ต้นไม้บางชนิดมีรากลึก บางชนิดโค่นง่ายเพราะรากมันตื้น
เหมือนอย่างเช่นคนปฏิบัติพระกรรมฐานจิตใจไม่ลึก
จิตใจมันหละหลวมเหลาะแหละ
จิตใจมันเหลวไหลจึงล้มได้ง่าย
บ้านสร้างมาแล้ว ไม่ได้ตอกเสาเข็ม คานก็เล็ก
เราจะต่อตึกไปหลายๆ ชั้นก็คงจะไม่ได้
ถ้าเราทำคานแน่นหนา ทำหลักฐานแน่นหนา
ตอกเข็มให้แน่นให้ลึกลงไป
สามารถตอกสร้างตึกได้ถึง ๗ ชั้น ๑๐ ชั้น ๒๐ ชั้น
ได้ตามกำหนดนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น
การเจริญพระกรรมฐานก็เช่นเดียวกันดังกล่าวแล้ว
เป็นการฝังจิตให้แน่น ทำให้เกิดความอดทน อดกลั้น
อดออม ประนีประนอมยอมความ
บุคคลนั้นจะได้มีหลักฐานแน่นอนที่สุด คือ การเจริญพระกรรมฐาน
ทำให้ฐานะดี แน่นหนาอดทน ไม่โกรธคนง่ายและไม่เกลียดคนง่าย
จะไม่ฝังใจเจ็บกับท่านผู้ใดเลย จะไม่ผูกความโกรธไว้ในใจต่อไป
จะไม่อิจฉาริษยาแน่นอน มันฝังแน่นเหมือนเรือนที่เราปลูกไปเช่นนั้น
เหมือนต้นไม้ที่มันเป็นแก่น มันจะมีรากลึกมาก เข้าในหลักพังเพยธรรมชาติ
...ทองคำต้องสู้ไฟ ไม้ใหญ่ต้องสู้ลม...
ท่านทั้งหลายเอ๋ย เอาทองเหลือง ทองแดง
ตะกั่ว มารวมกับทองคำแล้ว
ท่านลองเอาน้ำกรดราดลงไปสิ มันจะเหลือแต่ทองบริสุทธิ์
ฉันใดก็ฉันนั้น ทองคำเปรียบเหมือนความดี เหลือแต่ความดีเท่านั้น
ความชั่วเปรียบเหมือนทองแดง ทองเหลือง ต้องเผาด้วยน้ำกรด
เทียนที่ท่านจุดมันมีแสงสว่าง เพราะมันร้อนในตัวใช่ไหม
ความร้อนในตัวมันเผาให้เกิดแสงสว่าง
น้ำตาเทียนมันไหลเห็นชัดโดยธรรมชาติ
ยิ่งเผาน้ำตาเทียนยิ่งหลั่งไหลออกมา
โยมลองไปเห็นธรรมชาติที่อาตมาพูด ธรรมชาติหรือไม่
ถ้าไส้มันใหญ่ เทียนมันใหญ่
มันก็จะเผาหนักทำให้เกิดแสงสว่างมากขึ้น
แต่ถ้าไส้เป็น ๓ ไส้เล็กๆ
มันก็ไม่สามารถเผาให้มันเกิดความร้อนในตัว
ให้มันเกิดแสงสว่างได้เช่นเดียวกัน ฉันใดก็ฉันนั้น
เรามาเจริญพระกรรมฐาน ต้องการให้เกิดแสงสว่าง
เผาโลภะ โทสะ โมหะ เผากิเลส มันเหือดแห้ง
คือ ราคะ โทสะ โมหะ กามคุณ ๕ มันสยบลงไปเมื่อใด
ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเหมือนเทียนฉันนั้น
ท่านทั้งหลายเอ๋ย โปรดพิจารณาโดยธรรมชาติอันนี้เถิด
ท่านจะเกิดปัญญา ท่านจะรอบรู้ในกองการสังขารของท่าน
ที่จะต้องเผากิเลสเป็นเหตุให้เกิดแสงสว่างนั้น คือ ตัวปัญญา
เหมือนท่านฝังรากจิตให้มันลึก ท่านจะไม่โค่น
ท่านจะแผ่กิ่งก้านสาขาให้คนอื่นมีร่มเงาอาศัยได้
ถ้ารากท่านสั้น จิตใจท่านต่ำ
ท่านจะไม่ได้เป็นที่พึ่งของใครเขาได้เลย
เป็นที่พึ่งพาให้กับลูกก็ไม่ได้
เป็นที่พึ่งพาให้กับญาติพี่น้องก็ไม่ได้
เหมือนต้นตาลที่ไม่มีกิ่งก้านสาขา
เลี้ยงลูกโตเหมือนต้นตาล เลี้ยงลูกโตด้วยข้าวสุก
หาความสนุกให้กับสังคมแล้วมันจะใช้ได้หรือ
ต้นไม้ธรรมชาตินี่แหละหนอถ้ามันฝังรากลึก
โยมโปรดรดน้ำพรวนดินเถิด
มันจะออกดอกออกใบให้เราผลิดอกออกผล
ให้เขาขายออกสู่ตลาดอย่างงาม เหมือนจิตใจของเรา
หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ หมั่นตั้งสติปัฏฐาน ๔ เจริญกุศลภาวนา
เรียกว่า รดน้ำใส่ปุ๋ย ต้นไม้ท่านจะงดงาม ท่านจะมีปัญญาใช่หรือไม่
ท่านคิดดูตรงนี้ได้หรือไม่
ท่านจะไปเอาญาณ ๑๖ นั่ง ๗ วัน
จะเดินระยะ ๖ แล้วให้ได้ญาณ ๑๖
เป็นพระโสดา โสดีก็ยังไม่ได้จะเป็นโสดาไปทำไม
แค่ตรงนี้ยังสกปรก จิตใจยังลามก หาความสกปรก เศร้าหมองใจ
ใจก็ไม่เสบย ขาดความสบาย
มีทั้งรักทั้งแค้น ทั้งแน่นในทรวง
ทั้งหึงทั้งหวงหนักหน่วงในหัวใจ
ไม่มีรักด้วยเมตตาเลย
รักกันด้วยกามคุณ หน้าตาสวยๆ ดี ก็จะรักกันดีจนตาย
รักกันอย่างไรเล่า มหานิยมคือเมตตา
แปลว่า ความปรารถนาดี
ลูกมีวิชาความรู้เป็นการนำวิชาการ นำแนวทางความคิดได้
แล้วก็นำทางปัญญาได้ ท่านถึงจะได้ความรู้ความคิด
ความมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถปฏิบัติการงานขยันถูกต้อง
การเจริญพระกรรมฐาน เป็นการตัดสินใจได้ถูกต้อง
แนวสติปัญญาแนวความคิด เป็นการตัดสินใจได้ดีมาก
ที่ท่านเจริญพระกรรมฐานนั้น
ท่านจะเสียใจต่อเมื่อท่านไร้สาระ ขาดสติสัมปชัญญะ ลดละภาวนา
แล้วท่านจะเสียใจ ท่านจะตัดสินใจผิดชีวิตท่านจะแร้นแค้น
ชีวิตท่านจะไม่มีแบบไม่มีแปลนและแผนผัง
ชีวิตท่านจะอเนจอนาถ น่าเสียดายที่เกิดมา
ในสากลโลกมนุษย์นี้โดยธรรมชาติแท้ๆ
ที่มาhttp://www.dhammajak.net/