บทที่ 4 การเข้าสู่เอกยานมรรค
14 พุทธบุตรแห่งพระตถาคตเจ้า
"เทวี ไม่ว่าสาวกคนใดของพระตถาคตผู้มีศรัทธา และตั่งมั่นอยู่ในศรัทธา และด้วยการตั้งมั่นอยู่ในศรัทธานั้น มีความรู้ในขอบข่ายแห่งธรรมะ ย่อมเข้าถึงฐานะนี้ เทวี 'ความรู้ในขอบข่ายแห่งธรรมนั้น' เป็น ก. ภาพตัวแทนของประสาทสัมผัสในจิต ข. เป็นภาพการเจริญของกรรม ค. เป็นภาพกาหลับของพระอรหันต์ ง. เป็นภาพความปีติและและความสุขในฌานของผู้ที่ควบคุมจิตดีแล้ว จ.เป็นภาพอิทธิฤทธิ์ของพระอริยะ อันเป็นของพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธะ และพระโพธิสัตต์ผู้มีวศิตา เทวี เมื่อมีอำนาจในการเห็นภาพทั้ง 5 นี้แล้ว เขาเหล่านั้น แม้ในขณะนี้ หรือเมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ในอนาคตย่อมเป็นสาวกผู้มีศรัทธา ตั้งมั่นอยู่ในศรัทธา ยึดมั่นในประทีปแห่งศรัทธา มีความรู้ในขอบข่ายแห่งธรรมะ ที่ทำให้เขาเข้าถึงความบริสุทธิ์ภายใน และเข้าใจในความแปดเปื้อนแห่งวิญญาณ เทวี ด้วยความแน่วแน่ของพวกเขาย่อมเป็นปัจจัยให้เขาอยู่ในมหายานมรรค เมื่อเป็นเช่นนี้ ด้วยศรัทธาในพระตถาคต เขาย่อมไม่ละวางในคำสอนอันสุขุม เขาย่อมยังประโยชน์ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย"
15 สีหนาทแห่งพระนางศรีมาลาเทวี
พระนางศรีมาลากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ "ขออำนาจแห่งพระตถาคตเจ้า ให้ข้าพระองค์มีความสามารถในการเทศนาโน้มใจเพื่อสามารถอธิบายความหมายอันปราศจากมลทิน" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "เทวี พระนางจงมีความสามารถในการเทศนาเถิด"
พระนางศรีมาลาเทวีจึงกราบทูลพระพุทธองค์ว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า กุลบุตรกุลธิดาแห่งตระกูลนั้นมี 3 ประเภทในการรักษาพระธรรมโดยไร้มลทิน และไม่ให้เสื่อมเสีย ก่อกำเนิดบุญกุศลและเข้าสู่มหายานมรรค ทั้ง3 ประเภทนี้มีใครบ้าง พระผู้มีพระภาคเจ้า ก. กุลบุตรกุลธิดาแห่งตระกูล ผู้มีความรู้ในพระธรรมโดยการพินิจพิจารณา ข. กุลบุตรกุลธิดาแห่งตระกูล ผู้มีความรู้ในขอบข่ายของธรรมะ ค. กุลบุตรกุลธิดาแห่งตระกูลผู้ถดถอยจาการเข้าถึงความรู้ในหลักธรรมอันประเสริฐ โดยคิดว่า 'ฉันไม่เข้าใจดอกความหมายอันลึกซึ้งนี้จะเข้าใจได้โดยพระตถาคตเจ้าเท่านั้น' และด้วยความยึดมั่นในพระผู้มีพระภาคเจ้าเช่นนี้ จนพระพุทธองค์ปรากฏในจิตบุคคลเหล่านี้ เป็นบุคคล 3 จำพวกของกุลบุตรกุลธิดาแห่งตระกูล
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังมีสรรพสัตว์ที่แตกต่างจากกุลบุตรกุลธิดา 3 จำพวกนี้ ที่หมกมุ่นอย่างจริงจังกันพระธรรมอันประเสริฐ แต่ยึดติดอยู่กับความคิดเห็นผิด ตั้งตัวเป็นครูและพูดมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าขอให้ข้าพระองค์สามารถเอาชนะผู้ที่หันหลังให้กับหลักธรรมอันประเสริฐ และผู้ที่มีรากเหง้าอันชั่วร้ายของเดียรถีย์ ขอให้ข้าพระองค์เอาชนะรากเหง้าอันชั่วร้ายนี้โดยบารมีแห่งเทวดา มนุษย์ และอมนุษย์"
เมื่อพระนางศรีมาลาเทวีได้กราบทูลขอพระราชทานเช่นนี้ ข้าราชบริพารของพระนางพากันก้มลงกราบแทบเบื้องพระบาทบงกชสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสแก่พระนางศรีมาลาเทวีว่า "ประเสริฐแท้ ประเสริฐแท้ คำอธิบายของพระนางในวิธีการที่จะคุ้มครองตนเองให้อยู่ในหลักธรรม และคำอธิบายของพระนางในการเอาชนะศัตรูแห่งหลักธรรมอันประเสริฐ เหมาะกับกาลที่เดียว เทวี การถวายสักการะต่อพระพุทธเจ้าจำนวนแสนพระองค์ยังอัศจรรย์น้อยกว่าคำอธิบายของพระนางในความหมายนั้น"
จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่ฉัพพรรณรังสีต้องข้าราชบริพารทุกคน และส่องสว่างสูงขึ้นไปเทียมต้นตาล 7 ต้น แล้วทรงเหาะไปด้วยปาฏิหาริย์ยังทิศทางกรุงสาวัตถี ขณะนั้น พระนางศรีมาลาเทวีพร้อมข้าราชบริพารพากันประณมหัตถ์น้อมนมัสการตามทิศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไป เมื่อส่งเสด็จจนสุดสายตาแล้ว พระนางศรีมาลามีพระพักตร์เปี่ยมด้วยความปีติยินดี เช่นเดียวกับเหล่าข้าราชบริพาร ต่างแซ่ซ้องสาธุการพระพุทธบารมี แล้วคืนสู่กรุงอโยธยา
บทส่งท้าย
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลังถึงสวนเชตวัน ทรงมีพระพุทธดำรัสให้พระอานนท์เถระเข้าเฝ้า และทรงระลึกถึงทิเวนทราสักระ(ท้าวสักกะเทวราช) ในขณะนั้น ทิเวนทราศักระก็ปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์ พรั่งพร้อมด้วยเทพยดาบริวาร เมื่อนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพุทธาธิบายพระสูตรนี้ แก่ทิเวนทราศักระและพระอานนท์เถระ
"เกาศิกะ จงรักษาพระสูตรนี้ไว้ เกาศิกะ จงอธิบายพระสูตรนี้แก่เทวดาทั้ง 33 องค์ อานนท์ เธอจงรักษาพระสูตรนี้ไว้ และอธิบายพระสตูรนี้แก่พุทธบริษัททั้ง 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา"
จากนั้น ทิเวนทราศักระได้กราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระสุคตเจ้า พระสูตรนี้จักมีนามว่าอะไร และข้าพระองค์จะรักษาไว้ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า" พระโลกนาถตรัสตอบว่า "เกาศิกะ พระสูตรนี้ มีกุศลอนันต์ หากพระสาวกและพระปัจเจกพุทธะ มิอาจหยั่งรู้ มิอาจเข้าใจได้ แล้วสรรพสัตว์อื่นๆเล่า จะมิยิ่งไม่เข้าใจหรือ เกาศิกะ ในลักษณะเช่นนั้น พระสูตรนี้ละเอียดอ่อนและเป็นปัจจัยแห่งมหากุศล ดังนั้น ตถาคตจะให้นามพระสูตรนี้เพื่อแสดงความหมายถึงบารมีแห่งพระสูตร จงตั้งใจฟังและจดจำใส่ใจให้ดี" ทิเวนทราศักระและพระอานนท์เถระพร้อมกันกราบทูลพระพุทธองค์ว่า "ประเสริฐยิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์จักตั้งใจฟังพระพุทธบรรหาร" สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมีพุทธดำรัสว่า "ขอให้รักษาพระสตูรนี้ไว้โดยถือว่าเป็นคำสรรเสริญบารมีอันเที่ยงแท้ และกว้างใหญ่ไพศาลของพระตถาคตเจ้า
จงรักษาไว้ในฐานะที่เป็น 'มหาปณิธาน'
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่อันเป็นที่รวมแห่งความปรารถนาทั้งปวง
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นคำสอนของหลักธรรมอันประเสริฐมิอาจหยั่งได้
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นคำสอนเพื่อเอกยานมรรค
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นอริยสัจอันหาขอบเขตมิได้
รักษาไว้ในฐานะเป็นคำสอนเรื่องตถาคตครรภ์
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นคำสอนเรื่องธรรมกาย
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นคำสอนลับในความหมายของสุญญตา
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นคำสอนเอกสัจ
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นคำสอนเรื่องเอกสรณะอันเป็นนิจจัง มั่นคง สงบ และนิรันดร์
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นคำสอนเพื่อการก้าวสู่ขั้นสูงขึ้นไป
รักษาไว้ในฐานะที่เป็นคำสอนแก่พุทธบุตรที่แท้แห่งพระตถาคต
เกาศิกะ รักษาไว้ในฐานะที่เป็นศรีมาลาเทวีสีหนาท รักษาคำอธิบายทั้งหลายที่ปรากฏในพระสูตรนี้ อันจะช่วยขจัดความสงสัยตัดสินปัญหา ทำให้ความหมายสุดท้ายชัดเจน และเข้าสู่เอกยานมรรค เกาศิกะ ตถาคตขอมอบพระสูตรอันสอนถึงศรีมาลาเทวีสีหนาทนี้ไว้ในหัตถ์ของท่าน ตราบเท่าที่หลักธรรมอันประเสริฐยังวัฒนาการอยู่ในโลก ขอให้พระองค์ทรงท่องบ่นและสอนโลกทั้งทศทิศ"
ทิเวนทราศักระทรงน้อมรับว่า "ประเสริฐแล้วพระพุทธเจ้าข้า" เมื่อได้น้อมรับพระสูตรนี้ต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าและท่องจำจนขึ้นใจ ทิเวนทราศักระ พระอานนท์เถระเจ้า และบริษัทในธรรมสภานั้น ทั้งเทวดา มนุษย์ อมนุษย์ พร้อมคนธรรพ์ พากันโมทนาสาธุการ ต่อพระพุทธดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า
จบ ศรีมาลาเทวีสีหนาทสูตร เพียงนี้
http://www.mahayana.in.th/tmayana/พระสูตร/ศรีมาลาเทวีสีหนาทสูตร.html