พ่อที่ใช้ดินสอไม้จนสั้นกุดและนำมวนกระดาษมาต่อเพื่อที่จะให้ใช้ต่อไปได้
พ่อที่รีดหลอดยาสีฟันจนบางราวกับกระดาษ เพื่อจะใช้ยาสีฟันจนถึงหยดสุดท้าย
พ่อที่นำเรื่องความพอเพียงมาสอนให้ลูกๆ ทุกคนยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต
พ่อคนนี้คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พ่อผู้ทรงเป็นแบบอย่างให้การดำเนินชีวิตตามหลักพอเพียง ให้กับพสกนิกรชาวไทยมาตลอด 70 ปี ‘สมเด็จย่า’ ผู้ปลูกฝังเรื่องความพอเพียง ความพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีจุดเริ่มต้นมาจากจากคำสอนของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า ซึ่งการประหยัดอดออมไม่ฟุ่มเฟือยนั้น คือหนึ่งในวิธีการเลี้ยงพระโอรสและพระธิดาของสมเด็จย่า
พระองค์ทรงสอนลูกทุกพระองค์ให้รู้จักใช้เงินของขวัญ ที่จะได้เพียง 2 วัน คือวันปีใหม่และวันคล้ายวันประสูติ หากอยากได้นอกเหนือจากนี้ต้องเก็บเงินซื้อเอง หรือทรงได้รับอนุญาตให้หุ้นกัน หากสมเด็จย่าเป็นผู้ทรงซื้อให้ ก็จะทรงซื้อให้ก็ต่อเมื่อ ต้องใช้ประโยชน์
ครั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์ก็เริ่มมีพระราชอัธยาศัยโปรดการถ่ายภาพ กล้องถ่ายภาพตัวแรกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือกล้อง
Coronet Midget สีเขียวปะดำ ของฝรั่งเศส ราคาเพียง 2 ฟรังก์สวิส ซึ่งถือว่ามีราคาถูก เป็นสิ่งหนึ่งที่สมเด็จย่าพระราชทานให้
[ ที่มา :
http://pantip.com/topic/31350716 ]
เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษาขึ้นมาก็ทรงสนพระทัยทางด้านดนตรี พระองค์ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาทรงหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าเป็นผู้ออกให้เช่นกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ควบคู่กับความเป็นเด็กนั่นก็คือของเล่น หากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บเงินซื้อเอง หรือหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา
ในบางครั้งพระองค์ก็ทรงประดิษฐ์ของเล่นขึ้นเอง ทำให้พระองค์ทรงมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และฉายแววพระอัจฉริยภาพด้านงานประดิษฐ์ เมื่อเจริญพระชนมพรรษาขึ้น ก็ทรงนำมาต่อยอดเป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนของพระองค์อีกมากมาย
ตัวอย่างสิ่งของที่พระองค์ทรงคิดค้นด้วยพระองค์เองคือ
ทรงประดิษฐ์กังหันน้ำชัยพัฒนา ที่การหมุนน้ำให้น้ำได้รับออกซิเจน ทำให้น้ำที่เน่าเสียคืนสู่สภาพเดิม และสามารถนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง เป็นอีกหนึ่งโครงการที่สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้อย่างมหาศาล
การที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระมหากษัตริย์ที่พอเพียงนั้น ก็เพราะทรงมีแบบอย่างที่ดีอย่างสมเด็จย่าเป็นผู้ชี้นำ จากคำสอนเพียงไม่กี่คำของสมเด็จย่า ทำให้พระองค์ทรงนำแตกแขนงเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ นอกจากการประหยัด อดออม และรู้จักรู้คุณค่าของเงินที่สมเด็จย่าได้ปลูกฝังแล้ว พระอัจฉริยภาพ และความคิดสร้างสรรค์ในพระองค์เองยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน
ใช้ทุกอย่าง...อย่างคุ้มค่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ของใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชแต่ละชิ้นนั้น พระองค์จะทรงใช้อย่างคุ้มค่า
ของใช้ส่วนพระองค์อีกชิ้นที่หลายคนคงคุ้นตากันดี
คือหลอดยาสีฟันที่ถูกรีดจนแบนราวกับกระดาษ ซึ่งที่ถูกนำมาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ในคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือหลอดยาสีพระทนต์พระราชทาน ที่ทรงใช้จนอย่างคุ้มค่า คือตัวอย่างหนึ่งของความประหยัดและพอเพียงของพระองค์ที่แท้จริง
ในส่วนของเครื่องแต่งกาย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาและข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด เคยเล่าไว้ถึงความประหยัด และความพอเพียงของในหลวงไว้ว่า
“แม้กระทั่งฉลองพระองค์ก็ทรงมีไม่กี่ชุด ทรงใช้จนเปื่อยซีด ส่วนฉลองพระบาทก็เป็นเพียงรองเท้าหนังสีดำแสนธรรมดา เมื่อเก่าแล้วก็จะถูกส่งไปซ่อม ทำเช่นนี้จนไม่สามารถซ่อมได้แล้วจึงหยุด ซึ่งราคาของฉลองพระบาทของพระองค์มีราคาเพียงคู่ละ 300 - 400 บาทเท่านั้น” ในการทรงงาน พระองค์จะทรงใช้ดินสอไม้ที่มียางลบติดท้าย ในแต่ละปีพระองค์จะทรงเบิกดินสอเพียง 12 แท่ง และจะทรงใช้เดือนละแท่งจนสั้นกุด และจะทรงใช้กระดาษมาม้วนต่อปลายดินสอให้ยาว เพื่อให้เขียนได้ถนัดมือจนกระทั่งหมดแท่งแล้วจึงทิ้ง
ส่วนเหตุผลที่พระองค์ใช้ดินสอในการทรงงานเป็นส่วนใหญ่ ก็เพราะด้วยทรงเห็นว่าราคาถูกและผลิตได้ในประเทศ อีกทั้งเมื่อผิดก็สามารถลบออกได้ง่าย
เวลาพระองค์เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร สิ่งของที่พระองค์จะนำติดตัวไปด้วยนอกจากดินสอและกล้องถ่ายภาพแล้ว แผนที่ทรงงานก็เป็นสิ่งของอีกอย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงใช้อย่างคุ้มค่า
จนมีสภาพเปื่อยยุ่ยและถูกซ่อมแซมด้วยเทปกาวไปทั่วทั้งแผ่นแผนที่ ซึ่งเฟซบุ๊ก “Arnakorn Jarueksil” ได้โพสต์ภาพแผนที่ส่วนพระองค์ ที่เขามีโอกาสได้เห็น จากการเข้าไปเยี่ยมชมในกรมแผนที่
ภาพ เพิ่มเติม
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.10207150681957101.1073741877.1583863009&type=3นนี้ได้มีโอกาสเข้าไปที่กรมแผนที่ มีอยู่1มุมที่เห็นแล้วน้ำตาจะไหล เป็นมุมวีดีทัศน์เกียวกับเรื่องพ่อ พ่อบอกเราไม่ได้บ้าแผนที่ แต่มันคือกำไรของประเทศชาติ เราไม่ทำก็ต้องไปจ้างเขา แผนที่ ที่พ่อถือเป็นสิ่งที่พ่อเขียนเองเดินเองแก้เอง ถึงแม้จะถ่ายมาจากเครื่องบิน แต่พ่อก็ลงเดินสำรวจ ว่ามีความถูกต้องแค่ไหนแล้วก็แก้จนกว่าจะถูกมากที่สุด สิ่งที่พ่อติดตัว กล้องถ่ายรูป ดินสอ และแผนที่ และวันนี้ผมก็ได้เห็นแผนที่ของพ่อเต็มๆ ทุกส่วนของแผนที่พ่อเต็มได้ด้วยเทปกาว ใครจะรักเราเท่าพระองค์
ทำไมพระราชาเดินไปในป่าเขา
ท่านทรงห่วงใยคนที่เขาอยู่ห่างไกล
ทำไมพระราชาถึงมีเหงื่อไหล
ท่านทุ่มเทแรงกาย ทรงงานมาหลายปี
ทำไมพระราชาถือแผนที่เอาไว้
ท่านอยากจะทรงเห็นเมืองไทยได้ทุกที่
เพราะอะไรพระราชาถึงต้องทำแบบนี้
ท่านอยากให้เรามีชีวิตที่เป็นสุขแผนที่ส่วนพระองค์นอกจากจะมีสภาพที่เปื่อยยุ่ยแล้ว ยังมีลายพระหัตถ์ของพระองค์ที่ใส่รายละเอียดสถานที่ที่พระองค์ได้เสด็จฯไป รวมถึงโครงการต่างๆ เรียงรายทั่วทั้งผืน สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในพสกนิกรของพระองค์ ทุกก้าวย่างที่ทรงเหยียบลงไป นำมาซึ่งความสุขความเจริญแก่เหล่าปวงชนชาวไทยอย่างสุดจะหาใครเสมอเหมือน
เน้นประโยชน์ ไม่เน้นไม่หรูหรา นอกจากจะทรงรู้คุณค่าและใช้สิ่งของให้เกิดประโยชน์อย่างสูงที่สุดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนคือ พระองค์จะไม่โปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ รวมถึงสิ่งของมีค่าต่างๆ
ยกเว้นนาฬิกาเท่านั้น ที่นับว่าเป็นเครื่องประดับเพียงอย่างเดียวที่อยู่คู่ข้อพระหัตถ์ของพระองค์ ที่สำคัญยังเป็นเพียงนาฬิกาธรรมดา ไม่ได้มีความหรูหราอะไรอีกด้วย
ข้อมูลของนาฬิกาประจำพระองค์นั้น ถูกเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก
“Withaya Heng” ซึ่งได้มีการโพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และนาฬิกาข้อพระหัตถ์ พร้อมข้อความระบุว่า
“วันนี้ได้เข้าไปดูคลังภาพในหลวงในงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ตามที่มีการแชร์ลิงก์เว็บสำนักพระราชวังกันในเฟซบุ๊ก สะดุดตากับภาพของพระองค์ท่านภาพหนึ่งซึ่งสามารถเห็นนาฬิกาบนข้อพระหัตถ์ค่อนข้างชัดเจน ตามประสาคนรักนาฬิกาก็อยากจะใคร่รู้ว่าในหลวงทรงนาฬิกายี่ห้อใด จึงลองเซฟภาพมาขยายดูแล้วก็ถึงกับอึ้ง เพราะนาฬิกาบนข้อพระหัตถ์ของพระองค์ท่านในวันนั้น คือ Seiko SKJ045P นาฬิกาดำน้ำระบบ Kinetic ตัวเรือนเป็น Titanium ซึ่งถือว่าเป็นนาฬิการะดับธรรมดามาก ๆ เรียกภาษาชาวบ้าน คือ เป็นนาฬิกาใช้งาน แสดงถึงความเรียบง่ายและสมถะของพระองค์ท่าน และเป็นแบบอย่างแห่งความพอเพียงอย่างที่สุดจริง ๆ ครับ”เพิ่มเติม
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1467369316623810&set=pcb.1467370586623683&type=3 วันนี้ได้เข้าไปดูคลังภาพในหลวงในงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีตามที่มีการแชร์ลิงค์เวปสำนักพระราชวังกันใน fb สะดุดตากับภาพของพระองค์ท่านภาพหนึ่งซึ่งสามารถเห็นนาฬิกาบนข้อพระหัตถ์ค่อนข้างชัดเจน ตามประสาคนรักนาฬิกาก็อยากจะใคร่รู้ว่าในหลวงทรงนาฬิกายี่ห้อใด จึงลอง save ภาพมาขยายดูแล้วก็ถึงกับอึ้ง เพราะนาฬิกาบนข้อพระหัตถ์ของพระองค์ท่านในวันนั้นคือ Seiko SKJ045P นาฬิกาดำน้ำระบบ Kinetic ตัวเรือนเป็น titanium ซึ่งถือว่าเป็นนาฬิการะดับธรรมดามากๆ เรียกภาษาชาวบ้านคือเป็นนาฬิกาใช้งาน แสดงถึงความเรียบง่ายและสมถะของพระองค์ท่าน และเป็นแบบอย่างแห่งความพอเพียงอย่างที่สุดจริงๆครับ หรือแม้แต่วันที่พระองค์เสด็จสวรรคต หลายคนคงได้เห็นรถตู้สีฟ้า-เทา อันเรียบง่ายและไม่มีการติดตราสัญลักษณ์แต่อย่างใด ใช้สำหรับอัญเชิญพระบรมศพออกจากโรงพยาบาลศิริราช มุ่งหน้าไปยังพระบรมมหาราชวัง แล้วอาจเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เพราะเหตุใดจึงเลือกใช้รถคันนี้ และทำไมถึงไม่ใช้รถพระที่นั่งที่สมพระเกียรติของพระองค์
“เจมส์ บอนด์” คือชื่อของรถยนต์พระที่นั่งคันนี้ ส่วนสาเหตุที่เลือกใช้ก็เพราะเป็นรถที่พระองค์ทรงโปรด
โดยภายในจะมีความเรียบง่าย และแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากวิทยุที่ติดมากับรถ และจะมีโต๊ะเล็ก ๆ ไว้ทรงงาน และจะมีนายช่างประจำตัว คอยตรวจเช็กสภาพ และซ่อมแซมอยู่เสมอ
ต่อจากนี้ไปต้องเป็นหน้าที่ของลูกๆ ของพ่อทุกคน ที่ต้องน้อมนำพระราชดำรัสเรื่องความพอเพียงประยุกต์ใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีพระราชดำรัสอย่างเดียวเท่านั้น พระองค์เองยังทรงเป็นแบบอย่างให้พสกนิกรชาวไทยให้ได้เห็นถึงการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง สมกับคำกล่าวที่ว่า
“พระมหากษัตริย์ผู้เป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง” ที่แท้จริง
ขอบคุณภาพประกอบ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ , pantip.com และเฟซบุ๊ก “ต้นแบบแห่งชีวิต รองเท้าของพ่อ” จาก
http://astv.mobi/AHqgJ5z