กาละแมร์ พัชรศรี : เมื่อฉันได้พบทะไลลามะ…การเดินทางไปดารัมซาลาเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่การเดินทางท่องเที่ยวเปิดโลกกว้างเหมือนครั้งไหนๆ ในชีวิต แต่เราไปเพื่อพบทะไลลามะค่ะ
การพบท่านไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ได้เจอ แต่มันคือความตั้งใจ การเตรียมตัว การติดต่อประสานงานนานแรมปี ใช่ค่ะ มันไม่ใช่ว่าใครจะพบท่านได้
โชคดีเหลือเกินที่ในชีวิตมีกัลยาณมิตรดีอย่างวู้ดดี้ (วุฒิธร มิลินทจินดา) เพราะถ้าไม่มีเขาและพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี เราจะไม่ได้มีโอกาสดีเช่นนี้
สืบเนื่องจากปีที่แล้วที่วู้ดดี้บวชและเดินทางมาที่ดารัมซาลาร่วมกับพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ทำให้เขามีความคิดว่า เขาอยากจะพาเพื่อนฝูง พ่อแม่ คนใกล้ชิด รวมถึงพระธรรมทูตไทยลาวเดินทางมาที่ดารัมซาลาและมีโอกาสได้เรียนธรรมะจากท่านทะไลลามะอย่างที่เขาได้มีโอกาสบ้าง
ก่อนเดินทาง พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี จัดโครงการคัดเลือกพระธรรมทูตไทยและลาวเป็นร้อยรูป เพื่อคัดเลือกไปอินเดียเพียงสิบกว่ารูปเท่านั้น
ฉันได้มีโอกาสอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย พระอาจารย์บอกให้ฉันทำตัวเป็นกรรมการเหมือน Thailand”s got talent บอกคอมเมนต์การพูดของพระได้เต็มที่ โดยวู้ดดี้ทำหน้าที่สัมภาษณ์พระแต่ละรูปและตอบคำถามในเวลาที่กำหนด เพื่อแสดงทักษะการเทศน์และเผยแผ่ธรรมะของท่านนั่นเอง
พูดตามตรงว่า การวิจารณ์พระไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ก็ไม่รู้ว่าบาปไปบ้างหรือเปล่า หน้าที่นี้หนักหนามากพระอาจารย์
และในที่สุดคณะของพวกเราก็ยืนอยู่ที่ดารัมซาลา ฉันเป็นคนที่เดินทางตามคณะไปอีกวันเพราะต้องทำหน้าที่กรรมการรายการที่ว่าไป ซึ่งเป็นวันถ่ายทอดสด ไปถึงทุกคนบอกเล่าประสบการณ์ที่ได้พบท่านทะไลลามะกันอื้ออึง ฉันอดตื่นเต้นตามไม่ได้
จ๋า ยศสินี ได้ถือธูปนำขบวนในวันแรก ได้จับมือท่านเป็นคนแรก แววตานางดีใจอย่างเห็นได้ชัด เหมือนอ่านใจเพื่อนถูก วู้ดดี้บอกว่า “พรุ่งนี้นกจะได้ถือ และวันสุดท้ายจะเป็นมรึง” นอกจากเขาจะเป็นกัลยาณมิตรแล้ว เขายังเป็นพิธีกรที่อ่านใจแขกรับเชิญออกด้วย!
นก ศิขรินทาน บอกกับฉันว่า “เมื่อวานตอนทะไลลามะเสด็จเข้ามาในห้องนะ กรูร้องไห้ออกมาเลย มันหยุดไม่ได้ ไม่ต้องบิ๊วอะไรเลย มันออกมาเลย” น้ำเสียงนกตื่นเต้นมาก
ฉันรอคอยเช้าวันรุ่งขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ ตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่งเพื่อช่วยทำภัตตาหารเช้าถวายพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี และเตรียมเข้าวัดเพื่อพบท่านทะไลลามะ
กว่าจะมานั่งด้านในห้องที่ท่านจะสอนนั้น ก่อนมาเราต้องส่งเรื่อง ลงทะเบียนประวัติ มีป้ายห้อยคอ มาเข้าคิวที่ประตูหน้าวัดตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เข้าแถวให้เรียบร้อย แล้วจะมีเจ้าหน้าที่นำเราไปนั่งในห้องที่ท่านสอนด้านใน ใครมาช้าได้อยู่ด้านนอกซึ่งมีคนเป็นพันคนนั่งแออัดกันไปหมด ทั้งคนทิเบต คนอินเดีย คนเอเชีย และฝรั่งตะวันตก
การเรียนธรรมะจากท่าน 4 วันจัดแค่ปีละครั้ง เราจึงต้องลงทะเบียนมาร่วมกับคนจากชาติต่างๆ อย่าง เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว พม่า สิงคโปร์ และชาติอื่นๆ จะมีอาสาสมัครจากทุกชาติมาช่วยทำให้งานนี้เกิดขึ้น
และแล้ววินาทีที่เฝ้ารอก็มาถึง ท่านเสด็จเกือบ 9 โมง เมื่อท่านก้าวเข้ามาในห้อง ฉันรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว มันเย็บวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาแบบไม่รู้ตัวท่ามกลางเสียงสวดมนต์จากพระเวียดนาม
ฉันขนลุกและน้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น และฉันสัมผัสถึงพลังความรักและเมตตาจากท่านทะไลลามะได้ทันทีแม้ท่านจะนั่งอยู่บนบัลลังก์ห่างจากเราก็ตาม ทั้งดีใจ ปลื้มใจ อบอุ่น โชคดี เป็นสุข ปีติ แม้ตอนที่นั่งเขียนต้นฉบับอยู่ตอนนี้ฉันยังรับรู้ถึงพลังนั้นได้เป็นอย่างดีจนน้ำตาคลอ
ท่านเทศน์เป็นภาษาทิเบต บางครั้งก็ตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษ แต่ละชาติแต่ละภาษาจะมีคนแปล ทั้งไทย เกาหลี ญี่ปุ่น สเปน อังกฤษ โดยทุกคนจะมีวิทยุและสายหูฟัง เพียงหมุนคลื่นไปภาษาที่ต้องการ เราก็จะเข้าใจในสิ่งที่ท่านกำลังสอน
พระทิเบตนั้นถือว่าเป็นสายมหายาน พระบ้านเราถือเป็นสายเถรวาท และยังมีแตกแขนงไปอีก ซึ่งเรื่องนิกายที่มากมายนี้
ท่านได้พูดถึงด้วยว่า “ทำไมเราถึงมองแต่ความแตกต่างระหว่างนิกายแล้วบอกว่าเราเป็นนิกายนั้น เธอนิกายนี้ ทำไมเราไม่มองความเหมือนที่เรามีเหมือนกัน เรามีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน เรามีหลักธรรมะเดียวกัน และเรามีจุดหมายปลายทางคือนิพพานที่เหมือนกัน ดูสิเรามีสิ่งที่เหมือนกันตั้งมากมาย ทำไมเราไม่มองสิ่งที่เหมือนกันล่ะ จะเป็นไปได้ไหมที่ต่อไปเราบอกแค่ว่าเราคือพุทธที่เผยแผ่ธรรมะด้วยบาลี หรือเราคือพุทธที่เผยแผ่ธรรมะด้วยสันสฤต แค่นี้เอง”เรื่องแรกก็ว่าด้วยความเมตตาแล้ว เริ่มจากในพุทธศาสนานี่แหละ พอได้ฟังท่านแล้วเอามาปรับใช้ในชีวิตได้เลยทันที เวลาเราไม่พอใจใคร ไม่ชอบใคร จะแบ่งพรรคแบ่งพวก จะฆ่ากันจะเป็นจะตายเพียงเพราะเขาคิดต่างจากเรา ไม่ทำเหมือนเรา
แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองว่า เราก็มีความเหมือนกันซ่อนอยู่ในนั้น เพราฉะนั้นเราหันหน้ามามองกันได้ ปรองดองกันได้ เราอยู่ข้างเดียวกันนี่ ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ความรักความเมตตาแผ่ซ่านแล้วคราวนี้
ในวัย 81 ปีของท่านทะไลลามะยังคงแข็งแรง เดินเหินเองได้ หน้าตาสดใส แววตาแจ่มใสและขี้เล่นของท่าน ทำให้ท่านดูอ่อนเยาว์ รอยยิ้มที่เมตตา ถ้อยคำที่คอยหยอกล้อทำให้เรารับรู้ถึงความเมตตาของท่านได้
ยังมีคำสอนของท่านที่ตรึงใจอีกมากมาย รวมทั้งการได้สัมผัสมือของท่านสักครั้งในชีวิต (เนื่องจากท่านเป็นนิกายมหายาน ผู้หญิงสามารถสัมผัสตัวท่านได้) วินาทีที่ไม่อาจลืมเลือนของคณะของพวกเราที่กอดกันร้องไห้หน้าวังของท่าน
และการได้คุยกับหนุ่มทิเบตที่หัวใจหล่อมากแม้เขาไม่เคยได้เจอทะไลลามะเลยสักครั้ง
ตอนหน้าจะเล่าให้ฟังค่ะ…
จาก
https://www.matichonweekly.com/column/article_8269จาก
http://www.baabin.com/183108/กาละแมร์ พัชรศรี : เมตตาที่สัมผัสได้ แม้ไม่ได้สัมผัส…การเข้าเฝ้าองค์ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบตที่พลัดถิ่นมาอยู่ที่ดารัมซาลา ประเทศอินเดีย เป็นเรื่องที่ถูกจัดสรรมาแล้ว หาใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด
การได้นั่งเรียนธรรมะจากท่าน 4 วัน นอกจากจะได้ธรรมะ หลักการใช้ชีวิตแล้ว เรายังได้รับพลังแห่งความรักและเมตตาที่เรารู้สึก เห็นด้วยตา สัมผัสได้ด้วยใจอย่างเป็นรูปธรรม
เพราะถ้าจะถามว่าก้อนพลังงานแห่งความเมตตาที่เคลื่อนไหวได้และยังมีชีวิตอยู่ที่ทรงพลังที่สุดในโลกอยู่ที่ใด
ฉันบอกได้เลยว่าต้องมาที่นี่…
เมื่อการเรียนวันแรกจบลง ท่านต้องเสด็จกลับวัง คนที่มารอสองข้างทางต้องการใกล้ชิด เห็นท่านและได้สัมผัสสักครั้งในชีวิต
ฉันก็เช่นกัน พี่อู๋ วิงค์ วิงค์ หนุ่มใหญ่เจ้าของบริษัทโปรดักชั่นเฮ้าส์ชื่อดังเป็นคนทั้งผลักทั้งดันให้ฉันไปส่งเสด็จท่านในทำเลที่เหมาะสม
และเมื่อทุกคนมีจุดประสงค์เดียวกัน การเบียดเสียดจึงเกิดขึ้น พี่อู๋เห็นฉันเก้ๆ กังๆ และฝรั่งตัวใหญ่บังทาง เลยผลักและดันฉันจากข้างหลังให้ฉันได้ยื่นมือไปหาท่านได้ท่านท่วงที
และฉันก็ได้สัมผัสมือของท่านครั้งแรก!
มือท่านนุ่มและอบอุ่นมากค่ะ
(นิกายมหายาน พระสามารถโดนตัวผู้หญิงได้ค่ะ)และในวันถัดมาฉันได้มีโอกาสได้ถือธูปนำขบวนเสด็จท่านจากวังมาที่วัด โดยมีตัวแทนจาก 5 ประเทศ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลี สิงคโปร์
และพวกเราจะได้สัมผัสมือท่านก่อนเดินนำขบวน ความตื่นเต้นก็ยังคงไม่จางหายไปไหนค่ะ
แต่สิ่งที่ฉันสัมผัสได้มากกว่านั้นก็คือ ระหว่างทางที่ท่านกำลังเดินไป ฉันจะได้เห็นผู้คนจากทั่วสารทิศมารอตลอดสองข้างทาง
ฉันได้เห็นแววตาของคนที่เฝ้ารอท่าน ทั้งมีความหวัง ทั้งตื้นตันใจ
แววตาเหล่านั้นสะท้อนความรู้สึกและถ้อยคำมากมาย
แต่ฉันรู้ได้เลยว่า สักครั้งในชีวิตของพวกเขาขอเจอทะไลลามะสักครั้งก่อนตาย
คนที่แก่มากๆ ก็มานั่งรอตามบันได พอท่านเดินไปถึงก็จะช่วยประคองคนแก่เหล่านั้น คนไหนมีลูกก็จะอุ้มลูกชูขึ้นมาให้ท่านได้แตะหัวสักครั้ง
คนไหนมีเด็กเล็กๆ จะพยายามอยู่แถวหน้าให้ท่านได้เห็นชัดเจน และเมื่อท่านเจอพระรูปใดที่รู้จักหรือสนิท ท่านจะหยุดคุยและหยอกล้ออยู่นาน เช่น เขกหัว หยิกแขนเล่น ดึงหูบ้าง
เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างเสมอ
ฉันได้เห็นแววตาของพระทิเบตที่รอเข้าเฝ้าท่าน ทุกรูปนั่งอยู่กับพื้นพนมมือ ค้อมตัว เงยหน้าและมีแววตาที่มุ่งมั่น มีความหวัง นี่จะเป็นวินาทีที่จะได้พบท่านทะไลลามะสักครั้ง
ขอเพียงได้พบสักครั้ง…สักครั้งก็พอแล้วและเมื่อท่านสอนเสร็จ ฉันรอท่านตามทางเดินที่จุดเดิม แต่คราวนี้นั่งรออยู่หน้าสุด รอบตัวเต็มไปด้วยช่างภาพที่รอถ่ายภาพท่าน เบียดเสียด แต่ไม่มีใครลดละ และแล้วท่านก็เดินมาทางที่ฉันนั่งอยู่จริงๆ
ฉันได้สัมผัสมือท่านถึง 2 ครั้งเต็มๆ นำความปลื้มปีติใจยิ่งนัก รู้สึกได้รับพลังแห่งความเมตตาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ฉันยืนน้ำตาคลออยู่ตรงนั้น
นอกจากท่านจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ประมุขทิเบตที่พลัดถิ่นออกจากประเทศตัวเองตั้งแต่อายุ 24 ปีเมื่อจีนเข้ามาบุกรุก ตอนนั้นมีชาวทิเบตที่อพยพมาอยู่อินเดียกับท่านประมาณ 8,000 คน นอกนั้นก็กระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ
และเมื่อโลกมีเทคโนโลยีอย่าง facebook live วู้ดดี้ได้ไลฟ์กับท่าน ทำให้คนทิเบตที่จากบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองไปอยู่ยังประเทศต่างๆ ได้ดู
พวกเขาเข้ามาขอบคุณวู้ดดี้กันมากมาย
บางคนอยู่เนปาลอี-เมลมาบอกให้วู้ดดี้ให้ท่านพูดให้กำลังใจคนทิเบตที่นั่นได้ไหม ให้พวกเขาได้มีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไป
ดูเอาเถิด เรามีประเทศของตัวเองอยู่มันโชคดีแค่ไหน
ในวันสุดท้ายคณะเราได้พบกับท่านเป็นการส่วนตัวผ่านการนัดหมายจากวู้ดดี้ พวกเราตื่นเต้นดีใจมาก
พี่บางคนตีสามแล้วยังนอนไม่หลับ
นกเพื่อนของฉันเปลี่ยนชุดอยู่หลายรอบ ทุกคนหาชุดที่สวยที่สุดเพื่อไปพบท่าน เราตื่นเต้นกันมาก
คณะพระสงฆ์ไทยได้พบท่านก่อน ท่านพูดคุยอยู่นาน ฉันพยายามเงี่ยหูฟัง ท่านบอกว่า
“พระพุทธเจ้าของเราท่านถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักปราชญ์ นักจิตวิทยาชาวอินเดีย ท่านทดลอง ลองผิดลองถูก ค้นหาคำตอบ เราเองก็ต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ท่านบอก ท่านสอน ให้เราลองค้นหาคำตอบ ลองปฏิบัติด้วยตัวเองก่อน”
พี่ต่าย นิทรา คือคนแรกที่ได้พบท่าน เจ้าหน้าที่ของท่านเรียนท่านว่าพี่ต่ายไม่ค่อยสบาย มีปัญหาเรื่องกระดูก ท่านได้ยินดังนั้นก็กอดพี่ต่ายด้วยความรักและเมตตาอยู่พักใหญ่ภาพที่เห็นทำให้ฉันตื้นตันใจอย่างที่สุด น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
เรารู้เลยว่าพี่ต่ายได้รับพลังอย่างหาที่สุดไม่ได้
แล้วท่านก็ทักทายและสัมผัสทุกคน บางคนอยากให้ท่านเคาะหัว ท่านก็ทำให้
หลังจากได้พบท่าน พวกเราต่างปลื้มปีติจนน้ำตาไหลออกมาพร้อมกัน ยืนกอดกันแนบแน่นอยู่ตรงนั้น จนเจ้าหน้าที่ต้องขอเชิญให้ไปร้อง ไปกอดกันข้างนอก เพราะคณะอื่นจะเข้าพบต่อ
และก่อนกลับฉันก็ได้พบกับหนุ่มทิเบตวัย 24 ปี พวกเรานั่งคุยกันเรื่องธรรมะหน้าร้านกาแฟริมทางเดินในเมืองดารัมซาลา
เขาอายุน้อยแต่ลึกซึ้งและมุ่งมั่น
ฉันถามเขาว่าเคยเจอทะไลลามะไหม เขาบอกว่าไม่เคยพบแบบใกล้ชิด ครอบครัวเขาเป็นหนึ่งใน 8,000 คนที่อพยพมาพร้อมท่าน ตัวเขาเกิดในอินเดียแต่ขอถือสัญชาติทิเบตเพราะยังไงเขาก็รักประเทศของเขา
แต่ถึงเขาไม่เคยพบท่านแบบใกล้ชิด แต่ตราบใดที่เขาเคารพท่าน ศึกษาคำสอนและฝึกปฏิบัติอย่างที่ท่านบอก ทะไลลามะจะอยู่ในหัวใจของเขาเสมอ
และสิ่งที่เขาทำทุกวันนี้คือ เป็นคนดี ไม่ทำความชั่ว ถือศีล และปล่อยวางจากความโลภ
สุดท้ายเขาบอกอีกว่า “ทะไลลามะบอกด้วยว่าถ้าคุณลงมือปฏิบัติ แม้ไม่ได้โกนผม คุณก็เป็นพระได้”
สอดคล้องกับที่ท่านบอกในห้องเรียนเสมอว่า “จงเรียนรู้ ลงมือฝึกฝนปฏิบัติ และนำมันไปใช้ในชีวิตจริง” เรียบง่ายแบบนี้เองค่ะ…
จาก
https://www.matichonweekly.com/column/article_9484