ผู้เขียน หัวข้อ: 3 เรื่องใหญ่จาก The Last Jedi ที่จะเปลี่ยนจักรวาลภาพยนตร์ Star Wars ไปตลอดกาล  (อ่าน 2634 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


บทความนี้มีการเปิดเผยเรื่องราวในภาพยนตร์

                หลังจาก Star Wars The Last Jedi เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ กระแสคำวิจารณ์ก็แตกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งฝ่ายนักวิจารณ์ที่ชื่นชอบและบางส่วนยกให้นี่คือภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแฟรนไชส์นี้ ในขณะที่มีแฟนภาพยนตร์ออกจะไม่ปลื้มกับการพลิกโฉมในครั้งนี้เท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัจฉิมบทแห่งเจได ครั้งนี้พลิกโฉมหน้าของสตาร์วอร์สแบบเก่าไปเสียสิ้น ส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้อย่างน่าสนใจ และต่อไปนี้คือ 3 สิ่งที่เราเห็นแล้วว่ามันจะเปลี่ยนจักรวาลสงครามอวกาศนี้ไปตลอดกาล
** สำหรับใครที่ไม่อยากอ่านเพราะว่ามันจะสปอยล์หนักมาก เราสรุปมาให้สั้น ๆ ดังนี้ **

1.นี่คือภาพยนตร์ที่จะขยายขอบเขตของการใช้ “พลัง” ไปมากกว่าเดิม

2.นี่คือภาพยนตร์ที่จะก้าวข้ามเรื่องราวเก่า ๆ เพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

3.นี่คือภาพยนตร์ที่แตกต่าง เพราะจะไม่ใช่การมุ่งเน้นว่ามันมีเพียงแค่สีขาวและสีดำ

** ถ้าอยากอ่านเพิ่มเติม และรับได้กับการสปอยล์ สามารถอ่านได้ข้างล่างเลย**

ป.ล. เราเตือนคุณแล้วนะ



1.ความสามารถของ “พลัง”

                พลัง หรือ Force คือสิ่งที่อยู่คู่กับภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สมาตั้งแต่ภาคแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน จนในภาคล่าสุด The Last Jedi นี้ก็ได้ขยายความเป็นไปได้ของพลังนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิม เริ่มต้นจากการแสดงให้เห็นชัดว่าผู้บัญชาการเลอา หรือเจ้าหญิงของเราสามารถใช้พลังได้เช่นกัน แน่นอนว่ามีการเกริ่นในภาคก่อน ๆ แล้วว่าเธอสามารถใช้ได้ แต่ก็ยังไม่มีครั้งไหนที่เธอจะใช้พลังที่ว่าให้เราเห็นได้ชัดเจนเท่าครั้งนี้ แถมพลังของเธอยังไม่ธรรมดา ถึงขนาดที่สามารถดึงร่างและจิตของตัวเองที่หลุดลอยไปในอวกาศให้กลับมายังยานได้ คือการย้ำชัดแล้วว่าเธอมีสายเลือดของสกายวอล์คเกอร์อย่างเต็มตัว

                นอกจากนั้นแล้วยังมีการที่ลุค สกายวอล์คเกอร์ใช้พลังของตัวเอง สร้างภาพลวงตามาต่อสู้ในฉากต่อสู้สุดท้าย นั่นก็น่าทึ่งไม่แพ้การใช้พลังในครั้งไหน แต่ที่สร้างความฮือฮาได้ไปทั่วโรงภาพยนตร์คือการปรากฎตัวของมาสเตอร์โยดา ที่มาในรูปแบบของวิญญาณพลัง พร้อมเรียกสายฟ้าลงมาผ่าใส่วิหารแห่งเจไดจนพังพินาศ นี่ทำให้เรารู้ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกก็เป็นได้



2.การก้าวข้ามเหล่า “สกายวอล์คเกอร์”
               
อย่างที่เราเห็นกันว่าในภาพยนตร์แฟรนไชส์ Star Wars ทั้ง 6 ภาคที่ผ่านมา เรื่องราวจะวนเวียนอยู่กับการต่อสู้ภายในของครอบครัวสกายวอล์คเกอร์ แต่สำหรับไตรภาคใหม่ โดยเฉพาะ The Last Jedi นี้ คือการบอกผู้ชมเราอย่างชัดเจนว่าต่อไปนี้จะสิ้นสุดเรื่องราวของเหล่าสกายวอล์คเกอร์แล้ว และจะเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนอื่น (เสียที) โดยการเริ่มต้นว่าเรย์ เป็นเพียงเด็กสาวทั่วไป ไม่ได้มีสายเลือดพิเศษ เพียงแค่เธอมีพลังอยู่ในตัวเท่านั้นเอง สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามจะบอกก็คือ “แม้จะเป็นเพียงคนธรรมดา คุณก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้” นับเป็นแนวทางที่น่าสนใจของภาพยนตร์ต่อจากนี้เป็นอย่างยิ่ง



3.ในจักรวาลนี้ไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวและสีดำ

                แต่ไหนแต่ไรมา Star Wars ก็จะเป็นเรื่องราวการต่อสู้กันระหว่างพลังด้านสว่าง และด้านมืด เปรียบได้ดั่งสีขาวและสีดำ แต่ถึงกระนั้นใน The Last Jedi นี้กลับผลักเรื่องดังกล่าวออกไป แล้วเสริมความสมบูรณ์แบบที่เราสามารถสัมผัสได้มากขึ้น ด้วยการพาตัวละครของเราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขาเลือกจะกระทำ แล้วผิดพลาด ล้มเหลว แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้รับผลกระทบ และเราอาจจะไม่ได้พึงพอใจกับมันมากนัก แต่นี่ทำให้เราเห็นว่ามันสมจริงและเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม ภาพยนตร์พยายามบอกกับเราว่า ถึงเราจะเห็นพวกเขาเป็นเหมือนฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นตำนาน แต่พวกเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่สามารถผิดพลาดได้ เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน

                ยิ่งพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ของไคโล เร็น นี่จะต้องกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เราไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะทำอย่างนั้นกับสโน๊ค แต่เมื่อเกิดขึ้น นั่นจะเปลี่ยนทุกสิ่งที่จะเป็นไปได้ให้เราคาดเดาไม่ได้ว่ามันจะเป็นอย่างไรในภาคต่อไป นี่เป็นเหมือนการรีบู๊ตกลาย ๆ ของแฟรนไชส์นี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะได้ดูอะไรในภาคต่อไป มันย่อมเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่นอน และนั่นจะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจมากขึ้นอีกเป็นกอง



        หากมองโดยทั่วไปแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นเพียงภาพยนตร์บันเทิงที่เสิร์ฟอารมณ์ขัน และฉากต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ ภาพสวย แต่เบื้องหลังได้ซ่อนปรัชญาง่าย ๆ ที่เราสามารถเข้าถึงได้ทุกคน อย่างการดำเนินชีวิต ที่แม้เราจะยิ่งใหญ่เพียงไหน สุดท้ายเราก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่สามารถทำผิดพลาด ล้มเหลว แต่วันหนึ่งเราจะสามารถยืนหยัดได้อีกครั้งและก้าวเดินต่อไปด้วยความหวัง เพราะฉะนั้น Star Wars The Last Jedi จึงไม่ได้เป็นเพียงภาพยนตร์ทั่วไป แต่นี่คือภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง สมแล้วที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน

จาก http://www.majorcineplex.com/news/3-things-change-starwars

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


Star Wars: The Last Jedi สนุกสัสๆ สนุกจนอยากลุกขึ้นยืนปรบมือ กราบบบบงามๆเลย 9.5/10
ไม่มีสปอยล์เลย มั่นใจมาก!!
.
ดูจบนี่คือขนลุก หนังสนุกมากกกกกกกกก สนุกเชี่ยๆ สนุกจนมีความรู้สึกว่าปรบมือให้ไม่พอ ต้องลุกขึ้นแสตนดิ้งแล้วปรบมือดังๆแรงๆเอาให้มือมันชาไปเลย นี่คือสุดขีดความบันเทิงของปีนี้แล้ว เป็น Star Wars ที่สนุกที่สุดเท่าที่เคยดูมาจริงๆ แม้หนังจะเดินเรื่องต่อมาจากภาคก่อนๆ แบบคนดูอาจจะต้องมีพื้นตัวละครมาบ้าง แต่ก็มั่นใจว่าต่อให้ไม่เคยดูอะไรมาก่อน ก็ปะติดปะต่อเรื่องและสามารถเกาะติดไปกับหนังได้อย่างมีความสุข เพราะโครงสร้างบทของ The Last Jrdi มันจะไม่ซับซ้อนมาก มันดูแบบง่ายๆเลย ตัวหนังยาวมากถึง 2 ชั่วโมง32นาที กลับไม่มีช่วงน่าเบื่อเลยแม้แต่ช่วงเดียว หนังสาดระเบิด สาดฉากแอ๊คชั่นเข้ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง หนังมีความเท่แบบเคารพความเป็นตัวต้นฉบับของ Ep3-4-5 และในเวลาเดียวกันก็ใส่ความทันสมัยลงไปพร้อมกับมุขตลกที่มาถูกที่ถูกเวล คนดูก็ขำเพราะมีความสุข
.
โครงเรื่องของ Star Wars: The Last Jedi นั้นเป็นน่าจะเรียกว่าเป็นโครงเรื่องที่เอาใจคนดูที่ตามไม่ค่อยทันเนื้อหา Star Wars  เท่าไหร่ ด้วยการผูกเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องราวของการตามไล่ล่าฝ่ายปฐมภาคีที่นำโดยสโตค โดยทีไคโลเรน และนายพลฮัค ตามไล่ล่ากับฝ่ายกบฏต่อต้านของเจ้าหญิงเลอา และพวก ฟิน กับ เรย์ โดยมีตัวละครหน้าจีนเพิ่มขึ้นมาอีกตัวคือโรส และถ้าใครได้ดูภาคที่แล้วก็จำง่ายๆว่า เรย์เดินทางมาเจอกับ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ที่เกาะเพื่อให้ลุคสอนวิชาเจไดให้ โรงสร้างหนังจะเน้นไปที่การไล่ล่า และการฝึกของเรย์ เอาเท่านี้ละกัน และในหนังมันก็จะขยายต่อไปเรื่อยๆ โดยมีฉากแอ๊คชั่นเป็นแกนหลักและเดินเรื่องแบบจัดหนัก
.
หนังสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงแบบ 100% เปิดเรื่องมาทั้งคอนเซปอาร์ท และมูฟเม้นของยานก็เล่นเอาแฟนเดนตายของ Star Wars  ครางกันหงิงๆทั้งโรงแล้ว ไม่ถึง 30 วิ หนังก็พาเราไปพบกับฉากไล่ล่า ฉากระเบิดยานกันแบบยิงยาว และเราแทบไม่ต้องหายใจหายคอ อีกแป๊บๆก็ระดมแอ๊คชั่นสาดกระสุนมาแบบตู้มต้าม ต้องชมตัวผู้กำกับ  Rian Johnson ( Looper  2012) ว่าฝีมือถึงมากกก ทำ Star Wars ออกมาได้ถึงใจถึงอารมณ์จริงๆ ต้นเรื่องว่าปังแล้ว ฉากแอ๊คชั่นไล่ล่าท้ายเรื่องไม่ต้องพูดถึงคูณไปอีกสิบอีกร้อยเลย หนังมันส์มากกกก มันส์แบบว่านั่งไปติดเบาะ หลายฉากอยากลุกขึ้นยืนปรบมือก็เกรงใจกลัวคนคิดว่าบ้า แต่การันตีว่าโคตรสนุก โคตรปัง
.
ซิกเนเจอร์ของความเป็นสตาร์วอร์สมาครบแบบจัดเต็ม และแน่นอนว่า การปรากฏของดาบไลท์เซเบอร์ ในเรื่องก็ทำอาติ่งหนังกรี๊ดกันแทบกระทืบโรงพัง เพราะมันเท่มากกก แบบว่าเท่จริงๆ กราบคนแคสติ้งที่เลือก Adam Driver มาเป็นไคโลเรน เพราะนี่ก็นึกไม่ออกว่าถ้าเป็นคนอื่นมันจะออกมาเป็นยังไง เค้าเป็นไคโลเรน ที่เข้าสู่ด้่นมืดได้อย่างงดงาม และทรงพลังที่สุด แต่ที่ไม่อวยไม่ได้เลยคือ เรย์ ที่รับบทโดย Daisy Ridley นางครบจริง สวย และแกร่ง หน้าตากบฏรั้นๆ นางมาว่ะ
.
แต่สิ่งที่ดีงามที่สุดน่าจะเป็นการปรากฏตัวของ Mark Hamill ที่เค้ายังเป็น ลุ๊ค สกายวอล์คเกอร์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แก่ขึ้น เก๋าขึ้น สงบขึ้น และที่สำคัญ หนังนำเสนอวิชาเจไดออกมาได้ลึกและเข้าถึงปรัชญาในแบบพุทธศาสนาได้อย่างนิ่งงันและทรงพลังที่สุด คนดูเชื่อว่า สุดท้ายลุ๊คนี่แหละ...
.
Carrie Fisher ผู้ที่เพิ่งล่วงลับกับบทเจ้าหญิงเลอา ขอบอกเลยว่าเธอสง่างามเหลือเกิน หนังเหมือนจะคารวะเธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการใส่บทให้เลอาเยอะมาก และออกมาทุกซีนคือออร่าพลังแผ่ซ่านไปทั้งจอ งามสง่ามาก นี่คือรุ่นใหญ่จริงๆสินะ ไม่น่าเลย เธอน่าจะเล่นหนังอีกหลายๆเรื่อง
.
หนังเลือกเอา ฟิน และ โรส เป็นดาราผิวสีและดาราเอเชียมาแสดง รมไปถึงการที่หนังเอาดาราหญิงขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมกบฏ นี่ก็น่าจะบอกอะไรหลายๆอย่างถึงการพยาบามฉีกขนบแบบเดิมๆของหนังฮอลลีวู้ด ที่แมัมันจะไม่ใหม่ แต่การตีความในแง่ของหนังสตาร์วอร์สที่มีความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของยุค 70 ก็ต้องนับว่าล้าที่จะฉีกพอสมควรเลยล่ะ
.
ตัวละครสมทบพวกสัตว์ พวกหุ่นยนต์ นี่คงไม่ต้องบรรยายกันล่ะ เห็นจากตัวอย่างก็คันอยากจะไปเจอพวกมันแล้ว ทั้งหุ่นยนต์ ทั้งนกทั้งหมาป่าผลึกคริสตัล ดูแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ หมาคริสตัลนั่นทำร่วมปี ออกมากระจึ๋งเดียว แต่สวยมากกกกกกกกก
.
ฉากแอ๊คชั่นออกมาสนุกมากกกก สนุกและลุ้นทุกซีน เป็นอะไรที่ขอบอกว่า บันเทิงฉิบหาย
.
สุดท้ายเราพูดได้เต็มปากว่า  The Last Jedi เป็นสตาร์วอร์ส ที่สนุกโคตรๆ ไม่มีตอนน่าเบื่อเลยสักนิด เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจในการดูหนัง หนังค่อนข้างสมบูรณ์แบบทั้งการเล่าเรื่อง การแสดง เทคนิคพิเศษ ตลอดจนอารมณ์ขัน และที่สำคัญคือความสนุก ซึ่งมันจัดเต็มสำหรับเราจริงๆให้  ดูจบ ถามว่าเสียดายตังค์ไหมพูดเลยอยากเดินออกมาแล้วเอา ตังให้โรงไปอีก 500 ในฐานะที่ว่าทำหนังสนุกมากอยากจ่ายตังค์เพิ่ม เอาไป 9.5/10 นะครับ บอกกับตัวเองว่าต้องจัดอีกรอบแน่ๆ

จาก https://www.facebook.com/overhyp/



<a href="https://www.youtube.com/v/zpccAg8Wf7A" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/zpccAg8Wf7A</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/zW2uHTf-F_s" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/zW2uHTf-F_s</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/nsenjyhEbP8" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/nsenjyhEbP8</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/qrk3YPWep7E" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/qrk3YPWep7E</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/YbW2R6jxTOA" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/YbW2R6jxTOA</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/UpyfDgHIiiM" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/UpyfDgHIiiM</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/K_K1y1LEnF0" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/K_K1y1LEnF0</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/-tTPIihPhjg" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/-tTPIihPhjg</a>



" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


Star Wars VIII : The Last Jedi

ผมไปดูสตาร์วอร์ภาคนี้มาแล้วสามรอบภาคนี้ เป็นภาคที่เสียงแตกมากๆ คนที่ชอบก็ชอบมาก คนที่เกลียดก็เกลียดไปเลย นั่นทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจ

เราจะมาลองวิเคราะห์กันว่าสารที่อยู่ในตัวเรื่อง The Last Jedi คืออะไร และการตอบสนองของแฟนสตาร์วอร์ที่แตกเป็นสองฟากอย่างชัดเจนนี้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง

คราวนี้ไม่ใช่บทความแนะนำหนัง แต่จะเป็นบทวิจารณ์หนังครับ

ดังนั้นมันจะสปอย เป็นบทความสำหรับคนที่ดูมาแล้ว หรือคนที่ไม่แคร์ว่าจะโดนสปอยเท่านั้นครับ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
=ครู กับ ศิษย์=

ตัวตีมของหนัง The Last Jedi ภาคนี้ยังคงเป็นเรื่อง "การฝึกวิชา" ซึ่งเป็นตีมที่ล้อกับภาค 5 empire strikes back

แต่หนังภาคนี้ได้พยายามเล่าเรื่อง "การฝึกวิชา" ในมุมมองใหม่

มันตั้งคำถามถึง การเรียน กับ การสอน - ครู กับ ศิษย์ - ผู้ใหญ่ กับ เด็ก - ยุคสมัยเก่า กับ ยุคสมัยใหม่

ตัวเรื่องเป็นการจับคู่ระหว่างคู่ศิษย์กับอาจารย์ ผู้ใหญ่กับเด็ก ผู้สอนกับผู้เรียน เพื่อนำเราพิจารณาคำถามต่างๆเพื่อหาคำตอบ
.
.
.
[ลุค Fallen Hero - เรย์ Nobody From Nowhere]

ตัวแทนของผู้ใหญ่คนแรกคือ ลุค สกายวอร์คเกอร์

ลุค ในภาคที่เราเคยรู้จักคือฮีโร่ผู้สมบูรณ์แบบ ปรมจารย์เจได ในด้านแสงสว่าง

ทุกคนคาดหวังในอนาคตที่สดใสหลังจากจบภาค 6 ทุกคนคิดว่าตำนานควรจะจบที่ "แล้วทุกคนก็มีชีวิตกันอย่างมีความสุข"

ทว่าหนังเรื่องนี้พลิกทุกอย่างกลับหัวกลับหางไปหมด

ลุค เป็นภาพของผู้ใหญ่ที่เรามองเห็นได้เรื่อยๆในสังคม ผู้ใหญ่ที่เคยประสบความสำเร็จ เป็นตำนาน ถูกคาดหวังจากคนทั้งจักรวาล (รวมทั้งผู้ชมด้วย) แต่แล้วเขาก็พบว่าตัวเองเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่อาจแบกรับความคาดหวังทั้งหมดไว้ได้

ลุค ถูกคาดหวังด้วยค่านิยมของเจได เขากลัวว่าตัวเองจะล้มเหลวในการฝึกสอนศิษย์ชุดแรกของเขาคือเบน กลัวว่าศิษย์ของเขาจะเข้าสู่ด้านมืด ลุคมีความคาดหวังในตัวเบน

ความกลัวนั้นก็ทำให้ตัวเขาเองล้มเหลว ลุคเผชิญกับความอ่อนแอ และพ่ายแพ้ให้แก่มัน ไม่ใช่แค่รู้สึกล้มเหลวที่ทำให้เกิดไคโรเร็ต แต่เขาผิดหวังกับตัวเอง เขาไม่คิดว่าปรมจารย์อย่างเขาจะมีความเกลียดชังแบบนั้นในจิตใจ เขากลัวตัวเองจะกลายเป็นแบบเวเดอร์

และเมื่อลุคล้มเหลว เกียรติของผู้กอบกู้จักรวาลที่ลุคแบกอยู่ ทำให้เขาลุกไม่ขึ้นอีกเลย

ลุคกลายเป็นคนแก่ผู้ล้มเหลว ปิดตัวเองจากสังคม ปิดตัวเองจากพลัง และมองดูสาธารณรัฐที่เขาสร้างขึ้นมาในวัยหนุ่มค่อยๆล่มสลายเงียบๆ

เป็นชีวิตที่ล้มเหลวที่สุดของการเป็นวีรบุรุษ ด้วยการถูกบอกว่าทุกสิ่งที่เคยทำมานั้นไร้ค่า ความสำเร็จทั้งหมดก็พังทลายลงมา

สำหรับคนที่มองโลกเป็นตรรกะแบบนิยายกำลังภายใน ที่ฝึกวิชาเก็บเลเวล เมื่อสะสมพลังวัตรถึงขั้นหนึ่งแล้วย่อมเก่งกว่าคนไม่ได้สะสม และไม่ย้อนเสียเวเวลกลับมา หรือมองโลกเป็นการปฏิบัติธรรม ที่คนจิตสะอาดไปแล้ว ย่อมไม่มีความหวั่นไหว ความอ่อนแอ คงจะรับการล่มสลายของลุคได้ยาก

จริงๆมันทำให้คนรุ่นก่อนรู้สึกว่า ตัวเองเป็นลุคที่ประสบความสำเร็จแล้ว มีสิทธิ์สอนคนอื่นได้ ภาคลุคที่ล้มเหลวทำให้พวกเขาเหมือนโดนด่าว่าจริงๆแล้วคนรุ่นใหม่ไม่ได้เคารพเขาและมองว่าเขาล้มเหลว

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มนุษย์เป็นแบบนั้นจริงหรือ การเติบโตของคนเป็นการก้าวไปข้างหน้าแบบไม่ถอยหลังแบบนั้น หรือเนื้อแท้เราก็เป็นมนุษย์คนเดิม ถ้าเจอโจทย์เดิมที่เคยเอาชนะไปได้แล้วอีกครั้งในอีกมุมหนึ่งเราจะต้องเอาชนะได้อีกครั้งหรือเปล่า?

ปรมจารย์อาวุโส จะไม่มีอารมณ์โกรธ เกลียด อิจฉา อยากฆ่าคน ขึ้นมาในอารมณ์เลยเหรอ? หรือจริงๆแล้วเราก็เป็นคนคนเดิมกับตัวเองในวัยเด็กนั่นแหละ? เราที่ผิดพลาดซ้ำๆ อยู่กับอารมณ์และความเป็นมนุษย์เหมือนเดิม

การเติบโตคือการก้าวไปข้างหน้าอย่างเดียวเหรอ? หรือมีถดถอย? หรือจริงๆเราย่ำกลับไปกลับมา? ฮีโร่เมื่อ 30 ปีก่อน จะยังเป็นฮีโร่ในวันนี้หรือไม่?

ลูกศิษย์ของลุค ในภาคนี้คือเรย์ เด็กที่เต็มไปด้วยพลัง และความต้องการครอบครัว

เรื่องนี้ไม่ได้เอาง่ายๆ แบบ ผู้ใหญ่แย่ เด็กดีกว่า แต่ก็นำเสนอว่าเด็กเฟลพอกัน

บนเกาะเจได ที่มีโบราณสถานด้านสว่าง กับโบราณสถานด้านมืด เรย์ตรงสู่ด้านมืดอย่างรวดเร็ว

ความเกลียดชังด้านมืดของพลังในนิกายเจไดที่เราได้รับรู้ในภาคที่ผ่านๆมานั้นรุนแรงมาก

หากเจไดเป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่างและธรรมะ ซิดก็เป็นสัญลักษณ์ของความมืดและกิเลส

พวกเจไดกลัวและรังเกียจด้านมืด โอบีวันไม่ยอมให้ อานาคินพบพอแม่เพราะกลัวว่าความผูกพันธ์นั้นจะนำอานาคินสู่ด้านมืด บางคนถึงกับเสนอให้ฆ่าอานาคิน

ลุคเองก็ถึงกับมีความคิดสังหารเบน เมื่อสัมผัสได้ถึงด้านมืดของเบน

แต่เรย์มุ่งตรงเข้าสู่ด้านมืดเลยในทีเดียว

ทว่าสิ่งที่เรย์พบในส่วนลึกสุดของด้านมืด กลับไม่ใช่ความน่ากลัว ไม่มีสิ่งใดเลย นอกจากเงาของตัวเธอเอง

เรย์ก้าวข้ามธรรมเนียมของเหล่าเจไดไป เธอขโมยคำภีร์เจได และออกเดินทางไปเกลี้ยกล่อมไคโร เรน หรือ เบน โซโล ให้กลับใจ

สำหรับเรย์ เธอไม่เคยใช้คำว่าด้านมืด หรือด้านสว่าง เธอก้าวผ่านการมองโลกสองสีแบบเจไดไป และเห็นความสับสนใจตัวของเบน

ไอ้ ฟอร์ทไทม์ เชทกันข้ามอวกาศนี่ ผมว่ามันเป็นความใหม่ของวัยรุ่น เมื่อก่อนคุยกันยาก ทุกวันนี้คอลแบบเห็นหน้ากันได้ทุกวัน เราห้ามวัยรุ่นไม่ให้แชทกันไม่ได้หรอก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายหวั่นไหวมากๆ ซึ่งถ้าเป็นศาสนาเจไดเดิม คงห้ามไม่ให้มีความรัก และโดนห้ามแชทไปแล้ว แต่ระบบวิหารมันไม่เหลืออยู่แล้ว คุมเด็กไม่ได้ ลุคทำได้แค่โวยวาย

ที่สุดแล้วการติดต่อกันระหว่างเรย์ กับ ไคโรเร็น ทำให้เรย์รู้ถึงความเลวร้ายของลุค ที่ลุคพยายามปกปิดไว้ สุดท้ายลุคก็ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเอง และไม่แก้ไขมัน

เรย์ก็เลยเลือกไคโร เร็น มากกว่าลุค ที่จริงก็เป็นความคิดแบบสาวๆว่าจะเปลี่ยนแบดบอยได้

ในเรื่องนี้เธอก็เปลี่ยน ไคโร เร็น ได้บ้าง แต่ในทางกลับกันอิธิพลของเบนก็ทำให้ตัวตนของเรย์พัฒนาขึ้น

ที่สุดแล้วเราก็เข้าใจว่า ความจริงแล้วเรย์ไม่ได้ต้องการตามหาพ่อแม่ของเธอ

แท้จริงแล้วเธอแค่ต้องการเป็น Somebody เป็นแค่คนไร้ตัวตน ไร้คุณค่า ที่ต้องการแสวงหาความยิ่งใหญ่ ด้วยการเพ้อฝันว่า จริงๆแล้วฉันมีพ่อแม่ที่แท้จริง เป็นใครสักคนที่ยิ่งใหญ่

ความจริงนี้ทำให้คนดูผิดหวัง ไม่ยอมรับ พอๆกับที่เรย์รู้มาตลอดแต่เธอไม่ยอมรับตัวเอง ทั้งคนดูและเรย์ติดอยู่ในความคิดว่าการเป็น Somebody จะต้องมีเรื่องราวที่น่าสนใจ มีสายเลือดยิ่งใหญ่ เป็นผู้ถูกเลือก มีพลังพิเศษ เกี่ยวข้องกับเรื่องราวใหญ่ๆของจักรวาล

แต่แท้จริงๆแล้ว เรย์เป็นแค่ Nobody From Nowhere คนดูรับไม่ได้ เธอเองก็รับเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีคนความหมาย ถึงกับหลอกตัวเองแล้วเดินทางตามหาพ่อแม่ข้ามจักรวาล

แต่ ไคโร เรน ทำให้เธอรู้ว่า เธอไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่ที่มีชื่อเสียงสำหรับการเป็นคนสำคัญสำหรับใครสักคน

เราจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องมีพ่อแม่มีชื่อเสียง หรือถูกเลือก สำหรับการเป็นใครสักคน

และอันที่จริงด้านมืดของพลัง ก็ตอบคำถามจริงๆที่เธออยากรู้แล้ว ว่าคนที่จะทำให้เธอเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ก็คือตัวของเธอเอง
.
.
.
[ผู้การโฮโด ผู้บัญชาการเพื่อปกป้องแสงสว่าง - โพ นายทหารที่อยากเป็นฮีโร่]

เรื่องนำเรามองในมุมของโพ สุดยอดนักบินของฝ่ายต่อต้าน ที่นิยมการบุกตะลุย นำตัวเองเข้าสู่สมรุภูมิอันตราย และเสี่ยงกับความเป็นไปได้ที่มีเพียงเล็กน้อยเพื่อสร้างปราฏิหาริย์

ในสถานการณ์อันตรายเขารู้สึกว่าโฮโด ผู้บัญชาการในเวลาวิกฤติเป็นพวกขี้ขลาด จึงเริ่มแผนการของตัวเองคู่ขนานอย่างลับๆ

แต่ท้ายที่สุดแล้ว โฮโด น่าจะเป็นตัวละครที่ผู้ชมชอบที่สุดในภาคนี้ เธอวางแผนอย่างรัดกุม ทำทุกอย่างพอเหมาะพอดี มีความเสียสละเพื่อเป้าหมาย และไม่ต้องการหน้า

กลับกลายเป็นว่าแผนของโพ เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างพังพินาจ ความต้องการเป็นฮีโร่ ไม่ได้เท่ากับการนำไปสู่เป้าหมายที่ดีที่สุดเสมอไป

ลองคิดดูว่าในองค์กรมีหัวหน้าฝ่ายสุดเทพ คิดว่าตัวเองจัดการทุกสิ่งได้ เลยอยากรู้ว่า CEO วางแผนอะไรอยู่ พอบุกเข้าไปจนรู้ส่วนหนึ่ง ก็ไม่เห็นด้วยไปทวีตด่าแผนให้เพื่อนฟัง เพื่อนของเพื่อนที่รู้ข้อมูลไปด้วยเลยเอาไปขายให้คู่แข่ง ตอนจบก็ชิบหายกันหมด

เราควรจะทำอย่างไร ควรจะไล่หัวหน้าฝ่ายออก หรือเป็นความผิด CEO ที่ไม่เล่าความลับบริษัทให้ทุกคนฟัง? หัวหน้างานควรจะฝึกฝนลูกน้องอย่างไร?

เราเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆในการสอนงานในองค์กร เมื่อหัวหน้าจะต้องสอนงานลูกน้อง เราควรจะเป็นอาจารย์ในรูปแบบไหน

โฮโดมองท่าทีและความผิดพลาดของโพด้วยสายตาเข้าใจ เธอรู้ว่าโพทำไปเพราะความห่วงองค์กร ท้ายที่สุดแล้วโพจะเป็นผู้สืบทอดของเธอ และองค์กรจะดำเนินต่อไปได้ด้วยคนรุ่นใหม่หลังจากที่เธอจากไปแล้ว

ทีสุดแล้วโฮโดเป็นครูที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเรื่อง โพเรียนรู้และเปลี่ยนวิธีตัดสินใจไปในช่วงท้ายของเรื่อง

เลอาได้ยอมรับโพ แสดงให้เห็นว่าเขาผ่านแล้วที่จะเป็นผู้บัญชาการ ไม่ใช่แค่นักบินที่นิยมการกระโดดขึ้นยานแล้วระเบิดข้าวของ
.
.
.
[สโนก เผด็จการ - ไคโร เรน นักรัฐประหาร]

สโนกเป็นตัวแทนของครูที่แย่ที่สุดในเรื่อง แน่นอนเพราะเป็นตัวร้าย

สิ่งที่สโนกทำคือพยายามควบคุมบังคับศิษย์ และศิษย์เป็นเครื่องมือของตัวเอง ฝึกฝนไว้เพื่อใช้งานเพื่ออำนาจของตัวเอง

อันที่จริงสิ่งที่สโนกทำ คือพยายามรักษาระบบจักรวรรดิแบบเก่า โดยที่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ความทะเยอทยานที่ใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ

ไคโร เรน ตอบโต้ด้วยการปฏิวัติ เขาล้างครูของตัวเอง และก้าวผ่านอาจารย์ของตัวเองไป ด้วยวิธีที่ได้สืบทอดมาจากสโนกเอง

สโนกตาย เพราะเขาสอนไคโร เรน ให้ทำแบบนี้เอง

บางครั้งคนรุ่นเก่าแย่ๆก็ตายเพราะคนรุ่นใหม่ด้วยวิธีที่คนรุ่นใหม่เรียนจากเขาไปเอง

ที่สุดแล้ว คนรุ่นเก่าจะเติบโตขึ้น ไม่มีใครควบคุมชีวิตของผู้อื่นได้

.
.
.
[ฟิน คนขี้ขลาด - DJ นักเอาตัวรอด]

บางครั้งเราก็เรียนจากตัวอย่างที่ไม่ดี

DJ เป็นตัวละครที่น่ารังเกียจที่สุดของเรื่องนี้ เขาก็แค่ไหลไปตามสถานการณ์ที่จะเอาตัวรอดได้

เขาช่วยฟินเพื่อผลประโยชน์ และขายข้อมูลให้ศัตรูเพื่อเอาชีวิตรอด

แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ DJ ทำ ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่ฟินทำเท่าไหร่

สิ่งที่ฟินทำมาตลอดก็คือการหนี เอาตัวรอด จะขายคนอื่น ทิ้งคนอื่นก็ไม่เป็นไร

จริงๆฟินพึ่งจะโดนโรสด่าเรื่องหนีในตอนต้นเรื่อง แล้วตัวเองก็มาด่า DJ กลับแบบเดียวกันในตอนท้าย

ผลคือฟินก็กลายเป็นคนที่อินกับพวกฝ่ายต่อต้านขึ้นมา ถึงขั้นคิดจะยอมตายสละชีพ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี)

อิธิพลอีกทางหนึ่งที่ฟินได้คือจากโรส มันทำให้เขารู้จักสิ่งสำคัญ ที่เขาจะต้องปกป้องสิ่งที่สำคัญ จนไม่อาจทิ้งมันเพื่อหนีเอาตัวรอดได้
.
.
.
[โยดา อาจารย์ของอาจารย์ - ลุค เจ้าหนูลุค]

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้สอนเราว่า ไม่มีใครที่จบสิ้นการฝึกฝนแล้ว ทุกคนยังต้องเรียนรู้ และยังเติบโตได้

จริงๆไอ้ที่ลุคพลาด โยดาทำมาหมดแล้ว ทั้งเคาท์ดูกู อนาคิน ลุคเองก็นั่งด่าโยดาให้เรย์ฟัง แต่โยดาได้เรียนรู้แล้ว และสอนให้เรียนรู้

เราล้มเหลว และเรียนรู้ เรียนรู้ และเติบโต เติบโต และวนอยู่กับความผิดพลาดเดิมๆ

โยดาสรุปความหมายของเรื่องทั้งหมดนี้ไว้กว่า "ศิษย์ต้องไปได้ไกลกว่าเรา คือหน้าที่แท้จริงของอาจารย์"

ความหมายของเรื่องนี้คือ คนรุ่นเก่ามีหน้าที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไปได้ไกลกว่าที่เคยทำไว้
.
.
.
= ความล้มเหลว ล้มเหลว และล้มเหลว =

ภาคนี้เป็นสตาร์วอร์ ที่ล้มเหลวทุกภารกิจ

การทำลายเดทนอร์ท ทำให้สูญเสียกองยาน และทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาต่อจากนั้น

การตามลุคกลับมาของเรย์ล้มเหลว

การตามหาเซียนถอดรหัสของฟินล้มเหลว

การลอบเข้าไปปิดเครื่องติดตามของฟินล้มเหลว และความล้มเหลวนั้นยังทำให้แผนหลบหนีล้มเหลวตามไปด้วย

การชวนไคโร เรน ให้กลับใจของเรย์ล้มเหลว

การทำลายป้อมปืนเจาะประตูของพวกฝ่ายต่อต้านล้มเหลว

มันทำให้เรารู้สึกเหมือนตอกย้ำในเรื่องที่เราเคยทำตัวโง่ๆ เพราะคิดว่าทำแล้วเป็นฮีโร่ แต่จริงๆผลมันอาจจะไม่ดีเท่ากับการคิดอย่างรอบคอบด้วยเหตุผล

แต่คนไม่อยากโดนตอกย้ำถึงความโง่ของตัวเอง

ความล้มเหลวนี้ทำให้หลายคนรู้สึกว่า เรื่องราวพวกนี้ไม่ต้องมีเลยจะดีกว่า เรื่องราวพวกนี้ตัดออกจากเรื่องไปเลยก็ได้

เราไม่ต้องการฮีโร่ที่ล้มเหลว

โดยเฉพาะหนังที่บอกเราว่าการทำตัวเป็นฮีโร่นำไปสู่ความล้มเหลว

แต่ถ้าไม่มีการตามหานักถอดรหัส คงไม่ได้ส่งสัญลักษณ์กบฏให้เด็กที่ดูแลสัตว์

ถ้าไม่เกลี้ยกล่อมไคโร เรน สโนกคงไม่ถูกกำจัด

ถ้าไม่ได้บุกทำลายป้อมปืน โพ กับ ฟิน คงไม่เรียนรู้

ตีมหลักของภาคนี้คือการเรียนรู้

ถ้าเราไม่มองความล้มเหลวเราก็ไม่เรียนรู้ เอาแต่หลอกตัวเองว่าไม่ใช่ความล้มเหลวเป็นความสำเร็จ

และเป็นอย่างที่อาจารย์โยดาบอกว่าความล้มเหลวคืออาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ดังนั้นภาคนี้จึงเต็มไปด้วยอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อความล้มเหลว
.
.
.
= ยุคเก่า กับ ยุคใหม่=

สตาร์วอร์ภาคนี้มันทำลายโครงเรื่องของภาคเดิมๆทิ้งไปหมด

เมื่อก่อนเป็นการต่อสู้ระหว่าง แสงสว่าง กับ ความมืด วนเวียนอยู่กับการเลือกข้าง ย้ายข้าง

เหมือนโลกมีแค่ห้องเดียวที่กั้นไว้ด้วยกำแพง เป็นแสง หรือ เป็นมืด

ภาคนี้ทำลายทั้งหมดนั้นทิ้งไป

ไม่ใช้การย้ายข้างได้ แต่เป็นการทุบกำแพงนั้นทิ้ง

ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความมืด ที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายก็เป็นมนุษย์

เจได ก็เป็นพวกยึดติดแต่แสดงสว่าง ยึดติดในกฎทางศีลธรรม ในความดี

ซิด ก็เป็นพวกสนใจแต่อำนาจ ในระเบียบปกครอง ในความรุนแรง

ภาคนี้เราทำลายซิดและเจไดลง

มันทะลายระเบียบแบบแผนการฝึกฝนเจได ที่ต้องมีระบบวิหาร อาจารย์ พาดาวัน แบบภาค 1-3 ที่ศิษย์ต้องติดตามครูเป็นสิบๆปี กว่าจะบรรลุ ก็ต้องทำตามคำสั่งวิหารที่ยุ่งยากน่าเบื่อ

มันบอกเราว่า จริงๆทุกคนเข้าถึงพลังได้ แค่ที่ผ่านๆมาพวกวิหารเจไดฝูดขาดความรู้เรื่องนี้ไว้ ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าถึง เพราะกลัวจะเข้าสู่ด้านมืด

น่าสงสัยว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเรย์เอาตำราที่ขโมยมา ไปก็อปปี้แจกทั่วทั้งจักรวาล?

หนังเรื่องนี้ทำลายรูปแบบฮีโร่แบบเดิมๆไปทั้งหมด

เราไม่ต้องการตัวเอกของเรื่องที่มาจากชาติตระกูลที่มีความเป็นมา ไม่ได้ต้องการคนที่เสนอหน้าออกไปเป็นฮีโร่

แท้จริงแล้วความหวังอยู่ในทุกๆคน

ทุกๆคนต่างเป็นมนุษย์ ที่โง่ ผิดพลาด อ่อนแอ มีความดี มีความโกรธเกลียด มีความรัก

ทุกคนล้วนสามารถเป็นตัวเองของเรื่อง เราต่างมีคุณค่าต่อเรื่องนี้ในแบบของเรา โดยไม่ต้องเป็นสกายวอร์เกอร์ หรือพาพันทีล

จริงๆศูนย์กลางของเรื่องนี้คือเด็กเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีชื่อ เขาเป็นเหตุผลของเรื่องทั้งหมดในภาคนี้ เป็นเหตุผลที่ฟินต้องไปดาวการพนัน เป็นเหตุผลที่เรย์ต้องไปที่วิหารแรกของเจไดและเอาตำราออกมา เป็นเหตุผลที่ลุคต้องสู้กับทั้งกองทัพเพื่อพาตำนานมายังเขา

ทุกๆคนอาจจะเป็นศูนย์กลางของเรื่องก็ได้

ไม่ใช่ว่า มี Somebody เป็น Hero และคนที่เหลือเป็น Nobody แต่สารที่ภาคนี้บอกเราคือ Everybody เป็น Hero ได้
.
.
.
บางครั้งพวกเราก็ยึดติดกับรูปแบบเก่าๆ

กับตำนาน ความสำเร็จ วันเก่าๆภาพฮีโร่ เหมือนเรย์มองหาภาพฮีโร่ในอุดมคติจนลืมดูตัวเอง

กับเส้นแบ่งดี-เลว เหมือนพวกเจไดภาคแล้วๆที่ติดกับกรอบ

"ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมองผ่านกองหนังสือพวกนั้นไป" by อ.โยดา น่าจะเป็นบทสรุปของภาคนี้

โดยรวม ผมชอบภาคนี้ที่สุดในหมู่สตาร์วอร์ 8 ภาค

สำคัญคือ เมื่อเรื่องมันทลายโครงเรื่องที่ผ่านๆมาแล้ว มันเดาไม่ออกเลยว่าภาค 9 จะจบอย่างไรครับ

จาก https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1566827563405330&id=1030548200366605
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...