ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตนี้…เหมือนเกิดใหม่ ติ๋ว – อรสา พรหมประทาน  (อ่าน 1377 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ชีวิตนี้…เหมือนเกิดใหม่ ติ๋ว – อรสา พรหมประทาน (1)

กฎของธรรมชาติมีอยู่ว่า เราเลือกเกิดไม่ได้ และเลือกตายไม่ได้ เพราะถ้าเลือกเกิดได้เราคงเลือกเกิดในที่สบาย อยู่ดีมีสุข และถ้าเลือกตายได้ เราก็คงอยากตายอย่างสงบไม่ทุรนทุราย ไม่เจ็บปวดทรมาน ไม่เดือดร้อนคนข้างหลัง

ความตายนี้ ใครๆ ก็ว่าอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก แต่ในวันที่ยังมีความสุขสนุกสนาน เราก็ลืมความจริงข้อนี้ไปสิ้น คิดแต่เพียงว่า“ยังอีกนาน” และ “ยังไม่ถึงตาเรา”

ดิฉัน (อรสา พรหมประทาน) คิดว่าทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังใช้ชีวิตแบบประมาทกันทั้งนั้น ประมาทว่ายังมีเงินมีทองใช้ ประมาทว่ายังมีพ่อแม่พี่น้องพร้อมหน้าพร้อมตา ประมาทว่ายังมีเวลาเหลือเฟือที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณฯลฯ

ก่อนหน้านี้ดิฉันไม่เคยคิดจินตนาการถึงความตายมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองในรูปแบบไหน จนกระทั่งวันที่ชีวิตเข้าใกล้ความตายในแบบไม่ทันตั้งตัว ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองใช้ชีวิตประมาท ประมาทในการดูแลสุขภาพของตัวเอง เพราะคิดว่าการออกกำลังกาย ไปหาหมอเช็กสุขภาพเป็นประจำทุกปีนั้นเพียงพอแล้ว

แต่เมื่อย้อนมองชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาก็พบว่าใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันมาก คำว่า “เพียงพอ” ไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของชีวิต มีแต่อยากได้ อยากทำ อยากเก็บตังค์ให้ได้เยอะๆ งานมีมาเท่าไร รับหมด ทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ขับรถด้วยตัวเองตะลอนไปทั่ว แล้วอย่างนี้จะไม่เรียกว่าประมาทในการดูแลสุขภาพได้อย่างไร

แต่กว่าจะสำนึกได้อย่างนี้ ดิฉันก็เกือบแลกมาด้วยชีวิต



เข้าประกวดนางสาวไทย

ดิฉันไม่เคยคิดสักนิดว่าตัวเองจะได้เป็นดาราที่ผู้คนรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ตอนเด็กๆ ฝันของเด็กผู้หญิงคนนี้คือการเป็นครูเท่านั้น แต่ในช่วงหนึ่งชีวิตก็หักเหจนนำมาสู่วงการบันเทิง

หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่เสีย ดิฉันซึ่งอยู่ในวัยกำลังโตเป็นสาวต้องจากบ้านที่พิษณุโลกมาอยู่และช่วยงานในร้านของคุณอาที่เปิดร้านทำผมอยู่ในกรุงเทพฯ ชื่อร้าน “ลัดดา” เป็นร้านที่มีชื่อเสียง มีดาราดังๆ ในยุคนั้นมาใช้บริการ ทั้ง เพชรา เชาวราษฎร์, ชูศรี มีสมมนต์,ปรียา รุ่งเรือง ฯลฯ

ดิฉันมีพี่น้อง 5 คน ตัวเองเป็นคนที่สอง ตอนที่คุณพ่อคุณแม่เสียดิฉันมีอายุเพียง 14 ปี ชีวิตต้องต่อสู้ดิ้นรนผ่านความยากลำบากมามากตอนเด็กๆ ดิฉันเองตั้งใจว่าจะเรียนครู ป.กศ.ที่พิษณุโลกให้จบ จบแล้วจะได้เป็นครูไปสอนนักเรียน โตขึ้นก็อยากมีชีวิตครอบครัวที่ดี คิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่สุดท้ายก็ได้อยู่ที่ร้านเสริมสวยของคุณอาในกรุงเทพฯมาตั้งแต่บัดนั้น

ด้วยความที่ร้านเสริมสวยของคุณอามีดารามาใช้บริการเยอะวันหนึ่ง คุณเพชรา เชาวราษฎร์ ซึ่งมาทำผมที่ร้านก็บอกคุณอาว่าน่าจะส่งดิฉันเข้าประกวดนางสาวไทย ตอนนั้นดิฉันหุ่นเก้งก้าง ยังไม่เป็นสาวเต็มตัวด้วยซ้ำ แต่เมื่อคุณอาสนับสนุนให้ประกวด ดิฉันก็ประกวด ในช่วงปลายปี 2512

ปีนั้นหนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวหน้าหนึ่งว่า “สาวลูกกำพร้าสมัครชิงมงกุฎนางสาวไทย”

ดิฉันไม่ทราบว่าอะไรทำให้เขาสนใจเรื่องของดิฉัน แต่ตอนนั้นไม่คิดอะไรมาก เพราะยังเด็ก คิดแต่เพียงว่า การประกวดนางสาวไทยนี่อลังการที่สุดแล้ว เพราะเราไม่มีอะไร สตางค์ก็ไม่มี สปอนเซอร์ก็ไม่มี ต้องซื้อเสื้อผ้ามาแต่งเอง ในการประกวดรอบเช้าเดินกางร่ม แต่งชุดไทยจิตรลดา กลางคืนเป็นชุดว่ายน้ำ เดินไปก็ตื่นตาตื่นใจไป

ดิฉันค่อยๆ ผ่านการคัดเลือกในแต่ละรอบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือ 10 คนสุดท้าย ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้ตำแหน่งอะไรเลย เพราะคนอื่นๆ เขาสวยกันทั้งนั้น ที่สุดดิฉันก็ได้ตำแหน่งขวัญใจอะไรมาสักอย่าง ที่ตอนนี้ก็จำไม่ได้แล้ว เพราะสมัยโน้นมีตำแหน่งขวัญใจต่างๆเยอะมาก

ชีวิตผกผันเข้าสู่วงการบันเทิง

หลังจากการประกวดนางสาวไทยผ่านไป ผู้ใหญ่ก็ให้เข้าประกวดมิสเอ.ซี.ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2513 การประกวดจัดขึ้นที่เวทีลีลาศสวนลุมพินี ในงานเอ.ซี.บอลล์ ซึ่งเป็นงานเต้นรำ ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นเวทีของใคร เกี่ยวกับอะไร จนกระทั่งได้รับตำแหน่งมิสเอ.ซี.บอลล์.ในปีนั้น แล้วมีการพาไปโชว์ตัว ถึงรู้ว่าเป็นงานของโรงเรียนอัสสัมชัญแถวบางรัก

รางวัลที่ได้รับในตอนนั้นเป็นมงกุฎสวยงาม ทำจากผ้ากำมะหยี่ ปักดิ้นเงินดิ้นทอง แล้วก็มีถ้วยรางวัล พร้อมเงินสดหนึ่งหมื่นบาท ถือว่าเยอะมากในยุคนั้น นอกจากนั้นก็มีตู้เย็น ทีวี รวมทั้งข้าวของเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายอย่าง

ทั้งหมดที่ได้รับ ดิฉันก็ปลื้มแล้ว เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองสวยในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้รับตำแหน่งอะไรกับเขา ยิ่งเป็นดารายิ่งห่างไกล

แต่เมื่อได้เป็นมิสเอ.ซี.แล้ว ชีวิตก็ผกผันอีกครั้ง ได้เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการชักชวนของ คุณสนั่น นาคสู่สุข หรือที่รู้จักกันในนามของ เซียนเป๋ ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เล่นคือเรื่อง “เจ็ดดอกจิก” มีป๋า ส.อาสนจินดา เป็นผู้กำกับ เล่นคู่กับคุณไพโรจน์ ใจสิงห์ แต่เล่นหนังได้ไม่กี่สิบเรื่อง ดิฉันก็หันเหเข้าสู่วงการละคร

บทแรกในการแสดงละครคือนางเอก ตามมาด้วยนางรอง และนางร้าย ถ้าถามว่าชอบบทไหนมากที่สุด ขอบอกว่าเป็นนางร้าย เพราะสนุก มันที่สุด แต่ถ้าให้เล่นบทเรียบร้อย เล่นไม่ค่อยออก รู้สึกขัดๆเพราะต้องไม่แสดงแววตาดุๆ ให้คนเห็น แค่แวบหนึ่งก็ไม่ได้…

ดิฉันเล่นละครอยู่หลายเรื่อง จนกระทั่งปี 2526 ได้รับรางวัลเมขลาครั้งที่ 4 ดาราสนับสนุนหญิงดีเด่น จากเรื่อง อีแตน ของไทยทีวีสีช่อง 3 นี่ถือเป็นเกียรติประวัติที่น่าภูมิใจของชีวิต

ชีวิตของดิฉันวนเวียนอยู่กับการแสดงละครช่องนั้นช่องนี้ ไม่มีสังกัด ไม่มีค่าย ใครจ้างก็รับ แค่ฉากเดียวก็เล่นได้ เพราะคิดว่าเขาอุตส่าห์เลือกเรา ไม่เคยเกี่ยงงาน ไม่เคยเกี่ยงบท แสดงกับใครก็ได้จนทุกวันนี้ดิฉันกลายเป็น “แม่ติ๋ว” ของน้องๆ ในวงการบันเทิงไปแล้ว และสิ่งหนึ่งที่ดิฉันปฏิบัติมาตลอดในการทำงานคือการตรงต่อเวลาและรักษาคำพูด หากนัดเจ็ดโมง ดิฉันจะไปรอตั้งแต่ 6.30 น. เพราะไม่อยากให้ใครต้องตามเรา และไม่อยากทำอะไรแบบรีบร้อนหรือต้องกังวล

แต่วันไหน นัดกองถ่ายไว้แล้ว เกิดไม่สบาย ถ้าเป็นเมื่อก่อน ดิฉันก็จะไปตามนัด เพื่อให้เขารู้ว่าไม่สบายจริงๆ กลัวเขาจะคิดว่าเราโกหก ดีที่เดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์ เราก็โทร.บอกได้สะดวกขึ้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดิฉันมุ่งมั่นกับงาน พยายามเก็บเงินเก็บทองไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิต โดยไม่เฉลียวใจสักนิดเดียวว่า อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นตอนไปเที่ยวที่ประเทศอินเดียอาจทำให้ดิฉันไม่มีโอกาสใช้เงินเลยก็ได้ อาการเส้นเลือดฝอยในสมองแตกเปลี่ยนหลายอย่างในชีวิตของดิฉันไปโดยสิ้นเชิง…

โปรดติดตามตอนต่อไป

Secret Box

จงเปลี่ยนเงินเป็นคุณภาพชีวิต อย่าปล่อยให้เป็นอสรพิษย้อนมากัดตนเอง

ว.วชิรเมธี


จาก http://www.secret-thai.com/article/6148/orasa1/




ชีวิตนี้…เหมือนเกิดใหม่ ติ๋ว – อรสา พรหมประทาน (จบ)

ความจริงแล้วดิฉัน (ติ๋ว – อรสา พรหมประทาน) เป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่ค่อยเจ็บป่วยเป็นโรคอะไร ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และชอบเล่นกีฬาแบดมินตันเป็นประจำ

เพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการต่างรู้ดีว่าเป็นคนร่าเริง แจ่มใส ไม่มีเรื่องเครียดอะไร แต่สำหรับโรคบางอย่าง บางครั้งก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว ต่อให้ดูแลตัวเองดีแค่ไหน มันก็เกิดขึ้นจนได้ ดังเช่นโรคเส้นโลหิตฝอยในสมองของดิฉันแตก

ชีวิตเฉียดความตาย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2551 ตอนนั้นเพื่อนๆ ในวงการที่รักใคร่ชอบพอกันชวนไปแสวงบุญที่อินเดีย แต่ขณะที่ดิฉันกำลังเดินชมสถานที่ต่างๆ ด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจอยู่นั้น พลันก็เกิดอาการปวดหัวแปล๊บขึ้นมา แถมเหงื่อแตกพลั่กเหมือนจะเป็นลมและที่แย่ไปกว่านั้นคือมีอาการคลื่นไส้อาเจียนตามมาอีกด้วย ตอนนั้นป้าแจ๋ว – ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์ เห็นอาการก็เข้ามานวดเฟ้นให้จนกระทั่งเมื่อกลับมาถึงโรงแรมหมอชาวอินเดียก็เข้ามาฉีดยากันอาเจียนและให้ยาลดความดัน หลังจากนั้นอาการของดิฉันก็เหมือนจะดีขึ้น

จนกระทั่งกลับมาถึงประเทศไทย เพื่อนสนิทคือ คุณก้อย – ทาริกา ธิดาทิตย์ และน้องที่สนิทกันคือ คุณอัญญา กันอริ ก็พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยมี นายแพทย์วัชระพงศ์ แซ่ซืออายุรแพทย์ และ นายแพทย์ฤกษ์ชัย ตุลยาภรณ์โชติ อายุรแพทย์ประสาทวิทยา เป็นผู้ตรวจรักษา จำได้ว่าวันที่ไปหาหมอคือเช้าวันที่16 พฤศจิกายน 2551 ดิฉันบอกเล่าอาการของตัวเองกับคุณหมอไปว่าปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ และเสียงแหบ

หลังจากนั้นคุณหมอให้ดิฉันเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดทุกระบบ เช่น ตรวจเลือด อัลตราซาวนด์ช่องท้องทั้งหมด และเอกซเรย์สมองด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลการตรวจเลือดพบว่ามีเม็ดเลือดขาวต่ำ ระดับคอเลสเตอรอลสูง ระดับไขมัน LDL สูงผลอัลตราซาวนด์ช่องท้องเป็นปกติ ผลเอกซเรย์สมองด้วยระบบคอมพิวเตอร์พบว่ามีแคลเซียมเกาะที่ผนังหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นการอุดตันของเส้นเลือด คุณหมอจึงให้การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น

จนกระทั่งช่วงกลางคืน วันที่ 17 พฤศจิกายน ดิฉันมีอาการปวดศีรษะมากขึ้น คุณหมอจึงให้ดิฉันรับการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ผลพบว่ามีเลือดในเยื่อหุ้มสมองซึ่งน่าจะเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดดำใหญ่ของสมอง หลังจากนั้นคุณหมอก็ให้การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นต่อไป

ต่อมาในช่วงดึกของคืนวันที่ 19 พฤศจิกายน ต่อช่วงเช้าของวันที่ 20 พฤศจิกายน ดิฉันมีอาการปวดศีรษะมากขึ้น และกระสับกระส่าย ม่านตาด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากันหนังตาตก หมอจึงย้ายออกจากห้องพักปกติไปยังแผนกผู้ป่วยวิกฤติ(ICU) ซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมทั้งคุณหมอยังได้ทำการตรวจ Cerebral Angiogram ซึ่งเป็นการตรวจหลอดเลือดสมองโดยการฉีดสี แต่ก็ไม่พบว่ามีหลอดเลือดโป่งพองแต่อย่างใด

ช่วงเวลานี้ คุณอัญญาเล่าว่าดิฉันไม่รู้สึกตัวแล้ว จนล่วงเข้าวันที่21 พฤศจิกายน คุณหมอให้ดิฉันเข้าเอกซเรย์สมองด้วยระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้ง คราวนี้พบว่ามีปริมาณเลือดในเยื่อหุ้มสมองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โพรงสมองมีน้ำเพิ่มมากขึ้น คุณหมอจึงลงความเห็นให้ผ่าตัดเพื่อใส่สายระบายน้ำในโพรงเยื่อหุ้มสมองออก

หลังจากนั้นดิฉันเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น แต่แขนขายังอ่อนแรงขยับได้เล็กน้อย แขนขาข้างซ้ายขยับได้ง่ายกว่าข้างขวา หลังจากตรวจสมองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ซ้ำอีกครั้ง พบว่าน้ำในโพรงเยื่อหุ้มสมองลดลง แต่ยังคงมีไข้อยู่ ส่วนความดันโลหิต ชีพจร และอัตราการหายใจเป็นปกติ

ช่วงที่อยู่ในภาวะโคม่า ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองหลับสบาย ไม่ได้ฝันหรือเห็นอะไรเลย มีความรู้สึกว่าโล่ง เบา แต่ครั้งแรกที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมานั้น ดิฉันตกใจมาก สับสนไปหมดว่าทำไมอยู่ดีๆ หัว แขน ขาถึงกระดิกไม่ได้ ตกใจจนร้องไห้ ไม่คิดว่าตัวเองจะป่วยจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เพราะก่อนที่คุณหมอจะนำตัวเข้าห้องไอซียู ดิฉันสลบไปพอฟื้นขึ้นมาอีกทีไม่คิดว่าตัวเองจะอาการหนักขนาดนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ดิฉันเพิ่งมารู้ความจริงจากคุณหมอว่า อาการป่วยของดิฉันมีโอกาสรอดแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โอ้…คิดแล้วได้แต่บอกตัวเองว่า รอดมาได้เพราะฝีมือของคุณหมอและบุญจริงๆ ทุกวันนี้จึงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะถ้าวันนั้นกลับจากอินเดียแล้วเพื่อนไม่รีบพาไปหาหมอ หรือคุณหมอไม่ดูแลอย่างใกล้ชิด ป่านนี้ชีวิตดิฉันคงจะเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการได้

ระหว่างที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงพระกรุณาประทานแจกันดอกไม้มาเยี่ยมอาการดิฉัน โดยมี หม่อมราชวงศ์สมลาภ กิติยากรราชเลขานุการในพระองค์เป็นผู้แทนนำมามอบ มี คุณเศรษฐา ศิระฉายาและเพื่อนดาราศิลปินเป็นตัวแทนรับประทานแจกันดอกไม้ ยังความซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณแก่ครอบครัวดิฉันเป็นล้นพ้น

ดิฉันขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่เป็นห่วงเป็นใยไปเยี่ยมและถามไถ่อาการ เช่น คุณทาริกา ธิดาทิตย์ คุณพิศมัย วิไลศักดิ์ คุณดวงใจ หทัยกาญจน์ คุณมยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช คุณอรัญญา นามวงศ์ คุณสรวงสุดา ชลลัมพี คุณวรายุฑ มิลินทจินดา คุณอรุโณชา ภาณุพันธุ์ คุณเพชรี พรหมช่วย รวมทั้งท่านอื่นๆ อีกมากมาย ที่แสดงน้ำใจกับดิฉันในครั้งนั้นด้วย



เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ด้วยใจอดทน

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิฉันหลังรอดตายก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะต้องทำกายภาพบำบัดอย่างจริงจังเป็นเวลา 3 เดือน ต้องอดทนกับความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่

วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล ดิฉันเดินไม่ได้เลย ผลจากการนอนนิ่งๆ ตอนป่วยอยู่เกือบสัปดาห์ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายหายไปทำให้ต้องฝึกเดิน ฝึกพูด ฝึกขับรถใหม่ทั้งหมด

วันแรกที่กลับไปถึงบ้าน ดิฉันดีใจจนน้ำตาไหลที่มีโอกาสกลับมาพบหน้าลูกๆ คือสุนัขและแมวที่เลี้ยงไว้อีกครั้ง นึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้มีวันนี้ได้…

ทุกวันนี้ร่างกายของดิฉันสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ ความทรงจำยังดีเหมือนเดิม มีเพียงการพูดเท่านั้นที่มีปัญหานิดหน่อยในการออกเสียง เพราะลิ้นจะแข็ง อย่างคำว่า “สาวสวยใส่ส้นสูง” หรือ “สีแสด” ดิฉันจะพูดไม่ชัด ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอีกสักระยะ

ส่วนในเรื่องการทำงาน โชคดีที่ผู้จัดละครทุกคนยังไว้วางใจมอบงานให้มาตลอด ดิฉันจึงยังสามารถทำงานในวงการนี้ได้ต่อไปแม้ว่าจะเข้าสู่วัย 58 ปีแล้วก็ตาม ชีวิตที่ผ่านมาของดิฉันเรียกได้ว่าไม่ได้โสดตลอด บางช่วงก็มีคนแวบๆ เข้ามาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วทุกวันนี้ดิฉันก็อยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตหรืออะไรแต่ดิฉันก็พบว่าการอยู่คนเดียวเป็นชีวิตที่มีความสุขดี

ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ดิฉันขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด คือขออย่าให้ป่วยต้องนอนเป็นผักเป็นปลาให้คนอื่นดูแลรักษาเลย ถ้าจะ“ไป” ก็ขอให้ “ไป” แบบหลับไปเลยดีกว่า

เมื่อก่อนดิฉันคิดแต่เพียงว่าตัวเองเป็นคนโสด ต้องรีบเร่งทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ ตอนแก่จะได้ไม่ลำบาก ในชีวิตเคยทำงานหนักถึงขนาดขับรถหลับในแล้วไปชนกับรถสิบล้อมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าเราต้องรู้จักใช้ชีวิตแบบพอดีๆ มีความสุขแบบพอดีๆ เก็บสะสมเงินทองแบบพอดีๆ

ดิฉันคิดว่าถ้าเรารู้จัก “พอ” เพียงคำเดียว ชีวิตเราก็แคล้วคลาดจากเรื่องร้ายๆ ไปได้เยอะแล้วค่ะ

จาก http://www.secret-thai.com/article/6167/orasa2/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...