ผู้เขียน หัวข้อ: จากนักโทษ สู่ผู้ให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ชีวิตใหม่ของ ไพบูลย์ พิมพ์ลา  (อ่าน 1811 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


จากนักโทษ สู่ผู้ให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ชีวิตใหม่ของ ไพบูลย์ พิมพ์ลา

ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบปีที่แล้ว คุณไพบูลย์ พิมพ์ลา คือ ผู้ต้องขังคดีชิงทรัพย์ ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในคุกเขาเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ความคิดและชีวิตของเขาเปลี่ยนไป โดยหลังพ้นโทษเขาได้อุทิศตัวเป็นแสงสว่างให้แก่ผู้ที่เพิ่งพ้นโทษด้วยการเป็น “ผู้ให้อย่างไม่มีเงื่อนไข” อะไรทำให้เขาคิดเช่นนั้น ซีเคร็ต มีคำตอบ

ชีวิตในวัยเด็ก

ผมเป็นคนพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี อายุได้ 3 - 4 ขวบ พ่อกับแม่ก็พามาอยู่ที่บ่อไร่จังหวัดตราด พ่อมีอาชีพขุดพลอย จึงเดินทางแสวงโชคไปเรื่อย ๆ ส่วนแม่เป็นแม่ค้า ผมมีพี่น้อง 5 คน ผมเป็นคนที่ 2 พออายุได้ 7 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายมาอยู่ที่จันทบุรี สภาพความเป็นอยู่ในเวลานั้นลำบากมาก ผมเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ตีกันทุกวัน ทำให้ผมไม่อยากอยู่บ้าน ผมเรียนถึงแค่ ป.7 ก็ขี้เกียจเรียน เลยลาออกจากโรงเรียนมาหัดเจียระไนพลอย พอทำเป็นก็เลยหนีไปอยู่กับเพื่อน

ชีวิตตอนนั้นเป็นอย่างไรคะ

เละครับ พอเข้าก๊วน เราทั้งเกเร ทั้งเล่นการพนัน เรียกว่าอบายมุขทุกชนิดทำหมดแล้วก็เริ่มพากันไปขโมยของเล็ก ๆ น้อย ๆตามร้านเหล็ก โรงน้ำแข็ง เพื่อหาเงินไปเที่ยวดูหนัง ตอนนั้นพ่อแม่เราไม่ได้สนใจแล้วเรียกว่าเราทิ้งท่านเลย เพราะใจมันอยากลุยอยากกางปีกหากินด้วยตัวเอง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมได้เจอแฟน ความจริงผมไม่ได้ชอบไม่ได้รักอะไรนัก คือกะจะหลอกเขา เรามีลูกด้วยกันคนหน่ึ่ง อยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกันทุกวันต่อมาผมก็ทิ้งเมียทิ้งลูก ตอนนั้นเราเป็นคนแย่มาก ๆ สุดท้ายก็ไปเข้าวงการปล้น ได้เงินมาก็ไปเล่นการพนัน เที่ยวผู้หญิง กินเหล้าคบเพื่อนชั่ว พอไม่มีตังค์ก็วางแผนปล้นไปเรื่อย ๆ มาพลาดตอนไปปล้นที่กรุงเทพฯผมถูกจับได้คนเดียว ถูกศาลพิพากษาให้ติดคุก 10 ปี แต่เนื่องจากเราไม่เคยทำผิดมาก่อน ศาลก็เลยลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือ 7 ปี

พอติดคุกแล้วเป็นอย่างไร เริ่มสำนึกได้บ้างไหมคะ

พอเข้าคุก ผมสะอึกเลย ทำใจไม่ได้ปีแรกนี่คิดอยู่อย่างเดียว อยากหนี อยากฆ่าตัวตาย แล้วไอ้เพื่อนที่เรารักมันยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ก็ไม่เคยมาเยี่ยมเราเลย มีแต่แม่ที่มาเยี่ยมเราตลอด มาทีไรแม่ก็จะร้องไห้ เราก็ร้องไห้ไปด้วย สงสารแม่มาก แม่ก็พยายามช่วย เพราะไม่อยากให้เราติดอยู่ในนี้ ท่านไปกู้เงินสู้คดี หมดไปแสนกว่าบาท ไปจ้างทนายก็ถูกโกง ถูกทนายหลอกเอาเงินไปตอนอยู่ในคุกผมสำนึกได้เพราะนึกถึงภาพที่พ่อแม่เลี้ยงเรามาด้วยความลำบาก พอคิดทีไรน้ำตาไหลทุกที จึงปฏิญาณตนว่า ชีวิตนี้จะขอทำเพื่อพ่อแม่ ไม่สนใจใครอีกแล้ว

ทราบว่าได้รู้จักธรรมะตอนอยู่ในคุกนี่เอง

ตอนอยู่ในคุก ผมคิดว่าชีวิตนี้คงหมดหวังแล้ว กระทั่งเพื่อนที่ติดคุกด้วยกันเอาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระอาจารย์เปลี่ยน พระอาจารย์สมชาย พออ่านแล้วก็รู้สึกว่าจิตนิ่งขึ้น เหมือนเจอทางออกของชีวิต คราวนี้จึงอ่านทุกเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะ แล้วก็เริ่มฝึกนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมในคุก ผมปฏิบัติทุกวันจนได้ความรู้สึกนิ่งได้ความเบา เย็นวาบจนเหมือนไม่มีร่างกายทำให้เกิดศรัทธาในครูบาอาจารย์ และทำให้ผมเชื่อในอานิสงส์แห่งการปฏิบัติว่าคุ้มครองเราให้ปลอดภัยด้วย ครั้งหนึ่งเพื่อนที่ติดคดียาเสพติดทะเลาะกัน จะกระทืบกันตายไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง เพราะส่วนใหญ่จะถูกกระทืบไปด้วย แต่จู่ ๆ ผมนึกอย่างไรไม่รู้เข้าไปห้าม เขาก็หยุดตีกัน ทุกคนที่ยืนดูอยู่งงกันหมดที่ผมรอดมาได้ ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่าผมตายแน่ ทำให้ผมเชื่อว่านี่คืออานิสงส์ที่ผมปฏิบัติธรรมมาตลอด

อีกอย่างที่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องอัศจรรย์ของการนั่งสมาธิคือ ทำให้ผมมองเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือเจ้าพ่อคุก ซึ่งท่านอยู่คนละมิติกับเรา ผมกลัวท่านมาก ทำให้ผมรีบทำความดีเพราะไม่อยากอยู่ในคุกอีกต่อไปแล้วผมจึงบำเพ็ญประโยชน์ ช่วยงานเจ้าหน้าที่ทุกอย่างจนได้เป็นนักโทษชั้นเยี่ยมและได้รับอภัยโทษ จึงติดคุกอยู่เพียง 3 ปี 9 เดือน

ออกจากคุกแล้วไปไหนคะ

ผมเข้าวัดก่อนเลย ไปขอบวชที่วัดป่าแห่งหนึ่ง แต่เจ้าอาวาสไม่ให้บวช ขอดูพฤติกรรมก่อน 3 เดือน ผมก็โกนหัว ใส่ผ้าขาว ถือศีล 8 แล้วไปขอขมาลาโทษพ่อกับแม่ ผมไปล้างเท้าท่านและกราบขออโหสิกรรม ท่านก็ให้โอกาสยกโทษให้ผมตอนนั้นผมมุ่งปฏิบัติธรรมอย่างเดียว

หลังจากบวชได้ไม่ถึงพรรษา ผมเริ่มเกิดเวทนา เห็นความสมเพชที่มนุษย์ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันทำมาหากิน เห็นความไม่เที่ยงของชีวิต ความไม่มีตัวไม่มีตน จึงปฏิญาณว่าจะไม่สึกแล้ว จะขอเดินตามรอยครูบาอาจารย์แต่พอบวชไปไม่เท่าไหร่ ธรรมก็เสื่อมลง เราเริ่มขี้เกียจปฏิบัติ ซึ่งพอรู้ตัวเห็นท่าไม่ดี เลยขอออกธุดงค์ไปหาครูบาอาจารย์ที่เราเคยอ่านเรื่องราวของท่านตอนอยู่ในคุก หวังว่าจะช่วยขัดเกลาฆ่ากิเลสให้ได้ ผมเดินทางไปหาหลวงปู่แบน ไปฟังท่านเทศน์ก็ไม่ดีขึ้น จากนั้นก็ไปหาหลวงตามหาบัว ก็ยังไม่ดีขึ้นอีก แล้วก็ไปหาหลวงปู่เทสก์ ก็ยังไม่ดีขึ้น สุดท้ายไปสึกกับลูกศิษย์หลวงปู่แบน วันที่สึกผมก็นึกเสียดายเหมือนกัน แต่ก็ยอมรับชะตากรรมว่าเราอยู่ในเพศสมณะไม่ได้แล้วจริง ๆ

ถึงขนาดไม่อยากกลับมาใช้ชีวิตทางโลกแล้ว หลังจากสึกออกมาแล้วทำอย่างไรคะ

หลังสึกออกมาก็กลับไปหาลูกหาเมียครับ กลับมาใช้ชีวิตฆราวาสที่ต้องทำมาหากินทั้งที่เราเคยสมเพชกับสภาพนี้มาแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือก ผมเริ่มหางานทำ โดยไปขอซื้อสูตรกล้วยทอดจากแม่ค้าที่ขายได้วันละ3 - 4 พัน ตอนแรกเขาไม่ยอมขายสูตรให้เพราะกลัวเรามาขายแข่ง พอดีแฟนผมเป็นคนใต้เหมือนเขา เขาเลยยอมขายสูตรให้เราแต่มีข้อแม้ว่าเราต้องไปขายที่อื่น ห้ามขายเขตเดียวกัน พอได้สูตรเราก็ลงทุนซื้ออุปกรณ์หมื่นกว่าบาท แล้วพากันไปขายที่สระบุรีตอนนั้นจึงฝากลูกไว้ให้แม่ช่วยเลี้ยง แล้วเราก็ไปขายกัน ขายได้ 3 - 4 เดือนก็ไปไม่รอดจึงกลับมาหางานทำที่จันทบุรี ผมไปของานทำกับเพื่อนที่เป็นเสี่ยเจ้าของบริษัททำพลอยตอนแรกเพื่อนก็ไม่เอาเรา เขากลัว เพราะรู้ว่าเราเพิ่งออกจากคุก เขาไม่ไว้ใจ แต่เราก็อ้างว่าครั้งหนึ่งเราเคยช่วยเขาไว้จนเขาตั้งหลักได้เขาเลยยอมให้เอาพลอยมาขายก่อน ตอนนั้นผมได้เป็นโบรกเกอร์ขายพลอย ผมตั้งใจทำงานไม่เคยโกงเพื่อนเลยแม้แต่บาทเดียว ขายได้เท่าไหร่ก็กินเปอร์เซ็นต์จากเพื่อน ซึ่งแล้วแต่เพื่อนจะให้ เราซื่อสัตย์จนคนรู้จักบอกว่าเราโง่ซึ่งผมก็ยอมให้เขาว่า เพราะไม่อยากตัดอนาคตตัวเอง

ชีวิตตอนนั้นลำบากขนาดไหนคะ

ผมมีเงินติดตัวพันกว่าบาท มีทองหนึ่งบาทก็เอาไปขายได้เงินมา 3 - 4 พัน เอาไปซื้อมอเตอร์ไซค์แบบไม่มีทะเบียนใช้วิ่งขายพลอย แล้วก็ไปเช่าห้องถูก ๆ เดือนละ 600 บาทอยู่กับแฟน ในห้องมีเสื่อ มุ้ง หมอนผ้าห่ม อย่างละชิ้นเท่านั้นเอง ผมกับแฟนเรานอนหนุนหมอนใบเดียวกันมาตลอด เวลาฝนตกหลังคารั่วก็ย้ายที่นอนไปเรื่อย ๆ ในห้องน้ำก็มีแต่หนอน แต่เราก็ทนเพราะไม่มีทางเลือก เวลาไปขายพลอยผมใส่เสื้อผ้ายับ ๆไปขาย แฟนก็สงสาร ครั้งหนึ่งแฟนไปผ่อนเตารีดเพื่อมารีดเสื้อให้ โดยผ่อนวันละ 20 บาทแต่ใช้ได้อยู่ 3 วัน เตารีดก็พัง ผมเลยต้องใส่เสื้อยับไปตลอด ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าแตะ ตอนนั้นเงินไม่ค่อยมี เวลาซื้อแกงถุงละ 5 บาท บอกแม่ค้าขอน้ำเยอะ ๆ กับข้าวเปล่า 2 ถุงไปกินกับแฟน ชีวิตเป็นอย่างนี้อยู่เป็นปีตอนนั้นขายพลอยได้เท่าไหร่ก็ค่อย ๆ เก็บ-หอมรอมริบกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าทำให้ผมเจริญรุ่งเรืองคือ ความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่



เรื่องราวเป็นอย่างไรคะ

ผมสังเกตเวลาผมจะออกไปขายพลอยทุกวันผมจะตั้งจิตอธิษฐานว่า วันนี้ขอให้ลูกขายได้ ถ้าลูกขายได้ ลูกจะให้เงินแม่ 500 บาทผมก็ขายได้เรื่อย ๆ จริง ๆ และผมเชื่อเรื่องบุญคุณพ่อแม่ที่คุ้มครองเรา เพราะมีหลายครั้งระหว่างที่ผมขี่รถเอาพลอยไปขาย ผมทำพลอยหล่นหาย แต่ก็หาเจอทุกครั้ง

ที่จำได้แม่นเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเอาพลอยไปขายที่ตลาดพลอย เม็ดนั้นราคาประมาณ 2 - 3 แสน มีคนสนใจซื้อ เขาต่อราคามา ผมเลยต้องขี่รถไปถามเพื่อนที่เป็นเจ้าของพลอยว่าจะขายหรือไม่ ตอนนั้นเพื่อนผมอยู่ที่โต๊ะสนุ้ก ผมไปหาเขา ขากลับมาปรากฏว่าหาพลอยไม่เจอ จึงขี่รถย้อนไปหาตามทาง ในใจก็คิดว่าให้พ่อแม่ช่วยเราด้วยปรากฏว่าไปเจอมันหล่นอยู่ตรงประตูทางเข้าโต๊ะสนุ้ก ไม่น่าเชื่อว่าคนเดินเข้าเดินออกเป็นร้อย แต่ไม่มีใครเห็นพลอยเม็ดนั้น ผมโล่งอกเลย ดีใจมาก

มันมีเหตุการณ์อย่างนี้หลายครั้ง ผมจึงเชื่อว่านี่คือปาฏิหาริย์ของบุญคุณพ่อแม่ที่คุ้มครองเรา ผมเคยตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่า เวลามีเงินแล้วไม่ให้แม่ เราจะขายพลอยไม่ได้ แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าบุญคุณพ่อแม่มีจริง ที่เขาบอกว่าความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดีก็เป็นเรื่องจริง ที่ครูบาอาจารย์บอกว่าความกตัญญูช่วยให้ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้มันเป็นอย่างนี้ผมจึงเคารพพ่อแม่มาตลอด เพราะนอกจากช่วยให้เราโชคดีแล้ว ยังทำให้เราตั้งตัวได้อีกด้วย เพราะวันดีคืนดีเพื่อนที่ขายพลอยอยู่ด้วยกันก็มาชวนผมลงทุนซื้อพลอยมาล็อตหนึ่ง เป็นถุงเล็ก ๆ ราคา 1,500 บาทผมก็เอามาเรียงใส่กล่องได้หลายกล่อง แล้วเอาไปขายให้ร้านทอง ขายให้เขากล่องละ 1,500 บาท ขายดีมาก จากขายที่จันทบุรีก็ขยับไปขายที่พัทยา ระยอง กรุงเทพฯ ทำอย่างนี้มาตลอด ได้เงินเยอะมากจนเพื่อนเรียกว่าเสี่ยบูลย์

นี่เป็นที่มาของการตั้งบริษัทของตัวเองใช่ไหมคะ

ตอนนั้นยังครับ เพราะเราหลงระเริงไปกับเงินทอง ทั้งที่หาเงินได้เป็นล้าน แต่ก็หมดไปกับวงเหล้า การพนัน เสียพนันเป็นล้าน ๆ จนรู้สึกเสียดาย เป็นอย่างนี้อยู่ 3 ปีจนได้สติ เตือนตัวเองให้กลับมาทำการทำงานแล้วบังเอิญช่วงนั้นตลาดพลอยซบเซา ผมจึงคุยกับเพื่อนว่าเราน่าจะตั้งกลุ่มทำพลอยขึ้นมาเป็นกลุ่มกลาง เราตกลงลงขันกันคนละ 30,000 บาท ได้มา 3 ล้านบาท ตอนนั้นผมออกความเห็นว่า เรารู้แล้วว่ากลุ่มลูกค้าของเราอยู่ที่ไหน เราน่าจะเข้าไปหาลูกค้าเองแต่เพื่อนไม่คิดอย่างนั้น เพราะธรรมชาติของคนจันท์เขารวยเร็ว ลูกค้ามาซื้อถึงที่ เขาไม่เห็นด้วย เราเลยแตกคอกัน ตอนนี้ละครับที่ทำให้ผมตัดสินใจออกจากกลุ่มมาตั้งบริษัทของตัวเอง และตั้งชื่อว่า บริษัทจันทบุรีบุญคุ้มครอง สโตน แฟคตอรี่ กรุ๊ป จำกัด ผมทำมาสิบกว่าปีโดยใช้กลยุทธ์เอาสินค้าเข้าไปเสนอขายลูกค้าโดยตรง โดยไม่รอให้เขามาซื้อถึงที่ ซึ่งประสบความสำเร็จมาก จนหอการค้าเข้ามาสนับสนุนเรา เพราะเขาบอกว่าเราเป็นคนช่วยทำให้ตลาดพลอยที่กำลังซบเซาเดินหน้าต่อไปได้ เป็นการช่วยแก้ปัญหาอัญมณีทั้งระบบ ซึ่งผมภูมิใจมาก

เห็นว่าพนักงานของคุณไพบูลย์ส่วนใหญ่คือผู้ที่เพิ่งพ้นโทษ ไม่ทราบว่ามีแนวคิดอย่างไรคะ

ผมได้แนวคิดนี้มาจากตอนที่อยู่ในคุกผมเห็นว่าในคุกมีคนเก่งเยอะ และส่วนใหญ่เป็นอัจฉริยะด้วย ผมสังเกตว่าคนพวกนี้คิดไม่เหมือนคนทั่วไป แม้แต่พ่อแม่ของเขาก็บอกว่าทำไมพวกเขาไม่เหมือนพี่เหมือนน้อง คนอื่นไม่เข้าใจเขา สุดท้ายจึงไปพึ่งยาเสพติด ซึ่งมันผิดทาง ความจริงคนพวกนี้จะมีกระบวนการคิดเขาจะคิดอยู่ตลอดและจะจดจ่ออยู่อย่างนั้นดังนั้นพอได้ทำอะไรที่ต้องแสดงฝีมือจึงทำจริงทำสุดฝีมือ ผมเห็นฝีไม้ลายมือของเขาแต่ละคนแล้ว ยอมรับเลยว่าฝีมือดี บางคนเป็นช่างมุกก็ทำออกมาได้สวยมาก ฝีมือนี่จัดว่าชั้นยอดเรียกได้ว่าเป็นศิลปิน เป็นอัจฉริยะกันทั้งนั้น

ได้อะไรจากการให้ความช่วยเหลือตรงนี้คะ

ได้ความปลื้มปีติอยู่ในใจ ความปลื้มปีติเป็นน้ำชำระล้างจิตวิญญาณของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นผมจึงไม่มีความกลัว กลัวอยู่อย่างเดียวคือไม่ได้ทำ ไม่ได้เสียสละ ไม่ได้ให้โอกาส ฉะนั้นผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกมาผมจึงบอกให้เขามาหาผมก่อน หากมีงานก็จะให้ทำงาน หากไม่มีงานก็จะแนะนำให้

อย่างที่บอกไปคือทุกคนต้องการโอกาสโอกาสเป็นสิ่งที่แพงที่สุดที่ทุกคนดิ้นรนแสวงหาแต่หากเราไม่เคยให้โอกาสเขาเลย ตัวเราจะได้โอกาสมาจากไหน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีสิ่งไหนได้มาโดยที่เราไม่ได้ให้ ดังนั้นถ้าคุณอยากได้โอกาส คุณต้องหยิบยื่นโอกาสให้คนอื่นก่อน แล้วคนที่ต้องการโอกาสมากที่สุดก็คือคนพวกนี้ ที่เขาเหมือนลอยคอมาจากกลางทะเล จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ ถ้าคุณผลักเขาออกไปอีก เขาคงไม่รอด แต่ถ้าคุณโยนขอนไม้ให้เขาเกาะ ให้เขาจับเอาไว้ก่อนคุณก็จะได้ความปลื้มใจว่าเราได้ช่วยคนให้รอดตายอีกหนึ่งคน แต่ถ้าเขาจะทำเรา หักหลังเรามันก็คงจะเป็นเรื่องของชะตากรรมที่เราหนีไม่พ้นต้องเจอไม่วันนี้ก็วันหน้า เหมือนอย่างพระ-โมคคัลลานะที่มีฤทธิ์เคลื่อนพระอาทิตย์ได้ยังหนีไม่พ้นกรรม ต้องยอมให้นักฆ่าทุบตี แล้วจึงปรินิพพาน



คุณไพบูลย์พูดถึงธรรมะอยู่หลายครั้งไม่ทราบว่านี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้มาตั้งแต่ตอนอยู่ในคุกใช่ไหมคะ

ใช่ครับ เป็นธรรมะที่ได้ศึกษาตอนที่ติดคุกล้วน ๆ ครับ ชีวิตผมเปลี่ยนเพราะอยู่ที่นั่น และหลายคนก็เปลี่ยนเพราะที่นั่น ผมอยากให้สังคมได้รับรู้ ทุกวันนี้ธรรมะเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของผมในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินอยู่หลับนอน รวมถึงการใช้ชีวิตความจริงผมได้พยายามถ่ายทอดธรรมะที่ผมได้รู้มาให้ผู้ต้องขังที่เขามาทำงานกับผมอยู่เหมือนกัน แต่พอได้ลองคุยกับเขา ปรากฏว่าเขายังไม่ใช่ เพราะเขาโฟกัสไปที่การเอาตัวรอดมันมีสิ่งอื่นที่เขาให้ความสำคัญมากกว่า นั่นคือเรื่องปากท้อง ผมอยากใช้คำว่าจิตสำนึกของเขามันเสียแล้ว พอเราอบรมเขา เขาเลยไม่รับก็ต้องปล่อยไป

ผมเองเคยตั้งโจทย์ว่าเราจะทำอย่างไรที่จะพัฒนาจิตสำนึกให้คนมีจิตสำนึกดี ก็พบว่าในการพัฒนาชาติ เราต้องแก้ไขไปที่งาน อย่าให้คนตกงาน การพัฒนางานต้องพัฒนาที่คนต้องให้คนมีคุณภาพ การพัฒนาคนต้องพัฒนาที่จิต ให้เขามีจิตสำนึกดี คิดได้ รู้เท่าทันว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนชั่ว นั่นคือเราต้องปลูกฝังเรื่องศาสนา และศาสนาที่จะช่วยพัฒนาคนได้ดีที่สุดก็คือศาสนาพุทธ

สำหรับตัวผม ทุกวันนี้ผมให้ความสำคัญกับศีล เพราะศีลเป็นฐานของชีวิต ผมสมาทานศีล 5 ทุกวันทั้งภาษาบาลีและคำแปลเพราะต้องการตอกย้ำเข้าไปในใจว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร ซึ่งแต่ละประโยคแต่ละข้อก็มีนัยสำคัญแฝงให้เรานำมาใช้ในการดำรงชีวิต

สิ่งที่คุณไพบูลย์ได้จากการสมาทานศีลทุกวันคืออะไรคะ

ผมได้ฝึกสมาธิ เป็นการฝึกจิต คนเราประกอบไปด้วยกายกับจิต ทั้งสองอย่างนี้ต้องการการออกกำลัง ร่างกายถ้าไม่ออกกำลังนานไปก็มีปัญหา จิตก็เหมือนกัน ต้องออก-กำลังจิต ซึ่งได้แก่ การทำสมาธิ ถ้าไม่ฝึกจะทำให้เราสับสน อ่อนแอ ฟุ้งซ่าน อย่างการที่ผมใช้การสมาทานศีลเป็นการฝึกจิต ผมต้องพูดช้า ๆ ชัด ๆ ให้จิตอยู่ในกายของเราผมจะใช้เวลาก่อนเริ่มทำงานทุกวัน วันละ 15นาทีเพื่อฝึกตรงนี้ อานิสงส์ที่ได้ก็คือปัญญาเมื่อจิตนิ่ง มันก็จะเริ่มรู้เท่าทัน เห็นการเปลี่ยนแปลงในจิตใจของเราว่า หม่นหมองอย่างไร เบิกบานอย่างไร และรู้ว่าจิตกำลังปรุงแต่งอย่างไร และเมื่อทำงานแล้วเกิดข้อผิดพลาด เราก็จะมีสติตรึกตรองดูว่าเกิดความผิดพลาดตรงไหน และจะแก้ปัญหาอย่างไร ศีลจึงเป็นพื้นฐานทำให้เกิดปัญญาปัญญาที่ว่าได้แก่การรู้เท่าทันตัวเอง เวลาทำงานมันก็มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เรามีจิตสำนึกดีทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งต่อตนเองและสังคม

การมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่ขาดโอกาสให้เขาได้รับโอกาส เพียงเท่านี้ชีวิตผมก็มีความสุขที่สุดแล้ว 

“โอกาส” คือสิ่งที่แพงที่สุดในชีวิตที่ทุกคนดิ้นรนแสวงหา

ไพบูลย์ พิมพ์ลา


จาก http://www.goodlifeupdate.com/44894/uncategorized/fromnothingtoeverythingbypaiboonpimla/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...