ผู้เขียน หัวข้อ: ปัญญา  (อ่าน 1161 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
ปัญญา
« เมื่อ: มกราคม 03, 2018, 10:05:11 pm »





การสร้างปัญญาให้เกิดขึนในครั้งแรกนั้น ต้องฝึกหัดจิตให้เป็นผู้ช่างนึกช่างคิด ต้องฝึกจิตให้เป็นนักสังเกต ให้มีเหตุมีผล ให้เป็นไปตามความเป็นจริง ฝึกวิจัย ฝึกวิเคราะห์ ฝึกคำนวณ ประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ มาพิจารณาให้ลงสู่ไตรลักษณ์ตามหลักความเป็นจริง การฝึกปัญญานั้น ฝึกได้ทุกกาล ฝึได้ทุกสถานที่ จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ฝึกได้ทั้งนั้น เช่น ขณะเดินจงกรมหรือหลังจากการทำสมาธิแล้วการฝึกปัญญาแยกออกเป็นสองทาง ทางหนึ่งคือฝึกปัญญาไปทางโลกนั้นเป็นวิธีฝึกปัญญาเพื่อสร้างสรรค์ โลก เรียกว่าปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกีย์นี้เป็นปัญญาประจำโลก ปัญญาประเภทนี้ไม่จำกัดเฉพาะพระพุทธศาสนาอย่างเดียว แม้ศาสนาอื่นเขาก็มีปัญญาเหมือนกัน แม้คนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เขาก็มีปัญญาประเภทนี้ได้ฉะนั้น การสร้างโลกทุกรูปแบบก็ต้องใช้ปัญญาโลกีย์นี้เป็นหลัก แม้การศึกษาเล่าเรียนหรือการเขียนแปลนแผนผังในการก่อสร้างต่าง ๆ ก็ต้องคิดค้น ด้วยปัญญา หาข้อมูลมาเป็นหลัก

วิชาการ โลกมีความเจริญด้วยวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ก็ต้องใช้ปัญญาทั้งนั้น เมื่อมีปัญญาสร้างโลกให้เจริญได้ในที่สุดก็ใช้ปัญญาคิดสร้างอาวุธนานาชนิด เพื่อครองอำนาจ ต่างคนต่างอยากมีอำนาจ ในที่สุดความเจริญของโลกก็จะเสื่อมลงเพราะปัญญาโลกีย์นั่นเองส่วนการฝึกปัญญาทางที่สองนั้น เป็นปัญญาโลกีย์ประเภทเดียวกันแต่นำมาใช้ในทางธรรม ให้พร้อมด้วยเหตุด้วยผล เพราะในโลกนี้มีสัจธรรมแฝงอยู่ทุกหนทุกแห่งถึงคนจะไม่สนใจในธรรมก็ตาม แต่ธรรมก็มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหน ๆ ฉะนั้นโลกกับธรรมยังกลมกลืนกันอยู่ ผู้ไม่เข้าใจก็ถือว่าเป็นโลกเสมอไปดังคำว่า โลกอยู่ที่ไหน ธรรมก็อยู่ที่นั้นฉะนั้น การพิจารณาโลกให้เป็นธรรมนี้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและจิตน้อมโลกทั้งหมดลงสู่

ไตรลักษณ์ เพราะโลกอยู่ที่ไหน สัจธรรมก็มีอยู่ที่นั่น ในโลกนี้จะเป็นสิ่งที่มีวิญญาณครองหรือไม่วิญญาณครองก็ตามย่อมมีสัจธรรมคือ ความจริงแฝงอยู่ตลอดเวลา คือมีสภาพความเป็นทุกข์ มีสภาพควาไม่เที่ยง มีสภาพที่สูญสลาย ไม่เป็นสัตว์และเป็นบุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น จึงเรียกว่า สังขาร โลก สังขารธรรม
ขึ้นชื่อว่าสังขารแล้ว ย่อมเป็นสภาพที่แปรปรวน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีอะไรเป็นเราเป็นเขาอยู่ตลอดเวลา คำว่าเรา คำว่าเขานั้นเป็นเรื่องอุปาทาน การสมมติเรียกกันเท่านั้น ในโลกนี้ถ้าไม่สมมติเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และจะสับสนวุ่นวายไปหมด ฉะนั้นจึงเป็นสมมติโลก สมมติธรรม เรียกกันตามสมมติที่ตั้งขึ้น เช่น สมมติว่าเงิน ที่เราเรียกกันอย่างติดปากติดใจ แต่สภาพวัตถุที่เรียกว่าเงินนั้นไม่เหมือนกัน เช่น ในสมัยโบราณ เพียงหอยเบี้ยก็สมมติเรียกว่าเงินไปได้ หรือทองแดง ทองเหลือง ตะกั่ว เมื่อเอามาทำเป็นรูปต่าง ๆ ก็ยังเรียกว่าเงินได้ แม้แต่กระดาษก็ยังสมมติว่าเป็นเงินได้ นี้ขึ้นอยู่กับวัตถุนิยม ย่อมเป็นไปตามยุคตามสมัย จะเป็นเงินของเมืองไทยหรือเงินต่างชาติ ก็ย่อมนำเอา

วัตถุธาตุที่มีอยู่ประจำโลกนี้มาสมมติเรียกกัน สมมติให้เป็นมูลค่า เป็นราคาขึ้นมา ให้เป็นกฎเกณฑ์ไปตามสมมตินั้น ๆ นี้ก็เป็นความจริงตามสมมติที่ตั้งขึ้นฉะนั้นโลกทั้งหมดนี้จึงเป็นโลกสมมุติ แม้แต่บ้านทีสร้างขึ้นมาแล้วก็สมมติว่าทรงนั้นทรงนี้ ตลอดจนอาหาร เครื่องบริโภค และเครื่องอุปโภค ก็สมมติเรียกกันทั้งนั้น หรือแม้แต่ชื่อของคนและสัตว์ก็ยังสมมติเรียกกัน แม้ธาตุขันธ์ของคนก็ยังเรียกธาตุนั้นธาตุนี้ แม้ธาตุขันธ์แปรปรวนเปลี่ยนสภาพไปอย่างไรก็สมมติไปอย่างนั้น ถึงธาตุขันธ์มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็สมมุติเรียกกันให้ถูกกับความเป็นจริง เรียกว่า จริงสมมติ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 02, 2019, 09:35:49 pm โดย 時々होशདང一རພຊຍ๛ »
ชิเน กทริยํ ทาเนน