แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์
ธรรมซีรี่ย์... สัญลักษณ์แห่งความดีงาม [ดอกบัว]
ฐิตา:
วิธุรชาดก มีเรื่องว่า ปุณณกยักษ์ได้เชิญชวนพระราชาแห่งอินทปัตตนคร กุรุรัฐ ให้ทอดพระเนตรสระโบกขรณี ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานนรดี และชั้นปรนิมมิตวสวัตตี๙๔ ทางดวงแก้วมณีของตน กราบทูลว่า
เชิญพระองค์ทอดพระเนตรสระโบกขรณีที่มีน้ำใสสะอาด ซึ่งเดียรดาษไปด้วยมณฑาลก ดอกปทุม และอุบลในสวรรค์นี้
เชิญพระองค์ทอดพระเนตรสระโบกขรณีที่ก่อสร้างด้วยแก้วไพฑูรย์ ซึ่งเกลื่อนกล่นด้วยฝูงปลานานาชนิดดารดาษไปด้วยหมู่ไม้ชนิดต่าง ๆที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีนี้
นอกจากจะมีสระโบกขรณีในเทพนคร แม้ช้างเอราวัณซึ่งเป็นช้างทรงของพระอินทร์ก็มีสระโบกขรณี สระโบกขรณีดังกล่าวนี้ มีลักษณะแปลกและพิสดารกว่าสระโบกขรณีอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่า สระโบกขรณีที่ปรากฏอยู่ที่งาช้างเอราวัณนั้น เกิดขึ้นจากอำนาจบุญบารมีของพระอินทร์เทพผู้ยิ่งใหญ่ สระโบกขรณีที่งาช้างเอราวัณ มีความพิสดาร ดังนี้
บนกระพอง (ของช้าง) หนึ่ง ๆ มีงากระพองละ ๒ งา บนงาหนึ่ง ๆ มีสระโบกขรณีงาละ ๗ สระ บนสระโบกขรณีสระหนึ่ง ๆ มีสระบัวละ ๗ สระ สระบัวสระหนึ่ง ๆ มีดอกบัวสระละ ๗ ดอก บนดอกบัวดอกหนึ่ง ๆ มีดอกละ ๗ กลีบ บนกลีบหนึ่ง ๆ มีนางอัปสรกลีบละ ๗ นาง ปรากฏชื่อว่าปทุมอัปสรทั้งนั้นฟ้อนรำอยู่
ฐิตา:
ในภพดาวดึงส์ ก็มีสระโบกขรณีชื่อ “นันทา” สระโบกขรณีนันทามีขึ้นเพราะว่า พระนางสุนันทา ชายาองค์หนึ่งของท้าวสักกะ ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ พระนางเคยให้ขุดสระโบกขรณีไว้ให้ชนทั่วไปที่เดินทางมาได้อาบและดื่ม ครั้นพระนางสิ้นชีพก็ได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ และสระโบกขรณีชื่อว่านันทาก็เกิดขึ้นแก่พระนางสุนันทา เพราะผลวิบากของการขุดสระโบกขรณี๙๘ จึงมีสระโบกขรณีประมาณ ๕๐๐ โยชน์ เกิดขึ้นมาคู่บุญของพระนางนอกจากนี้ยังมีสระโบกขรณีในวิมานชื่อต่าง ๆ ของเทพธิดาหรือของเทพบุตร สระโบกขรณีเหล่านี้มีขึ้นมาเพราะบุญเจ้าของวิมาน เพราะครั้งเมื่อเจ้าของวิมานนั้นเป็นมนุษย์ เคยทำประโยชน์ต่าง ๆ ถวายและบูชาพระ เช่น ที่พระวังคีสเถระ ได้ถามเทพธิดาองค์หนึ่งถึงเหตุที่นางได้ช้างอันสวยงามเป็นสิ่งคู่บุญ ความงามของช้างมีคำบรรยายว่า
ที่งาทั้งสองของพญาคชสาร ล้วนมีสระโบกขรณีเนรมิต มีน้ำใสสะอาด ดารดาษด้วยปทุมชาติมีดอกบานสะพรั่ง
ในดอกปทุมทุกดอก ๆ มีหมู่ดุริยเทพบรรเลงเพลงและมีเหล่าเทพอัปสรฟ้อนรำชวนให้เกิดความรื่นเริงบันเทิงใจ
เทพธิดานั้นตอบว่า นาควิมานอันประกอบด้วยสระโบกขรณีบังเกิดขึ้นแก่ตน เพราะตนเคยถวายผ้าคู่หนึ่งแด่พระพุทธเจ้าด้วยจิตเลื่อมใส และรู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ ครั้นนางสิ้นชีวิต ก็ได้ไปบังเกิดในหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ และมีบริวารยศ เป็นปชาบดีองค์หนึ่งของท้าวสักกะ มีนามว่ายสุตตรา
แม้ผู้มีจิตศรัทธาและร่วมอนุโมทนาด้วยจิตอันบริสุทธิ์ในการทำบุญของผู้อื่น ก็จะเกิดผลบุญแก่ผู้นั้นให้ไปบังเกิดบนสวรรค์ มีวิมานประจำที่งดงามด้วยสระโบกขรณีเช่นกัน เช่นเรื่องของเทพธิดาองค์หนึ่ง ครั้งเมื่อยังเป็นมนุษย์ ได้มีจิตเลื่อมใสในกรณียกิจของนางวิสาขา ซึ่งได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ เพราะการอนุโมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น ก็บังเกิดวิมานอัศจรรย์น่าดูน่าชม มีคำบรรยายว่า
ที่วิมานของดิฉันนี้ มีสระโบกขรณี ซึ่งหมู่มัจฉาทิพย์อาศัยอยู่ประจำ มีน้ำใสสะอาด มีพื้นดารดาษด้วยทรายทอง
ดื่นดาษไปด้วยบัวหลวงหลากชนิด มีบัวขาวรายล้อมไว้รอบ ยามลมรำเพยพัดโชยกลิ่นหอมระรื่นจรุงใจ
ฐิตา:
สระบัวในโลกบาดาล
โลกบาดาลหรือนาคพิภพมีสระโบกขรณี ที่เหมือนกับสระโบกขรณีในโลกมนุษย์ เช่น ในภูริทัตชาดก มีเรื่องว่า สมัยเมื่อพระโพธิสัตว์เกิดเป็นนาคราชในนาคพิภพชื่อว่า จัมเปยยกะ พระองค์มีฤทธิ์และอานุภาพมาก ทรงเบื่อหน่ายกับการกำเนิดเป็นเดียรัจฉาน ทรงมีพระประสงค์ที่จะถือศีลอุโบสถในเมืองมนุษย์ พระมเหสีทรงเตือนพระโพธิสัตว์ให้ระวังตนเพราะกลัวว่าพระองค์จะถูกทำร้ายจากมนุษย์ พระองค์ทรงบอกพระมเหสีให้ดูความเป็นไปของพระองค์ด้วยการสังเกตสัญลักษณ์จากน้ำในสระโบกขรณี ดังคำบรรยายว่า
มนุษยโลกนั้นเต็มไปด้วยภัยอันตราย จึงประทับอยู่ ณ ฝั่งโบกขรณีอันเป็นมงคล ทรงบอกนิมิต ๓ ประการแก่นางสุมนาว่า แม่นางผู้เจริญ หากใครทำร้ายเราให้ลำบาก น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่น หากครุฑจับ น้ำจักเดือดพล่าน หากหมองูจับ น้ำจักมีสีแดง
นอกจากนี้ มีคำบรรยายว่าในอสูรพิภพซึ่งอยู่ใต้ภูเขาพระสุเมรุราช อยู่ลึกจากโลกมนุษย์ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทราชมณเฑียร ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ท่ามกลางเมืองมีสระทอง ในสระทองนั้น ก็ยังมีดอกบัว ๔ ชนิด บานสะพรั่งรุ่งเรืองงามดังทอง
ฐิตา:
ธรรมซีรี่ส์ดอกบัว ตอนนี้เป็นตอนที่สามครับ นำมาฝากในเรื่องว่าด้วยดอกบัวกับพระพุทธเจ้า ดอกบัวกับพระธรรม ดอกบัวกับพระสงฆ์ ครับ
ดอกบัวกับพระพุทธเจ้า
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ดอกบัวมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหลาย ๆ เหตุการณ์ ดังนี้
มีคำบรรยายเปรียบพระพุทธเจ้ากับดอกบัว พระองค์ทรงละแล้วซึ่งทุกข์ทั้งปวง ความทุกข์ทั้งหลายไม่สามารถครอบงำหรือผูกมัดพระองค์ได้ ดังข้อความที่เปรียบกับดอกบัวว่า
ดอกบัวก้านมีหนาม เกิดในน้ำ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำและโคลนตม ฉันใด
มุนีผู้กล่าวเรื่องความสงบ ก็ไม่ยินดี ไม่แปดเปื้อนในกามและโลก ฉันนั้น
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๘๐/๒๓๗.
ฐิตา:
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่หวาดหวั่นในโลกธรรม ๘ คือ ไม่ทุกข์ร้อนเพราะคำนินทา และไม่ยินดีด้วยคำสรรเสริญ ดังข้อความที่เปรียบกับดอกบัวว่า
ผู้เที่ยวไปผู้เดียว มีปัญญา ไม่ประมาท ไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและสรรเสริญ
ไม่สะดุ้งเพราะเสียง เหมือนราชสีห์ ไม่ติดข่าย เหมือนลม
ไม่เปียกน้ำ เหมือนบัว เป็นผู้แนะนำผู้อื่น ไม่ใช่ผู้อื่นแนะนำ
นักปราชญ์ทั้งหลายประกาศว่า เป็นมุนี
ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕//๒๑๕/๕๕๐.
พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงตัดอนุสัย ทรงข้ามห้วงน้ำใหญ่ คือ สงสารได้แล้ว ทรงเป็นผู้ละแล้วซึ่งบุญและบาปทั้งปวง ดังพระพุทธพจน์ว่า
ภิกษุทั้งหลาย ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ โผล่พ้นจากน้ำแล้วตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดแล้วในโลก เจริญแล้วในโลก ครอบงำโลกอยู่ แต่ไม่ติดโลก
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version