลำบาก
นิรนามจาก
http://www.secret-thai.com/article/4932/thanongsak1/หัวใจไม่เคยแพ้ของทนงศักดิ์ ศุภการ (2)แม้ว่าผม
(ทนงศักดิ์ ศุภการ ) จะโดนไฟดูดจนเฉียดตายแต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าการดูแลสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ จนกระทั่งเมื่อภรรยา (ปานฤดี ศุภทรัพย์) ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจึงได้เห็นว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพร่างกายอีกแล้ว
ความจริงภรรยาของผมเป็นคนที่เอาใจใส่ดูแลสุขภาพมาก ทั้งเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย เพราะสิ่งที่
เขากลัวมากที่สุดคือโรคมะเร็ง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถหนีได้พ้น
ลางร้าย จากความผิดปกติของร่างกายประสบการณ์ชีวิตในช่วงวัยรุ่นที่เห็นเพื่อนบ้านตัวน้อยวัย 5 - 6 ขวบร้องไห้โหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานจากโรคมะเร็งสมอง ความเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งตับของป้าแท้ ๆ และการจากไปด้วยโรคมะเร็งปอดของคุณแม่ของเธอ ทำให้ภรรยาของผมกลัวฝังใจ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตัวเองดีมาก
ตอนนั้นเรามีลูกเล็ก ๆ ด้วยกัน 3 คนสองคนแรกเป็นผู้ชาย และคนสุดท้องเป็นผู้หญิง ชีวิตครอบครัวกำลังมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ความเจ็บป่วยก็ไม่เคยเลือกว่าเราเป็นใครมาจากไหน ร่ำรวยหรือยากจนก็มีสิทธิ์เผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทั้งนั้น
ในวัย 40 ปี ภรรยาของผมต้องเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย ทั้งที่ดูแลตัวเองดีมาตลอดกิจวัตรของเธอเริ่มต้นจากการทำงานบ้านในตอนเช้า ส่งลูกไปโรงเรียนเสร็จแล้วก็กลับมาทำงานบ้านต่อ บ่าย ๆ ก็ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนของลูกเมื่อได้เวลาก็ไปรับลูกกลับจากโรงเรียน
แต่แล้วเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าโรคร้ายกำลังมาเยือนก็เกิดขึ้นภรรยาของผมสังเกตว่าตัวเองมีอาการปวดหลัง และน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ควบคุมอาหารและออกกำลังกายทุกวันตอนแรกเธอคิดว่าคงจะเป็นแค่กล้ามเนื้ออักเสบธรรมดา จึงไปหาหมอ หมอก็รักษาไปตามอาการ คือช่วยประคบร้อนให้ อาการก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่หาย นอกจากนั้นเธอยังมีอาการเบื่ออาหารอย่างเห็นได้ชัด ปรกติเวลาไปเที่ยวทะเลด้วยกัน ภรรยาของผมจะชอบทานปูมาก และผมจะเป็นคนแกะให้ทุกครั้ง แต่ครั้งนั้นเธอกลับรู้สึกเบื่ออาหาร ถึงขนาดไม่อยากกินของที่ตัวเองชอบ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ภาพที่ผมเห็นก็ทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจว่า อาการเจ็บป่วยของภรรยาคงไม่ธรรมดา วันนั้นผมถ่ายละครดึก พอกลับถึงบ้านก็หลับสนิท แต่มาสะดุ้งตัวตื่นเอาตอนเช้าเพราะได้ยินเสียงแปลก ๆภาพที่เห็นคือ ภรรยาของผมกำลังกระถดก้นลงจากเตียง แล้วค่อย ๆ พลิกตัวอย่างช้า ๆด้วยความเจ็บปวดทรมาน เมื่อเห็นอย่างนั้นผมเลยชวนเธอไปหาหมออีกครั้ง
ครั้งแรกที่หมอตรวจร่างกายก็ไม่เจอความผิดปรกติอะไร แต่เมื่อตรวจเลือดซ้ำอีกครั้ง ก็พบสัญญาณความผิดปรกติ
บางอย่างจากไขสันหลัง เลยต้องตรวจไขสันหลังเพิ่มเติม
การตรวจเลือดครั้งแรกพบว่า ภรรยาของผมมีเลือดน้อยมาก หมอจึงให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้เลือด หลังจากนั้น
จึงค่อยเจาะไขสันหลัง ช่วงนั้นผมถ่ายละครยุ่งมาก และไม่คิดว่าภรรยาจะเจ็บป่วยร้ายแรงอะไร วันที่หมอนัดเจาะไขสันหลังผมจึงไม่ได้อยู่ด้วย แต่ภรรยาเล่าให้ฟังทีหลังว่า หมอใช้เข็มขนาดใหญ่เจาะไปที่กระดูกสันหลังเสียงดัง ป๊อก! แล้วดูดเอาน้ำที่อยู่ในกระดูกสันหลังออกมา ซึ่งเธอบอกว่าเจ็บเหลือเกิน
เผชิญความจริง เมื่อมะเร็งมาเยือนด้วยความที่คิดว่าภรรยาไม่เป็นอะไรมาก ช่วงนั้นผมจึงยังไปถ่ายละครตามปรกติ จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่า ๆ ก่อนที่จะเข้าฉากแรกของละครเรื่อง กษัตริยา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ภรรยาของผมโทร.มาบอกว่า ผลการตรวจพบว่ามีความผิดปรกติเกี่ยวกับไขกระดูกต้องรักษาด้วยการทำคีโม แต่หมอบอกว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง
ผมฟังแล้วก็รู้ทันทีว่าหมอไม่พูดความจริง และตอนนี้ภรรยาของผมคงใจเสียมากแต่ด้วยความที่เป็นคนเข้มแข็งและไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้ใครรู้ เธอก็เลยพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติและบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วง
แต่นาทีนั้น ผมคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถทนถ่ายละครได้อีกต่อไป เพราะสิ่งสำคัญที่ผมต้องทุ่มเทเวลาและทำให้ดีที่สุดในตอนนี้คือการดูแลภรรยา ผมจึงตัดสินใจเดินไปบอกผู้กำกับว่าภรรยาไม่สบาย เพิ่งตรวจเจอว่าเป็นมะเร็ง ถ้าผมถ่ายละครวันนี้ก็จะติดพันไปเรื่อย ๆ ดังนั้นผมจึงขอถอนตัวกลางกองถ่ายทันที
เมื่อภรรยาเจ็บป่วย ผมรู้ดีที่สุดว่าสิ่งที่เขาเป็นห่วง ไม่ใช่แค่สุขภาพร่างกายของตัวเอง แต่คือลูกทั้งสามคนที่ยังเล็ก
ตอนนั้นลูกคนโตเพิ่งอายุได้ 12 ขวบเท่านั้น
หลังจากพูดคุยตกลงกับทางกองถ่ายเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบบึ่งรถไปที่โรงพยาบาลทันที ใจของผมกระวนกระวายอยากไปถึงที่นั่นเร็ว ๆ ผมอยากลูบศีรษะภรรยาเพื่อให้กำลังใจเธอมากที่สุด ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปเธอพยายามปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปรกติแล้วพูดกับผมว่า “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่เป็นอะไร” แต่ด้วยความที่เราอยู่ด้วยกันมานานผมก็รู้ว่าเธอพยายามเก็บกดความรู้สึกของตัวเองไว้ แต่ในที่สุดเธอก็ร้องไห้โฮออกมา
ผมพยายามทำใจให้เข้มแข็งและปลอบเธอว่า “อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปตรวจซ้ำอีกโรงพยาบาลหนึ่งให้แน่ใจดีกว่า”ทั้งที่ในใจลึก ๆ ผมก็รู้ดีว่า ผลที่ออกมาไม่น่าจะผิดพลาด แล้วความจริงก็เป็นอย่างนั้นหมอยืนยันว่าเธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวจริง ๆ และบอกกับเราทั้งคู่ว่า “รักษาได้”แต่ผมไม่เชื่อ จึงขอคุยกับหมอตามลำพังหมอยอมพูดความจริงว่าอาการของภรรยาผมหนักมาก ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีไหนก็อาจจะอยู่ได้แค่หนึ่งปีถึงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น
หลังจากนั้นภรรยาของผมก็เข้าสู่กระบวนการรักษา ทั้งทำคีโม ถ่ายเลือดฟอกเลือด จากที่หมอคิดว่าน่าจะอยู่ได้ไม่เกินปีครึ่ง ปรากฏว่าด้วยความเข้มแข็งของเธอ ทำให้ต่อสู้มาได้ถึง 3 ปีก่อนจะจากพวกเราไปอย่างสงบ
เธอเขียนเล่าความในใจของตัวเองไว้ในสมุดบันทึกว่า “ลูก ๆ ฉันน่ารักทุกคนฉันมองลูกไม่รู้เบื่อ ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้จริง ๆ เพื่อดูเขา เสพความสุขจากพวกเขาแค่มองเขาทีละคน แทน ปัญญ์ เปี่ยม ฉันก็มีความสุข…ฉันได้เข้าถึงสัจธรรมว่าทุกสิ่งไม่จีรัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ฉันได้เห็นค่าของความรัก รักสามี รักลูก(ที่สุด) รักพ่อแม่ น้อง ผู้คน เพื่อน…มันดื่มด่ำ ลึกซึ้ง”
ความเจ็บป่วยของภรรยาทำให้ผมตระหนักว่า คนเราต้องไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ผมอยากให้ความเจ็บป่วย
ในครอบครัวของผมสะท้อนให้คนอื่นเห็นว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของคนอื่นก็สามารถเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมันอย่างมีสติแต่ก่อนที่จะเตรียมใจ เราก็ต้องเตรียมร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงด้วย
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงทำโครงการวิ่งเพื่อคนที่เรารัก “Run for the One We Love”ด้วยการวิ่งมาราธอนเส้นทางกรุงเทพฯ -พระตำหนักดอยตุง เพื่อย้ำเตือนให้คนอื่น ๆเห็นว่าการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงทำโครงการ “ให้ด้วยหัวใจ” ซึ่งเป็นโครงการที่รณรงค์ให้มีการบริจาคอวัยวะ เพราะจากการที่ผมได้สัมผัสชีวิตคนป่วย พบว่าหลายคนอาจมีโอกาสรอดชีวิตถ้ามีคนบริจาคอวัยวะให้แก่พวกเขา
นอกจากนั้น ผมยังชอบไปเยี่ยมคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง เพราะอยากคุยกับเขาตอนที่ยังมีชีวิต ไม่ใช่แค่ไปงานศพ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังยินดีไปงานศพมากกว่างานเลี้ยงอื่น ๆ เพราะคิดว่างานวันเกิดหรืองานเลี้ยงแต่งงานถึงอย่างไรก็มีคนไปกันเยอะแยะ แต่สำหรับงานศพ ผมถือเป็นช่วงเวลาที่คนเราต้องแสดงความมีน้ำใจ ไปกอด ไปสัมผัส ไปแสดงความเสียใจต่อกัน
รสชาติของความสูญเสียพลัดพรากอาจทำให้เราเจ็บปวดทรมานก็จริง แต่สุดท้ายเวลาก็จะเยียวยาให้ทุกอย่างดีขึ้น
เมื่อภรรยาจากไปแล้ว ผมก็พยายามทำหน้าที่คุณพ่อลูกสามอย่างดีที่สุด
แต่บางสิ่งบางอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง เมื่อลูกชายคนกลางขอออกจากโรงเรียนที่เมืองนอกกลางคัน ทั้งที่กำลัง
จะเรียนจบมัธยมปลายในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า…
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
Secret Box
อย่าติดอยู่ในสิ่งที่เรารักหรือไม่รัก
การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นทุกข์
การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์
พุทธศาสนสุภาษิต
จาก
http://www.secret-thai.com/article/4940/thanongsak2/หัวใจไม่เคยแพ้ของ ทนงศักดิ์ ศุภการ (จบ)ลูกก็เหมือนหนังสือที่พ่ออย่างผมต้องเปิดอ่านทีละหน้าๆ เขาคือบทเรียนอย่างดีในชีวิตของเราโดยเฉพาะสอนให้เรารู้จักให้อภัยหลังจากภรรยาเสียชีวิต ผม
(ทนงศักดิ์ ศุภการ) ต้องรับหน้าที่หลักในการดูแลลูกชายสองหญิงหนึ่งของผม หลายคนถามว่าเหนื่อยไหม คำตอบคือเหนื่อยอยู่แล้ว เพราะผมต้องคอยรับ - ส่งดูแลเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่ตอนที่แม่เขาป่วย แต่ในความเป็นพ่อผมก็มีความสุขที่ได้ดูแลพวกเขา
ตอนนี้นอกจากผมแล้ว พวกเขาก็มีคุณน้าและพี่เลี้ยงที่เป็นแม่บ้านคอยดูแลรวมถึงคุณตาของพวกเขาที่ทำสวนอยู่ต่างจังหวัด ก็จะมาเยี่ยมหลานพร้อมกับผลไม้ทุกสองอาทิตย์ บางครั้งผลไม้ที่สวนอย่างมะม่วงให้ผลเยอะมาก พวกเราทั้งหมดก็ช่วยกันนำไปขาย เด็ก ๆ ไม่ได้รู้สึกอายที่จะยืนขายผลไม้ด้วยกัน
เมื่อปีที่แล้วลูกชายคนโตเพิ่งเรียนจบจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(ABAC) ส่วนลูกชายคนกลาง หลังกลับมาจากนิวซีแลนด์โดยที่ยังเรียนไม่จบ เขาก็ยังไม่ได้เรียนอะไรต่อ ปีนี้กำลังจะเกณฑ์ทหาร ผมอยากให้เขาไปใช้ชีวิตแบบนั้นดูบ้าง เผื่อว่าจะทำให้มีระเบียบวินัย รู้จักรับผิดชอบและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ส่วนลูกสาวคนเล็กหลังจบ ม.6 แล้ว เขาก็อยากเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ลูกของผมแต่ละคนนิสัยต่างกันแม้ว่าจะเลี้ยงดูมาแบบเดียวกันก็ตาม ลูกชายคนโตเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูง ถ้าเขาอยากทำอะไร ก็จะพยายามจนถึงที่สุด แต่ถ้าไม่อยากทำ เขาก็จะไม่ทำเลย ลูกชายคนกลางนี่สบาย ๆ มีความสุขกับชีวิตไปเรื่อย ๆ ส่วนลูกสาวคนเล็กจะมีระเบียบวินัย รักการเรียน และรู้จักรับผิดชอบดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
ลูกก็เหมือนหนังสือที่พ่ออย่างผมต้องเปิดอ่านทีละหน้า ๆ เขาคือบทเรียนอย่างดีในชีวิตของเรา โดยเฉพาะสอนให้เรารู้จักให้อภัย ในเมื่อเราให้อภัยลูกได้ตั้งหลายครั้ง แล้วทำไมเราจะให้อภัยคนอื่นไม่ได้ แม้เขาจะไม่ใช่ลูกของเรา แต่เขาอยู่ร่วมโลกเดียวกับเรา ต้องพึ่งพาดิน น้ำอากาศเหมือนเรา ดังนั้น สำหรับผม เราต้องรู้จักให้อภัยและรู้จักแบ่งปันกับคนอื่นด้วย มีน้อยก็แบ่งน้อย โดยผมจะพยายามแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับการทำบุญเสมอเช่น ช่วงปิดเทอมผมก็จะชวนลูก ๆ ไปบริจาคหนังสือและเสื้อผ้าที่บ้านโฮมฮักของครูติ๋ว ระหว่างทางก็โทรศัพท์ชวนเพื่อนให้ทำบุญด้วยกัน ก็ได้เงินมาซื้อข้าวสารและอาหารต่าง ๆ หลังจากนั้นก็ช่วยระดมทุนสร้างห้องสมุดให้บ้านโฮมฮักที่จังหวัดยโสธร
ครอบครัวของผมอาจไม่ได้สมบูรณ์พร้อม ไม่ได้ร่ำรวย ลูก ๆ ทุกคนยังต้องอาศัยเงินดูแลจากพ่อ แต่ผมก็ยังเชื่อเรื่องการให้เพราะที่ผ่านมาชีวิตของผมได้ดีมีสุขอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะการให้โอกาส ให้ความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ดังนั้นผมจึงอยากส่งต่อสิ่งนี้ให้กับสังคม โดยเฉพาะการให้กับคนที่ไม่มีโอกาสจะตอบแทนเรา หรือคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน สำหรับผมแล้วถือเป็นการให้ที่บริสุทธิ์ เพราะไม่มีอะไรเคลือบแฝง ไม่มีการรอคอยผลประโยชน์หรือคำขอบคุณใด ๆ
แต่ก่อนที่ผมจะเรียนรู้การให้กับใครได้นั้น คนแรก ๆ ที่ผมให้อย่างมากที่สุดและด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงก็คือลูกของตัวเอง ไม่ว่าเขาจะทำผิดพลาดกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเขาก็ยังเป็นลูกที่ผมรักมากที่สุดอยู่ดี
บทเรียนที่มีค่าจากลูกผมเลี้ยงลูกเหมือนเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก หลายครั้งที่ผมอ่านข่าวตามสื่อต่าง ๆแล้วเห็นบางครอบครัวต้องสูญเสียลูกไปผมมักจะถามตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับเราบ้าง เราจะทำอย่างไรณ วันนี้เราอาจไปบอกครอบครัวคนอื่นได้ว่า“ไม่เป็นไร เสียแล้วก็เสียไป” ผมจะพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนอื่นได้ ก็เกิดกับเราได้เหมือนกัน เพราะจริง ๆ แล้ว สุดท้ายชีวิตที่เรามาผูกพันกันนี้ก็แค่ช่วงเวลาหนึ่ง จะช้าหรือเร็วก็ต้องจากกัน ถ้าไม่อยากจากก็อย่าเจอ ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเกิด แต่นี่เกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องใช้กรรมของตัวเองไป
ผมเชื่อว่า เราเกิดมาเพื่อปิดกรรมให้ตัวเอง ตอนนี้เราอาจมีหนี้กรรมอยู่ประมาณพันหนึ่ง เราต้องค่อย ๆ ปิดหนี้กรรมของตัวเอง ตอนนี้อาจจะปิดได้สักแปดสิบก็ค่อย ๆ ทำไป ชดใช้ในสิ่งที่กู้มา ซึ่งตอนที่กู้ เราอาจไม่ทันรู้ตัว แต่วันนี้เมื่อรู้ตัวแล้วเราก็ต้องชดใช้ และพยายามไม่สร้างหนี้เพิ่มแต่หนี้อย่างหนึ่งที่ผมผูกพันมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องลูก
ลูกชายคนกลางเป็นคนที่ภรรยาของผมห่วงมากที่สุด เพราะเป็นคนที่มีความสุขกับการไปโรงเรียน แต่ไม่เรียนแต่ละปีที่ขึ้นชั้นเรียนใหม่ ผมต้องไปฝากกับผู้อำนวยการโรงเรียนว่า ขอให้ลูกได้เรียนกับอาจารย์ที่ใจเย็น เพราะลูกไม่ชอบอาจารย์ที่อารมณ์เสียใส่เขา ส่วนช่วงปิดเทอม ผมก็ต้องมานั่งช่วยเขาทำรายงานส่งอาจารย์เพราะว่าสอบตกวิชานั้นวิชานี้
ตอนเช้า ๆ เวลาไปส่งลูกไปโรงเรียนผมต้องว้ากกับลูกคนนี้ทุกวัน คนโตกับคนเล็กลงจากรถไปแล้ว แต่คนกลางยังต้องนั่งอยู่ในรถกับผมต่อ ต้องอ่านหนังสือในรถก่อนครึ่งชั่วโมง เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้อยู่ที่โรงเรียนเขาจะไม่อ่านเลย แต่แม้จะพยายามกวดขันเขามากเท่าไร ก็ไม่สามารถห้ามปรามความดื้อรั้นตามวัยของเขาได้นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนแล้ว ยังสูบบุหรี่ เกเร ไม่อยู่ในระเบียบ ฯลฯ มีเรื่องจนถูกตัดคะแนนความประพฤติบ่อย ๆผมถูกเรียกไปห้องปกครองแทบจะทุกเดือนจนในที่สุดลูกก็ต้องลาออก
ชีวิตการเป็นพ่อสำหรับผมแล้ว ถือว่าต้องทำทุกอย่างให้ถึงที่สุด ลูกถูกไล่ออกจากโรงเรียน ผมก็ไปนั่งหน้าห้องผู้อำนวยการเพื่อขอพบ ขอโอกาสให้ลูกได้เรียนต่อแม้กระทั่งไปช่วยงานโรงเรียน ผมก็ยอมแต่สุดท้ายลูกเรียนได้อีกปีเดียวก็ต้องลาออกอีกครั้ง เพราะสร้างวีรกรรมไว้เยอะ คราวนี้เป็นช่วงที่แม่เขาเสียพอดี ผมเลยให้ไปอยู่โรงเรียนประจำ ต้องอยู่หอพัก แต่อยู่ไปอยู่มาลูกหนีเที่ยว กลับถึงหอตีสามตีสี่เป็นประจำ เลยต้องลาออกอีกครั้ง
ยาเสพติดอย่าคิดว่าแค่นิดเดียวช่วงที่ลูกมีปัญหา ผมเลยไม่รับละครเพราะอยากดูแลเขาให้เต็มที่ ผมเชื่อว่าถ้าวันนี้เราดูแลเขาให้ดีที่สุด เราก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจกับการกระทำใด ๆ ของตัวเองผมทำให้เขาเห็นว่า พ่อยอมเสียสละเพื่อเขาได้มากแค่ไหน
ผมมักจะบอกลูกเสมอว่า “ถ้าลูกทำอย่างนี้ ก็แสดงว่ามีความสุขกับสิ่งที่ทำถ้าไม่มีความสุข ลูกต้องเดินออกจากตรงนี้เพราะถ้ายังนั่งอยู่ ก็แปลว่ามันเย็นพอที่ลูกจะนั่ง แต่ถ้ารู้สึกร้อนเมื่อไร ก็ต้องย้ายไปหาที่เย็น”
หลังจากพยายามให้ลูกชายคนกลางเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่เมืองไทยไม่สำเร็จ ผมก็ลองส่งเขาไปเรียนซัมเมอร์กับน้องสาวของเขาที่นิวซีแลนด์ ปรากฏว่าเขาเรียนใช้ได้ ผมเลยให้เรียนต่อที่นั่น เมื่อมีเวลาว่างผมก็ไปเยี่ยมเขา จึงได้เห็นว่าเขาสูบกัญชาเสพสารเสพติด เราเลยคุยเปิดอกกัน เขาบอกผมว่า “แค่นิดเดียว”
แต่ แค่นิดเดียว ที่ว่านี้กลับส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตเขา สองสัปดาห์ก่อนเรียนจบ ลูกโทร.มาร้องไห้กับผม บอกว่าเรียนต่อไม่ไหวแล้ว ขอกลับบ้าน เพราะถ้าอยู่ต่อคงหนักกว่านี้
ผมต้องตั้งสติและบอกกับลูกว่า“คิดให้ดี ๆ แล้วค่อยโทร.มาใหม่ เพราะคนที่รับสภาพไม่ใช่พ่อนะ ลูกจะกล้ามาบอกทุกคนไหมว่าล้มเหลว หรือจะกล้าบอกทุกคนไหมว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าลูกรับได้ก็ได้เพราะมันตัวของลูก ไม่ใช่ตัวพ่อ” สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจลาออกด้วยตัวเอง และผมก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของเขา
ผมได้เรียนรู้ว่าปัญหาบางอย่างของลูก ถ้าเขาไม่แก้ไขด้วยตัวเอง เราก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงต้องมาปรับที่ใจของตัวเอง ต้องกลับมาคิดว่า อย่างน้อยมันก็ไม่เลวไปกว่านี้ เขาไม่ได้ไปขโมยของใครไม่ได้ขับรถไปพุ่งชนใคร วิธีคิดที่เป็นมุมดี ๆ ทำให้เราสบายใจขึ้น เราต้องยอมรับว่าแต่ละคนมีกรรมมาแตกต่างกัน เมื่อทำกรรมแบบนี้ เขาก็ต้องยอมรับผลของมันซึ่งต่อไปเขาจะเดินไปในทิศทางไหน ผมก็ได้แค่ประคับประคองและให้โอกาสเขาเท่านั้น แต่ทุกวันนี้เขาก็ทำให้ผมสบายใจมากขึ้น
เมื่อปีที่แล้วผมทำโครงการ “รัก ท.”ขึ้น โครงการนี้เปรียบเสมือนการรวม “3 ท.”เป็นหนึ่งเดียว ได้แก่ “ท” - เทิดไท้องค์ราชัน 85 พรรษา “ท” - ประเทศไทย และ“ท” – ทหารผู้เสียสละ รวมไปถึงชาวไทยที่ได้รับผลกระทบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยผมจัดกิจกรรมประมูลของรักของหวงของนักแสดง นักร้อง ตลอดจนคณะผู้จัดละคร เพื่อหารายได้ไปซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและซื้อเสื้อเกราะให้กับทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามชายแดน
ผมเชื่อว่าการจะบอกว่ารักชาติ รักแผ่นดิน รักพระมหากษัติย์ เราพูดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงมือทำด้วย เช่นเดียวกับที่ผมสอนลูกเสมอว่า “ไม่ต้องบอกรักพ่อแค่ลูกทำความดี พ่อก็รู้แล้วว่าลูกรัก”
เพราะเมื่อเราทำความดี คนที่ชื่นใจมากที่สุดก็คือพ่อแม่นั่นเอง
Secret Box
ความดีของลูกคือความสุขของพ่อแม่
ความเลวของลูกคือความทุกข์ของพ่อแม่
นิรนามจาก
http://www.secret-thai.com/article/4954/thanongsak3/