คอลัมน์ พุทธวิธีแก้ทุกข์
ในตัวคนเรามีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่ง คือ จิตเป็นผู้คิดนึก เช่น คิดจะกิน คิดจะนอน คิดจะพูด คิดจะร้องเพลง คิดจะไปเที่ยว...ครั้นคิดจะทำอะไรแล้วก็สั่งให้มือ เท้า ปาก ทำสิ่งนั้น
เมื่อคิดโน่นคิดนี่ต่างๆ นานา จิตก็ไปประสบกับ "สิ่งเร้า" ต่างๆ ที่ทำให้จิตรักก็มี เกลียดก็มี หลงก็มี สิ่งเหล่านี้ทางพระท่านเรียกว่า "กิเลส" (คือสิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง)
จิตที่ถูกโลภ โกรธ หลง ครอบงำ เป็นจิตที่สกปรก เสื่อมคุณภาพ ส่วนจิตที่ได้รับการขัดเกลาให้โลภ โกรธ หลง เบาบางลง เป็นจิตที่สะอาด มีคุณภาพสูง
ความสะอาดแห่งจิต เรียกว่า บุญ
ความสกปรกแห่งจิต เรียกว่า บาป
บุญ-บาป จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตนั่นเอง เปรียบกับ "ความสะอาด" และ "ความสกปรก" แห่งเสื้อผ้า
ผ้าที่สกปรก เมื่อเราซักฟอกแล้ว เกิดความสะอาดขึ้น "ความสะอาด" ที่เกิดขึ้นนี้ก็อยู่ที่เสื้อผ้านั้นเอง จะยกเอาความสะอาดไปเก็บไว้ในตู้ต่างหากหาได้ไม่
บุญก็เหมือนกัน เกิดที่จิต อยู่กับจิตนั้นเอง
เสื้อผ้าที่สะอาด ย่อมสวยงาม น่าสวมใส่ มีค่ามีราคาสูงขึ้นฉันใด บุญก็ทำให้จิตมีคุณภาพสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นผู้หวังความสุขความเจริญเพื่อตนจึงควรทำบุญไว้ให้มาก
วิธีทำบุญมีหลายวิธี สรุปวิธีการใหญ่ๆไว้ ๓ วิธี เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ คือ
๑.ให้ทาน ถวายทานแก่ผู้ทรงศีล แบ่งปันสิ่งของแก่คนอื่น เพื่อละความโลภเห็นแก่ได้
๒.รักษาศีล ควบคุมกาย วาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติ เพื่อละความโกรธ ความคิดทำร้ายเบียดเบียนเขา
๓.เจริญภาวนา อบรมจิตใจให้มั่นอยู่ในความดีและสร้างความฉลาดแก่จิต เพื่อละความหลงงมงาย ยึดติดในสิ่งผิดๆ
ผู้ต้องการให้เสื้อผ้าสะอาดต้องใช้ผงซักฟอกอย่างดีซักคราบความสกปรกออกฉันใด เมื่อต้องการให้จิตสะอาดเป็น "บุญ" ก็ต้องอาศัยทาน-ศีล-ภาวนาเป็นเครื่องฟอกจิตฉันนั้น
วิธีทำบุญที่หนึ่ง-ให้ทาน
วิเจยฺย ทานํ สุคตปสตฺถํ
การให้ด้วยปัญญาศาสดาทรงสรรเสริญ
คนเรามักจะมีความตระหนี่หวงแหนทรัพย์สมบัติของตนเป็นธรรมดา บางคนมิใช่เพียงตระหนี่หวงแหนของของตัวเท่านั้น ยังโลภอยากได้ของคนอื่นที่ตนไม่มีสิทธิอันชอบธรรมจะได้ด้วย ในใจจึงมีแต่ความคิดที่จะได้ จะเอามาเพื่อตนฝ่ายเดียว
เมื่อคิดแต่จะได้ จะเอา จะกอบโกยมาเพื่อตน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจคนอื่นจึงไม่มี จิตคิดแต่จะได้จะเอาเป็นความเห็นแก่ตัว พระพุทธองค์ตรัสว่า คนเห็นแก่ตัวเป็นคนสกปรก
เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด ให้เป็นบุญ ท่านจึงสอนให้บำเพ็ญทาน
การให้ทานมี ๒ อย่างคือ ให้เพื่อทำบุญ กับให้เพื่อสงเคราะห์
การถวายสังฆทาน ใส่บาตร หรือบริจาค สิ่งอันควรใช้สอยต่างๆ แก่พระภิกษุสงฆ์ เรียกว่าให้เพื่อทำบุญ การให้ชนิดนี้จุดประสงค์เพื่อฟอกจิตของตนให้สะอาด หรือ เพื่อลุ ละกิเลส ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
การให้ข้าวปลาอาหาร ทรัพย์สินเงินทอง แก่คนขอทาน หรือบริจาคเพื่อทำประโยชน์แก่สาธารณะต่างๆ เรียกว่าให้เพื่อสงคราะห์
การให้ไม่ว่าจะให้เพื่อทำบุญ หรือให้เพื่อสงเคราะห์ จะมีผลมากอยู่ที่เจตนาของการให้เป็นสำคัญกว่าอย่างอื่น
ถ้าให้เพื่อเอาหน้า เช่นให้เพื่อให้คนเขาเห็นว่าตนเป็นคนใจบุญ
ให้เพื่อแสดงว่าตนเป็นคนร่ำรวย ทำบุญคราวละมากๆ
ให้เพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างเช่น "เพื่อหาเสียง" เพื่อแลกสวรรค์วิมานในชาติหน้า ถึงของที่ให้นั้นจะมากมาย ราคาแพงๆ การให้ทานชนิดนี้ก็มีผลน้อย พูดง่ายๆ ว่าทำบุญไม่ได้บุญ หรือได้ก็ได้น้อย
แต่ถ้าให้เพราะจิตเลื่อมใส ต้องการให้จริงๆ ก่อนให้ หลังจากให้แล้ว จิตใจเลื่อมใส ไม่คิดเสียดาย การให้อย่างหลังนี้ แม้ของที่ให้จะเล็กน้อย ราคาถูกๆ ก็เป็นบุญกุศลแท้จริง
คนจนก็ทำบุญทำทานได้ และอาจได้บุญมากกว่าคนรวยเสียด้วยซ้ำ
ที่มาข่าวสด