ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้ใหญ่ฉลาด ชาติเจริญ “ดร.วรภัทร ภู่เจริญ”  (อ่าน 1858 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
<a href="https://www.youtube.com/v/ayn8YlK4wp8" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/ayn8YlK4wp8</a>



ผู้ใหญ่ฉลาด ชาติเจริญ “ดร.วรภัทร ภู่เจริญ”

        “ดร.วรภัทร ภู่เจริญ” ชายอารมณ์ดี หนึ่งในคนไทยผู้เคยทำงานในองค์การนาซา (NASA) อดีตผู้ไม่เคยคิดใช้ชีวิตในเมืองไทย แต่เขาได้กลับมาอยู่เมืองไทย 19 ปีแล้ว ได้เฝ้าสังเกตสังคมไทยและเชื่อว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยปัญญา
       
      ตัดจริตด็อกเตอร์
       
       เขาเล่าว่า ได้หันมาศึกษาพุทธศาสนา เนื่องจากส่วนตัวเป็นคนชอบอะไรที่ยาก และท้าทาย ศาสนาพุทธมีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก จึงเริ่มศึกษาด้วยการอ่านหนังสือเอง ซึ่งอันตรายมาก อาจตีความผิดไปเอง จำเป็นต้องมีครูก่อน โดยได้พระอาจารย์ 2 รูป คือหลวงปู่จันทา ถาวโร จ.พิจิตร และหลวงพ่อกล้วย จ.ขอนแก่น เป็นผู้ชี้ทางสว่าง
       
       การปฏิบัติธรรมคือการดัดนิสัย ขัดเกลานิสัย จากคนที่ชอบอ่านกลายเป็นคนที่ชอบทำ เรียกว่าจัดการจริตด็อกเตอร์ ที่ชอบอ่านเยอะ แน่นข้อมูล แต่ปฏิบัติน้อย ซึ่งธรรมะคือการลงมือทำ เริ่มปฏิบัติการด้วยการเลิกอ่านหนังสือธรรมะ แล้วให้ไปอยู่คนเดียวในป่าช้า ไม่ต้องคุยกับใคร ได้มองเห็นความคิดตัวเอง ว่าความคิดเป็นตัวปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ หรือเมื่อเกิดอารมณ์แล้วจะผลิตความคิดแย่ๆ ออกมา จึงต้องแยกความคิดกับจิตใจหรืออารมณ์ออกจากกันให้ได้
       
       ดร.เล่าว่าหลังปฏิบัติธรรม บุคลิก มุมมอง ความคิด เปลี่ยนไปจากเดิมมาก โดยธรรมะจะต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย ให้ผู้คนรอบข้างเป็นผู้ฝึกบริหารอารมณ์ ทุกวันนี้เขาจึงสอนใครหลายคนว่าควรจะแขวน “คำพิพากษา” อย่ารีบด่วนตัดสินคน เปิดใจมากขึ้นเพื่อฟังผู้อื่นอย่างลึกซึ้งด้วยหัวใจที่เป็นกลางแล้วปัญญาจะผุดขึ้นมา
       
      ฉลาดเพราะปัญญา
       
       ปัญญาที่ว่าหมายถึงปัญญา 3 ฐานคือสิ่งสำคัญในการพัฒนาตัวเอง ได้แก่ ฐานกาย ฐานใจ และฐานคิด ซึ่งเชื่อมโยงถึงกันหมด โดยปัญญาที่ระบบการศึกษาไทยสร้างมาตลอดคือฐานคิด ขาดการพัฒนาด้านจิตใจหรืออารมณ์ การกระทำส่วนใหญ่จึงเกิดมาจากอารมณ์ ไม่ใช้สติในการรับรู้
       
       สังคมตอนนี้ที่วุ่นวายเพราะเป็นสังคมเฉโก หมายถึงการขาดปัญญาฐานใจ ขาดการรับรู้และควบคุมอารมณ์ กลายเป็นความคิดที่เกิดจากใจที่ผิดปกติ เจืออัตตา ฐานกายไม่แข็งแรงจะรู้ไม่เท่าทันจิตใจ ปล่อยความคิดเฉโกออกมาเข้าข้างตัวเอง ไม่สมดุล ขาดจิตสาธารณะ
       
       “จะประท้วงทั้งทีก็ทำความดีให้ดูสิครับ เป็นผมจะไปเก็บขยะให้ดู ตอนนี้เป็นสภาวะเฉโกกันหมดไปเทเลือดอะไรกัน”
       
      ธรรมะสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ณ จิต ไม่ใช่ปัจจุบัน ณ ความคิด ให้จิตสงบอยู่กับปัจจุบันแต่สามารถใช้ความคิด คิดไปถึงอนาคตได้ คนส่วนใหญ่จิตกับความคิดติดกันเป็นตังเม คิดถึงอนาคตจิตกังวล กลัว ฟุ้งซ่าน วางแผนไม่ได้
       
       คนเมืองเหมือนนักกีฬาที่เล่นกีฬาทั้งวันทั้งคืนไม่มีพักครึ่ง ทำร้ายตัวเอง พักผ่อนไม่เป็น การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนำความคิดแยกออกมาจากจิตให้เกิดความผ่อนคลาย ปล่อยวาง ถึงเวลาสิ้นคิดให้สมองได้พัก เมื่อกลับไปทำงานจะได้ปัญญาที่สดใหม่กว่า
       
       ลองสังเกตดูว่า เวลาลดจิตมารับรู้ที่ผิวกาย ความเหน็ดเหนื่อยของกายจะทำให้จิตว่าง รวมทั้งการวาดภาพ รำมวยจีนหรือออกกำลังกายทั่วไปที่กำหนดสติอยู่ที่การเคลื่อนไหว (Movement meditation)
       
       “ต้องมีการกำหนดสร้างตัวรู้การเคลื่อนไหวตลอด แต่อย่างเตะฟุตบอล ตีแบดไม่ใช่นะ จิตจดจ่อกับลูก ไม่อยู่ที่ฐานกาย แต่ถ้าเป็นว่ายน้ำ โยคะ มวยไทย กีฬาที่ต้องใช้สมาธิจิตที่นิ่ง ไม่ใช้ความคิดแต่ให้สติอยู่ที่กาย ปัญหาของคนเมืองสมัยนี้คือการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากเกินไป ใช้แค่นิ้วจิ้ม ไม่ได้บริหารกายส่วนอื่น”
       
       แม่พิมพ์มีปัญหา
       
       “ผมไม่คิดจะสอนธรรมะเด็ก เพราะต้องสอนที่ผู้ใหญ่ รณรงค์เปิดโรงเรียนสอนผู้ปกครอง สอนวิธีเป็นพ่อแม่ เด็กคือผ้าขาว ผู้ใหญ่คือผ้าเปื้อน แล้วไม่เห็นตัวเอง ไม่เข้าใจเด็ก บังคับให้เด็กบวชศึกษาธรรม เกิดโรคศาสนารังแกฉัน ทำให้เขาเกลียดศาสนา หรือกับพ่อแม่ที่คุมอารมณ์ไม่ได้ พื้นฐานธรรมไม่แน่นก็จะเกิดโรคพ่อแม่รังแกฉัน สุดท้ายผู้ใหญ่เองคือแม่พิมพ์ที่ไม่เอาไหน”
       
       พร้อมกับบอกว่า มนุษย์ยิ่งแก่ตัวลงยิ่งโง่ เห็นแก่ตัว ความคิดแคบ กลัวมากขึ้นนำมาซึ่งการสร้างกฎกติกา เด็กอึดอัดก็ต้องหาทางออก แต่หากไม่มีสวนสาธารณะ สนามกีฬาให้ หรือคำชื่นชมจากพ่อแม่ก็หันไปหาสิ่งเร้าอย่างเกมและอินเทอร์เน็ต หากห้ามอาจกลายเป็นเด็กไม่มีทางออกและวิ่งเข้าหาเพื่อน ซึ่งเพื่อนดีๆ ก็หายาก ทำไมไม่ลองเล่นกับลูกบ้าง
       
       ผู้ใหญ่ในวันนี้ขาดความรู้ในการเลี้ยงลูก ผู้ใหญ่บ้านเมืองนี้ขาดความเข้าใจเรื่องเด็ก อย่างเช่นข้อสอบ O-net ที่เห็นชัดว่าไม่ฟังเด็ก คำขอโทษไม่มี นั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่สื่อให้เด็กรับรู้ว่า “ฉันคือผู้ทรงอำนาจ” ทุกสิ่งตายตัวเกินไปหรือตกร่องความคิดเดิมไม่กล้าริเริ่มสิ่งใหม่ๆ
       

       “เมื่อไรเราจะสอนให้ผู้ใหญ่เปิดหู เปิดตา และเปิดใจ เขาจะเชื่อความรู้ชุดเดิมของเขาว่าถูก เหมือนกบในกะลา ตัวสร้างปัญหาคือผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็ก แล้วก็หาเด็กมาเป็นแพะ หรือชอบมาตีกันให้คนอื่นเขาดู ไม่แสดงให้เด็กดูว่าการต่อสู้แบบอารยขัดขืนแท้จริงเป็นอย่างไร ใช้แต่ความรุนแรงกัน”
       
       สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ได้ด้วยธรรมะ ควรเปิดใจคุยเพื่อหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง ซึ่งตอนนี้สังคมขาดความเคารพความแตกต่าง ชอบให้ทั้งประเทศคิดเหมือนกัน เป็นเกษตรเชิงเดี่ยว
       
       “ทำอะไรต้องคิดเหมือนกันหมด ในหลวงท่านสอนให้ทำไร่นาสวนผสม แต่เมื่อใดเราจะมีความคิดสวมผสมเสียที เรียกว่ามีความคิดที่แตกต่าง แต่มีหัวใจร่วมกัน แต่ของไทยเมื่อมีความคิดแตกต่างจะฆ่ากันให้ตายเพื่อเหลือความคิดเดียว หาข้อสรุปถึงจะลองทำ ซึ่งความผิดพลาดทั้งหมดเกิดจากฐานสำคัญคือการศึกษา”
       
       การศึกษาสร้างชาติ
       
       ต่างประเทศมีการปรับปรุงระบบการศึกษาใหม่อย่างประเทศเกาหลีที่ตอนเช้าครูสอน 3 ชั่วโมง เวลาที่เหลือคือเวลาให้เด็กไปเลือกทำ ลองผิดลองถูก สิ่งที่อยากเรียนรู้ ให้สามารถเลือกคณะ เข้าชมรมหรือค่ายในสาขาแขนงต่างๆ ตามความสนใจของแต่ละคน เป็นการให้เสรีตั้งแต่ยังเด็ก โดยตนมองว่าระบบการศึกษาของหลายประเทศดีกว่ามาก อย่างลาว มาเลเซีย จีน เกาหลี สแกนดิเนเวีย
       
       ดังนั้น ฝ่ายบุคคลสมัยใหม่จึงเริ่มปฏิรูปการศึกษาด้วยการไม่ดูเกรด วุฒิ และสถาบันอีกแล้ว ทุกวันนี้เด็กจบออกมาไอคิวดีแต่ขาดน้ำใจ ไม่มีจิตอาสา หรือเรียนรู้มาในหลายสิ่งที่ผิดไป กล่าวคือ “กินน้ำใต้ศอกความรู้ฝรั่งมาอมไว้ แล้วบ้วนให้เด็กอมต่อ”
       
       สิ่งที่จำเป็นนอกจากฉลาดทางความคิด (IQ) แล้วจำเป็นต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) จิตวิญญาณ จิตอาสา ศิลป์ ศีลธรรม (SQ) และความฉลาดในการดูแลสุขภาพตัวเอง (HQ) แต่การเรียนปัจจุบันไม่ใช่การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ แต่เป็นเรียนรู้ที่จะจำ เอาตัวรอด คิดให้ตรงกับครูออกข้อสอบ อย่างที่เด็กเคยให้สัมภาษณ์ในรายการของวู้ดดี้ว่ามีหลักการทำข้อสอบคือคาดเดาให้ตรงกับความคิดผู้ออกข้อสอบมากที่สุด
       
       “เราเอาคนป่วยมาดูแลการศึกษาอยู่ ผลิตคนที่ป่วยเหมือนกันออกมา ผมว่าระบบการศึกษาไทยป่วยหนักโคม่าเลยนะ เป็นถึงขั้นคนไข้ไม่เห็นตัวเองว่าป่วยแล้ว ควรจัดตั้งหน่วยงานอิสระขึ้นมา โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเสี้ยวเดียวในการดูแล ให้ประชาชนได้เลือกผู้ดูแลทางการศึกษา กระทรวงอื่นก็ควรให้ความสำคัญด้านการศึกษาเช่นกันว่ากระทรวงศึกษาธิการอย่างเดียวไม่ถูก”
       
       เท่าที่ตนได้สังเกตมา ไม่มีรัฐบาลใดที่เข้าใจการศึกษาเลย นายกฯแต่ละสมัยจะมีแต่ ทนาย พ่อค้า ทหาร ขอเพียงมีนายกฯผู้กล้าเข้ามาแยกการศึกษาออกจาการปกครอง ซึ่งเห็นว่าพยายามทำอยู่ แม้จะปุบปับเหมือนข่มขืนเด็ก แต่นับว่ามาถูกทางในการเริ่มสิ่งแปลกใหม่ เพียงต้องให้เวลานักการศึกษามากขึ้น
       
       เรียกร้องผิดทาง
       
       อีกมุมหนึ่งของศาสนา กับการแสดงตนของเหล่าพระสงฆ์ในขบวนม็อปนั้น ชายผู้นี้มองว่า “กรรมใคร กรรมมัน” เนื่องจากศีล 228 ข้อ ระบุว่าพระไปงานกองทัพไม่ได้ ถือว่าอาบัติ อีกหน่อยจะเหมือนพระในพม่าหรือทิเบต พระจะต้องคงความเป็นกลาง สอนให้คนละกิเลส ซึ่งก็ต้องมองด้วยว่าพระที่มาไม่ใช่ส่วนใหญ่ของประเทศ
       
       “คืออาจจะเป็นพระที่คิดว่า ทุกคนไม่เห็นคุณค่าของท่าน เลยอยากจะมีคุณค่าบ้าง จึงเหมือนออกมาเรียกร้อง นี่คือเดาเอาไม่อยากพิพากษา แต่ว่ามองจากตรงนี้แล้วพระน่าจะให้คำพูดแนวสมานฉันท์มากกว่า เพราะหลักทางพุทธคือหลักทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คือการสังเกตหมายถึงการมองตามความเป็นจริง เป็นกลาง ไม่เลือกข้าง ไม่ตัดสิน ดังนั้นการสังเกตและไม่พิพากษาเลือกข้างถึงจะเรียกว่าพุทธ”
       
       พร้อมกับบอกว่าการสังเกตนั้น ส่วนใหญ่สังเกตไปได้ครึ่งทางจะเกิดการเลือกข้าง แต่หากสังเกตไปจนสุดแล้วจะต้องร้องอ๋อ เพราะเข้าใจจนหมดสิ้น เห็นทุกอย่างแล้วว่าแต่ละสีมาตีกัน สุดท้ายก็มาจากราก และแหล่งกำเนิดเดียวกัน
       
       “พระก็มีหลายระดับ ซึ่งพระที่ยังสังเกตไม่สุดจะมีความคิดเฉโกเหมือนอย่างที่พระพุทธทาสท่านพูด แสดงว่ายังมีอัตตาเจือปน โอเคถ้าจะออกมาช่วยชาติ เลือกข้างสีนั้นสีนี้ไม่ว่าจะสีอะไร ผมก็เคารพในสิทธิของท่าน แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าท่านยังสังเกตไม่สุด ต้องรู้ว่ากิจของสงฆ์คืออะไร สึกก่อนแล้วค่อยมาลุยจะไม่ว่า ถือปืนยิงให้สนั่นเลย”
       
       สุดท้าย ดร.วรภัทรบอกว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเติบโตทางประชาธิปไตย การตีกันจะนำไปสู่ความเจ็บปวดเพื่อเรียนรู้ว่า “ตีกันทำซากอะไร” ในแดงมีเหลืองในเหลืองมีแดง ในความดีมีความชั่ว ในความชั่วมีความดีทั้งนั้น
       
       รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite
       ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน









จาก http://astv.mobi/ADIgYjs

เพิ่มเติม ช่อง วรภัทร https://www.youtube.com/user/twnna9/videos
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...