ชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ของ เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย (1)เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว
วรเชษฐ์ เอมเปีย หรือ
เชษฐ์ วงสไมล์บัฟฟาโล มือกลองอารมณ์ดีที่มีฝีไม้ลายมืออันเป็นเอกลักษณ์เป็นหนึ่งในนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคที่ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อครุ่งเรืองหลังจากนั้นเขากลับหายหน้าหายตาจากวงการไปนาน เราได้พบเขาอีกครั้งในฐานะของ “เกษตรกร”
ซีเคร็ต บุกไปเยี่ยมเยียนคุณเชษฐ์ถึงที่บ้านในจังหวัดชลบุรี เขาต้อนรับเราอย่างเป็นกันเอง พร้อมพาลัดเลาะชมสวนชมต้นไม้ที่ปลูกมากับมือ และพาไปดูท้องนาซึ่งเต็มไปด้วยรวงข้าวที่รอเก็บผลผลิตด้วยความภาคภูมิใจ
ทำไมเขาจึงเลือกหันหลังให้ชีวิตที่เคยฟุ้งเฟ้อ และกลับมาใช้ชีวิตธรรมดา ๆ โดยยึดหลัก “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ที่บ้านเกิดวันนี้เขาพร้อมถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟังแล้ว
ดนตรีอยู่ในสายเลือดผมเกิดและเติบโตที่อำเภอพนัสนิคมจังหวัดชลบุรี ครอบครัวของผมไม่ได้ร่ำรวยอะไร พ่อเป็นครูสอนดนตรี ท่านจึงสอนให้ผมเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เริ่มจากเล่นดนตรีไทยเกือบทุกชนิด ผมเลือกเอาดีกับระนาดทุ้ม ไปประกวดที่ไหนก็ได้รางวัลกลับมาพอโตขึ้นมาหน่อยพ่อก็สอนให้เล่นดนตรีสากลตอนนี้เองที่ผมเริ่มหลงรักการตีกลองเข้าให้แล้ว
เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลาย ผมเริ่มประกวดดนตรีสากลจนได้แชมป์หลายรายการ และเคยได้แชมป์ระดับประเทศด้วย เรียกว่าดังใช้ได้เลยแหละ ช่วงนั้นมีงานเล่นดนตรีไม่ขาดสายวิชาความรู้ที่พ่อให้มากลายเป็นเครื่องมือทำมาหากินที่ทำให้ผมส่งตัวเองเรียนได้
แต่ถึงใคร ๆ จะบอกว่าผมเล่นดนตรีเก่งแล้ว แต่ผมคิดว่าแค่มีประสบการณ์อย่างเดียวยังไม่พอ ผมอยากเรียนรู้โน้ตดนตรีและทฤษฎีดนตรีสากลเพื่อให้เข้าใจการเล่นดนตรีอย่างแท้จริง จึงโหมทำงานหนักเพื่อเก็บเงินจำนวนเกือบหมื่นไปลงคอร์สเรียนที่กรุงเทพฯ แม้การเดินทางไป - กลับจะเป็นไปอย่างลำบาก แต่ผมก็ไปเรียนไม่เคยขาดตั้งใจเรียน เก็บเกี่ยวความรู้มาให้ได้มากที่สุดเพราะมีเงินเรียนเพียงแค่คอร์สเดียวเท่านั้น
หลังมีพื้นฐานแล้ว ผมนำมาใช้พลิกแพลงในการเล่นดนตรี ทำให้เล่นได้ดีขึ้นและยิ่งมั่นใจมากขึ้น จนหลงคิดว่า ตัวเองเก่งแบบไม่มีใครสู้ได้แน่ ๆ และด้วยความคิดแบบนี้แหละที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ
ครั้งหนึ่งตอนอยู่ชั้น ม.6 ผมเตรียมตัวเข้าประกวดดนตรีของภาคตะวันออก แต่ด้วยคิดว่าเก่งแล้ว ทะนงตัวว่าอย่างไรก็คงไม่มีใครสู้ได้ เพราะชนะมาหลายรายการแล้ว จึงหนีการฝึกซ้อมไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนสำมะเลเทเมาจนพ่อทนไม่ไหวไปตามตัวจนเจอและตีผมต่อหน้าเพื่อน ๆ ผมอายและเสียหน้ามาก จึงหนีออกจากบ้านไป
แต่ก่อนวันแข่งขันผมรู้สึกกังวลขึ้นมาจึงแอบกลับมาที่บ้าน และได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเรื่องการแข่งขัน พ่อพูดขึ้นว่า
“ถ้าไม่มีเชษฐ์ คงต้องล้มเลิกการแข่งไป”
เมื่อผมได้เห็นสีหน้าผิดหวังของพ่อก็รีบวิ่งเข้าไปกราบท่าน และสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านเสียใจ วันรุ่งขึ้นจึงไปแข่งขันกับวงซึ่งก็ได้รางวัลชนะเลิศกลับมา เหตุการณ์นี้สอนใจผมเสมอว่า อย่าไปคิดทะนงว่าตัวเองเก่ง เพราะจะทำให้ทั้งตัวเราและคนอื่นเสียหายได้ คนที่ล้มเหลวคือคนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว
ฝันที่ไม่เป็นจริงหลังจบ ม.6 ผมมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตามความฝัน ผมและเพื่อนตั้งวงดนตรีด้วยกัน แล้วไปรับจ้างเล่นดนตรีตามผับบาร์แต่ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดเราต้องอยู่อย่างขัดสน เพราะโดนโกงค่าจ้างอยู่ซ้ำ ๆ จนอยากเลิกทำอาชีพนี้
แต่แล้วก็มีเพื่อน ๆ ชวนมาเล่นดนตรีแบ็กอัพให้ศิลปิน ตอนนั้นเป็นการรวมวงของสมาชิก 4 คน คือ หนึ่ง - พนัส อภิชาติ-พงศ์บุตร (คีย์บอร์ด) ดิษ - ประดิษฐ์ วรสุทธิ-พิศิษฎ์ (ร้องนำ / เบส) เต็น – ธีรภัค มณีโชติ (กีตาร์) และตัวผมเป็นมือกลอง ซึ่งต่อมาก็คือวงสไมล์บัฟฟาโล (Smile Buffalo) ที่ทุกคนรู้จักนั่นเอง
การหันมาเล่นวงแบ็กอัพให้ศิลปินทำให้ผมมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับ พี่แทนวงเอาท์ไซเดอร์ จากการได้รับคัดเลือกให้เป็นวงแบ็กอัพในช่วงที่มาทัวร์คอนเสิร์ตที่เมืองไทย พอเริ่มสนิทกันพี่แทนจึงแต่งเพลงดีเกินไป และ ฟ้ายังฟ้าอยู่ ให้วงของเรา โดยวางแนวเพลงไว้เป็นแบบอัลเทอร์เนทีฟร็อคซึ่งเป็นแนวเพลงค่อนข้างใหม่ในสมัยนั้น
เรียกได้ว่าพี่แทนเป็นผู้ปั้น วงสไมล์บัฟฟาโล ขึ้นมา เพราะเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือและชี้แนะให้เราเล่นและร้องแบบมีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำของคนฟัง เราทำเพลงกับพี่แทนอยู่เป็นปีจนได้เพลงเดโมครบ 10 เพลง ก่อนที่พี่แทนจะบินกลับออสเตรเลีย จากนั้นเราสี่คนก็ลุยกันต่อ หวังจะไปให้ถึงฝันสูงสุดคือการออกเทป
ผมยังจำวันที่เราสี่คนไปเสนอเทปเดโมกับค่ายเพลงได้อย่างแม่นยำ วันนั้นทุกคนต่างแต่งตัวกันแบบที่เรียกว่าหล่อที่สุดในชีวิตเราเริ่มไปค่ายเพลงใหญ่ ๆ ก่อน แต่ต้องกลับมาด้วยความผิดหวังทุกครั้งไป บางค่ายไม่แม้แต่จะเปิดเพลงของเราฟังด้วยซ้ำ
นั่นคงเป็นเพราะเราไม่ได้หล่อแบบดาราที่มาเป็นนักร้องซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น แต่ที่เจ็บใจที่สุดคือ ตอนเข้าไปที่ค่ายเพลงแห่งหนึ่งเขาเปิดเพลงของเราฟังและพูดกับเราว่า
“วงของคุณฝีมือดีนะ แต่เราขอเพลงของคุณให้ดารามาร้องได้ไหม แล้ววงคุณก็เล่นแบ็กอัพให้”
พอได้ยินผมถึงกับนั่งกุมขมับต่อหน้าเขาเลย มันรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไมไม่มีใครเชื่อว่าเราทำได้ ทำไมเขาสนใจแต่รูปร่างหน้าตา โดยไม่มองความสามารถของเราเลย แต่ในใจก็ฮึดสู้ว่า ยังไงเราต้องออกเทปสวนกระแสให้ได้
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้เจอคนที่เข้าใจความตั้งใจและเห็นฝีมือของเรา นั่นคือพี่บอย โกสิยพงษ์ แห่งค่ายเบเกอรี่มิวสิคที่ฟังเพลงของเราแล้วชอบ ทั้งยังตกลงจะออกเทปให้เราหลังจาก วงโมเดิร์นด็อก ที่เซ็นสัญญากันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เราจำต้องปฏิเสธเพราะเพลงของสไมล์บัฟฟาโลเป็นแนวเพลงใหม่เหมือนกันจึงรอเวลาไม่ได้แต่อย่างไรผมก็ซาบซึ้งและขอขอบคุณพี่บอยจากใจและนับถือพี่เขาเสมอมา
เราทั้งสี่คนตระเวนเสนอเพลงตามค่ายต่าง ๆ แต่ทุกที่ก็เงียบหายไปหมด ผมและเพื่อน ๆ เครียดมาก เพราะตอนนั้นไม่ได้รับงานประจำ เงินทองก็ไม่มีใช้จ่าย ต้องอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ ไปวัน ๆ ช่วงเวลานั้นผมทั้งท้อและเสียใจ จึงตัดสินใจหนีกลับบ้านไปคนเดียว โดยเขียนจดหมายขอโทษทุกคนว่าจะไม่เล่นดนตรีแล้ว
ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าจะกลับมาพร้อมกับความสำเร็จ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างใจหวัง ผมกลับบ้านด้วยสภาพที่โทรมและผอมแห้ง เมื่อเห็นแม่ก็โผเข้ากอดท่านและบอกว่า
“หนูกลับมาบวชให้แม่นะ”
จากนั้นผมก็ทิ้งทุกอย่างเพื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ผมตั้งใจเรียนรู้ธรรมะและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตอนนั้นจิตใจสงบมาก พ่อแม่ก็ชื่นใจ ญาติโยมก็ชื่นชม
แต่บวชได้ไม่นานนัก ชีวิตของผมก็มาถึงทางแยกอีกครั้ง
(โปรดติดตามตอนต่อไปฉบับหน้า)จาก
http://www.secret-thai.com/category/article/ชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ของ เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย (2)ผม
(เชษฐ์-วรเชษฐ์ เอมเปีย) กลับมาบวชที่บ้านเกิดเป็นเวลาเกือบเดือน ชีวิตในผ้าเหลืองทำให้จิตใจสงบ ร่มเย็นผมมีโอกาสไปเทศน์ให้พ่อแม่ฟังที่บ้าน มองหน้าแม่ก็รู้ว่าท่านมีความสุขอย่างมาก
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่บวช ผมรักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด และรู้สึกเป็นสุขกับความสงบเช่นนี้ แต่แล้ววันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้ง
เพื่อน ๆ วงสไมล์บัฟฟาโลมาเยี่ยมที่วัดและบอกว่า
“หลวงพี่ ตอนนี้ทางค่ายเพลง EMI รับเราเป็นศิลปินแล้วนะ”
ตอนที่ได้ยินหัวใจผมลิงโลดไปแล้ว แต่ต้องพยายามตั้งสติและสงบจิตใจ และถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งทุกคนก็พูดคำเดิมว่า ตอนนี้วงสไมล์บัฟฟาโลจะได้ออกเทปแล้ว เพื่อน ๆ บอกว่า เราต้องไปทำเพลงเลยทันที ตอนนั้นผมรู้ว่าเพื่อน ๆ กำลังจะเอ่ยปากขอให้สึก แต่ผมไม่อยากให้เขาพูดออกมา เพราะกลัวเขาจะบาป จึงรีบพูดว่า
“เอาอย่างนี้นะ โยมไม่ต้องพูดอะไรกลับไปกันก่อน เดี๋ยวหลวงพี่จะติดต่อกลับไป”
ตอนนั้นผมคิดว่าความฝันกำลังจะเป็นจริงแล้ว คงต้องขอออกไปสู้อีกสักครั้ง จึงตัดสินใจไปหาพระอาจารย์ กราบเรียนท่านว่าขอสึก ท่านก็ตกใจ เพราะศึกษาและปฏิบัติมาด้วยดีตลอดจนเป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้านผมบอกว่าต้องไปทำเพลงเพื่อออกเทป ท่านฟังเหตุผลและเห็นว่าตั้งใจจริงจึงไม่ได้ขัดอะไร จากนั้นผมก็เดินมาบอกพ่อกับแม่ที่บ้านท่านก็อนุญาต วันรุ่งขึ้นจึงสึกออกมา
โลดแล่นไปในความฝันและกิเลสเมื่อสึกแล้ว ผมเข้ากรุงเทพฯทันทีเพื่อไปเซ็นสัญญากับค่ายเพลง จากนั้นบริษัทก็ส่งวงของเราไปอัดเพลง การอัดเสียงสมัยนั้นเครื่องดนตรีทุกชิ้นต้องเล่นกันสด ๆ คนร้องก็ต้องร้องสด แล้วอัดเสียงกันตั้งแต่ต้นจนจบเพลง ถ้ามีส่วนไหนใช้ไม่ได้ก็ต้องเล่นใหม่ทั้งหมด แต่ละเพลงเราต้องเล่นไม่รู้กี่ร้อยรอบแต่ไม่ผ่านสักที ในใจเริ่มคิดว่า ตายแล้วสึกมาแล้วด้วย นี่โดนหลอกอีกแล้วเหรอจะแห้วอีกแล้วใช่ไหม ทำไมชีวิตเป็นอย่างนี้
ท้ายที่สุดทางบริษัทก็ให้เหตุผลว่า ที่ยังไม่ให้ผ่านเพราะเขารู้ว่าเราทำได้ดีกว่านี้ เราจึงตั้งใจทุ่มเทเต็มที่ ใส่กันอย่างไม่ยั้ง ไม่ว่าต้องอัดเพลงใหม่สักกี่รอบก็ไม่ท้อ ในที่สุดก็ได้ออกอัลบั้มแรกสมใจ พอปล่อยเพลงออกมาก็ดังเปรี้ยง กี่เพลง ๆ ก็ติดชาร์ตตลอด บางทีเราสี่คนแอบไปดูตามร้านเทปใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ เห็นคนยืนต่อแถวซื้อเทปเพลงของเรา รู้สึกปลื้มใจ สุขใจ และภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งถึงกับมองหน้ากันแล้วน้ำตาซึมเลยก็มี
การที่วงมีชื่อเสียงทำให้ได้ไปออกรายการ ทไวไลท์โชว์ ของ ป๋าต๋อย - ไตรภพลิมปพัทธ์ ซึ่งเป็นรายการที่ดังมากในสมัยนั้นเราสี่คนไปอัดเทปรายการกันไว้สักพัก แต่ไม่รู้ว่ารายการจะออกอากาศเมื่อไหร่ เพราะช่วงแรก ๆ ยังไม่มีเงินใช้มากนัก จึงไม่มีทีวีที่บ้าน โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี จนวันหนึ่งผมเดินออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถเมล์ เห็นวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นมองและก็หันไปคุยกันจากนั้นเขาก็เรียกผมว่า
“ไอ้เชษฐ์ ๆ”
ผมตกใจมากว่าไปทำอะไรผิดหรือเปล่าจึงรีบเดินหนีไปขึ้นรถเมล์ พอขึ้นมาบนรถคนก็หันมามอง แล้วเข้ามาจับไม้จับมือพูดคุยกับผม เลยรู้ว่าตอนนั้นคนเริ่มรู้จักเราจากการที่ได้ออกรายการ ทไวไลท์โชว์ แล้ว แต่ก็ยังไม่คิดว่าเราดัง จึงชวนกันไปเดินห้าง คนก็เข้ามารุมเต็มไปหมด คงเป็นเพราะในยุคนั้นไม่ค่อยมีคนดังเยอะเหมือนสมัยนี้
การที่ผมเป็นที่รู้จักของแฟนเพลง คงเป็นเพราะเอกลักษณ์ความบ้าดีเดือด ทุกครั้งที่ออกคอนเสิร์ต ผมจะหวดกลองแบบไม่คิดชีวิต คือต้องสะใจทั้งตัวเองและคนดูต่างจากนักร้องสมัยนั้นที่เป็นดาราหน้าตาหล่อสวยกันทั้งนั้น
เมื่อคิดย้อนไปถึงชีวิตช่วงนั้น ก็เห็นว่าการที่เด็กหนุ่มอายุ 22 ปีอย่างผมได้รับชื่อเสียงเงินทองในชั่วข้ามคืน ทำให้เป็น“โรคติดความดัง” ไปโดยธรรมชาติ หลงตัวเองว่าเก่งว่าดัง หรือที่โบราณเขาว่า “วัวลืมตีน” พอสังคมเชิดชูว่าเป็นคนดัง ต้อนรับเราอย่างดี พาไปกินข้าวภัตตาคารหรู นอนโรงแรมห้าดาว ยิ่งทำให้หลงระเริงไปกันใหญ่ลืมไปเลยว่าตัวเองมาจากไหน
พอยิ่งดัง งานก็ยิ่งเยอะ เล่นดนตรีวันละสามงาน เงินทองเข้ามาเหมือนกับเสกได้ วันหนึ่ง ๆ แบ่งกันในวงแล้ว ได้อย่างต่ำวันละเจ็ดหมื่นบาท ผมฝากธนาคารหกหมื่นบาท อีกหนึ่งหมื่นบาทก็ใช้กับน้องชายที่มาทำงานด้วยกัน ตอนนั้นพอเล่นดนตรีเสร็จ เราก็เที่ยวต่อ เหนื่อยแค่ไหนก็จะเที่ยวไปให้คนกรี๊ด รู้สึกว่ามันเท่เหลือเกิน
ตลอดสี่ห้าปีที่มีงานเข้ามาไม่ขาดสาย ผมใช้เงินเป็นว่าเล่นเช่นกัน จากที่เคยเป็นเด็กยากจน ก็อยากได้อยากมีมากขึ้นเรื่อย ๆ บ้านที่ซื้อตอนแรกเป็นบ้านหลังใหญ่ แต่อยู่ไปกลับรู้สึกว่าใหญ่ไม่พอ ก็ดั้นด้นสรรหาซื้อให้มันใหญ่เข้าไปอีก รถที่ใช้อยู่ก็ไม่เคยถนอม อยากได้คันใหม่ก็รีบใช้ให้มันพังแล้วมีรถคันเดียวก็ไม่พอด้วยนะ ซื้อเข้าไปหลาย ๆ คัน ตอนนั้นมันไม่มีสติ มีแต่กิเลสอยากได้โน่นอยากได้นี่ไม่มีที่สิ้นสุด และคิดไปว่าสิ่งเหล่านี้คือความสุข ลืมไปเลยว่าเมื่อก่อนอยู่ห้องแคบเท่ารูหนูก็อยู่ได้ รถเมล์ก็นั่งไปทำงานได้ ลืมตัวไปหมดทุกอย่าง
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมภูมิใจคือ พอลืมตาอ้าปากได้แล้ว ผมไม่เคยลืมพ่อแม่พี่น้อง ผมรีบพาแม่ไปรักษาโรคตาจนหายดีส่งเงินมาจ่ายค่าผ่อนรถกระบะของพ่อจนหมดช่วยเหลือพี่น้องจนอยู่กันสุขสบายทุกคนแต่ก็เป็นแค่การส่งเงินกลับมา ไม่ได้ส่งความรักด้วยการกลับมาดูแลเยี่ยมเยียนพ่อแม่สักเท่าไหร่
ก้าวที่พลาดเมื่อแต่ละคนในวงมีชื่อเสียง มีฐานะกันแล้ว ต่างคนก็ต่างอยากแยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองรัก สุดท้ายวงสไมล์บัฟฟาโลก็แตก ตัวผมเองออกมาเปิดโรงเรียนสอนดนตรี แล้วก็ชวน หนึ่ง สมาชิกของวงมาลงทุนด้วยกัน ตอนนั้นผมเปิดแบบยิ่งใหญ่เลย ทุ่มสุดตัวแบบทุบหม้อข้าว กะว่าสบายไปอีกนาน เงินมันเคยได้ยังไงมันก็ต้องได้อย่างนั้น
แรก ๆ ธุรกิจก็ไปได้สวย เพราะเรามีชื่อเสียง ใครก็อยากมาเรียนด้วย แต่ต่อมาเจอวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมืองทำให้ธุรกิจซบเซาไม่ค่อยมีคนมาเรียน รายได้หดหาย เงินที่มีก็ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็พังกันทั้งผมและหนึ่ง เพราะเหตุที่ทำอะไรเกินตัว ตอนนั้นผมเครียดมากเงินไม่รู้กี่ล้านที่หายไป ใจไม่อยากกลับไปลำบากเหมือนเดิมแล้ว คิดจะหางานอะไรทำก็ไม่ได้ เพราะเรามาทางสายนี้ จะไปทำอาชีพอื่นก็ตามเขาไม่ทันแล้ว
ทางออกที่ต้องทำคือขายโรงเรียนให้ได้เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ และเหลือเงินก้อนมาตั้งหลักใหม่ ระหว่างที่เครียดกับเรื่องของตัวเอง ผมได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าแม่ป่วยหนักมาก
ผมทิ้งทุกอย่างแล้วขับรถกลับบ้านที่ชลบุรีทันที มาถึงแม่ก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วอาการของแม่ค่อนข้างหนัก จึงต้องทำเรื่องย้ายไปโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า หมอบอกว่าแม่อาจไม่รอด แต่ผมขอให้ช่วยรักษาให้เต็มที่ดูก่อน แม้จะหวังแค่เปอร์เซ็นต์เดียวผมก็สู้
ความทุกข์เรื่องแม่ถือเป็นความทุกข์ที่ใหญ่หลวงที่สุด ผมนึกเสียใจว่าที่ผ่านมาไม่ได้กลับมาดูแลท่าน ในใจภาวนาขอให้ท่านมีชีวิตรอด แม้ต้องแลกกับอะไรก็ยอม
(โปรดติดตามตอนต่อไปฉบับหน้า)จาก
http://www.secret-thai.com/article/15482/worachet2/