ถาม : การแปรเปลี่ยนกลับกลายเกิดขึ้นได้อย่างไรตอบ : การแปรเปลี่ยนเกิดขึ้นได้ด้วย
ความเข้าใจถึงศูนยตาและค้นพบพละ อย่างฉับพลัน คุณประจักษ์แจ้งขึ้นว่าไม่จำเป็นต้องละทิ้งสิ่งใดไปเลย คุณ เริ่มที่จะแลเห็นคุณลักษณ์แห่งปัญญาญาณ ผสานรวมอยู่กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ซึ่งหมายถึงว่ามีโอกาสเปิดให้กระโดดข้ามไปเกิดขึ้นแล้ว ถ้าคุณ เป็นคนมีอารมณ์รุนแรง เช่นว่าเป็นคนเจ้าโทสะ ดังนั้นเองจากการเห็นถึง
ความเปิดกว้าง ( ศูนยตา ) ชั่วแวบเดียวเท่านั้น คุณจะตระหนักได้ว่าไม่จำ เป็นจะต้องไปบีบคั้นกดดันพละนี้เอาไว้ ไม่จำเป็นที่จะต้องแสร้งทำเป็น สงบและกดดันพละแห่งความโกรธเอาไว้ หากแต่คุณสามารถแปรเปลี่ยน ความก้าวร้าวอันนี้ให้กลายเป็นพละอื่นที่ทรงศักดิ์ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับว่า คุณเปิดแค่ไหน และคุณมีความตั้งใจที่จะทำดังนั้นมากเพียงไหน ถ้าหาก ว่าคุณเป็นคนไม่ติดอยู่กับความพอใจแค่การระเบิดอารมณ์ปลดปล่อยมัน ออกมา ดังนั้นก็มีทางเป็นไปได้ที่จะแปรเปลี่ยนมัน ถ้าหากว่าเราไปติดยึด หลงใหลอยู่กับพละนี้ เราก็ไม่มีทางจะแปรเปลี่ยนมันได้เลย คุณไม่จำเป็น จะต้องเปลี่ยนมันไปโดยสิ้นเชิง ทว่าคุณอาจใช้เพียงบางส่วนของมันใน ภาวะที่ตื่นขึ้น
ถาม : ชญาณ กับปรัชญา แตกต่างกันอย่างไร ตอบ : เราไม่สามารถถือเอาปัญญาญาณเป็นเพียงประสบการณ์ภายนอก นี่ข้อแตกต่างระหว่างปัญญากับความรู้ ระหว่างชญาณกับปรัชญา
ปรัชญา คือความรู้ในระดับของการเปรียบเทียบ และชญาณคือปัญญาที่อยู่พ้นจาก การเปรียบเทียบใด ๆ คุณเป็นหนึ่งเดียวกับกับปัญญา คุณจึงไม่จำเป็นต้อง ถือว่าสิ่งหนึ่งเป็นการศึกษาและอีกสิ่งหนึ่งเป็นประสบการณ์ถาม : คุณจะสามารถแปรเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างไร จะจัดการกับมัน อย่างไรดีตอบ : ดีละ นี่เป็นคำถามที่มีลักษณะเป็นส่วนตัวมากกว่าเป็นแบบปัญ ญาชน ประเด็นทั้งหมดอยู่ตรงที่ว่า เราไม่ได้สัมผัสกับอารมณ์ของตน เองอย่างแท้จริงเลย แม้ว่าเราจะคิดว่าได้สัมผัสมันก็ตาม เราเพียงรับรู้ มันผ่านกรอบของอัตตาฉันและความโกรธของฉัน ของฉันและความ ต้องการของฉัน " ตัวฉัน " นี้เองที่คือลักษณะการปกครองแบรวมศูนย์ อารมณ์ดำเนินบทบาทเป็นเพียงผู้ส่งข่าวเป็นข้าราชการ และเป็นทหาร แทนที่จะสัมผัสรับรู้อารมณ์ความรู้สึกในฐานะของสิ่งที่แยกต่างหาก จากตัว และถือว่ามันเป็นลูกน้องหัวแข็ง คุณควรจะสัมผัสและรับรู้ถึง พื่นผิวและชีวิตชีวาของอารมณ์อย่างที่มันเป็นจริง การแสดงความโกรธ เกลียดหรือความอยากออกมาในระดับกายภาพ เป็นเพียงทางหนึ่งใน การที่จะหลบหนีไปจากอารมณ็์ ดังเช่นที่คุณมักจะทำเมื่อคุณพยายาม จะขัดขวางกักกันมันไว้ แต่ถ้าหากว่าเราได้สัมผัสโดยตรงถึงความเป็น ไปของมัน ลูบคลำผิวกายของมันดังที่มันดำรงอยู่ในสภาวะอันเปลือย เปล่า เมื่อนั้นประสบการณ์อันนี้ก็จะบรรจุความจริงในขั้นสูงสุดไว้ และ เราก็เริ่มแลเห็นถึงแง่มุมอันน่าขับขัน และแง่มุมอันลึกซึ้งของอารมณ์ ดังที่มันเป็นอยู่ นี่เองคือกะบวนการในการแปรเปลี่ยน นี่เองที่การแปร เปลี่ยนอารมณ์ให้กลับกลายเป็นปัญญาญาณ จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ ก็เป็นดังที่ผมกล่าวแล้วว่า มันเป็นเรื่องของปัจเจก เราจะต้องทำมันด้วย ตนเอง จนกว่าเราจะสามารถทำสำเร็จด้วยตนเองแล้วไซร้ หาไม่ก็จะไม่ มีถ้อยคำใดอธิบายถึงสิ่งนี้ให้เข้าใจได้ เราจะต้องกล้าหาญพอที่จะเข้าเผชิญ หน้ากับอารมณ์ของเรา กระทำร่วมกับมันอย่างจริงจัง สัมผัสดูพื้นผิวของ มัน เฝ้ามองดูธาตุแท้ดังที่มันเป็น เราอาจจะค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้ว อารมณ์ มิได้ดำรงอยู่ในขณะที่มันได้ปรากฏขึ้น ในนั้นมีแต่เพียงปัญญาญาณและที่ กว้างโล่ง ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าเราไม่เคยได้สัมผัสรับรู้ถึงอารมณ์อย่างถูกตรง เลย เราคิดว่าการต่อสู้และการฆ่าฟันกันอาจแสดงออกซึ่งความโกรธได้ แต่นั่นกลับเป็นการหลบหนีอย่างหนึ่ง เป็นการปลดปล่อยมากกว่าที่จะเป็น การเรียนรู้ถึงอารมณ์ดังที่มันเป็น
การเรียนรู้ถึงธรรมชาติพื้นฐานของอารมณ์ ได้ถูกละเลยไปอย่างน่าเสียดาย
ถาม : เมื่ออารมณ์ได้ถูกแปรเปลี่ยนไปแล้ว นั่นมิได้หมายความว่ามันจะ สูญหายไป ใช่หรือไม่ตอบ : ไม่ใช่แน่นอน แต่มันได้แปรเปลี่ยนไปเป็นพละในรูปแบบอื่น ถ้า หากว่าเราพยายามที่จะเป็นคนดีหรือสงบสันติ พยายามเก็บกักหรือกดดัน อารมณ์ไว้ นั่นคือการเล่นซ่อนหาของอัตตาในระดับพื้นฐาน เรากลับพาล รู้สึกก้าวร้าวกับอารมณ์ของเรา พยายามอย่างสุดกำลังที่จะบรรลุถึงความ สงบหรือความดีงาม เมื่อใดที่เราหยุดก้าวร้าวต่ออารมณ์ของตนเอง เลิก พยายามที่จะเปลี่ยนมัน เมื่อใดที่เราได้สัมผัสมันอย่างแท้จริง เมื่อนั้นความ แปรเปลี่ยนกลับกลายก็มีโอกาสที่จะอุบัติ ลักษณะอันชวนให้เดือดเนื้อ ร้อนใจของอารมณ์จะแปรเปลี่ยนไปเมื่อคุณได้สัมผัสรับรู้มันอย่างที่มันเป็น ความเปลี่ยนแปลงมิได้หมายความว่าคุณสมบัติเดิมของพละแห่งอารมณ์ นี้ถูกขจัดไป ทว่าที่จริงแล้วมันถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นปัญญาญาณ ซึ่งจำ เป็นอย่างที่สุด
ถาม : ก็แล้วเพศสัมพันธ์แบบตันตระเล่า นั่นเป็นกระบวนการในการ แปรเปลี่ยนพละทางเพศให้กลายเป็นอย่างอื่นด้วยใช่หรือไม่ ตอบ : ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน เมื่ออาการอันครอบครองของความอยาก หรือตัณหาได้ถูกแปรเปลี่ยน ไปเป็นการสื่อสารอันเปิดกว้าง กลายเป็น ลีลาของของการเริงรำอย่างอิสระ เมิ่อนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ย่อม เริ่มพัฒนาไปอย่างสร้างสรรค์มากกว่าที่จะแห้งแล้งหยุดนิ่ง หรือกลาย เป็นสิ่งน่ารำคาญสำหรับสองฝ่าย
ถาม : หลักการแปรเปลี่ยนกลับกลายอันนี้ อาจเปรียบได้กับหลักการของ พละ แบบ สัตวะ ราชะ และ ทมะ ดังที่กล่าวไว้ในวัฒนธรรมฮินดูหรือไม่ ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องนำทมะพละมา และเปลี่ยนให้เป็น ราชะพละ คุณเพียง แต่นำมันมาและใช้มัน ตอบ : ถูกแล้ว มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติ ของการลงมือทำ เพราะโดย ปกติแล้วเรามักจะต้องการความพร้อมมากเกินไป เราพูดว่า " เมื่อใดที่ฉัน สามารถหาเงินได้มากพอ เมื่อนั้นฉันก็จะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ไปบวช เป็นพระและฝึกสมาธิ " หรือจะเป็นอะไรก็ตามแต่ อย่างที่เราอยากจะเป็น แต่เราไม่เคยที่จะทำมันเดี่ยวนี้เลย เรามักจะพูดในทำนองว่า " เมื่อใดที่ฉัน สามารถทำสิ่งนั้นสิ่งนี้สำเร็จ เมื่อนั้น ... " เราวางแผนมากเกินไป เราต้อง การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเองมากกว่าที่จะใช้ชีวิต ที่จะดิ่งลงในปัจจุบัน ขณะ ในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรมด้วย และด้วยความ ลังเลพะว้าพะวังของเรานี้เอง ซึ่งก่อให้เกิดความถดถอยขึ้นในการปฏิบัติ ธรรมของเรา พวกเราส่วนมากมักจะมีความคิดฝันเฟื่อง " ปัจจุบันนี้ฉันอาจ จะมิใช่คนดี แต่สักวันหนึ่งเมื่อฉันเปลี่ยนไป ฉันคงจะกลายเป็นคนดีแน่ ๆ "
ถาม : หลักการแห่งความแปรเปลี่ยนนี้ดำรงอยู่ในศิลปะด้วยหรือไม่ตอบ : แน่นอน ก็เป็นดังที่เรารู้ ๆ กันอยู่ การผสมผสานสีและรูปทรงเข้า ด้วยกันอย่างเหมาะเจาะ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยผู้คนหลากหลาย จากวัฒนธรรมและยุคสมัยที่แตกต่างกัน ศิลปะที่ถึงขั้นย่อมมีคุณลักษณ์อัน เป็นสากล เต็มไปด้วยพลังของการแสดงออกและการสื่อสารสัมพันธ์อย่าง ไม่หยุดนิ่ง นั่นก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดคุณจึงไม่จำเป็นต้องขึ้นไป " อยู่เหนือ " สิ่งใด ๆ เลย เพียงถ้าคุณดูให้เห็นอย่างเต็มตา เมื่อนั้น " สิ่งนั้น " ก็จะพูด " สิ่งนั้น " จะนำเราไปสู่ความเข้าใจบางอย่าง ในสัญญาณจราจรการตัดสิน ใจเลือกไฟเขียวหมายให้เราไปได้ และถือเอาไฟแดงว่าหมายให้หยุด ว่า ให้ระวังอันตราย นี่แสดงให้เห็นคุณลักษณะอันเป็นสากลของสี
ถาม : ก็แล้วการระบำและหนังละครเล่าตอบ : มันก็เป็นเช่นเดียวกัน ปัญหาเพียงมีอยู่ว่า ถ้าคุณตั้งอกตั้งใจเกินไป ในการสร้างงานศิลปะ งานชินนั้นก็จะไม่อาจสำเร็จขึ้นมาเป็นงานศิลป ได้เลย เมื่อศิลปินหลอมละลายตนเองลงไปในงาน เขาก็จะสร้างสรรค์ งานชิ้นเยี่ยมขึ้น มิใช่เพราะเขาตระหนักในความเก่งกาจของตนหากเป็น เพราะว่าเขาได้หลงลืมตนเองไปโดยสิ้นเชิง เขาปราศจากความลังเลสง สัย เขาเพียงแต่ทำมันเท่านั้น เขาสร้างสิ่งดี ๆ ขึ้นมาได้คล้ายดั่งไม่ตั้งใจ
ถาม : ความกลัวและวิปลาสซึ่งมักจะเข้ามาขัดขวางกระแสความหลาก ไหลนั้น จะถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นการกระทำได้ฉันใดตอบ : ที่จริงไม่มีกลวิธีใด ๆ ที่จะนำมาใช้จัดการกับสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อก่อ ให้เกิดสภาวะบางอย่างขึ้นมา จุดสำคัญอยู่ที่การกระโดดข้ามไปเท่านั้น เมื่อใครก็ตามเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าตนตกอยู่ในอาการวิปลาส นั่นเอง จะส่งผลให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งภายในจิตใต้สำนึกถึงอีกแง่มุม หนึ่ง เข้าใจถึงอีกสภาวะหนึ่งในจิตใจของเขา ต่อจากนั้นเขาก็เพียงกระ โดดข้ามไป ส่วนจะกระโดดอย่างไรนั้นเป็นเรื่องลำบากที่จะอธิบายคำ พูด เขาเพียงแต่กระทำการเท่านั้น เพียงแต่กระโดดไป มันเหมือนกับ การถูกผลักตกลงไปในแม่น้ำอย่างไม่รู้ตัว และทันใดก็ดันพบว่าตนเอง สามารถว่ายน้ำได้ คุณเพียงแต่ว่ายข้ามไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าหาก ว่าคุณต้องกลับไปที่ฝั่ง อีกเพื่อลองพยายามฝึกหัดดู คุณจะไม่สามารถ ว่ายน้ำได้เป็นแน่ มันเป็นเรื่องของการโต้ตอบสัมพันธ์อย่างสอดคล้อง เป็นเรื่องของการใช้กระแสแห่งความรู้ เราไม่อาจกระโดดได้ด้วยการ พูด มันอยู่เกินขึ้นไปกว่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่คุณสามารถกระทำได้ ถ้า คุณต้องการที่จะทำจริง ๆ ถ้าคุณผลักตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ เอื้อให้กระโดด เป็นสถานการณ์ที่บีบให้คุณต้องยอมอย่างศิโรราบ
ถาม : ถ้าคุณเป็นคนขี้ตื่นตกใจและมักจะมีปฏิกริยาตอบโต้อย่างรุนแรง ต่อสิ่งที่หวดกลัว คุณก็รู้ตัวอยู่และไม่ต้องการติดหลงอยู่ในนั้น ถ้าคุณ อยากจะคุมสติได้อยู่ตลอดเวลา คุณจะทำอย่างไรตอบ : ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า แรกสุดคุณจะต้องทำความเข้าใจว่าพลังแห่ง ความขี้ตื่นกลัวของคุณมีอยู่จริงและมีอยู่ที่นั่นและในขณะเดียวกันพลัง นั้นก็เป็นพลังที่จะสามารถใช้กระโดดได้เช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งแทน ที่คุณจะวิ่งหนีไปจากความกลัว เราจะกลับต้องเข้าไปคลุก เข้าไปพัว พันกับมัน จนเริ่มเข้าใจถึงคุณสมบัติอันหยาบกระด้างแห่งอารมณ์นั้น
ถาม : เป็นดั่งนักรบใช่ใหม ? ตอบ : ใช่ ในตอนแรก เขาอาจพอใจที่สามารถแลเห็นถึงความไร้สาระ ของอารมณ์ ซึ่งการเห็นนั้นช่วยขับไล่มันกระเจิดกระเจิงไป แต่นี่ยังไม่ พอที่จะทำให้เข้าถึงหลักการแปรเปลี่ยนในวัชรยาน เราจะต้องให้เห็น ถึงคุณลักษณ์ของ
" รูปคือรูป " ในอารมณ์ เมื่อใดที่คุณอาจแลดูอารมณ์ ได้อย่างคมชัดจากทัศนะที่ว่า
" รูปคือรูป อารมณ์คืออารมณ์ " โดยไม่ เติมแต่งแต้มสี เมื่อใดที่คุณสามารถมองเห็นคุณสมบัติอันเปล่าเปลือย ของอารมณ์ได้ดังที่มันเป็นจริง เมื่อนั้นคุณก็พร้อมที่จะกระโดดได้แล้ว แน่ละ นี่ไม่ได้หมายความว่าถ้าคุณรู้สึกโกรธ คุณจะต้องออกไปฆ่าใคร
ถาม : กล่าวอีกอย่างหนึ่ง เราจะต้องแลให้เห็นถึงอารมณ์ดังที่มันเป็น แทนที่จะเข้าไปพัวพันอยู่กับอาการอันทิ่มแทงและกระจัดกระจายของ ปฏิกริยาตอบโต้ตอบ : ใช่แล้ว เห็นไหมว่า เรายังไม่ได้แลเห็นอารมณ์อย่างที่มันเป็นจริง เลย ถึงแม้ว่าในตัวเราจะท่วมทันอยู่ด้วยสิ่งนั้นก็ตาม ถ้าเราติดตามอารมณ์ ของเราไป ครั้นแล้วก็ผละหนีเสียโดยการไปทำสิ่งอื่น นั่นไม่ใช่การเรียน รู้ที่ถูก เราพยายามที่จะหลีกหนีหรือเก็บกดอารมณ์ของเราไว้เพราะเหตุ ที่ว่าเราไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะนั้นได้ แต่วัชรยานกลับบอกให้เราแล ดูอย่างจริงจัง อย่างตรงไปตรงมา ในอารมณ์ความรู้สึกทุกชิ้น และให้เห็น ถึงธาตุแท้อันเปล่าเปลือยของมัน คุณไม่จำเป็นจะต้องพยายามแปรเปลี่ยน เพราะแท้ที่จริงแล้ว คุณก็ได้และเห็นแล้วถึงคุณสมบัติของความแปรเปลี่ยน ที่แฝงเร้นอยู่ในอารมณ์ เราเพียงแต่สลัดมันไป นี่เป็นเรื่องจริงจังและค่อน ข้างอันตรายทีเดียว
ถาม : ชีวิตของมิลาเราปะนั้นจัดอยู่ในหลักการของตันตระได้อย่างไร เพราะคล้ายกับว่าท่านไม่ได้ฝึกฝนตามแนวทางแห่งการแปรเปลี่ยนเลย หากใช้วิธีการสละละมากกว่าตอบ : แน่นอน ในวิถีชีวิตของมิลาเรปะนั้นเป็นแบบฉบับอันน่าพิศวง มาก เป็นแบบฉบับของแนวทางแห่งโยคาวจรผู้สละละ แต่โดยปกติแล้ว เมื่อเราคิดถึงเรื่องการสละละเรามักนึกถึงใครบางคนผู้ซึ่งพยายามจะหนี จาก " ความชั่ว " แห่ง " โลกียวิสัย " ที่ไม่ใช่แบบแผนของมิลาเรปะ อย่างแน่นอน ท่านไม่ได้พยายามที่จะกดดันแนวโน้ม " ด้านเลวทราม " ไว้โดยการปฏิบัติสมาธิอยู่เพียงลำพังในป่าเขา ท่านไม่ได้กักกันตนเอง ไว้ในสถานที่วิเวก ท่านไม่ได้พยายามลงโทษตัวเอง พรตจรรยาของ ท่านเป็นเพียงการสำแดงออกจากบุคลิกภาพส่วนตน เป็นดังเช่นแบบ แผนชีวิตของเราแต่ละคนซึ่งอุบัติขึ้นมาจากจุดที่เราเป็น ซึ่งถูกกำหนด โดยสภาพจิตและประสบการณ์ในอดีต มิลาเรปะต้องการความเรียบ ง่าย และท่านก็ใช้ชีวิตไปอย่างนั้น
บางที สำหรับผู้คนที่เดินตามศาสนมรรค อาจมีแนวโน้มที่ต้องการกลับ ไปสู่โลกชั่วขณะ และมิลาเรปะก็เป็นเช่นนั้น และผู้คนเหล่านั้นก็อาจ กระทำได้ในแวดล้อมของเมือง คนมั่งคั่งอาจใช้จ่ายเงินมากมายเพื่อการ เดินทางจาริก แต่ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าหากผู้นั้นเริ่มสัมผัสคำสอนอย่างถ่องแท้ ก็จะต้องหวนกลับมาสู่โลกอีกครั้ง เมื่อครั้งที่มิราเลปะปฏิบัติสมาธิอยู่ วิเวกสถาน ใช้ชีวิตอยู่อย่างอดอยาก มีนายพรานหมู่หนึ่งมาถึงที่นั้นโดย บังเอิญ และถวายเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้ ท่านก็บริโภคมันและสมาธิวัตร ของท่านก็ยกระดับขึ้นในทันที ครั้นต่อมาเมื่อท่านกำลังลังเลว่าจะลง มาสู่เมืองดีหรือไม่ ก็มีชาวบ้านหมู่หนึ่งมาถึงที่หน้าถ้ำขอสดับธรรม ท่าน จึงถูกฉุดดึงออกมาจากวิเวกโดยอุบัติการณ์อันหลอกล่อแบบต่าง ๆ ของ ชีวิต ซึ่งเราอาจเรียกได้ว่าเป็นการล่อหลอกของคุรุ คือคุรุอันมีลักษณะ เป็นสากล ซึ่งแสดงตนออกแก่เราโดยธรรมชาติ เราอาจนั่งสมาธิอยู่ใน ห้องเช่าที่นิวยอร์ค รู้สึกว่า " ขึ้นสูง " และปีติยิ่ง เข้าถึงสภาวะธรรมยิ่ง แต่ครั้นแล้ว เมื่อเราลุกขึ้นและเดินลงไปในท้องถนน ก็มีใครบางคน ก้าวพลาดมาเหยียบเท้าของเราเข้า และเราก็ต้องตอบโต้กับสถานการณ์ นั้น มันฉุดดึงเรากลับลงมาสู่พื้นดิน กลับมาสู่โลก
มิราเลปะนั้นดำรงอยู่ใน
กระบวนการแปรเปลี่ยนของพละและอารมณ์ อยู่ตลอดเวลา ที่จริง ถ้าเราได้อ่าน " โศลกหนึ่งแสนบาทของมิลาเราปะ " ตลอดครึ่งแรกของหนังสือเล่มนี้ ล้วนกล่าวถึงประสบการณ์ของมิลาเรปะ ในกระบวนการนี้ ใน " ตำนานแห่งหุบเขามณีแดง " มิลาเราปะเพิ่งจาก มารปะมาเพื่อแสวงหาวิเวกและปฏิบัติสมาธิเพียงลำพัง นี่อาจเรียกได้ว่า เป็น " ขั้นตอนของความเป็นผู้ใหญ่ " เพราะเขายังต้องพึ่งพาคุรุที่เป็นตัว คนอยู่ มารปะยังคงเป็น " ท่านพ่อ " อยู่ในใจ หลังจากที่ได้เปิดตัวเอง ออกและยอมหมอบราบคาบแก้วต่อมารปะแล้ว มิลาเรปะยังต้องเรียน ที่จะเปลี่ยนแปรอารมณ์ของตนเองด้วย เพราะท่านยังคงติดอยู่กับ " ดี " และ " เลว " ดังนั้นโลกจึงปรากฏแก่ท่านดังประหนึ่งเทพยาดาหรืออสูร ร้าย
ใน " ตำนานแห่งหุบเขามณีแดง " เมื่อมิลาเรปะกลับไปสู่ถ้ำเถื่อนของ ตน หลังจากที่ได้แลเห็นภาพนิมิตของมารปะ ท่านก็ประจันหน้ากับหมู่ มารฝูงใหญ่ ท่านพยายามทุกวิถีทางที่เท่าจะนึกได้ เพื่อที่จะขับไล่มาร เหล่านี้ไป พยายามใช้เล่ห์กลทุกประการ ท่านบังคับมันล่อลวงมัน แม้ แต่แสดงธรรมเทศนาให้มันฟัง แต่มันก็ไม่ยอมผละจากไป กระทั่งเมื่อ ท่านเลิกถือว่ามันเป็นสิ่ง " เลว " และ เปิดเผยตัวเองแก่มัน และเห็นมัน ดังที่มันเป็น นี่คือจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่จะบำราบมาร ของมิลาเรปะ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการแปรเปลี่ยนอารมณ์เช่นกัน ด้วย อารมณ์ของเรานั้นเองที่สร้างมารและเทพขึ้น บรรดาสิ่งที่เราอยากขจัด อยากผลักไสออกไปจากชีวิต ออกไปจากโลกของเรา เหล่านั้นคือมาร บรรดาสิ่งที่อยากจะชักนำอยากจะเชื้อเชิญให้เข้ามาหาเราก็คือเทพและ นางฟ้า ส่วนที่เหลือนั้นกลายเป็นทัศนียภาพเป็นส่วนประกอบเท่านั้น
ในการที่สามารถเปิดรับมารและเทพได้ดังที่มันเป็น ในการนั้นเองที่ มิลาเรปะสามารถเปลี่ยนมันไปได้ มันกลับกลายเป็น ยักษิณี หรือกลาย มาเป็นแห่งชีวิต ครึ่งแรกของ " โศลกแสนบท " กล่าวถึงการที่มิลาเรปะ เข้าถึงหลักการแปรเปลี่ยนและศักยภาพที่พอกพูนขึ้น ในการเปิดตัวเอง ต่อโลกดังที่มันเป็น จนกระทั่งท่านสามารถมีชัยเหนือหมู่มารในท้ายที่ สุด ในบทที่กล่าวถึง " มารผจญแห่งนางฟ้าเซรินมา " ในบทนี้มีมาร นับพันนับหมื่นมารุมล้อมเล่นงานมิลาเรปะ ในขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ แต่ท่านกลับแสดงธรรมให้หมู่มารฟัง ยอมเปิดตนและรับมันเข้า เสนอ ตนให้แก่มันอย่างสิ้นเชิง ดังนี้เอง หมู่มารก็ถูกสยบ มีอยู่ขณะหนึ่งเมื่อ เบญจจสุธีตระหนักขึ้นมาได้ว่า พวกตนไม่อาจหลอกหลอนให้มิลาเรปะ หวาดกลัวได้ จึงขับโศลกขึ้นว่า
ถ้าความคิดเกี่ยวหมู่มาร มิได้ผุดขึ้นมาในดวงจิตของท่าน ก็หาต้องเกรงกลัวหมู่มารที่มารุมล้อมอยู่ไม่ เพราะจำเป็นยิ่งกว่า ที่จะบำราบจิตภายในตน ... บนหนทางชันแห่งความกลัวและความหวัง หมู่มารพากันปราชัย ...และต่อมา มิลาเรปะก็ได้กล่าวขึ้นว่า
" ตราบเท่าที่อันติมะหรือธรรมชาติ ที่แท้ของส่ำสัตว์เกี่ยวพันอยู่ ก็ไม่มีทั้งพุทธะหรือมาร ผู้ซึ่งเป็นอิสระแล้ว จากความกลัวและความคาดหวัง พ้นจากบาปและบุญ ย่อมประจักษ์ใจ ได้ถึงความไร้แก่นสารของธรรมชาติแห่งความสับสน เมื่อพ้นสังสาระ ก็จะกลับปรากฏขึ้นดั่งมหามุทราเองทีเดียว ... "ส่วนเหลือของ " โศลกหนึ่งแสนบท " ล้วนกล่าวถึงพัฒนาการของมิลา เรปะในการเป็นคุรุและพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับศิษย์ จวบจน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ที่ท่านได้เข้าถึงภาวะอันสมบูรณ์สูงสุดของกระ บวนการแปรเปลี่ยนอันนี้ ไปไกลจนถึงจุดที่อาจจะขนานนามท่านได้ว่า วิทยาธร หรือ " ผู้ทรงไว้ซึ่งปรีชาญาณแบบบ้าบอ " ไม่มีอีกแล้วที่ท่าน จะถูกสั่นไหวด้วยแรงลมแห่งความหวังและความกลัว ไม่ว่าจะเป็นเทพ หรือนางฟ้าหรือมาร ไม่ว่าจะเป็นตัณหาหรือเค้าโครงภายนอกของมัน ต่างถูกบำราบลงและแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มาบัดนี้ ชีวิตของท่าน กลับเป็นการเริงรำไปอย่างต่อเนื่องร่วมกับยักษิณี
ท้ายที่สุด มิลาเรปะก็มาถึงขั้นตอนที่เป็น " หมาแก่ " อันเป็นการบรรลุ ถึงขั้นสุดยอด ผู้คนอาจเดินไต่ไปบนตัวท่าน ใช้ท่านต่างถนนหนทาง ต่างแผ่นดินโลก ท่านจะดำรงอยู่ที่นั่นเสมอ ไม่หลับเลี่ยงไปไหน ด้วย ว่าท่านได้ไถ่ถอนแล้วซึ่งการดำรงอยู่ของปัจเจก ( เราจะอ่านพบใน ปัจฉิมกถา ) เพื่อว่าตัวมิลาเรปะเองจะได้มีความหมายเป็นสากล เป็น แบบอย่างของการตรัสรู้