แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

พระสูตรเว่ยหล่าง พุทธทาสภิกขุ แปล

<< < (17/21) > >>

ฐิตา:

ซิตกันกล่าวว่า "เมื่อเดินทางกลับ พระมหาจักรพรรดิทั้งสองต้องให้ข้าพเจ้ากราบทูลรายงานเป็นแน่ พระคุณท่านจะโปรดกรุณาให้คำเตือน ที่เป็นหลักสำคัญในการสอนของพระคุณท่านแก่ข้าพเจ้าบ้างได้ไหมครับ? เพื่อข้าพเจ้าจะได้สามารถกราบทูลให้พระมหาจักรพรรดิทรงทราบ และยังจะได้ชี้แจงแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไปในเมืองหลวงอีกด้วย เสมือนกับว่าแสงเพลิงจากประทีปดวงหนึ่งที่อาจจุดต่อให้แก่ประทีปอื่นๆ อีกหลายร้อยหลายพันดวง บรรดาคนโง่ทั้งหลายจะได้เกิดปัญญา และแสงสว่างย่อมก่อให้เกิดแสงสว่าง ต่อไปโดยไม่สิ้นสุด"

        พระสังฆนายกตอบว่า "หลักธรรมนั้นไม่ได้หมายถึงแสงสว่างหรือความมืด แสงสว่างและความมืดนั้น หมายถึงความคิดที่อาจสับเปลี่ยนกันได้ ฉะนั้นการกล่าวว่า แสงสว่างก่อให้เกิดแสงสว่างต่อไปไม่สิ้นสุด จึงผิด เพราะว่ามันมีความจบสิ้น เนื่องจากความสว่างและความมืดเป็นคำคู่ตรงข้าม ในวิมลกีรตินิเทศสูตร กล่าวว่า หลักธรรมนั้นไม่มีข้ออุปมา เพราะว่าไม่ใช่เป็นคำที่อาจเทียบเคียงกันได้"

        ซิตกันแย้งว่า "แสงสว่างหมายถึงปัญญา และความมืดก็มหายถึงกิเลส ถ้าผู้เดินทางไม่ได้ทำลายกิเลส ด้วยอำนาจแห่งปัญญาแล้ว เขาจะพาตัวให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏอันไม่มีเบื้องต้นได้อย่างไร?"

        พระสังฆนายกตอบว่า "กิเลสคือโพธิ สองอย่างนี้เหมือนกัน ไม่ต่างกัน การทำลายกิเลสด้วยปัญญา เป็นคำสอนของสำนักสาวกภูมิและสำนักปัจเจกพุทธภูมิ ซึ่งสานุศิษย์ของสำนักเหล่านั้น ใช้ยานเทียมด้วยแพะและใช้ยานเทียมด้วยกวาง สำหรับผู้มีความเฉียบแหลมและปัญญาสูง คำสอนดังกล่าวคงจะไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น"

ฐิตา:

  ซิตกันถามว่า "ถ้ากระนั้น คำสอนของสำนักมหายานได้แก่อะไร?"

        พระสังฆนายกตอบว่า "ในทรรศนะของสามัญชน ปัญญาและอวิชชาเป็นของสองสิ่งแยกจากกัน ส่วนคนฉลาด ผู้ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้จริงแห่งจิต โดยตลอดแล้ว ย่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีธรรมชาติเป็นอย่างเดียวกัน ธรรมชาติอันเป็นอย่างเดียวกัน หรือธรรมชาติอันเป็นของคู่นี้ คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งในกรณีของสามัญชนและคนโง่ก็ไม่ได้มีน้อยลง และในกรณีของปราชญ์ผู้บรรลุความรู้แจ้งแล้วก็ไม่ได้มีมากขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้ไหวสะเทือนในสภาพที่มีความวุ่นวาย และก็ไม่ได้สงบนิ่งในสภาพที่มีสมาธิ ไม่ใช่เป็นสิ่งถาวร และก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ถาวร ไม่ได้ไปหรือไม่ได้มา ไม่อาจพบได้จากภายนอก และก็ไม่อาจพบได้จากภายใน หรือไม่อาจพบได้ในอวกาศ ซึ่งอยู่ในระหว่างสิ่งทั้งสองนี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ เป็นสิ่งที่มีธรรมชาติและปรากฏการณ์อยู่ในสภาพ ความเป็นเช่นนั้น ตลอดไป เป็นสิ่งที่ถาวรและไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนี้แหละคือหลักธรรม"

        ซิตกันถามว่า "ท่านกล่าวว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่เหนือความมีอยู่ และความไม่มีอยู่ ถ้าเช่นนั้นท่านจะอ้างว่า ต่างกับคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งสอนอย่างเดียวกันนี้ได้อย่างไร?"

        พระสังฆนายกตอบว่า "ในคำสอนพวกมิจฉาทิฏฐิ คำว่า ไม่มีอยู่" หมายถึงการสิ้นสุดของคำว่า "มีอยู่" ส่วนคำว่า "มีอยู่" ก็ใช้เปรียบเทียบในทางตรงกันข้ามกับคำว่า "ไม่มีอยู่" สิ่งที่เขาหมายถึงความไม่มีอยู่ ไม่ใช่หมายถึงการทำลายล้างโดยแท้จริง และสิ่งที่เขาเรียกว่า "มีอยู่" ก็ไม่ได้หมายถึงความมีอยู่อย่างแท้จริง สิ่งที่ฉันหมายถึง  เหนือ  ความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ก็คือโดยเนื้อแท้แล้วย่อมไม่มีอยู่ แต่ในปัจจุบันขณะก็ไม่ได้ถูกทำลายล้างไป นี่แหละเป็นความต่างกัน ระหว่างคำสอนของฉันกับคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ.

        ถ้าท่านปรารถนาจะทราบถึงประเด็นสำคัญในคำสอนของฉัน ท่านควรสลัดตัวของท่าน ให้ปลอดจากความคิดทั้งปวง ไม่ว่าดีหรือเลว เมื่อนั้น จิตของท่านจะอยู่ในภาวะอันบริสุทธิ์ สงบ และสันติตลอดเวลา  ทั้งคุณประโยชนที่จะได้รับจากการนี้ ก็มีมากมายหลายเท่าดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา."

        คำสอนของพระสังฆนายก ทำให้ซิตกันบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์ในทันใดเขากราบนมัสการและอำลาพระสังฆนายกกลับเมืองหลวง เมื่อถึงพระราชวังแล้วก็กราบทูลรายงานต่อพระมหาจักรพรรดิ์ ตามที่พระสังฆนายกได้กล่าว

ฐิตา:

(Angel Falls)เวเนซุเอลา สูงที่สุดในโลก ๙๗๙ เมตร
        ครั้นถึงวันขึ้นสามค่ำเดือนเก้า ปีเดียวกันนั้น พระมหาจักรพรรดิ์มีพระบรมราชโองการ ประกาศชมเชยพระสังฆนายกตามความดังนี้:-

        "ด้วยเหตุชราภาพและสุขภาพไม่สมบูรณ์ พระสังฆนายกได้ปฏิเสธการนิมนต์มาเมืองหลวง ท่านขอสละชีวิตปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เพื่อคุณประโยชน์ของพวกเรา ท่านเป็นเนื้อนาบุญแห่งชาติโดยแท้จริง ท่านได้ปฏิบัติตามอย่างท่านวิมลกีรติ ซึ่งพักฟื้นอยู่ในเมืองไวสาลี ทำการเผยแพร่คำสอนของมหายานให้ไพศาล ด้วยการถ่ายทอดหลักธรรมของสำนักธยานและด้วยการอธิบายหลักธรรมแห่งการไม่เป็นของคู่

        จากการถ่ายทอดธรรมของซิตกัน ผู้ซึ่งได้รับส่วนแบ่งในความรู้ทางพุทธะจากสังฆนายก ข้าพเจ้าทั้งสองจึงได้มีโอกาสเข้าใจถึงคำสอนชั้นสูงของพระพุทธศาสนา นี่จะต้องเนื่องมาจากกุศลและรากเง่าแห่งความดี ที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมมาแต่ชาติปางก่อน มิฉะนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็คงไม่ได้เกิดมาทันพระคุณท่าน.

        ในการน้อมสักการะต่อพระคุณของพระสังฆนายก ข้าพเจ้าสุดวิสัยที่จะกล่าวคำใดๆ ให้ทัดเทียมได้ ฉะนั้น เพื่อเป็นสัญญลักษณ์แห่งความคารวะอันสูงที่มีต่อพระคุณท่าน ข้าพเจ้าทั้งสอง ขอถวายจีวรโมลาและบาตรผลึกมาพร้อมนี้ และโดยคำสั่งนี้ ให้เป็นหน้าที่ของข้าหลวงชิวเจา ที่จะปฏิสังขรณ์พระอารามของพระคุณท่าน และดัดแปลงบ้านเดิมของพระคุณท่าน ให้เป็นวิหารทั้งให้ชื่อว่า กว็อกเยน(นาบุญแห่งรัฐ)

ในพระปรมาภิไธย......ฯลฯ

ฐิตา:



หมวดที่ ๑๐
คำสอนสุดท้าย
  วันหนึ่งพระสังฆนายกสังให้ตามตัวสานุศิษย์ของท่าน คือ ฟัตห่อย, ชีชิง, ฟัตตัด, ชินวุย, ชิชวง, ชิตุง, ชิไช, ชิต่าว, ฟัตจุน, ฟัตอู, ฯลฯ และได้กล่าวกับท่านเหล่านั้นว่า

        ท่านทั้งหลาย ผิดกับคนอื่นๆ ที่เหลือ เมื่อฉันเข้าปรินิพพานไปแล้ว พวกท่านแต่ละคนจะได้เป็นอาจารย์ธยานคนละเมือง ฉะนั้นฉันจะให้คำเตือนแก่พวกท่านในเรื่องการสั่งสอน เพื่อท่านจะได้รักษาธรรมเนียมแห่งสำนักของเรา


ครั้งแรกจงกล่าวธรรมสามประเภท ต่อไปก็กล่าวถึงสิ่งที่เป็นของคู่
ประเภทตรงข้าม 36 คู่ อันเป็นอาการไหวตัวของภาวะที่แท้แห่งจิต

จากนั้นก็สอนวิธีหลีกเลี่ยงความสุดโต่งทั้งสองข้าง ในการเข้ามา
หรือการออกไป
การสอนทุกคราว อย่าเบนออกไปจากภาวะที่แท้แห่งจิต 

เมื่อใครถามปัญหาท่านจงตอบเขาไปในลักษณะตรงข้าม เพื่อให้เกิด
เป็นคำคู่ประเภทตรงข้าม เช่นการมาและการไป ก็เป็นเหตุเป็นผลต่อกันและกัน


เมื่อเพิกถอนการอ้างอิงต่อกันและกันของคู่คำนี้
โดยสิ้นเชิงแล้ว
ก็จะเหลือเป็นความหมายอันเฉียบขาดคือ ไม่ใช่การมา และไม่ใช่การไป


ธรรม 3 ประเภท  นั่นคือ
     
ขันธ์       (กองหรือหมวดหมู่)
อายตนะ    (ที่ประชุมกันหรือที่พบกัน)     
ธาตุ       (ตัวประกอบของวิญญาณ)


ขันธ์ 5 ได้แก่

รูป (สสารหรือวัตถุ) 
เวทนา (การรับอารมณ์หรือการเสวยอารมณ์) 
สัญญา  (ความจำได้หรือความสำเหนียกรู้ในอารมณ์) 
สังขาร (ความเจตนาของจิต)
และวิญญาณ (ความรู้ในอารมณ์)

ฐิตา:

น้ำตกไนแองการา
ประกอบด้วยสองน้ำตกใหญ่ คือน้ำตกอเมริกัน (American Fall)

และน้ำตกแคนาดา (Canadian Fall) หรือน้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Fall) 
น้ำตกทั้งสองถูกคั่นด้วยเกาะกลางชื่อว่า Goat Island

ขอบพระคุณที่มาภาพ จาก : http://cherokee.exteen.com/20100313/niagara-falls

อายตนะ 12 ได้แก่ อายตนะภายนอก (วัตถุแห่งอารมณ์) 6 ประการ คือ

วัตถุทางรูป (รูปายตนะ)
วัตถุทางเสียง (สัททายตนะ)
วัตถุทางกลิ่น (คันธายตนนะ)
 
วัตถุทางรส (รสายตนะ) 
วัตถุทางสัมผัส (โผฏฐัพพายตนะ) 
วัตถุทางความคิด (ธัมมายตนะ)


        อายตนะภายใน (อวัยวะรับอารมณ์) 6 ประการ คือ

อวัยวะทางตา (จักขุยตนะ)
อวัยวะหู (โสตายตนะ)
อวัยวะจมูก (ฆานายตนะ)
 
อวัยวะลิ้น (ชิวหายตนะ)
อวัยวะกาย (กายายตนะ) 
อวัยวะใจ (มนายตนะ)


         ธาตุ 18 ได้แก่
 
วัตถุแห่งอารมณ์ 6
อวัยวะรับอารมณ์ 6
และ วิญญาณซึ่งรู้ในอารมณ์ 6


        "เนื่องจาก ภาวะที่แท้แห่งจิต" เป็นสิ่งก่อกำเนิดธรรมทั้งหลาย จึงเรียกว่าวิญญาณคลัง (อาลยะ) ในทันทีที่เริ่มวิถีแห่งความคิดนึก หรือวิถีแห่งการหาเหตุผล ภาวะที่แท้แห่งจิตก็กลายรูปเป็นวิญญาณประเภทต่างๆ เมื่อวิญญาณซึ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้ง6 เกิดขึ้น ก็จะสำเหนียกรู้ในวัตถุแห่งอารมณ์ทั้ง 6 นั้นจากทวารทั้ง 6  ดังนั้น กิจของธาตุ 18 จึงเนื่องมาจากแรงกระตุ้นของภาวะที่แท้แห่งจิต  ไม่ว่าบุคคลนั้นจะปฏิบัติกิจในทางชั่ว หรือปฏิบัติกิจในทางดี ก็แล้วแต่ว่าภาวะที่แท้แห่งจิต จะอยู่ในอารมณ์ใด  อารมณ์ชั่วหรืออารมณ์ดี กิจอันชั่วก็เป็นลักษณะของสามัญชน  กิจอันดีเป็นลักษณะของพุทธะ เพราะมีความรู้สึกที่เป็นของคู่ประเภทตรงกันข้าม  ฝังติดเป็นนิสัยอยู่ในภาวะที่แท้แห่งจิต

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version