ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องมหายาน โพธิจิตและอีกมุมมองหนึ่งที่จะทำให้เราไม่ตกอยู่ในความทุกข์เศร้าได้  (อ่าน 2297 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
เขียนโดย น้องลิง     
“เรื่องมหายาน โพธิจิตและอีกมุมมองหนึ่งที่จะทำให้เราไม่ตกอยู่ในความทุกข์เศร้าได้อย่างไร”


ตุลาคม ๒๕๔๘


ถึงพี่ช้าง สวัสดี พี่ช้างเป็นอย่างไรบ้าง ยังสบายดีอยู่ไหม

เราสบายดีอยู่นะ ทั้งกายและใจพอสมควรเลยทีเดียว

และเมื่อไม่นานมานี้เองที่เราเพิ่งกลับจากไปลาดัก มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก จนอดต้องเอามาเล่าให้พี่ช้างฟังไม่ได้ พี่ช้างรู้ไหม เรื่องมีอยู่ว่า อยู่ดีๆ ตอนเข้าไปเยี่ยมภิกษุณีท่านหนึ่ง ระหว่างคุยๆ กัน อยู่ดีๆ เธอก็หันมาถามเราว่า

“เธอสนใจเรื่องอะไร”

ระหว่างที่เรายังทำหน้างงกับคำถามอยู่นั่นเอง เพราะไม่รู้ว่าเธอจะมาไม้ไหนหรือเธอต้องการคำตอบเรื่องที่เกี่ยวกับอะไรกันแน่ เธอก็ไม่รอช้า ก็เลยลุกไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งให้กับเราเฉยเลย แล้วบอกว่า

“ลองอ่านดูนะ เผื่อชอบ” เรารับมาแล้วก็ยกมือไหว้ขอบคุณ

หนังสือเล่มบางๆ เล่มเล็กนั้นชื่อ The Essence of Tibetan Buddhism ที่เขียนโดย Lama Thubten Yeshe จริงๆ แล้วจะว่าเขียนก็ไม่ได้หรอกนะ เพราะเธอไม่ได้เขียน แต่เป็นการนำคำสอนในการอบรมครั้งหนึ่งของเธอที่อเมริกามาขัดเกลาและรวมตีพิมพ์เป็นเล่มมากกว่า

พี่ช้างรู้ไหม หลายวันต่อมา เมื่อเรากลับมาถึงบ้านและมีโอกาสได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน

เราก็พบกับความประทับใจอย่างมากเลยทีเดียว เราได้เปิดโลกทัศน์ใหม่อีกมุมมองหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของชีวิตเลยทีเดียวโดยผ่าน...จะว่าไปแล้วก็คือผ่านเรื่องราวของศาสนาพุทธมหายานที่เรียกว่าตันตระที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนนั่นเอง

ความจริงก็เคยได้ยินและรู้จักมาก่อนแบบแว่บๆ หลายแว่บอยู่เหมือนกัน แต่น่าจะเป็นแบบแว่บไปแล้วก็แว่บมามากกว่า ไม่ได้เข้าใจหรือสนใจจริงจังแต่อย่างใด แต่มาคราวนี้ หนังสือเล่มนี้ ความรู้คราวนี้ ทำให้เราชอบมาก เราลองเล่าเรื่องราวบางส่วนบางตอนมาให้พี่ฟังดีไหม ว่าเราชอบตอนไหนบ้าง

ตอนแรกนะ ก็เริ่มต้นเลย เธอเกริ่น เล่าให้ฟังง่ายๆ ว่าความหมายที่แท้จริงของมหายานนั้นคืออะไร

“เมื่อใดก็ตามที่เราแสวงหาอิสรภาพ ซึ่งในที่นี้หมายถึงอิสรภาพภายใน มันจะมีหนทางอยู่ ๒ ทางด้วยกัน ที่เราเรียกว่า หินยานและมหายาน ทั้งหินยานและมหายานนี้เป็นคำภาษาสันสกฤต   แต่ถ้าจะพูดถึงความหมายที่แท้จริงแล้วทั้งสองคำนี้จะมีความหมายว่า ทัศนคติที่เล็ก (small attitude) และทัศนะคติที่ใหญ่ (great attitude)

ทัศนคติที่เล็กคือ…ปกติพวกเรามีทัศนคติที่เล็กกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเวลาที่เรามีปัญหา “ฉันต้องการมีความสุข ฉันต้องการอิสรภาพ…” เจ้าตัวทัศนคติ”ฉันต้องการ” นี้เองที่นำไปสู่การกระทำที่เล็ก หนทางที่เล็ก และเรือลำเล็กๆ เป็นต้น แต่ ”มหายาน” หมายถึงทัศนคติที่ใหญ่ และนี่เองคือสิ่งที่เราจะพยายามมาเรียนรู้กัน

   เมื่อข้าพเจ้าพูดถึงทั้งสองแนวทางคือหินยานและมหายานนี้ บางครั้งพวกท่านทั้งหลายอาจคิดว่าข้าพเจ้าได้ตั้งใจละทิ้งหลักการต่างๆ ของหินยานไป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะในที่นี้ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการที่จะพูดถึงในเชิงของปรัชญาใดๆ ทั้งสิ้น  พวกท่านทั้งหลายต่างมีความรู้ทางหลักการและปรัชญาต่างๆ กันมากเพียงพออยู่แล้วจนบางครั้งอาจมากกว่าสินค้าที่วางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าเสียอีก ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าพูดถึงหินยานและมหายาน หรือจิตที่เล็กและจิตที่ใหญ่แล้ว ขอให้เข้าใจว่าข้าพเจ้าไม่ได้กำลังพูดถึงหลักการ แต่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึง “เรา” (us)

เราหมายถึง เราที่ต้องการฝึกมหายาน หัวใจสำคัญคือเราต้องเปิดให้มากที่สุดเท่าที่จะเปิดได้ เราต้องการไปในแนวทางเช่นนั้นแม้ว่ามันจะยากลำบากเพียงไรก็ตาม  ทั้งนี้ก็เพราะจิตที่คับแคบได้มีอยู่แล้วอย่างเต็มเปี่ยมและปกคลุมพวกเราอยู่ทั่วไปหมดนั่นเอง ซึ่งแล้วมันก็จะยังมีและมาครอบงำเราอีกอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา   ถึงแม้ว่าจะมีบ้างหลายๆ ครั้งด้วยเช่นกันที่เราได้พยายามอย่างสุดสติปัญญาความสามารถแล้วที่จะเปิดให้มากที่สุดเท่าที่จะเปิดได้แต่จิตที่คับแคบก็มักจะกลับเข้ามาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะเป็นนักมหายานได้  ดังมีคำกล่าวของสองท่านคือ ท่านอติชาและลามะซองกะปะที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า มันไม่เพียงพอหรอกที่ศาสนาของแต่ละบุคคลจะเป็นมหายาน แต่ตัวของแต่ละบุคคลต่างหากทั้งเขาและเธอที่ต้องเป็นมหายานด้วย

ซึ่งนี่ก็เหมือนกับสิ่งที่ท่านคะดัมปะ เกเช ได้กล่าวไว้ครั้งหนึ่งเช่นกันว่า “มันไม่เพียงพอหรอกที่หลักการของคุณจะเป็นซ็อกเช็น (dzog-chen) แต่ตัวคุณเองต่างหากที่ต้องเป็นซ็อกเช็น”    ซ็อกเช็น หมายถึงความสมบูรณ์ที่ยิ่งใหญ่ (great completion)  ดังนั้นท่านจึงกำลังพูดว่า มันไม่เพียงพอหรอกที่หลักการของท่านจะต้องสมบูรณ์ แต่ตัวเธอเองต่างหากที่ต้องสมบูรณ์” 

พี่ช้าง แต่ที่เราเคยอ่านเจอในเล่มของอาจารย์ฉัตรสุมาลย์นะ อาจารย์เค้าแปลคำว่า ช็อกเซ็น นี้ว่าหมายถึง “มหาบารมี” ล่ะ แต่ไม่ว่าความหมายที่แท้จริงจะคืออะไร เราก็ต้องลองค้นคว้าศึกษาดูกันต่อไปใช่ไหม ^_^

เราอย่าพาพี่ช้างออกนอกเรื่องดีกว่าเนอะ มาดูดีกว่าว่าอาจารย์เยเชจะสอนพวกเราว่าอะไรต่อ

“ข้าพเจ้าหวังว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้จะชัดเจนดีใช่หรือไม่  แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงปรัชญามหายาน ดังนั้นบางทีเราสามารถพูดได้ว่าเราคือนักปรัชญามหายาน เพราะเราพูด พูด พูด พูดเกี่ยวกับมหายาน    แต่เราไม่ใช่นักมหายาน เพราะนี่มันต้องคือเรื่องของการเข้าถึงเข้าใจระดับและสถานะของจิตอย่างแท้จริง  คุณไม่สามารถใช้ปัญญาและพูดได้ว่า “โอ…วันนี้ฉันได้เรียนรู้ปรัชญามหายาน ดังนั้นฉันจึงเป็นนักมหายาน” คุณไม่สามารถพูดเช่นนั้นได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้ จนกระทั่งฉันได้แก้ปัญหาที่แท้จริงแล้วนั่นแหละ จนกระทั่งฉันได้เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างแล้วนั่นแหละ จนกระทั่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้เกิดขึ้นในจิตใจของฉันแล้วนั่นแหละ ฉันเป็นสุขมากขึ้น เปิดมากขึ้น พอใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อนี้เท่านั้นที่เราจะพูดได้ว่า ”ฉันเป็นนักมหายาน”

อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งมากเกินไปนัก เพราะข้าพเจ้าควรจะสนใจกับภารกิจข้างหน้านี้มากกว่า เพราะในอเมริกาเรามีเวลาไม่มากนักที่จะทำสิ่งต่างๆ มากมาย ใช่หรือไม่ ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะแน่ใจว่าเราจะเสร็จกันทันเวลา

ภารกิจของเราในขณะนี้คือ ผู้ฝึกปฏิบัติของทั้งสองฝ่ายคือทั้งหีนยานและมหายานกำลังแสวงหาอิสรภาพโดยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของสังสาระ แต่มีอยู่พวกหนึ่งที่กำลังพยายามอยู่อย่างขมักเขม้นอยู่บนพื้นฐานที่ว่า “ข้าพเจ้าคือผู้ที่เป็นทุกข์ ข้าพเจ้าไม่สามารถอยู่ที่นั่นในสภาพแบบนั้นได้  ข้าพเจ้าต้องการจะปลดปล่อยตัวของข้าพเจ้าเอง”  และการเน้นย้ำก็อยู่ที่การปลดปล่อย “ตัวข้าพเจ้าเอง” ผู้ฝึกฝนในทางสายที่ใหญ่หรือนักมหายานนั้นจะไม่ร่ำร้องจนมากเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะมีปัญหาอยู่ก็ตาม พวกเขาจะให้ความใส่ใจไปอยู่ที่ปัญหาของคนอื่นๆ มากกว่าปัญหาของตัวเอง นี่เองคือความแตกต่าง

นี่เองคือสาเหตุที่ทำไมเราถึงกล่าวว่าโพธิจิตคือประตูที่จะเข้าสู่หนทางของมหายาน ทำไมโพธิจิตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการหยุดปัญหาต่างๆ มากมายที่มีอยู่ อันซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการสงสารตัวเอง การรักตนเองมากเกินไป  ดังนั้นถ้าคุณเป็นนักมหายานคุณต้องมีโพธิจิต และสิ่งที่จะทำให้คุณมีโพธิจิตได้ ก็คือการมีความเข้าใจเรื่องโพธิจิตอย่างแท้จริง

บางครั้งคุณอาจคิดว่า “ฉันแสวงหาการรู้แจ้ง นั่นคือเหตุผลที่ฉันมาทำสมาธิ ฉันปรารถนาที่จะเข้าถึงการรู้แจ้ง นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ฉันมาเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้  ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรบ้างล่ะ  หรือดังนั้นฉันจะต้องทำอย่างไรบ้าง”

เพื่ออธิบายความข้อนี้ ข้าพเจ้าขออนุญาตยกตัวอย่างตัวอย่างหนึ่ง เช่นสมมุติว่า ถ้าคุณหิวข้าว คุณก็ไปที่ร้านอาหาร และในร้านอาหารบางร้านก็มีระบบอยู่ว่าก่อนที่คุณจะได้อาหารนั้น คุณต้องไปซื้อคูปองก่อน และเมื่อคุณได้คูปองมาแล้ว หลังจากนั้นคุณจึงจะได้อาหารมา  บางแห่งเป็นเช่นนั้น จุดประสงค์พื้นฐานของคุณคือให้ได้อาหารมาเพื่อหยุดความหิวของคุณใช่หรือไม่ และเพื่อที่จะทำเช่นนั้น คุณก็จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่การปฏิบัติภารกิจแรกตั้งแต่ไปเอาคูปองอาหารมา  และนี่เองที่มันเป็นเรื่องเดียวกัน สำหรับเราซึ่งเป็นนักมหายาน งานของเรา หน้าที่ของเราคือให้บริการคนอื่นๆ  นี่คือหลักการพื้นฐานที่สำคัญของเรา ไม่ใช่เพื่อการเข้าถึงการรู้แจ้ง  เราไม่ควรร้องขอหรือไขว่คว้า ยึดติด “การรู้แจ้ง การรู้แจ้ง การรู้แจ้ง… ฉันไม่มีความสุข ฉันต้องการมีความสุข”   นั่นไม่ใช่หลักการ ตอนนี้ท่านเห็นความแตกต่างแล้วใช่หรือไม่

ข้าพเจ้าอยากกล่าวย้ำไว้ในที่นี้ว่า นักโพธิจิตจะมีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น อย่างแรกคือการช่วยเหลือผู้อื่น และอย่างที่สองคือการเป็นผู้มีความสามารถเพียงพอที่จะสัมผัสและรับเอาเรื่องราวของการรู้แจ้งเข้ามาอยู่ในตนเองได้ด้วยตนเองและโดยการเป็นองค์รวมกับทั้งหมด  ถ้าเราจับจุดได้ว่า “มันสำคัญมากที่เราได้รู้แจ้ง” ว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น   แม้เราจะยังต้องการมัน แต่มันไม่ใช่หลักการที่สำคัญ มันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง   เหมือนกับการที่เรายังต้องไปเอาคูปองมาก่อนเพื่อจะแก้ปัญหาต่างๆ และเพื่อจะช่วยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกด้วยเท่านั้น

ข้าพเจ้าคิดว่าตัวอย่างนี้คงจะพอชัดเจนดีสำหรับทุกๆ คนใช่หรือไม่

อาจมีบางท่านที่ยังสงสัยและอยากถกเถียงทางปรัชญาอยู่อีก ความคิดของคนตะวันตกนั้นมักชอบสงสัย  มักใช้ปัญญาและความคิดเห็นเชิงวิชาการเสมอๆ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนี้อย่างนั้น  พวกเขากล่าวกันว่าเพราะความปรารถนาและการไขว่คว้ายึดติดอยู่ในความพึงพอใจทางความรู้สึกต่างๆ นั้นเป็นสิ่งกระตุ้นที่นำไปสู่วงจรของความสับสน ดังนั้นคนเราจึงไม่ควรปรารถนาที่จะรู้แจ้ง ตรัสรู้ หรือช่วยเหลือคนอื่นๆ  เพราะนั่นมันก็คือความปรารถนาหนึ่งด้วยเหมือนกัน บางคนอาจโต้แย้งอย่างนั้น  หรือจริงๆ อาจมีอย่างอื่นอีกบ้าง เช่นที่พูดว่า คุณยังถูกผูกมัดอยู่ดี ไม่ว่าจะถูกมัดด้วยสายไฟ ด้วยเงินหรือทอง หรือด้วยอะไรก็ตามที่มันผูกคุณอยู่ คุณก็ถูกมัดอยู่ดี   ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว คุณควรจะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากความปรารถนาใดๆ ก็ตาม จริงหรือไม่ที่มีบางคนอาจกล่าวเช่นนี้  หรือคุณเคยได้ยินคำกล่าวในทำนองนี้ใช่หรือไม่  คำกล่าวหรือข้อถกเถียงทางปรัชญาที่ผิดๆ ประเภทนี้นับว่าเป็นการเสียเวลาเปล่าอย่างยิ่ง

สิ่งเหล่านี้ต่างกัน ท่านเห็นความแตกต่างหรือไม่ กรุณาอย่าสับสนกับเรื่องที่สำคัญ  ความหวังที่จะเปิดคนอื่นๆ โดยเฉพาะเพื่อจุดมุ่งหมายที่สูงที่สุดเพื่อการรู้แจ้งนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด  ข้าพเจ้าคิดว่าพวกคุณรู้สิ่งเหล่านี้กันดีอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกให้มากเกินไป     

 
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ดังนั้นโพธิจิตคือทัศนคติที่เปิดกว้าง ที่รู้แจ้ง หรือกล่าวในอีกนัยหนึ่งคือ จิตที่มีสุขภาพดี หรือจิตที่แข็งแรงดี (healthy mind) แทนที่เราจะใช้คำภาษาสันสกฤตว่าจิตที่มีสุขภาพดี เราอาจหมายถึง ไม่มีความขุ่นข้องหม่นหมอง มีที่ว่างมากมาย แค่นั้นเอง นั่นคือโพธิจิต   จิตตะเป็นคำภาษาสันสกฤต หมายถึงจิต ในแง่ของหัวใจ ความรู้สึกของหัวใจคือสิ่งที่เราต้องการ  เราจำเป็นต้องมีทัศนคติเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่คำอธิบายในทางวิชาการเท่านั้น 

โดยปกติชาวตะวันตกมักพูดว่า “ฉันต้องการความรักมากมาย ไม่มีใครรักฉันเลย”  พวกเขามักพูดกันในทำนองนี้ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากลองใช้การแสดงออกในทางตรงกันข้ามดู     เราต้องการทัศนคติที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง เพราะมันจะช่วยดูแลแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งหลายทั้งมวลที่ทัศนคติอันคับแคบนำมาให้ได้ ถ้าคุณมีทัศนคติเช่นนี้ได้คุณก็จะทำตัวคุณเองให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้คนหนึ่งเช่นกัน (และนี่นับว่าเป็นหนทางหนึ่งที่ดีกว่ามากๆ ที่คุณควรกระทำ) เพราะนั่นคือคุณได้เข้าใจมันอย่างสมบูรณ์แล้ว  ไม่เช่นนั้นคุณก็จะอยู่ในเงามืดของความไม่รู้ต่อไป    คุณสามารถเห็นสิ่งหนึ่งได้แต่ที่เหลือก็จะยังคงอยู่ในความมืด คุณรู้เรื่องนี้ดี ตัวอย่างเช่น แม้แต่ในชีวิตประจำวัน คุณต้องการสิ่งที่สมบูรณ์ที่จะทำให้บ้านและครอบครัวของคุณได้อยู่ด้วยกันอย่างเป็นปกติสุข  แต่ถ้าสามีเห็นอยู่เพียงแค่สิ่งเดียว  เขาก็จะไม่สามารถเห็นภาพทั้งหมดของสิ่งที่จำเป็นสำหรับครอบครัวได้เลย  ภรรยาก็เช่นเดียวกัน  แน่นอนว่าผู้หญิงคนหนึ่งๆ จะกระทำสิ่งต่างๆ แตกต่างจากที่ผู้ชายทำเสมอ  แต่ถ้าเธอเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว เธอก็จะไม่เห็นภาพรวมของทั้งหมดว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นในการมีชีวิตที่น่าพึงพอใจและจิตใจที่สามารถสมดุลเป็นหนึ่งเดียวกับทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างได้

ตัวอย่างเหล่านี้ดีมาก  การใช้ชีวิตของพวกเราเสื่อมคุณภาพลงทุกวันทั้งนี้เพราะเราไม่ได้มองชีวิตของพวกเราร่วมกันทั้งหมด  เราไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดว่าเราต้องการอะไร  เมื่อเราไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด เราก็จะไม่สามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน  เมื่อเราเคลื่อนไหวสิ่งหนึ่ง ทุกๆ สิ่งก็จะเคลื่อนไหวด้วย เราจะต้องรู้เรื่องนี้

อย่างไรก็ตามทัศนคติที่รู้แจ้งของโพธิจิตนี้เองที่ทำให้พลังงานของเราสามารถแผ่ขยายออกไปรอบๆ ตัวได้อย่างกว้างขวาง และคุณเองก็สามารถพัฒนามุมมองต่างๆ ให้กว้างขวางออกไปด้วยเช่นกัน   มาถึงขั้นตอนนี้สำหรับผู้ซึ่งมีโพธิจิตแล้วจะสามารถเข้าสู่หนึ่งในสองขั้นต่อไป ที่เรียกว่าปารมิตรยานและตันตรยาน   ปารมิตรยาน (หรือสูตรยาน) คล้ายๆ กับลัมริม (lum-rim) คือการที่คุณสามารถเข้าใจสาเหตุแห่งกรรมได้และการตะหนักรู้ถึงความสามารถ ศักยภาพที่มีติดตัวคุณมาแต่ก่อน เพื่อแก้อีโก้ทุกระดับของคุณได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่ระดับของมนุษย์เองเท่านั้น ปารมิตรยานจะนำคุณไปสู่หลักการ ๓ ประการที่เป็นหนทางไปสู่การเรียนรู้  และงานของคุณคือปฏิบัติปารมิตร ๖ ข้อด้วยกัน ซึ่งพวกคุณรู้จักกันอยู่บ้างแล้วใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าเพียงแต่จะกล่าวถึงซ้ำนิดหน่อยเท่านั้น การฝึกปฏิบัติในแนวทางเหล่านี้จะนำคุณไปสู่การรู้แจ้ง แต่อย่าคิดว่าการรู้แจ้งตามหนทางของปารมิตรยานจะนำคุณไปสู่การรู้แจ้งเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นในขณะที่ตันตรยาน (หรือวัชรยาน) จะนำคุณไปสู่การรู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่   ประสบการณ์การรู้แจ้งอันเป็นผลมาจากการฝึกปฏิบัติทั้งสองวิธีนั้นถือเป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่หนทางที่ทั้งสองวิธีการนี้ทำหน้าที่เท่านั้นที่ต่างกัน

ปารมิตรยานและตันตรยานต่างกันในแง่ที่ว่าตันตรยานนั้นจะมีกุศลปัญญาอยู่(skillful wisdom) ที่คุณสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ด้วยกันทั้งหมดได้ ตันตรยานมีกุญแจสำคัญอยู่ตรงจุดนี้ ขณะที่ปารมิตรยานก็มีกุญแจสำคัญด้วยเช่นกัน แต่หนทางนั้นจะช้า ผู้ฝึกฝนปารมิตรยานจะไม่สามารถจัดการให้สองสิ่งนั้นดำเนินไปด้วยกันได้ในเวลาเดียวกัน  เพราะทำเช่นนั้นมันยาก   เหมือนกับพ่อครัวของข้าพเจ้าที่ชื่อบาบาจิที่เขาไม่สามารถอยู่ทั้งในครัวและก็มาอยู่ที่นี่ได้ด้วยเพื่อที่จะฟังการสอนของข้าพเจ้าในเวลาเดียวกัน นั่นคือปัญหาของเขา  แต่ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางตันตรยานจะมีทักษะและปัญญาที่จะทำได้ทั้งสองอย่าง ทั้งเห็นความจริงที่ชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างทะลุปรุโปร่ง และในเวลาเดียวกันก็สามารถรักษาหนทางของการเป็นหนึ่งเดียวไว้ได้ด้วย ท่านเห็นหรือไม่ว่ามีความแตกต่างกันอย่างมหาศาลเลยทีเดียวระหว่างแนวทางสองแนวทางนี้ 

ตัวอย่างเช่นท่านศากยมุนี พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราที่กว่าจะได้ค้นพบการตรัสรู้ จะต้องต่อสู้กับสิ่งต่างๆ มากมายมานับไม่ถ้วนมาถึง ๓  กัลป์ ท่านศากยมุนีได้เดินทางมาเป็นระยะเวลายาวนานและเข้าสู่วิถีชีวิตแบบฤาษีในป่า บ้างกล่าวว่าท่านไม่ฉันอาหารถึง ๖ ปี  บ้างกล่าวว่าท่านฉันเฉพาะผลไม้ชนิดหนึ่งที่ได้จากต้นปาล์มเท่านั้น  ถ้าพวกเราอเมริกันชนทั้งหลายพยายามที่จะเอาชีวิตรอดในสถาณการณ์เช่นนั้น เราคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ หรือเราอาจจะตายไปก่อนก็ได้ 

มีคำอธิบายที่ต่างๆ กันไปอีกมากมายว่าถึงหนทางก่อนที่จะนำพาท่านไปสู่การรู้แจ้ง ที่เราคงไม่สามารถกล่าวลึกลงไปในรายละเอียดได้ในที่นี้ เพราะมันจะใช้เวลามากเกินไป อย่างไรก็ตาม ยังมีคำอธิบายหนึ่งที่ว่าเมื่อท่านได้ลงมาสู่โลกมนุษย์นั้น ขณะนั้นท่านคือพระโพธิสัตว์ชาติที่ ๑๐ ที่พร้อมจะตรัสรู้ภายในเวลาไม่นานนัก และในขณะที่ท่านบำเพ็ญภาวนาใช้ชีวิตดำรงอยู่ในป่านั้น  พุทธะองค์อื่นๆ ได้เรียกท่านให้ออกมาจากสมาธิ กล่าวว่า “นี่ท่านทำอะไรอยู่  ท่านกำลังปฏิบัติสมาธิได้ดีอยู่ก็จริง  แต่นั่นมันไม่เพียงพอสำหรับท่านหรอกที่จะขยายความรู้ความเข้าใจของท่านให้เข้าสู่การรู้แจ้งและการเห็นองค์รวมทั้งหมดได้”  ว่าแล้วดังนั้น ท่านพุทธะทั้งหลายจึงทำการอภิเษก (initiation) ๔ ขั้นตอนใหญ่ๆ ให้กับท่านอันรวมถึงขั้นตอนที่ ๓ และ ๔ ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยครั้งนักให้กับท่าน และนั่นเองท้ายที่สุด ท่านจึงได้ตรัสรู้ 

ทำไมท่านถึงต้องแสดงวิธีการเช่นนี้ด้วย  จะเห็นว่าข้าพเจ้าใช้คำว่า “แสดง” เพราะความจริงนั้นท่านตรัสรู้มาตั้งแต่ก่อนท่านจะลงมาสู่โลกมนุษย์แล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำในชีวิตของท่านเป็นเพียงการแสดงเท่านั้นเอง

เหตุผลก็คือในมุมมองของตันตระ ถ้าหากปราศจากการฝึกฝนตันตระแล้วจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึงการรู้แจ้งได้ แต่ถ้าฝึกฝนตามแนวทางของปารมิตรยานเพียงอย่างเดียวก็จะสามารถนำคุณไปสู่ระดับหรือภูมิของพระโพธิสัตว์ชาติที่ ๑๐ เท่านั้น และยิ่งถ้าไม่ได้รับทั้งการอภิเษกและไม่ได้ฝึกฝนตันตระอีก ก็ยิ่งไม่มีทางเลยที่จะเข้าถึงการรู้แจ้ง ล้อเล่น ข้าพเจ้าล้อเล่น นี่คือการโฆษณาชวนเชื่อของตันตระ  แต่ตามความเป็นจริงแล้วก็มีเหตุผลมากมายในเรื่องนี้ กล่าวคือถ้าปราศจากการฝึกฝนตันตระแล้วคุณจะไม่สามารถ ”เปิด” ได้อย่างเต็มๆ และใจที่หลักแหลมอย่างที่สุดจะไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ มันเป็นประมาณนั้นมากกว่า

ความแตกต่างระหว่างปารมิตรยานและตันตรยาน คือตันตรยานจะมีกุศลวิธีที่คุณสามารถใช้ความต้องการหรือความปรารถนาต่างๆ ของคุณที่โดยปกติแล้วมักถือว่าเป็นสิ่งซึ่งนำมาซึ่งอาการของความสับสนและความไม่ดีต่างๆ มาสู่คุณมากกว่านั้นเปลี่ยนให้เป็นหนทางแห่งการรู้แจ้งแทนได้  โดยการฝึกโยคะตันตระนั้น คุณสามารถเปลี่ยนแปลงพลังแห่งความปรารถนาของคุณไปสู่หนทางของการตรัสรู้ได้ เราเรียกวิธีการเหล่านี้ว่านำความปรารถนามาเป็นหนทางสู่การตรัสรู้และการรู้แจ้ง แต่มันย่อมเป็นอันตรายมากๆ ด้วยเช่นกันถ้าคุณไม่เข้าใจความหมายของคำๆ นี้ดีพอว่าหมายความว่าอะไร เราต้องค้นคว้าและเรียนรู้ที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้องอย่างจริง ๆ จังๆ

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ครั้งหนึ่งในสมัยของพระพุทธเจ้า กษัตริย์องค์หนึ่งถามท่านว่า  “ในฐานะกษัตริย์ ข้าพเจ้ามีภารกิจมากมายที่ต้องกระทำ มีความรับผิดชอบมากมายในการดูแลประเทศชาติของข้าพเจ้าและความพึงพอใจต่างๆ อันหลากหลายของประชาชนของข้าพเจ้า ในภาวะเช่นนี้ ได้โปรดบอกวิธีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดที่จะเข้าถึงการรู้แจ้งได้โดยเร็ว”  ดังนั้นเองท่านศากยมุนีจึงแนะนำวิธีการของตันตระให้

ท่านจะเห็นว่าเหตุผลที่พระพุทธเจ้ามอบการสอนเช่นนั้นให้แก่กษัตริย์ ก็เนื่องมาจากเหตุผลที่ท่านร้องขอนั่นเอง แต่สำหรับผู้คนที่จะฝึกฝนตันตระนั้นจะต้องมีทักษะพร้อมที่จะแปรเปลี่ยนความพึงพอใจต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้เป็นหนทางสู่การตรัสรู้ให้ได้ ลองมาใช้ร่างกายของพวกเรามาเป็นตัวอย่างกัน ในความเป็นจริงร่างกายของพวกเราล้วนเป็นผลมาจากการทำหน้าที่ของความปรารถนา ใช่หรือไม่  ความปรารถนาทำให้เกิดร่างกายนี้ขึ้นมา  อีโก้ทำให้เกิดร่างกายนี้ขึ้นมา การยึดอีโก้ของพวกเรานี้เองที่ทำให้เกิดการแสดงออก การแสดงอาการพฤติกรรมต่างๆ มากมายออกมา  อย่างไรก็ตามแทนที่เราจะมองดูร่างกายของเราในแง่ลบ เราควรจะมองดูและสนใจร่างกายของเราว่าเป็นดั่งของที่มีค่ามากกว่า  เรารู้อยู่ว่าร่างกายของเรานั้นซับซ้อน แต่จากมุมมองของธรรมะ แทนที่เราจะดูถูกตัวเราเองว่าเป็นผู้ที่น่าสงสารยิ่งนัก “ร่างกายของฉันช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน ฉันหวังว่ามันคงจะสูญสลายไป” เราควรจะชื่นชมและใช้ประโยชน์จากมัน  เราควรจะใช้มันไปในทางที่ดี

ดังนั้นตัวอย่างของข้าพเจ้าจึงหมายถึง... หมายถึงจุดที่ว่าทั้งๆ ที่ร่างกายของเราจะแสดงออกมาอย่างที่มันเป็นอยู่ก็ตาม  ทั้งๆ ที่ความจริงมันจะไม่ง่ายนักก็ตาม นั่นคือมันสลับซับซ้อนยิ่งนัก แต่ร่างกายก็มีประโยชน์มากมายมหาศาลด้วย  ร่างกายของเรานี้สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายเหลือเกิน  ด้วยร่างกายของเรานี้ไม่ใช่เพียงแค่ดูแลหาเสื้อผ้าใส่ได้หรือหาอาหารกินได้เท่านั้น แต่เรายังสามารถเข้าถึงสิ่งที่เหนือกว่านั้นได้      เรามีโอกาสที่จะได้เข้าสู่อิสรภาพอันนิรันดร์ หรือเข้าสู่การรู้แจ้งได้  นี่คือเหตุผลว่าทำไมร่างกายของมนุษย์จึงยิ่งใหญ่และล้ำค่ามากนัก  นี่เองคือประเด็น เราสามารถใช้มันไปในทางที่ดีได้แม้ว่ามันจะมีศักยภาพอย่างดียิ่งด้วยเช่นกันที่คอยสร้างพิษร้ายต่างๆ มากมายมาให้เรา ทั้งความยุ่งยากซับซ้อน ความสับสน ความทุกข์ ความเหงา ความไม่พึงพอใจ และการเกิดวัฏฏะสงสารต่างๆ มากมาย  แต่ถ้าหากเราสามารถเปลี่ยนมันไปในทางที่เป็นบวกได้ เราจะสามารถสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่มากมายในการมีร่างกายนี้อยู่ และทำมันให้มีค่ามากที่สุด

มันก็เหมือนกับความพึงพอใจต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะความพึงพอใจทางด้านความรู้สึกที่เรามักคุ้นเคยกันอยู่แล้ว การติดยึดอยู่ในความพึงพอใจ หรือปฏิกิริยาของความสับสนต่างๆ อื่นๆ มากมาย แต่ขณะที่ทั้งสองวิธีคือ ปารมิตรยานและตันตรยานจะนำเราไปสู่การรู้แจ้ง  แม้ว่าในตอนแรกๆ การสัมผัสกับความพึงพอใจทางความรู้สึกนั้นจะดูเป็นด้านลบก็ตาม ตันตรยานจะทำให้เราเกิดทักษะอันมีพลังมากมหาศาลในการแปรเปลี่ยนความปรารถนาเหล่านี้ให้เป็นหนทางอันไปสู่การรู้แจ้งที่สมบูรณ์ มีความสุข และเติมเต็ม ด้วยเหตุนี้เองทำไมจึงกล่าวได้ว่าตันตระนั้นสมบูรณ์

และโดยเฉพาะเมื่อคุณได้ฝึกฝนตันตระแล้ว แทนที่จะคิดว่า “ฉันเป็นปัญหา อีโก้ของฉันเป็นปัญหา ฉันเป็นคนอ่อนแอ ฉันต้องการ……” แทนที่จะคิดว่าคุณนั้นเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด คุณก็จะคิดว่า “ฉันเป็นพุทธะ ฉันเป็นเชนเรสิก (Chenrezig) ฉันมีความเมตตาแห่งจักรวาลอันเอนกอนันต์และยิ่งใหญ่” ความแตกต่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ และแน่นอนมีความแตกต่างกันอยู่อย่างมากมายมหาศาลจริงๆ

หากคุณใช้วิธีการของปารมิตรยาน ขณะที่คุณคิดว่า “ฉันเป็นพุทธะ  ฉันเป็นผลผลิตที่ฟุ้งกระจายออกมาของพระพุทธองค์”  นั่นอาจจะไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะคุณก็จะรู้สึกอยู่เสมอว่า ก็มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่นา แต่ด้วยวิธีการของตันตรยานแล้ว  คุณจะรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้  “ร่างกายของฉันเป็นร่างของพุทธะหนึ่งๆ ที่ใสสะอาด ชัดเจนดั่งแก้วคริสตัล มีแสงสว่าง ส่องประกายรัศมี  คำพูดของฉันเป็นมนตรา เมื่อไรก็ตามที่ฉันเปิดปากพูด สิ่งดีๆ จะถูกประกาศออกมา  ความคิดของฉันคือปัญญา”   เมื่อไรก็ตามเมื่อคุณได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว คุณได้แปรเปลี่ยนประสบการณ์ของการรู้แจ้งของคุณให้นำมาสู่ “ปัจจุบัน”  นั่นเองคือความสวยงามของตันตรยาน   

จากมุมมองทางวัฒนธรรม เมื่อพวกคุณมองมาที่ข้าพเจ้า พวกคุณอาจจินตนาการไปว่าข้าพเจ้ากำลังสวมชุดและร่ายมนต์  ข้าพเจ้าสวมชุดที่แปลกแตกต่างออกไป ข้าพเจ้าแวดล้อมด้วยศิลปะและรูปลักษณ์อื่นๆ ที่แปลกออกไป คุณอาจเกิดความรู้สึกตื่นเต้นและตกใจ ดังนั้นบางท่านจึงอาจรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในความขัดแย้ง  “ทำไมฉันถึงต้องการสิ่งเหล่านี้ด้วย ทำไมเราถึงต้องมีสิ่งเหล่านี้ด้วย ฉันไม่ได้ต้องการการเดินทางแบบธิเบตเช่นนี้สักหน่อย” และเมื่อถึงมนตรา “ทำไมต้องมนตราด้วย น่าจะดีกว่านะที่เราจะพูดว่า กาแฟ กาแฟ กาแฟ และกาแฟ”

ในทางหนึ่ง ศาสนาพุทธแบบธิเบตกล่าวว่า อิสระนั้นคือสิ่งที่อยู่ภายใน แต่ในอีกทางหนึ่ง มันยังมีสิ่งที่อยู่ภายนอกอีกมากมาย และเนื่องจากเรายังไม่ได้เป็นพุทธะ  ดังนี้เองจึงเป็นเหตุให้ทำไมเราถึงยังต้องการความช่วยเหลืออยู่  ใช่แล้ว เรายังต้องการความช่วยเหลืออยู่  มนตราคือสิ่งที่อยู่ภายใน  และการที่เราสวดมนตราก็เพื่อจะพัฒนาสิ่งต่างๆ ภายในใจของเรานั้น นี่ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่เล็กมาก  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะบอกก็คือเมื่อเราพูดถึงการสวดมนตรานั้นเราไม่ต้องการลูกประคำแต่อย่างใด

คนที่ฝึกตันตระแบบธิเบตไม่ต้องใช้ลูกประคำ  นี่คือเรื่องจริง นี่คือสิ่งที่เราควรจะเข้าใจ แต่แน่นอนว่าบางครั้งมันก็อาจจะมีประโยชน์อยู่มากด้วยเช่นกัน

ตอนนี้ข้าพเจ้าหลงประเด็นไปถึงไหนแล้ว

ดังนั้นเพื่อที่จะใช้วิธีที่มีทักษะมากมายนี้ จึงจำเป็นมากสำหรับชีวิตของคุณที่จะต้องมีประสบการณ์ชีวิตในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน  ชีวิตของคุณบางทีสามารถมีประสบการณ์ของการรู้แจ้งได้ แม้ข้าพเจ้าไม่ควรใช้คำนี้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามันสามารถเรียกว่าเป็นประสบการณ์แห่งการรู้แจ้งได้ (enlightened experience)

แต่คุณต้องไม่สับสนหรือผสมปนเปกัน เมื่อในทางหนึ่งคุณมีการรับรู้แบบตันตรยานว่า “ฉันเป็นเชนเรสิก ฉันเป็นพุทธะ ฉันเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกับทั้งหมด” แต่ในอีกทางหนึ่งคุณก็ยังคงต้องทำในสิ่งที่สัมพันธ์กันด้วยเช่นกัน เช่นการสวดมนตรา

ตันตรยานเป็นหนทางอันนำไปสู่ร่างกาย คำพูด และจิตอันสมบูรณ์  ซึ่งเราต้องการเพื่อที่นำไปจะช่วยเหลือบุคคลอื่นๆ ได้  จุดมุ่งหมายของการทำสมาธิไม่ใช่เพื่อการเข้าถึงนิพพานแล้วหลังจากนั้นก็หายตัวไป   ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงมันคงจะดีกว่ามากนักถ้าคุณปรารถนาจะให้ตัวเองนั้นเป็นดอกไม้  เพราะอย่างน้อยดอกไม้ดอกหนึ่งก็ยังมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การแสดงออกซึ่งความสวยงาม ส่องประกายรัศมีด้วยแสงสว่างสีขาวของเชนเรสิกออกมาได้  และการแสดงออกซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังจะสามารถช่วยผู้คนได้จริงๆ มากกว่าด้วยซ้ำ  บางครั้งผู้คนในทางตะวันตกอาจจะยังกังวลอยู่ว่า “ฉันฝึกภาวนา นั่งสมาธิมาก็มากแล้ว บางทีฉันอาจจะหายไปสู่ความไม่มีอะไร แล้วหลังจากนั้นล่ะ ฉันจะทำอะไร”   ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่ ถ้าได้เรียนรู้ตันตรยานและแทนที่จะคิดว่าตัวเองได้หายไปสู่ความไม่มีอะไร แต่กลับคิดว่าตัวเองได้กลายมาเป็นองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร  เปลี่ยนความบริสุทธิ์ของจิตรู้ของคุณให้ไปสู่ความสมบูรณ์ และเปลี่ยนร่างกายอันบริสุทธิ์ของคุณให้เป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
บางทีข้าพเจ้าอาจพูดรวมๆ ได้อย่างนี้ว่า พวกเราแต่ละคนล้วนต่าง    ”มี” ร่างของจิต หรือจิตรู้นี้อยู่ภายในแต่ละคน เช่นเดียวกับที่เรามีร่างกายที่เป็นกายภาพที่เราเห็นอยู่นี่ และเจ้าตัวจิตรู้นี้เองที่จะใช้ร่างที่มีเลือดและกระดูกต่างๆ เหล่านี้ของเราให้เปลี่ยนไปเป็นเชนเรสิก มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรืออย่างถอนรากถอนโคนที่ร่างกายเราจะเปลี่ยนเป็นเชนเรสิก แต่จิตรู้ หรือเจ้าตัวจิตของเราต่างหากที่สามารถเปลี่ยนแปลงไป หรือบางทีคุณอาจจะพูดว่าส่วนหนึ่งของจิตของฉันเป็นเชนเรสิกแล้ว

ตัวอย่างเช่นในชีวิตแต่ละวันของคนเรา เราได้แสดงออกซึ่งสิ่งต่างๆ ออกมามากมาย  เวลาเราโกรธ การแสดงออกที่โกรธเกี้ยวและแย่ๆ ก็จะแสดงตนออกมา  แต่หลายครั้งเราก็ได้เห็นเช่นกันว่า เราได้แสดงอาการของเชนเรสิกออกมาด้วย แสดงออกซึ่งความเมตตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก หรือบางครั้งเราก็พยายามที่จะมอบร่างกายของเรา คำพูดของเรา จิตใจของเราทั้งหลายทั้งปวงให้แก่ผู้อื่น คุณจะเห็นว่าคุณเป็นคนที่แตกต่างกันอย่างแท้จริง  เรารู้สิ่งเหล่านี้ก็เนื่องมาจากตัวของพวกเรากันเองและจากการเรียนรู้ชีวิตของผู้อื่นแต่ละคนซึ่งกันและกัน  บางครั้งเพื่อนรักของเราก็ดีเหลือเกิน เป็นเชนเรสิก และบางครั้งก็โกรธเกี้ยวโมโหโกรธาจนทำให้เราเจ็บและหัวใจของเราก็เศร้าและแตกสลาย

คุณจะสามารถมองเห็นเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม  เพียงแค่คุณมองไปที่คนคนหนึ่ง พวกเราทุกคนล้วนต่างเคยมีประสบการณ์ทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้มาแล้ว เราไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับคนคนนี้  “เค้าเป็นอะไรไป”   อะไรที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้น เป็นเวลามากว่า ๓๐ ปีที่คนนี้เป็นเช่นนี้ แต่เพียงแค่ทันใดนั้นเองทำไมกลับกลายเป็นตรงกันข้ามได้ เราอยากจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น แต่เราก็ไม่เข้าใจ และแน่นอนข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

 ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เองคือความงามของมนุษย์ มนุษย์ที่มีหลายแง่มุม หลายคุณภาพ ทั้งดีและเลว และมีอาการแสดงออกที่ต่างๆ มากมายหลากหลายกันไป   ถ้าคุณเป็นคนมีความรู้สึกไวคุณอาจจะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นแสงออราหรือแรงสั่นสะเทือน ตัวอย่างเช่นชาวแคลิฟอร์เนีย ที่พอเกิดแผ่นดินไหว พวกเขาอาจพูดต่างๆ กัน  “อ้อ..นั่นไม่ใช่แรงสั่นสะเทือนที่มากมายอะไรนักหรอก หรือ  โอ๊ย…ทำไมมันสั่นสะเทือนจังเลย” สิ่งเหล่านี้พวกเขาจะรู้สึกต่างกัน เช่นเดียวกับที่บางคนอาจเห็นแสงออร่านี้หรือสัมผัสกับแรงสั่นสะเทือนนี้ได้แตกต่างกัน ในทางตันตรยาน สิ่งเหล่านี้มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผลได้ มันไม่ใช่เรื่องของจินตนาการ แต่มันสัมพันธ์กับทุกๆ เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรา

ชาวพุทธทั้งหีนยานและมหายานเชื่อกันว่า ธรรมชาติของจิตมนุษย์คือแสงสว่างที่สะอาดใส คือจิตที่สะอาดใส (clean clear mind) ดังนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังจะพูดคือธรรมชาติของจิตของคนเรานั้นสะอาดและสว่างเสมอ ในปัจจุบันนี้ก็สะอาดและสว่างอยู่ และในอนาคตก็จะสะอาดและสว่างตลอดไป คุณไม่จำเป็นต้องห่วงหรือวิตกกังวลแต่อย่างใดเลย

“แต่เรากำลังพูดถึงความหลงผิดและความสับสน มันคืออะไรหรือ”  ความไม่แน่ใจ สับสน และหลงผิดต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ลักษณะของจิตรู้ของเรา ดังเมฆหมอกไม่ใช่บุคลิกลักษณะของท้องฟ้า ดังนั้นคุณต้องเปลี่ยนทัศนคติที่คิดเช่นนั้น โดยหลักการแล้วมันผิดที่คุณคิดว่า “ฉันหลงผิด ฉันเป็นคนเลวที่คิดแย่ๆ และผิดๆ เสมอ  ที่ทำแย่ๆ และผิดๆ เสมอ”  คุณไม่สามารถสรุปเหมารวมทั้งหมดเช่นนั้นได้ว่า “ฉันเป็นอย่างนี้”  มันไม่เป็นความจริง คุณไม่สามารถให้ความจำกัดแม้กระทั่งความจริงของตัวคุณเองได้ คุณไม่สามารถและคุณไม่ควร  พวกเราแต่ละคนมีปัญหา มีความยุ่งยาก แต่พวกเราทุกคนก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกับพลังของพุทธะ พลังของพระโพธิสัตว์อยู่ในตัวพวกเราด้วยเหมือนกัน  เรามี และเราก็มีจริงๆ

ตัวอย่างเช่นบางครั้งขณะที่ข้าพเจ้าพูดอยู่ ข้าพเจ้าก็สงสัยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดอยู่นั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าพูดอะไรอยู่ นี่คงเป็นตัวอย่างที่ดีมากและเห็นได้ชัดเจนใช่หรือไม่ ฉันเป็นคนที่ไม่ใส่ใจและไม่สนใจอะไรเลย พูดก็อย่างนี้ทำก็อย่างนี้ แต่บางครั้งทำไมสิ่งดีๆ มันถึงออกมาจากตัวเราได้  ฉันไม่อยากจะเชื่อแม้กระทั่งตัวฉันเองเลย  นี่คือเรื่องจริง ฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นผู้รู้แจ้งอะไรและฉันก็ไม่ได้รู้แจ้งด้วย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ บางครั้งสิ่งดีๆ ก็อาจจะออกมาพร้อมๆ กับสิ่งที่ไม่ดีก็ได้

ดังนั้นเราจึงไม่ควรสร้างข้อจำกัดใดๆ ก็ตามเมื่อเราตัดสินตัวพวกเรากันเอง  แน่นอนมันเหมือนกับที่มักพูดกันอยู่ในตะวันตกว่า  คุณได้ยินสิ่งที่คุณต้องการได้ยิน ใช่แล้วประมาณนั้นเลยจริงๆ  เมื่อคุณมองเข้าไปในตัวคุณ สิ่งที่คุณต้องการเห็นจะปรากฏออกมา ถ้าคุณต้องการเห็นคนเลว คนเลวก็จะปรากฏ ถ้าคุณต้องการเห็นคนดี คนดีก็จะปรากฏ นี่คือเรื่องจริง สิ่งต่างๆ ไม่ได้บ่งชี้ออกมาเพราะความหลงผิดของคุณ  สิ่งที่คุณมองหาต่างหากที่ปรากฏออกมา

ตัวอย่างที่ข้าพเจ้าต้องการใช้สำหรับความคิดของคนตะวันตกก็คือในโลกนี้มีผู้หญิงและผู้ชายมากมาย และในความเป็นจริงทุกคนก็ทั้งสวยและหล่อ คุณนึกภาพออกไหม ในที่ใดก็ตามที่มีคนคนหนึ่งที่พบว่าคุณสวยหรือหล่อ  มีสิ มีแน่นอน  และนี่เองคือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงว่าเราทุกคนนั้นสวย เราทุกคนนั้นหล่อ  เพราะในที่สุดก็ยังมีจิตบางดวงที่บอกว่าคุณนั้นสวยและหล่อ แม้ว่าคุณจะน่าเกลียดก็ตาม

และเมื่อมันได้ทำหน้าที่ดำเนินไปในแนวทางเช่นนั้นแล้ว เมื่อมีใครบางคนเห็นว่าคุณสวยและหล่อ นั่นคือหนทางที่แท้จริงที่มันดำเนินไปสำหรับบุคคลนั้นๆ เช่น ถ้าข้าพเจ้าคิดว่าพวกคุณทุกคนเป็นคนสวยและคนหล่อ สำหรับข้าพเจ้านั่นคือสิ่งที่คุณปรากฏอยู่ สำหรับข้าพเจ้านั่นคือความเป็นจริง  แต่บางครั้งอาจมีใครบางคนอื่น ๆ ที่คิดว่าพวกคุณนั้นน่าเกลียด ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจว่าเขาจะคิดว่าอะไร นั่นเป็นเรื่องของเขา อะไรที่ปรากฏแก่ข้าพเจ้าต่างหากที่เป็นเรื่องของข้าพเจ้า และนั่นเองคือสิ่งที่ส่งผลต่อข้าพเจ้า  อย่างไรก็ตามแล้วพวกคุณก็จะเห็นว่าความเป็นจริงนั้นคืออะไร

มาพิจารณากันที่สังคมสมัยใหม่บ้าง มีผู้คนมากมายที่มองตัวเองไว้ต่ำมากๆ  และนั่นเองคือปัญหาที่เลวร้ายที่สุด คุณสามารถพบเห็นเรื่องเช่นนี้ได้ในทุกๆ ที่บนโลกนี้  ผู้คนมักสร้างข้อจำกัดให้ตัวเอง สร้างข้อจำกัดให้กับความเป็นจริงของตัวเอง แต่ตันตระจะมีวิธีการที่จะกำจัดความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างทันทีทันใด และทำให้คุณเปรียบเสมือนได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าได้  มีความรู้สึก มีความภาคภูมิใจของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณก็เป็นพุทธะด้วยเหมือนกัน มีความสมบูรณ์อันเต็มเปี่ยมอยู่ในตัว  และด้วยวิธีการเช่นนี้เองที่จะทำให้คุณสามารถกำจัดเจ้าตัวสะท้อนที่ชอบแสดงให้คุณเห็นว่าคุณมีอีโก้เป็นพื้นฐานออกไปได้

และด้วยวิธีการเช่นนี้เอง สิ่งที่คุณเห็นต่างๆ จะไม่สามารถมาก่อกวนประสาทของคุณได้ หรือทำให้คุณเจ็บปวดได้ เช่น ตอนนี้เมื่อคุณเห็นใครก็ตามคนหนึ่งๆ แลัวทำให้คุณรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกแปลกๆ หรือรู้สึกเจ็บปวดได้นั้น แสดงว่านั่นคือกรรม บางสิ่งบางอย่างภายในตัวคุณได้ถูกดูดเข้าไป แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีอยู่จริง คุณมีภาพความคิดหรือการรับรู้หนึ่งๆ เอาไว้อยู่ก่อนแล้ว “เขาจ้องมองฉันด้วยสายตาอย่างนั้น  ดังนั้น ฉันจึงไม่ชอบเขาเลย”  คุณมีความคิดหนึ่งๆ มาก่อนล่วงหน้าแล้ว   ในบางสถานการณ์หรือบางสถานที่  พวกเรามีกันทุกคน ใช่แล้ว พวกเรามีกันทุกคน  กับผู้คนประเภทหนึ่งๆ เรามักจะรู้สึกง่ายๆ สบายๆ  แต่ในกับอีกผู้คนหนึ่งๆ ที่แสดงตนออกมาในรูปแบบอื่นๆ เราอาจจะรู้สึกต่างออกไปหรือไม่แน่ใจ ทั้งหมดทั้งนี้ก็เพราะการที่เรามีภาพความคิดชุดหนึ่งๆ ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วนั่นเอง คือภาพความคิดของอีโก้ของเรา  เราควรจะมีความสุข มีความสุขจริงๆ ที่จะติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ แม้แต่กับศัตรูของเรา ชาห์ของอิหร่าน หรือ อะยะโตลาห์  เราควรจะมีความสุข

ลองมาดูความคิดล่วงหน้าของเราต่ออะยะโตลาห์ “บุคคลผู้นี้ บุคคลผู้นี้…..”  อีโก้ของเราสร้างพลังหนึ่งๆ ขึ้นมา คุณลองจินตนาการดูว่าในชีวิตหน้าของเรา ตอนเราเป็นเด็กเมื่อเราได้ยินคำว่า อะยะโตลาห์ เราจะคิดว่า   “อะยะโตลาห์หรือ เราไม่ชอบเลย” โดยปกติเราจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ว่ามันคือพลังอันหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมาก่อนแล้วด้วยอีโก้ของเรา “อะยะโตลาห์ไม่ดี” นี้เองคือสิ่งที่เกิดขึ้น มันง่ายมากๆ ที่จะบอกว่าบุคคลผู้นั้นไม่ดี และขณะนั้นเองที่คุณคิดว่าแต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายหรือทำร้ายอะไรใคร แต่ประเด็นก็คือ ไม่ใช่อะยะโตลาห์หรอกที่ทำร้ายเรา เจ้าตัวพลังงานที่อีโก้เราสร้างขึ้นมานั่นต่างหากที่ทำร้ายเรา

เหตุผลที่ข้าพเจ้าพูดถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนสมัยใหม่ที่จะเข้าถึงความคิดเรื่องที่ว่าทุกคนนั้นสามารถเป็นเชนเรสิกได้ เพราะมันเป็นการคิดในรูปแบบใหม่ “ใครคือเชนเรสิก คนจีนหรือ คนธิเบตหรือ เขาคือใคร เขาไม่ได้ปรากฏตัวในที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ แล้วใครจะเห็นเขาล่ะ” คุณอาจจะถาม “แล้วเขาเห็นฉันไหม ฉันไม่เคยเห็นเขาเลย” คือ... ความรู้สึกของข้าพเจ้าคือว่าแม้พวกเราจะน่าเกลียด ร่างกายของเราจะไม่หล่อหรือสวยสดงดงาม แต่เพราะเราเกิดมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ร่างกายอินทรีย์ที่สะอาดใสที่สุดนี้ได้ปรากฏอยู่ในตัวเราแล้ว แม้ว่าเราจะมีร่างกายที่สลับซับซ้อนก็ตาม นี่เองคือวิถีทางที่ข้าพเจ้ารู้สึก

แน่นอนยังมีโยคะวิธีอีกมากมายหลายประการสำหรับการเปลี่ยนร่างกายกายภาพนี้ให้ไปสู่แสงสว่าง  แม้แต่ร่างกายนี้ที่อีโก้ของเราสร้างขึ้นจะสร้างขึ้นมาด้วยความหนักแน่นและเป็นรูปเป็นร่างว่า “ร่างกายของฉันนี้ไม่ดี”   ตัดสินวิพากษ์วิจารณ์อย่างที่เราปกติทุกคนทำกัน “ร่างกายของเราหนักอึ้ง นี่และนั่น นี่และนั่น… ”   และอื่นๆ อีกมากมาย  ดังนั้นด้วยการฝึกฝน เราจึงจะสามารถทำร่างกายนี้ให้รู้แจ้งได้ ร่างกายที่หนักอึ้งและแสนยากลำบากนี้ก็จะกลายหายไป ด้วยเหตุผลบางประการเราจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้  หลายครั้งเราจะพบว่าโรคหรืออาการต่างๆ นั้นมักมาจากความคิดหรือการรับรู้ของเราเอง   ตัวอย่างเช่น เมื่อปีที่แล้วที่ข้าพเจ้าไปอังกฤษ ข้าพเจ้าพบลามะธิเบตคนหนึ่งซึ่งมาจากอินเดีย ลามะรูปนี้มีปัญหาเกี่ยวกับคอ โดยเธอจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามันเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่คอ ปรากฏว่าเมื่อหมอชาวอังกฤษมาตรวจดู หมอกลับไม่พบอะไรผิดปกติในร่างกายเลย  ทั้งหมดทั้งปวงอยู่ที่ความคิดของลามะรูปนี้ทั้งสิ้น  ไม่น่าเชื่อใช่หรือไม่   แต่จริงๆ นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่มีอะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับร่างกายเลย สิ่งที่จะผิดปกติไปก็คือความคิดของลามะรูปนั้นนั่นเอง  ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกๆ ท่านคงนึกตัวอย่างอื่นๆ ออกอีกมากมาย เวลามีคนพูดว่า “ฉันเจ็บตรงนั้นและตรงนี้….”  แต่จริงๆ แล้วมันอาจเป็นเพียงอาการของปัญหาทางจิตใจ  ไม่ใช่ทางร่างกายกายภาพของเรา ข้าพเจ้าคิดว่านี่เองคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ข้าพเจ้ายังมีประสบการณ์อื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเช่น ข้าพเจ้ามีเพื่อนชาวยิวคนหนึ่ง ซึ่งนับได้ว่าเป็นการพบชาวตะวันตกเป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าในอินเดีย  เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกไม่มีความสุข เข้าจะเจ็บสะโพก  เขาเป็นคนที่แข็งแรงมากๆ   แต่ถ้าใครก็ตามทำให้เขาไม่มีความสุข เขาจะมีอาการเจ็บแถวๆ สะโพกขึ้นมาทันทีทันใด  ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพวกคุณต้องรู้จักใครก็ตามสักคนที่มีลักษณะคล้ายๆ กันนี้  นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากที่แสดงให้เราเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่จิตใจที่ป่วยของเราแข็งแรงขึ้น ร่างกายของเราก็จะเจ็บป่วยขึ้นมาทันที

ระบบของตันตระานไม่ใช่อะไรที่ไม่มีลำดับขั้นหรืออะไรที่คุณต้องเชื่อถือด้วยศรัทธาอย่างงมงาย หากแต่ระบบของธิเบตถูกสร้างขึ้นมาอย่างไดอะเลคติคที่คุณจะสามารถเรียนรู้มันด้วยวิธีการทางปรัชญาก็ได้ แต่ข้าพเจ้าที่พูดอยู่ที่นี่ ไม่มีเวลาที่จะศึกษาตันตระอย่างเป็นปรัชญาแท้จริงตั้งแต่ต้นจนจบได้ แต่ถ้าคุณต้องการ คุณสามารถทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่นั่นเองอย่างไดอะเลคติค อย่างเป็นปรัชญา การศึกษาเรื่องตันตรสามารถเป็นเรื่องทางปัญญาขั้นสูงสุดได้เช่นกัน“

พี่ช้าง พี่ช้างจะเหนื่อยหรือยัง   จะจบแล้ว แต่ต่ออีกหน่อยนะ

พอดีต่อไปนี้ อาจารย์เค้าจะอธิบายเรื่องของการอภิเษกที่ได้เกริ่นๆ มานิดหน่อยข้างบนให้เข้าใจนิดหนึ่งค่ะ

นะ นะ พี่ช้างอ่านอีกนิดหนึ่งนะ  จะจบแล้ว ว่าแต่ยังอ่านสนุกอยู่เลยใช่ไหมล่ะ ^_^

แต่เราก็เริ่มจะเมื่อยมือแล้วเหมือนกันนะ

 

“ตันตระมีอยู่ ๔ ระดับด้วยกัน โดยแตกต่างกันตามหน้าที่และวิธีการชำระให้บริสุทธิ์ในขีดขั้นต่าง ๆ กัน   

อันดับแรก  เรียก ชากู (cha-gyu) หรือ กริยาตันตระ (kriya)           

อันดับสอง  เรียก ชอกู (cho-gyu) หรือ จรรยาตันตระ (charya)

อันดับสาม  เรียก นัลจอกู (nal-jor-gyu) หรือ โยคะตันตระ (yoga)   

และอันดับสี่  เรียก นัลจอลานะเมปะ (nal-jor-la-na-me-pa)  หรือ มหาโยคะตันตระ หรือมหาอนุตตรโยคะตันตระ  (mahayoga or maha-anuttara yoga) ทั้งสี่ระดับนี้สอนตันตระในรูปแบบและวิธีการที่ต่างกันออกไป เหมือนกับลัมริม (lam-rim)  ที่มีทั้งระดับเล็ก กลาง และใหญ่   ดังนั้นด้วย ๔ ระดับนี้เอง ใครก็ตามที่เลือกฝึกปฏิบัติในรูปแบบหรือระดับไหน ก็จะมีระดับและขั้นที่แตกต่างกันตามความสามารถของตัวเองออกไป  แต่ที่สำคัญคืออย่างไรก็ตามทั้ง ๔ ระดับนี้ล้วนต่างยึดถือเอาพลังแห่งความปรารถนา (energy of desire) เป็นหนทางไปสู่การรู้แจ้งเหมือนกันทั้งสิ้น โดยในทั้ง ๔ ระดับนี้ก็จะยังมีระดับขั้นย่อยๆ ต่างๆ กันไปอีก”

พี่ช้าง เราขอแทรกตรงนี้อีกนิดหนึ่งได้ไหม คือพอดีเราเคยไปอ่านเจอในหนังสืออีกเล่มหนึ่ง แต่ดันจำไม่ได้แล้วว่าเล่มไหน เค้าเขียนไว้ว่า

ตันตระทั้งสี่ระดับนี้ ถือได้ว่าถูกออกแบบมาเพื่อผู้ฝึกแต่ละแบบต่างกันออกไป

มีขั้นต่างๆ กัน ตามความชำนาญของผู้ฝึกว่ามีความสารถในการแปรพลังความปรารถนา ความอยากของตนเองได้ในระดับใด

กริยา    คือระดับของการกระทำ  หรือการให้ความสำคัญกับการเข้าถึงพุทธะโดยใช้ท่าทางภายนอก หรือกาย วาจา ใจ (กายคือการนึกภาพพุทธะหรือทำท่ามุทรา วาจาคือการท่องมนตร์ และใจคือการทำสมาธิ)

จรรยา  คือระดับของการแสดง หรือการให้ความสำคัญกับทั้งท่าทางภายนอกและการฝึกฝนจิต โดยการนั่งสมาธิเข้าเงียบหรือนั่งสมาธินึกถึงภาพเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง

โยคะ  คือระดับของการฝึกฝนภายในที่ก็ยังมีกิริยาภายนอกอยู่บ้าง หรือการเน้นการชำระตนให้บริสุทธิ์ ชำระมรรควิถีให้บริสุทธิ์ และชำระปัจจัยนั่นเอง

และตันตระโยคะขั้นสูง คือระดับของการฝึกฝนภายในล้วนๆ อย่างเดียว


โดยมีตัวอย่างการอธิบายที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแปรความปรารถนาในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงเอาไว้ ดังนี้เช่น

ระดับแรกก็คือเรื่องมองผู้หญิง

ระดับที่สองก็คือขั้นของการจับมือ

และระดับที่สี่ก็คือขั้นของการร่วมประเวณี


เข้าเรื่องต่อแล้วค่ะ คราวนี้ถึงเรื่องการอภิเษกจริงๆ แล้วค่ะ

“เอาล่ะ มาถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าขั้นตอนของการรับการอภิเษกจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ข้าพเจ้ารู้ภาษาอังกฤษไม่มากนัก แต่การอภิเษก (initiation) ในที่นี้นั้นหมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนประสบการณ์เริ่มต้น หรือประสบการณ์เริ่มแรก  เมื่อคุณจะรับการเริ่มต้น คุณกำลังเริ่มด้วยการสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่บางสิ่งบางอย่างอยู่  มีการสื่อสารบางอย่างเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงกำลังเริ่มจะเกิดขึ้น  นั่นเองคือการสร้างพลัง  แต่ประสบการณ์ที่คุณได้รับเมื่อการอภิเษกนั้นจะต้องเป็นไปตามสิ่งที่คุณสัมผัสได้หรืออ่านได้เอง บางครั้งการอภิเษกของคุณ คุณอาจจะได้รับพลังเข้ามา  “โช๊ะ”  คือคุณอาจได้รับผลของมันอย่างทันทีทันใด แต่ถ้าคุณเหมือนกับข้าพเจ้าแล้ว มันจะเป็นไปอย่างช้าๆ   หรือบางครั้งอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ในประสบการณ์ครั้งแรกของคุณ  ซึ่งนั่นคุณก็จำเป็นต้องได้รับการอภิเษกเช่นนี้ซ้ำๆ อีกหลายครั้ง เพื่อที่จะจัดแจงพลังงานบางอย่างบางชนิดให้อยู่ในรูปในร่างในที่ในทางที่จะทำให้การเกิดพลังของคุณได้เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ 

กล่าวถึงการอภิเษกนี้ ก็มีทั้งขั้นตอนและระดับขั้นของมันเองอยู่ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นใน ๔ ระดับของตันตระนั้น  กริยาตันตระและจรรยาตันตระจะมีเพียงการอภิเษกขั้นตอนแรกที่เป็นแบบกว้างเท่านั้น แต่จะไม่มีขั้นตอนอื่นๆ และภายใต้การอภิเษกขั้นตอนแรกนี้ ก็จะมีระดับขั้นของตัวเองอีกต่างหาก คุณจะไม่สามารถได้รับการอภิเษกแบบกว้างของมหาอนุตตราโยคะตันตระในกริยาตันตระหรือหรือจรรยาตันตระได้เลย  แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเราจำเป็นจะต้องลงกันไปในรายละเอียดขนาดนั้น  เพราะพวกคุณยังไม่พร้อมที่จะลงไป  หรืออีกนัยหนึ่งมันจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องนำมากล่าวถึงในที่นี้  แต่อย่างไรก็ตามคุณควรเข้าใจว่าการอภิเษกนี้มันมีขั้นตอนของมันอยู่ และสำนักที่ต่างกันก็มีจำนวนครั้งของการอภิเษกที่ต่างกันด้วย ตัวอย่างเช่น ยามันตะกะ (yamantaka) มี ๔ ขั้นตอน แต่ของกาลจักร (kalachakra) มี ๑๖ ขั้นตอน และอื่นๆ อีกเป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การอภิเษกหนึ่งๆแต่ละครั้งนั้นก็จะเป็นการอภิเษกเฉพาะสำหรับคุณเท่านั้น ที่คุณจะได้รับประสบการณ์นั้นๆ  ว่าไปมันก็เหมือนกับการเพาะเมล็ดพันธุ์หนึ่งๆ ที่เราต้องเลี้ยงดู รดน้ำ และใส่ปุ๋ยอยู่เสมอๆ จนท้ายที่สุดมันถึงจะเติบใหญ่ขึ้นมาได้  เป็นหนึ่งเดียวที่เป็นองค์รวมที่สัมพันธ์กับทั้งหมดได้

ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมพร้อม ข้าพเจ้าอยากบอกว่า แทนที่เราจะคิดว่าลัมริมนั้นใหญ่เหลือเกิน แต่เราน่าจะคิดว่ามันเป็นชุดสำเร็จรูปเล็กๆ สำหรับทุกคนมากกว่า ในการทำสมาธิครั้งหนึ่ง เมื่อมีสิ่งใดเปลี่ยนไป คุณควรจะตามจิตของคุณตรงดิ่งไปทันทีที่การเกิดใหม่นั้น  ที่การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ นั้นเกิดขึ้น  ปล่อยให้มันเกิดขึ้น  อย่าไปหยุด อย่าไปยอมรับ ปล่อยให้มันเป็นไป ปล่อยให้มันเกิดขึ้น  และหลังจากนั้นก็จับเอาเจ้าสิ่งนั้นนั่นเองเข้าสู่สมาธิโพธิจิต  และเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นอีก ก็ให้พิจารณาเข้าสุญญตาไปเลย แต่ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าจะต้องอธิบายว่าจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร

พิจารณาพลังงานของความคิดที่ใสสะอาดและกระจ่าง นี่คือสุญญตา   “นี่คือภาพสุญญตาของข้าพเจ้า”  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก่อนอื่นจิตสำนึกหรือจิตของคุณเหมือนกับกระจก กระจกคือผู้รับรู้ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือรูปทรงอะไรต่างๆ เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นสีอะไรเข้าไป กระจกจะรับมันเอาไว้ ซึ่งก็เหมือนกับจิตของพวกเรา มันเหมือนกระจกที่สามารถรับความคิดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปไว้ได้ และปฏิกิริยาตอบกลับทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมาปรากฏอยู่ในจิตใจของเรา มีทั้งปฏิกิริยาที่เป็นขยะ มีทั้งปฏิกิริยาที่ดีๆ สิ่งเหล่านี้เองทั้งหมดคือความงาม มนุษย์ทั้งหมดคือความสวยงาม อย่าคิดว่ามนุษย์นั้นเป็นเหมือนไม้ นั่นเองทำไมเราถึงควรเคารพมนุษย์  มนุษย์นั้นมีสติปัญญาของการแยกแยะ มนุษย์มีความสามารถเช่นนั้น ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้ถึงความชัดเจน ธรรมชาติของจิตและของความคิดที่สะอาดและส่องสว่างชัดเจน

ก่อนอื่น ความชัดเจนนั้นไม่มีรูปแบบ ไม่ได้เป็นสี ไม่ได้มีสี ให้ตระหนักว่าเป็นที่ว่างๆ  เป็นที่ว่างๆ ในจักรวาลที่ว่างเปล่า และเข้าไปพิจารณา  ผลที่ได้รับ ผลกระทบและสิ่งที่เกิดขึ้นของการทำสมาธินั่นเองคือสิ่งนั้น การมีประสบการณ์ของความว่าง จักรวาลที่ว่างเปล่าเช่นนี้ จะทำให้คุณสามารถกำจัดสิ่งเหนือจริงและความขัดแย้งต่างๆ ของอีโก้คุณออกไปได้  การมีประสบการณ์เช่นนี้จะกำจัดความคิดที่เป็นอีโก้ที่เต็มอยู่ในจิตใจของคุณไปได้

และเมื่อถึงตรงนั้น คุณก็ถูกนำไปสู่การไม่คิดอะไรเลย ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น เมื่อมีความคิดต่างๆ แวะเวียนเข้ามา แต่ความคิดของคุณอันหนาแน่นและมากมายหลายระดับของคุณนั้นก็จะค่อยๆ หายไป ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าคุณจะได้รับประสบการณ์ของการไม่มีความคิดบ้างแล้ว ความรู้สึกที่ว่า “ความคิดของฉันอยู่ตรงไหน ฉันอยู่ไหน” นี่เองคือประสบการณ์ที่คุณจะได้รับ  แน่นอนนี่ไม่ใช่ประสบการณ์สุญญตาอย่างแน่นอน แต่มันให้ประสบการณ์ที่คล้ายๆ กัน   ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนักเกี่ยวกับภาษา ว่าคำว่า “serve” นี้หมายถึงอะไร  [นักเรียนตะโกนตอบขึ้นมาว่า แทนที่(instead of)]  ใช่แล้ว  มันมาแทนที่ หรือบางทีอาจดีกว่าถ้าเราจะพูดว่า มันทำให้จิตใจเราบริสุทธิ์สูงส่งขึ้น  อืม…ดีกว่าจริงๆ บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น  มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายใน เราต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้  เราไม่สามารถอ้างและพูดได้ว่า “ฉันต้องการสัมผัสกับประสบการณ์ของสุญญตาที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง”  มันจะไม่เกิดขึ้น นั่นเป็นเพียงอีโก้เท่านั้น  เราต้องเริ่มที่จุดบางจุดและให้มันดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตามประสบการณ์นั้นๆ  เราควรที่จะพึงพอใจแม้เพียงประสบการณ์เล็กๆน้อยๆ ที่ผ่านเข้ามา 

วันนี้ข้าพเจ้าขอพอเท่านี้ก่อน หวังว่าทุกท่านคงได้รับฟังอะไรที่มีประโยชน์บ้างตามสมควร  และขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก”

พี่ช้าง วันนี้ข้าพเจ้าขอพอเท่านี้ก่อนบ้างนะ และหวังว่าพี่ช้างก็คงจะได้รับประโยชน์อะไรไปบ้างเช่นกัน แต่ถ้าไม่ได้ ก็เอาเป็นว่า เป็นการเขียนจดหมายมาเล่าให้พี่ช้างฟังแล้วกันนะว่า เมื่อเราได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เรามีความสุข หรือเราได้อะไรบ้าง ก็ทั้งหมดนี้เลยแหละที่เราเขียนมา คือสิ่งที่เราได้ การได้อ่านบทความนี้ ทำให้เกิดการจุดประกายใหม่ๆ ให้กับเราหลายเรื่องเลย

อย่างน้อย เราก็ได้เรียนรู้ว่าตัวเรานั้นเป็นโพธิจิตหรือมีโพธิจิตอยู่เป็นพื้นฐาน จากที่เดิมไม่เคยรู้มาก่อนเลย แหม....เราก็นึกว่า....เราก็เป็นคนธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปที่มีรักโลภโกรธหลงเป็นพื้นฐานน่ะสิ  ก็ดูซิดู ไม่รู้มีใครมาพูดให้ฟัง หรือสอนฝังหัวเรามานมนานแล้ว ว่าเรานั้นไม่ดี  แต่เราก็ต้องพยายามทำตัวเป็นคนดีให้ได้นะ โหย....แล้วมันทำง่ายอยู่ซะเมื่อไหร่ล่ะ ถ้ามันทำง่าย คนเค้าคงทำกันได้หมดแล้วล่ะ ใช่ไหม

แต่พี่ช้างเชื่อไหม เพียงแค่การอธิบายหรือการพูดแค่ไม่กี่ประโยคข้างบนนั้น ทำให้เราได้รับรู้อีกมุมมองหนึ่งที่ต่างไปเลย ว่า เฮ้ย...จริงๆ แล้ว เราทุกคนพื้นฐานเดิมเป็นคนดีต่างหาก มีจิตใจที่ดีต่างหาก เรามีโพธิจิตต่างหาก แต่เจ้าเมฆหมอก หรือความชั่วร้ายที่มาปกคลุม ปิดหูปิดตาเราอยู่ต่างหากที่มันเป็นสิ่งไม่ดี แล้วมันก็บังอาจมันมาห่อหุ้มตัวเรา เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราก็จะพยายามอย่างยิ่งยวดต่างหากที่จะสลัดเจ้าสิ่งเหล่านี้ให้มันออกไปจากตัวเรา แล้วเราก็จะได้มาเป็นคนที่ดี คนที่ใสได้ดังเดิม

แล้วพี่ช้างดูสิ ระหว่างเราสำคัญตัวว่าเราเป็นคนไม่ดี แต่เราต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดีกับสำคัญตัวว่าเราเองเป็นคนดีแต่แรกเริ่มเดิมทีมานั้น แต่เราต้องแค่สลัดเจ้าสิ่งไม่ดีที่มาเกาะกุมตัวเราอยู่ให้หลุดออกไป ก็แค่นั้นเอง อันไหนมันจะง่ายกว่ากัน และอันไหนมันจะมีกำลังใจให้เราทำได้มากกว่ากัน มีความหวังมากกว่ากัน เนอะ

เราว่านี่ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยเนอะ ^_^

พี่ช้างว่าอย่างไร หรือพี่ช้างมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง เล่าสู่กันฟังบ้างก็ได้นะ

จดหมายฉบับนี้ชักจะยาวเกินไปแล้วใช่ไหม งั้นพอแค่นี้ก่อนนะ นี่ก็จะเช้าแล้วด้วย พระอาทิตย์เริ่มจะมาเยือนแล้วล่ะ แต่เราคงต้องแอบไปนอนแทน เพราะฉะนั้น....นอนหลับฝันดีนะพี่ช้าง และราตรีสวัสดิ์จ้า

จากน้องลิงผู้น่ารักที่สุดในโลกค่ะ ^_^



ฉบับที่ ๑ ปีที่ ๑ : :  ตุลาคม - พฤศจิกายน ๒๕๔๘

http://www.semsikkha.org/review/content/view/82/201/

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาสาธุ ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~