แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน
ทิเบต ขอบฟ้าที่สูญหายไป : ดินแดนแห่งพระโพธิสัตว์
มดเอ๊กซ:
ดินแดนแห่งพระโพธิสัตว์
ในหมู่บ้านทิเบตห่างไกล เวลาค่ำคืน บ้านเรือนเงียบสงัด ไม่มีแสงไฟ นีออนหรือแสงไฟจากข้างทาง มีเพียงแสงจากดวงดาวที่ส่องสว่างระยิบ ระยับอยู่เต็มท้องฟ้า ในเวลากลางวัน ไม่มีถนนลาดยางที่มีรถราคานับ แสนนับล้านแล่นไปแล่นมา มีแต่กองคาราวานจามรีบรรทุกสมุนไพร หรือสินค้าอื่น ๆ ที่ชาวบ้านต้องการนำไปขายในเมือง
ชาวทิเบตไม่ว่าจะเป็นถิ่นใดดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่สนุกสนาน เต็ม ไปด้วยเสียงเพลงและเสียงหัวเราะจากการเล่าเรื่องขบขัน หรือหยอกล้อ กัน เมิ่อน้ำในหนองกลายเป็นน้ำแข็งในหน้าหนาว พวกเขาแปลงมันให้ เป็นลานสเกตชั้นดี เมื่อดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาตั้งแคมป์ ปิกนิกที่ตีนเขาพูดคุยเฮฮา ดื่มน้ำชาในตอนกลางวันและในตอนค่ำ เล่น มาจอง ร้องเพลงเต้นรำอย่างไม่รู้เบื่อ
แต่ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใด สิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคือศาสนา คำพูดที่ติด ปากของพวกเขาคือ ติ แล แหระ " นี่คือกรรม " เป็นคำอธิบายสำหรับ ความทุกข์และสุขที่เกิดขึ้นในชีวิต
ฉันยังจำเพลงทิเบตเพลงหนึ่งได้ดี บทเพลงบรรยายการพลัดพรากของ พี่น้องสองคน ซึ่งหมายถึงองค์ดาไลลามะและองค์ปัญเช็นลามะ คนหนึ่ง ต้องจากถิ่นฐานไปอยู่ไกล อีกคนแม้จะไม่ต้องจากไปที่ใดแต่ก็อยู่กับการ พลัดพราก เนื้อเพลงตอกย้ำความเชื่อที่ว่านี่คือกรรม ไม่ว่าใครก็หลีก เลี่ยงไม่ได้
หากใครมีโอกาสไปใช้ชีวิคอยู่กับครอบครัวทิเบตไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ของเศรษฐีหรือชาวไร่ชาวนาสักวันสองวัน จะสังเกตเห็นกิจกรรมเหล่า นี้
เมื่อตื่นนอนแม่หรือยายจะต้มน้ำเพื่อทำน้ำชาถวายพระพุทธ ถวายเครื่อง หอมซึ่งเป็นใบไม้แห้งจุดไฟที่เยกว่า ซัง แด่พระโพธิสัตว์และเทพยดา ประจำหมู่บ้าน ถวายน้ำบริสุทธิ์ในถ้วยเงินหรือถ้วยทองเหลืองเจ็ดใบที่ วางบนหิ้งพระเพื่อเป็นตัวแทนเครื่องบูชาในแต่ละวัน นอกจากน้ำชา และน้ำ เมื่อมีซัมป้าใหม่ ๆ หรืออาหารพิเศษที่ได้มาจากตัวเมือง เช่น ผลไม้หรือขนมเค้ก พวกเขาก็จะถวายอาหารเหล่านี้เช่นกัน
หลังจากทำน้ำชาและเตรียมอาหารเช้า ( ซึ่งทำง่ายมากเพราะแค่เอา ซัมป้าผสมน้ำ ) คนที่อ่านหนังสือออกก็จะอ่านบทสวดมนต์ พวกเขา เชื่อว่าพระโพธิสัตว์ที่พวกเขาเลือกบูชาและสวดมนต์ถึงจะปกป้อง คุ้มครอง
หากที่พักของพวกเขามีสถูป วัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ไกล้ ๆ พวก เขาก็จะออกไปเดินประทักษิณรอบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น นอกจาก ตอนเช้า พวกเขาก็อาจจะออกไปเดินรอบอีกครั้งในช่วงบ่ายหรือเย็น
ฉันยังจำวันแรกที่ตื่นนอนในหมู่บ้านเบ็นดาได้ดี เสียงมนต์ถึง เช็นเรซี หรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร โอม มณี เป๋มา ฮุม ปลุกฉันให้ตื่นจาก ความหลับใหล ลาโม่ พี่สาวของทุบเต็น เพื่อนนำทางของฉันเดินไป เดินมาระหว่างห้องที่ฉันนอนซึ่งมีเตาต้มน้ำวางอยู่ไกล้ ๆ กับห้องด้าน ในซึ่งเป็นห้องพระ นาฬิกาในข้อมือบอกเวลาตีห้า ภายนอกยังดูมืดมิด ลมหนาวพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้แง้ม ๆ ฉันขดตัวนอนภายใต้ เสื้อขสัตว์ตัวใหญ่ที่ลาโม่เอามาคลุมให้เมื่อคืนก่อน นอนฟังเสียงท่อง มนต์ซ้ำไปซ้ำมาจนหลับไปอีกครั้ง
มนต์นี้แปลตามตัวคือ " มณีใดอกบัว " โดยมณีในที่นี้หมายถึงวิธีการซึ่ง ก็คือความกรุณา และดอกบัวหมายถึงปัญญาหรือความรู้ที่ยิ่งใหญ่ การ ตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า การเชื่อมโยงระหว่าง กรุณาและปัญญาไปสู่ความหลุดพ้น ในการทำพิธีทางศาสนา อุปกรณ์ สองสิ่งคือดอร์เจหรือวัชระ กับระฆังซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนกรุณาและ ปัญญา จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ คนทิเบตเชื่อว่าหากท่องมนต์ที่มีหกพยางค์ นี้วันละหลายร้อยหรือพันรอบ จะทำให้แคล้วคลาดจากอันตรายใด ๆ ทั้งปวง ด้วยเช็นเรซี พระโพธิสัตว์แห่งความกรุณาจะปกป้องผู้ที่นับถือ พระองค์
ในทิเบต มนต์นี้ยังพบเห็นบน " ก้อนหินมณี " ซึ่งชาวทิเบตนิยมแกะ สลักเป็นตัวอักษร แล้ววางกองเป็นเนินสูงตามวัดหรือตามทางบนภูเขา พวกเขาผูกพันกับเช็นเรซีมากเพราะเชื่อว่าพระองค์ได้รับมอบหมายจาก พระพุทธเจ้า ให้มาโปรดดินแดนหิมะของพวกเขาเป็นพิเศษ เมื่อถาม ว่าทำไมพระองค์ถึงทรงเลือกทิเบต พวกเขาตอบว่าไม่ใช่เพราะเราดีกว่า คนกลุ่มอื่น แต่เป็นเพราะเราชอบรบราฆ่าฟัน ก่อนที่เราจะรับธรรมะมา จากอินเดียดินแดนอารยประเทศ เราทำสงครามตลอดเวลาและได้เมือง ต่าง ๆ มากมายมาเป็นเมืองของเรา
ด้วยความผูกพันธ์ที่มีต่อเช็นเรซี วัดต่าง ๆ ของทิเบตจึงมีรูปบูชาของ พระองค์ พระพุทธรูปของพระองค์อาจมีสี่กร สองหัตถ์พนมมือ อีก สองหัตถ์ถือลูกประคำและดอกบัวแต่ปางที่พบเห็นบ่อยและเด่นชัด คือปางที่พระองค์มีสิบเอ็ดเศียรหนึ่งพันเนตรหนึ่งพันกร ที่พระองค์มี ลักษณะเช่นนี้ก็เนื่องจากความกรุณาของพระองค์ที่ต้องการช่วยเหลือ สรรพสัตว์ต่าง ๆ ให้ได้จำนวนมากและรวดเร็ว ปางอื่น ๆ มีพระนาม ต่างออกไป เช่น ชานะ เป๋มา ( ปัทมปาณี ) " ผู้ถือดอกบัว "ในพระหัตถ์ ซ้ายมีดอกบัวที่มีก้านยาว
เมื่อถามถึงต้นกำเนิดของพวกเขา ชาวทิเบตเล่าว่าพวกเขาเกิดมาจากพ่อ ที่เป็นลิงกับแม่ที่เป็น โอเกรส " ปีศาจคล้ายยักษิณี " ซึ่งอาศัยอยู่ที่ภูเขา เกินโปในหุบเขายาลุง ทางตอนกลางของประเทศ
สถานที่อยู่อาศัยของลิงกับโอเกรสยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิชา การทิเบตศึกษา บางคนบอกว่าจริง ๆ แล้วบรรพบุรุษของทิเบตน่าจะ อาศัยอยู่ทางตะวันออกของประเทศต่างหากเนื่องจากพบหลักฐานทาง โบราณคดีที่นั่นเป็นจำนวนมาก นักวิชาการกลุ่มนี้มองว่าการกำหนดว่า ต้นกำเนิดของทิเบตมาจากทางตอนกลางของประเทศเป็นแนวคิดแบบ รัฐ ชาติ นั่นคือเน้นประวัติศาสตร์ของทิเบตต้องเริ่มที่ภาคกลางซึ่งเป็น ที่ตั้งของราชวงศ์ยาลุงจวบจนถึงรัฐบาลลาซา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักวิชาการและชาวบ้านเห็นพ้องต้องกันคือ ลิงตัวนี้ ไม่ใช่ลิงธรรมดาแต่เป็นนิรมาณกายของพระอวโลกิเตศวร ส่วนโอเกรส ก็คือนิรมาณกายของพระโพธิสัตว์ตาราซึ่งปรากฏในปางดุร้าย พวกเขา จึงนับถือพระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์เป็นพิเศษ
นอกจากการท่องมนต์ การถวยซังหรือเครื่องหอม การถวายน้ำบริสุทธิ์ น้ำชาและเครื่องบูชาอื่น ๆ อันแสดงให้เห็นศรัทธาในศาสนาแล้ว ชาว ทิเบตยังนิยมนิมนต์พระมาสวดมนต์ที่บ้าน พระจะอ่านคัมภีร์และทำพิธี ทางศาสนาในห้องพระ พวกเขาเชื่อว่าการทำเช่นนี้จะนำความเป็นสิริ มงคลมาสู่ครอบครัว พวกเขาจึงนิยมนิมนต์พระมาสวดมนต์ที่บ้านปีละ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในระหว่างสวดมนต์และทำพิธีซึ่งอาจใช้เวลามาก กว่าหนึ่งสัปดาห์ พระจะจำพรรษากับพวกเขาโดยใช้ชีวิตเหมือนเป็น สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เมื่อท่องมนต์เสร็จในแต่ละวันก็จะร่วมฉัน อาหารกับครอบครัวและพูดคุยกัน
มดเอ๊กซ:
เมื่อมีโอกาส ชาวทิเบตจะไปปีนเขาเพื่อปักธงมนต์ พวกเขานิยมเดิน ทางไปจาริกแสวงบุญที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์และตามสถานที่ต่าง ๆ ที่พระ ลามะสำคัญได้เคยนั่งสมาธิ หลายครั้งพวกเขาจะรวมการไปจาริกแสวง บุญกับการปิกนิกหรือการไปเที่ยวไปพร้อม ๆ กัน เมื่อปีนเขาเหนื่อยก็ จะหยุดแวะต้มน้ำชา นั่งคุยเล่าเรื่องขบขัน จากนั้นก็เดินทางต่อ เมื่อ เหนื่อยอีกก็จะแวะกินน้ำชาอีกจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง
ครั้งหนึ่งแม่ชีทิเบตจากแคว้นกอร์ข่าเหนือเนปาล ชาวฉันไปวัดของท่าน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางทางเท้าหลายวันจากตัวเมืองกาฏมัณฑุ ท่านบอก ว่าเมื่อเดินทางไปกับท่าน ไม่ต้องกลัวว่าจะเหนื่อย เราจะค่อย ๆ เดินและ หยุดกินน้ำชาทิเบตไปเรื่อย ๆ ถ้าเดินทางไปกับคนเนปาล พวกเขาเหล่า นั้นจะรีบเดินเพราะต้องการไปให้ถึงที่หมายเร็ว ๆ เพราะฉะนั้นพวกเขา อาจจะไปถึงหมู่บ้านของท่านซึ่งเรียกเป็นภาษาทิเบตว่า ชุม ภายในห้าหก วัน แต่เราจะเดินทางไปพักไปและอาจใช้เวลาสิบวันจึงจะถึง
การเดินทางไปจาริกแสวงบุญเป็นสิ่งที่คนทิเบตให้ความสำคัญเป็นอย่าง มาก แม้ชาวคามในภาคตะวันออกที่ห่างไกลก็ไม่ย่อท้อที่จะเดินทางไป ภูเขาไกรลาสทางตะวันตกของทิเบต โดยกราบอัษฏางคประดิษฐ์ไปตลอด ทาง
หลายครั้งที่การเดินทางไปจาริกแสวงบุญในที่ไกล ๆ เช่นนี้หมายความว่า พวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาเจอหน้าคนในครอบครัวอีก เพราะการ เดินทางโดยวัดระยะทางจากรอยมือ รอยเท้าและหน้าผากที่สัมผัสพื้นดิน เช่นนี้เป็นสิ่งที่อาศัยความอดทนอย่างหนักและใช้เวลาหลายปี พวกเขา อาจจะไม่มีชีวิตรอดจากความยากลำบาก แต่พวกเขาไม่หวาดหวั่น เพราะ ผลที่ได้จากการกระทำเช่นนี้มีค่ามหาศาล หากพวกเขาเดินทางไปจาริก แสวงบุญโดยนั่งรถหรือแม้แต่ขี่ม้า ผลบุญที่ได้ก็จะไม่มากเท่ากับการเดิน ด้วยเท้าและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกราบไปตลอดทาง
เพราะฉะนั้น เนื้อตัวของผู้ปฏิบัติธรรมจึงดูมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่ หน้าและแววตาของพวกเขาบอกความเชื่อมั่น เมื่อเขาประสานมือไว้ที่ กลางกระหม่อม พวกเขาตั้งจิตบูชาพระอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อพวกเขาปะสานมือไว้ที่หน้าอก พวกเขาตั้งจิตมั่นว่าจะเดิน ตามทางที่พระอาจารย์และอริยบุคคลทั้งหลายได้ชี้นำ
หากเงินและอาหารที่ติดตัวมาหมดลง พวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยการ ขอทานจากผู้ใจบุญ เพื่อนร่วมศาสนาคนอื่น ๆ ก็จะไม่ดูถูกหรือหัวเราะ เยาะพวกเขา ตรงกันข้ามพวกเขาจะร่วมอนุโมทนาไปด้วย เพราะพวก เขารู้ดีว่าจุดหมายของชีวิตไม่ได้อยู่ที่การใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่อยู่ที่การ ฝึกปฏิบัติเพื่อสละโลกต่างหาก
ในช่วงเวลาที่ฉันเดินทางไปในถิ่นคาม ฉันมักจะเห็นรถบรรทุกที่มีผู้โดย สารทั้งคนเฒ่าคนแก่ ผู้หญิง ผู้ชายและเด็กยืนกันเต็มหลังรถมุ่งหน้าไป ลาซาท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวล รถบรรทุกเหล่านี้จะประดับด้วยธงมนต์ หลายหลากสีซึ่งเป็นเครื่องบูชาบนภูเขาสูงระหว่างทางที่พวกเขาเดินทาง ไปจาริกแสวงบุญ บางครั้งฉันพบครรอบครัวประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกขี่ ม้ามุ่งหน้าไปลาซา เพื่อไปจาริกแสวงบุญเช่นกัน ทุกคนดูมอมแมมเพราะ ไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนชุดหรืออาบน้ำ ประกอบกับเดินทางอย่างยากลำบาก ท่ามกลางฝุ่นและพายุ แต่จิตใจของพวกเขาผ่องแผ้วด้วยอานิสงส์แห่งการ ปฏิบัติธรรม
เพื่อนอินเดียของฉันคนหนึ่งเล่าว่าเขาได้เคยจาริกแสวงบุญที่ภูเขา ค่าว่า ก๊าโบ้ " ภูเขาหิมะสีขาว " ซึ่งเปรียบเสมือนภูเขาไกรลาสของธิเบตตะ วันออก ภูเขานี้อยู่ในเมืองเตเชนในเขตปกครองตนเองเตเชนของทิเบต ทางตะวันตกเฉียงเหนือของยูนนาน เส้นทางเดินรอบภูเขานี้มีสองเส้น เส้นนอกกับเส้นใน เขาเดินเพียงเส้นในซึ่งใช้เวลา ๗ วัน หากเดินเส้น นอกจะใช้เวลาเพิ่มเป็นสองเท่า
ทั้ง ๆ ที่เพื่อนคนนี้เป็นนักต่อสู้ และเคยเดินนทางไปในที่ต่าง ๆ ของ ทิเบตมากมายรวมทั้งได้เคยเดินรอบภูเขาไกรลาสมาแล้ว เขาบอกว่า การเดินทางครั้งนี้ เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะอาหารหมดและล้ม ป่วย ประกอบกับระหว่างทางเกิดพายุหิมะ เขาเกิดอาการหดหู่ใจที่ เห็นแม่ลูกคู่หนึ่งถูกพายุหิมะพัดหายไปต่อหน้าต่อตา โชคดีที่ว่ามี บวนของทรุกุรูปหนึ่งผ่านนมาซึ่งยังมีเสบียงอยู่มาก เขาจึงรอดตาย อย่างน่าอัศจรรย์
ในชีวิตหนึ่งของทิเบต วัดโจคัง ซุกลักคัง เป็นสถานที่สำคัญที่สุด แห่งหนึ่งที่เขาใฝ่ฝันจะไปจาริกแสวงบุญ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้าง ในสมัยกษัตริย์ซงซัน กัมโป ในคริสต์ศตวรรษที่ ๗ เชื่อกันว่าสร้าง โดยเจ้าหญิงภริขุตี เจ้าหญิงเนปาลซึ่งเป็นมเหสีพระองค์หนึ่งของ กษัตริย์ ซงซัน กัมโป ส่วนองค์พระประธาน โจโวริมโปเชเป็นพระ พุทธรูปที่เจ้าหญิงเหวินเฉิงมเหสีอีกพระองค์หนึ่งอัญเชิญมาจากจีน
วัดนี้มีความสำคัญต่อจิตใจชาวทิเบตเป็นอย่างมาก ไม่ว่าพวกเขาจะ อยู่ไกลเพียงไร และไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชาวไร่ชาวนาหรือชนเผ่า เร่ร่อน พวกเขาจะพยายามเดินนทางมาจาริกแสวงบุญที่วัดนี้เพื่อขอ พรจากโจโวริมโปเช
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๓ ฉันเดินทางไปทิเบตเป็นครั้งแรกโดย เดินทางทางรถยนต์จากเมืองโกดารี ชายแดนทิเบต- เนปาล เป้าหมาย ของการเดินทางครั้งนั้นไม่ต่างจากเป้าหมายของผู้จาริกแสวงบุญชาว ทิเบตทั่วไปคือการได้เข้าไปกราบนมัสการโจโวริมโปเช
หลังจากเดินทางมาสี่วันแวะค้างคืนตามเมืองต่าง ๆ เราก็มาถึงกรุงลาซา นครศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งชาวทิเบตทุกคนอยากมาเยือนอย่างน้อยครั้งหนึ่งใน ชีวิต เราไปกราบพระที่วัดโจคังในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อไปถึง เห็นชาวบ้าน จำนวนมากอยู่หน้าวัดกำลังกราบอัษฎางคประดิษฐ์ ภาพนี้ดูเป็นอมตะ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงไร ไม่ว่าลาซาจะเปลี่ยนไปอย่างไร ชาวทิเบตจำนวนมากก็จะมากราบอัษฎางคประดิษฐ์ที่หน้าวัดนี้
เมื่อผ่านเข้าไปในวัด สิ่งแรกที่เห็นคือตะเกียงเนยดวงเล็ก ๆ จุดสว่าง ไสวเต็มไปหมด ผู้มาวัดจะมาจุดตะเกียงเนยเหล่านี้เพื่อถวายแด่พระ พุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ซึ่งมีทั่งที่เป็นปางเมตตาและปางดุร้าย
ภายในวิหารหลัก มีชาวบ้านจำนวนมากเข้าแถวรอนมัสการ โจโวริม โปเช พวกเขาใจดีให้ฉันและเพื่อนชาวต่างชาติเดินไปข้างหน้าแถว โจโวริมโปเชเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ สวมมงกุฎประดับด้วยหยกมูลนกการเวก ทองและหินปะการังสีชมพู ในขณะนั้นฉันคิดแต่ว่าฉันโชคดีเหลือเกินที่ได้มากราบพระพุทธรูป องค์นี้ซึ่งมีประวัติยาวนานและเป็นที่เคารพบูชาของคนทิเบตทั่วทุกภาค
โมหล่าอยากเดินทางไปลาซากับฉันด้วยในครั้งนั้น แต่ทุกคนลงความ เห็นว่าคุณยายจะผ่านความยากลำบากระหว่างทางไม่ไหว และอาจจะ เสียชีวิตกลางทาง ท่านจึงขอให้ฉันเอาข้าวสารหนึ่งกำมือและผ้า คาตัก ( ผ้าแพรสีขาวขนาดเท่าผ้าพันคอ ใช้แสดงความเคารพและมิตรภาพ ) ของท่านไปถวายโจโวริมโปเชแทนท่าน หากฉันรู้ว่าสิบสองปีหลักจาก นั้น คุณยายยังคงมีชีวิตอยู่ ฉันคงไม่ฟังคำทัดทานเหล่านั้นและพาท่าน ไปกราบโจโวริมโปเชที่ท่านเคารพรักให้ได้
พูดถึงโม่หล่า คุณยายทิเบตคนแรกของฉัน ฉันอดจะนึกถึงประวัติ ชีวิตของท่านไม่ได้ ท่านเกิดที่กงโบ้และแต่งงานกับขุนนางลาซา ตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี ฉันรู้เรื่องราวในวัยเด็กของคุณยายน้อยมาก เพราะ ดูเหมือนว่าประวัติของท่านจะเริ่มเมื่อตอนเป็นสาว เวลาคุณยายเล่า เกี่ยวกับชีวิตในทิเบตให้ฉันฟัง ท่านมักจะเริ่มเล่าด้วยการเกริ่นนำ อย่างมีความสุขว่า " รู้มั๊ย เมื่อตอนคุณยายไปเป็นเจ้าสาวในลาซา ... " ]
การนำเครื่องบูชาของคุณยายซึ่งได้กลายเป็นชาวทิเบตอพยพในเนปาล ( ท่านอพยพจากทิเบตพร้อมลูกชายในปีที่ทิเบตเสียเอกราช ) จึงเป็นสิ่ง ที่ฉันให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในวันนี้ คุณยายมีอายุ ๙o ปีเศษ จำใคร ไม่ค่อยได้และไม่สามารถเดินทางไปไหนไกล ๆ ได้อีก โอกาสที่ท่านจะ ได้กลับไปตายที่ลาซาเหมือนที่ท่านหวังไว้คงไม่มีอีกแล้ว
มดเอ๊กซ:
การนอนหลับหลบหนีไปจากฉัน ราวกับว่าฉันป่วยเป็นโรคนอนไม่
หลับเหมือนที่นักเขียนชาวโคลัมเบีย การ์เซีย มาร์เกซ พรรณนาใน
นิยายเรื่อง หนึ่งปีแห่งความเหงา ฉันติดใจแสงแดด รู้สึกมีความสุข
และเป็นอิสระโดยไม่ต้องนอน เวลาเช้าฉันก็เดินอย่างเร่งรีบไปในโลก
ที่เต็มไปด้วยแสงแดดนี้ เพลิดเพลินกับการมองเพดานหลังคาทอง
ยอดทองเหลืองและพุทธศิลป์ตามวัดต่าง ๆ ฉันได้กลิ่นหอมของธูป
และตะเกียงเนยที่กำลังจุดอยู่ ฉันทอดน่องไปมาบนถนนบาร์คอที่เต็ม
ไปด้วยทิวทัศน์ตื่นตาตื่นใจ แล้วร่วมเดินไปกับผู้จาริกแสวงบุญที่ก้าว
เท้าตามเสียงสวดมนต์ และระฆังทองเหลืองในมือ
ความประทับใจจากลาซาในหนังสือเรื่อง ความเย้ายวนของแสงแดด
และป่าเขา ของบา หวง ( Huang ๑๙๙o : ๔๖ )
มดเอ๊กซ:
ทุชชี่ในหนังสือเรื่อง ทิเบต ดินแดนหิมะ เปรียบศาสนาพุทธทิเบตว่า เหมือนต้นไม้ที่มีหลายแฉกเพราะมาจากต้นตอเดียวกันแต่แบ่งออกเป็น หลายนิกายขึ้นอยู่กับว่าจะเน้นคำสอนส่วนใดและมีวิธีการเข้าถึงจุดมุ่ง หมายของการปฏิบัติธรรมอย่างไร
กุงกา ซังโบ ริมโปเช ก็บอกฉันเช่นนี้เหมือนกัน ท่านเปรียบหนทาง ไปสู่เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมหรือที่เราเรียกว่านิพพานว่าคือทาง เข้าไปในห้องที่มีสี่ประตู จะเข้าประตูไหนก็เข้าไปในห้องได้เหมือน กัน
จริง ๆ แล้ว นิกายต่าง ๆ ของทิเบตมีมากกว่าสี่นิกายหรือสี่ประตูตาม กุงกา ซังโบ เปรียบเทียบ แต่นิกายหลักซึ่งปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้มี อยู่สี่นิกายคือ นิกายหนิงม่าปะ สาเกียปะ กากยูปะ และเกลุกปะ สาม นิกายแรกรวมเรียกว่านิกายหมวกแดง เพราะพระจะสวมหมวกสีแดง ในขณะทำพิธี เป็นนิกายที่ไม่ได้ผ่านการปฏิรูป
ส่วนนิกายเกลุกปะหรือรู้จักกันดีในนามนิกายหมวกเหลืองเป็นนิกายที่ สืบทอดจากนิกายกาดัมปะที่พระอาจารย์อติชาเป็นผู้ก่อตั้งใน ศตวรรษ ที่ ๑๑ แต่ผ่านการปฏิรูปโดยเน้นการศึกษาแบบโต้วาทีธรรมและวินัยที่ เข้มงวดของสงฆ์ ผู้ปฏิรูปและผู้ก่อตั้งนี้คือพระอาจารย์ซงคาปา ( ค.ศ. ๑๓๕๗ - ๑๔๗๙ / พ.ศ. ๑๙oo - ๒o๒๒ ) ปัจจุบันประมุขของนิกายนี้ คือองค์ดาไลลามะ พระองค์ยังเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะนับถือนิกายอะไร
นอกจากนี้ นิกายเกลุกปะยังต่างจากนิกายอื่น ๆ ตรงที่จะไม่ศึกษาคัมภีร์ ตันตระที่รับมาจากอินเดียในช่วงก่อนการเผยแพ่พุทธศาสนาครั้งที่สอง ( คริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ ) แต่จะศึกษาเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์ตันตระใหม่ โดยให้เหตุผลว่าต้นฉบับภาษาสันสกฤตของคัมภีร์ตันตระเก่าสูญหายไป ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคัมภีร์ตันตระเก่าเป็นคัมภีร์ดั้งเดิมจริง
แม้ว่าศาสนาพุทธทิเบตจะแบ่งย่อยเป็นหลายนิกาย แต่ไม่ว่าจะเป็นนิกาย ใด หลักความเชื่อพื้นฐานและจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน
กุงกา ซังโบ ริมโปเช อธิบายให้ฉันฟังว่า ในทิเบตมี
ประณิธานหรือการ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่ ๓ แบบ
แบบที่หนึ่งเรียกว่า ปราติโมกษประณิธาน หมายถึงการที่ผู้ปฏิบัติธรรมตั้ง จิตให้ตนเองหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป้าหมายนี้เป็นเป้าหมาย หลักของชาวพุทธเถรวาทเช่นกัน
โพธิจิตประณิธาน คือการขอให้ได้มาเกิดใหม่เพื่อทำประโยชน์ให้สรรพ สัตว์จนกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ประณิธานข้อนี้ เป็นประณิธานสำคัญของศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน
ประณิธานประเภทที่สามคือตันตระประณิธาน ซึ่งหมายถึง การปฏิบัติ ธรรมโดยการศึกษาและฝึกปฏิบัติตามคัมภีร์ตันตระเพื่อให้เข้าถึงการหลุด พ้นโดยเร็ว
ประณิธานข้อสุดท้ายนี้เป็นการตั้งจิตที่จะปฏิบัติธรรมขั้นสูง จึงไม่เหมาะกับทุก ๆ คน เฉพาะผู้ที่มีความพร้อมและผ่านการยอมรับโดย การเข้าพิธีอภิเษกเท่านั้นจึงจะฝึกปฏิบัติได้ ดุจดังเมล็ดข้าวสาลีที่ต้องได้ รับการหว่านจึงจะโตได้
การตั้งประณิธานทั้งสามประการนี้เปรียบได้กับความปรารถนาที่จะข้าม แม่น้ำเพื่อให้ถึงฝั่ง ปราติโมกษประณิธานเป็นการเดินอ้อมแม่น้ำ โพธิจิต ประณิธานเป็นการนั่งเรือข้ามแม่น้ำ ส่วนตันตระประณิธานเป็นการเดิน ลุยข้ามน้ำ เพื่อให้ถึงฝั่งโดยเร็ว แนนอนการทำเช่นนี้ย่อมมีอันตราย
กุงกา ซังโบ ริมโปเชเน้นย้ำกับฉันว่าประณิธานทั้งสามเป็นหัวใจศาสนา พุทธทิเบตหรือที่นิยมเรียกกันว่า วัชรยาน และนอกจากทิเบตแล้ว ท่านไม่ คิดว่าจะมีการปฏิบัติร่วมสามประณิธานเช่นนี้ในสังคมพุทธที่อื่น
มดเอ๊กซ:
ร่างกายมนุษย์มีค่ายิ่งกว่าเพชรนิลจินดาใด ๆ จงเห็นคุณค่าเพราะร่างนี้เป็นของคุณเพียงชาตินนี้เท่านั้นร่างมนุษย์ได้มายากยิ่งนักแต่สูญไปง่ายเหลือเกินทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้สั้นเปรียบดังหยาดฝนความงามหายไปในขณะที่มันเกิดขึ้นเพราะฉะนั้นจงตั้งเป้าหมายและใช้ทุกวันคืนทำให้เป้าหมายนั้นเป็นความจริง
งานเขียนของพระอาจารย์ซงคาปา
จากหนังสือเรื่อง ทิเบต ของทุบเต็น จิกเม นอร์บุและ คอลิน เทอร์บูล ( Norbu and Turnbull ๑๙๖๙ )
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version