ผู้เขียน หัวข้อ: ภูมิวิลาสีนี พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)  (อ่าน 116 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ภูมิวิลาสีนี พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)

“ภูมิวิลาสินี” เป็นวรรณกรรมไทยที่มีข้อความบรรยายธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง โดยอธิบายถึงภูมิต่างๆที่มนุษย์เราจักต้องไปอุบัติหลังจากที่ขาดใจตายไปจากชาตินี้ พร้อมทั้งชี้ทางปฏิบัติให้เข้าถึงภูมิเหล่านั้น 

โดย: พระพรหมโมลี (วิลาศ  ญาณวโร) 














<a href="https://www.youtube.com/v//uJEJ2qMCi2A" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v//uJEJ2qMCi2A</a> 

https://youtu.be/uJEJ2qMCi2A?si=8b1vegguVOs0JAnI

ตามไปฟังจบเล่มเลย https://youtube.com/playlist?list=PLX8jpI1lyoJVlc0MbfDHv96amgV6NP3cw&si=OS_dvJAjpxBztSHR



เสริม จาก https://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=tukeja&month=23-09-2016&group=5&gblog=15

หนังสือภูมิวิลาสินี เป็นหนังสือทรงคุณค่าทางพระพุทธศาสนาอีกเล่มหนึ่ง

ที่พระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ได้เรียบเรียงไว้อย่างสวยงาม

โดยหนังสือเล่มนี้ได้บอกกล่าวถึงเรื่องราวของภูมิต่างๆ

ตั้งแต่ นรกภูมิ เปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ สวรรค์และพรหมในแต่ละชั้น

โดยบอกถึงเหตุปัจจัยให้ได้ไปเกิดในภูมินั้นๆ 

สภาพของแต่ละภูมิ โดยบอกอย่างละเอียดถึงแต่ละขุมของนรก และแต่ละชั้นของสวรรค์และพรหมโลก

ในแต่ละบทยังแฝงไว้ด้วยพระธรรมคำสอนอย่างต่อเนื่องมากมาย

มีเรื่องราวในสมัยพุทธกาลที่น่าเรียนรู้จดจำ และนำมาคิด

ดังเช่นคำถามของพระเจ้าปายาสิซึ่งเป็นเทวดา กับท่านพระกุมาระกัสสปะเถระ

ท่านบอกว่าสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ ได้คิดหาวิธีพิสูจน์ว่าหลังความตาย คนเราจะไปเกิดอีกหรือไม่

ได้บอกกล่าวคนรู้จัก บอกกับนักโทษ ว่าหลังตายแล้วให้กลับมาบอกด้วย แต่กลับไม่มีใครมาบอกเลย

ท่านพระกุมารกัสสปะ ก็เฉลยว่า หากคนเหล่านั้นไปเกิดในนรกภูมิ 

เขาก็เหมือนนักโทษประหาร ที่ไม่อาจได้รับอนุญาตให้กลับมาหาญาติหรือใครๆได้

หากคนๆนั้นไปเกิดบนสวรรค์ เวลาบนสวรรค์นั้น ชั้นต้นที่สุด 100 ปีมนุษย์เป็น 1 วันเทวดา
ไปถึงได้ดูวิมานของตน ตรวจตราสำรวจ ครั้นผ่านไปสักวันสองวัน จะกลับมาหาท่าน ก็ 200-300 ปีมนุษย์เสียแล้ว จึงไม่อาจเจอกัน

หลังจากที่ผ่านการสนทนาปราศรัยกันมากมายเทพบุตรพระเจ้าปายาสิ ได้มีความเลื่อมใสอย่างยิ่งในคำสอน

และได้ขอให้ท่านกลับมาบอกกล่าวผู้คนว่า

"ขอท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของตน

จงให้ทานด้วยความนอบน้อม จงอย่าให้ทานอย่างเสียไม่ได้

เพราะพระเจ้าปายาสิราช มิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือของตน

มิได้ให้ทานด้วยความนอบน้อม เมื่อตายแล้ว จึงได้เกิดเป็นเพียงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
ส่วนอุตรมาณพ ซึ่งเป็นบ่าว ทำหน้าที่บริจาคทานแทนพระเจ้าปายาสิผู้เป็นนาย

เขาให้ทานด้วยความเคารพ ให้ทานด้วยมือของเขา ให้ทานด้วยความนอบน้อม

เมื่อเขาตายไปแล้ว ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งสูงกว่า"

เรื่องราวที่น่าสนใจยังมีอีกมากมาย และเรื่องราวของภูมิต่างๆที่ถูกอธิบายแจงแจงไว้อย่างละเอียด

โดยแสดง มหานรกไว้ 8 ขุม ตั้งแต่ สัญชีวมหานรก จนถึงอเวจีมหานรก

อุสสุนทนรก  ยมโลกนรก จนถึงโลกันตนรก

ซึ่งปัจจัยแห่งการไปเกิดเป็นสัตว์นรกนั้น ก็ด้วยเหตุของการประพฤติอกุศลกรรมบททั้ง 10 ประการ
ความทุกข์ทรมานแห่งสัตว์นรกนั้นหาใดเปรียบ เพราะสัตว์นรกทั้งหลาย จะทุกข์ทรมานดั่งตาย

แต่ก็จะมี "ลมกรรม" อันพัดมาแล้วทำให้สัตว์นรกฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง

นั่นคือสัตว์นรกเหล่านั้นล้วนไม่มีวันตาย จนกว่าจะสิ้นสุด "กรรม" ของตน

พระผู้มีพระภาคได้เปรียบเปรยความทรมานของสัตว์นรกไว้ว่า

"เปรียบดั่งโจร ผู้ถูกลงโทษฑัณฑ์ให้ถูกแทงด้วยหอก 100 เล่มในเวลาเช้า

ถูกแทงอีก 100 เล่มในเวลากลางวัน และถูกแทงอีก 100 เล่มในเวลาเย็น

ความทรมานจาการที่ถูกหอกถึง 300 เล่มทิ่มแทงนั้นเปรียบได้กับแผ่นหินขนาดเท่าฝ่ามือ

ส่วนความทรมานในนรกภูมินั้น เปรียบดั่งภูเขาหลวงหิมพานต์ อย่างไหนจะใหญ่กว่ากัน

เมื่อเปรียบกันแล้ว ความทุกข์ทรมานจากการถูกหอก 300 เล่มทิ่มแทงนั้น 

ย่อมไม่ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว ไม่ถึงแม้การเทียบได้กับความทรมานในขุมนรก"

ส่วนภูมิแห่งเปรตนั้นมีมากมาย โดยได้ยกเรื่องราวที่พระอรหันต์ทั้งหลายได้เห็นเปรต

ซึ่งมีทั้งเปรตชิ้นเนื้อ เปรตไม่มีผิวหนัง เปรตมีขนเป็นหอก มีขสเป็นธนู เปรตห่วงหลาน เปรตกินของสงฆ์ ล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น

โดยเปรตแต่ละตนนั้น มีการบรรยายความทุกข์ยากทรมานแห่งการเป็นเปรต ทั้งยังแสดงเหตุของการได้เกิดเป็นเปรตในภูมินั้นๆอีกด้วย

ในภูมิของเดรัจฉาน ก็อธิบายถึงเหตุของการได้ภูมินนี้ ก็เพราะกระทำอกุศลกรรมบถ 10 ประการไว้เช่นกัน

แต่หากทำกรรมชั่วไว้มาก ก็จะลงนรกเป็นปรต เป็นสัตว์นรก แต่เป็นเดรัจฉานนั้นยังทำกรรมน้อยกว่า

ส่วนการได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะเป็นสัตว์ที่มีใจสูง ซึ่งแท้จริงแล้วก็มาจากกุศล

แต่ก็มีทั้งมาสว่างไปสว่าง มาสว่างแต่ตอนไปกลับมืด มามืดไปสว่าง มามืดไปมืด

คือตอนมาหสร้างกรรมไว้ดีไว้ชั่วอย่างไร ตอนไป ก็ขึ้นอยู่กับว่ามาสร้างกรรมใหม่ในปัจจุบันให้ตอนไปไปได้ดีหรือได้ชั่ว

ทั้งยังมีการสอนอธิบายในเรื่องของเหตุแห่งความเป็นไปต่างๆของความต่างบนโลก

ทั้งความรวย ความสวย ความมียศศักดิ์ ความเจ็บป่วย ความเฉลียวฉลาด ล้วนไม่ใช่เกิดจากพรจากเทพพรหมองค์ใด

ล้วนเกิดจากกรรม ที่ตนได้สะสมสร้างไว้เป็นเหตุปัจจัย 

โดยท่านได้บอกกล่าวชี้แจงแต่ละเหตุไว้ทีละอัน ดังเช่น มีทรัพย์ เพราะให้ทานไว้มาก

เจ็บป่วยบ่อยเพราะทาปาณาติบาต มีผิวพรรณงามเพราะมีศีล เป็นผู้ไม่ขี้โกรธ ไม่ขี้พยาบาท

ความฉลาดเพราะอานิสงส์จากการฟังธรรม การสนทนาธรรม ทุกสิ่งล้วนมีเหตุของมันทั้งสิ้น

ในเทวภูมิก็มีต้งแต่ชั้น จาตุมหาราชิกา ไปจนถึงชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี พร้อมมีเรื่องราวของเทวดาในชั้นนั้นๆ

สมัยยังเป็นมนุษย์ ได้สร้างกรรมดีอย่างไรจึงได้มาเกิดในชั้นนี้ๆ
พรหมภูมินั้น ก็อธิบายตั้งแต่การอุบัติของพรหม และอธิบายตั้งแต่พรหมปาริสัชชา ไปจนถึงอรูปพรหม

ทั้งยังมีเรื่องของเจดีย์ในชั้นเทวดา ที่บรรจุพระเขี้ยวแก้ว 

และพระโมลีคือปอยผมของพระศาสดา ที่ท่านตัดไว้ในวันที่ออกบวช บรรจุอยู่ในพระเจดีย์ที่เทพยดาทั้งหลายรักษาไว้

ส่วนโลกุตรภูมิ เป็นภูมอของผู้พากเพียรปฏิบัติ จนได้บรรลุมรรค บรรลุผล

ตั้งแต่ชั้นพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอนาคามี ซึ่งมีลักษณะ และความยาวนานแตกต่างกันไป

ตามกำลังแห่งฌานและญาณของอริยบุคคลชั้นนั้นๆ ว่ามีกำลังมากขนาดไหน

สิ่งที่ประทับใจในหนังสือนี้คือ  การที่ได้ทราบอย่างละเอียดในสวรรค์และนรกแต่ละขุม

มีเรื่องราวของเทพและสัตว์นรกในแต่ละชั้นที่สร้างกรรมมา

เพียงได้อ่าน ก็เป็นเครื่องเตือนใจเราอย่างดี ให้เราสร้างกรรมดี ละเว้นความชั่ว 

เพราะความชั่วและขุมนรกนั้น น่ากลัวเกินไป ตามที่องค์พระศาสดาตรัสเปรียบเปรยกับโจรที่ถูกหอกแทงไว้

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...