แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
พระสูตรเว่ยหล่าง พุทธทาสภิกขุ แปล
ฐิตา:
ในวันขึ้นสามค่ำ เดือนแปด แห่งปีไกวเซา นับเป็นปีที่สองในรัชสมัย ซินติน หลังจากฉันอาหารที่วัดกว๊อกเยนแล้ว พระสังฆนายกได้กล่าวแก่สานุศิษย์ว่า "โปรดนั่งลงตามลำดับอาวุโส เพราะฉันกำลังจะกล่าวลาท่าน"
ทันใดนั้น ท่านฟัตห่อยได้กล่าวกับพระสังฆนายกว่า "พระคุณท่านได้โปรดกรุณาให้คำสอนที่กำจัดความไว้อย่างแน่นอนแก่คนรุ่นหลังๆ เพื่อมหาชน ผู้หลงผิด จะได้ตระหนักชัดถึงธรรมชาติแห่งพุทธะ"
พระสังฆนายกตอบว่า "ไม่ใช่ว่า จะเป็นการเหลือวิสัยสำหรับคนเหล่านี้ที่จะตระหนักชัดถึงธรรมชาติแห่งพุทธะ ถ้าหากว่าเขาจะทำตนให้เคยชินกับธรรมชาติของสามัญสัตว์ แต่ว่าการค้นหาความเป็นพุทธะโดยปราศจากความรู้ ดังกล่าว ย่อมเป็นการไร้ผล แม้เขาจะใช้เวลาเป็นกัลป์ๆเที่ยวค้นหาก็ตาม"
เอาละ ฉันจะบอกให้ท่านทราบ ถึงวิธีที่จะทำตนให้เคยชินกับธรรมชาติของสัตว์ภายในจิตของท่านเอง และโดยวิธีนี้ ท่านจะตระหนักชัดถึงธรรมชาติแห่งพุทธะซึ่งแฝงอยู่ในนั้น การรู้จักพุทธะ ไม่ได้หมายถึงอะไรนอกไปจากรู้จักสัตว์ทั้งหลาย เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ว่าตนเป็นพุทธะโดยอานุภาพ ส่วนผู้ที่เป็นพุทธะ ย่อมไม่เล็งเห็นความแตกต่างระหว่างท่านเองกับสัตว์ทั้งหลายอื่น เมื่อสัตว์ทั้งหลายตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิต เขาก็เป็นพุทธะ ถ้าพุทธะถูกครอบงำด้วยความหลงผิดอยู่ในภาวะที่แท้แห่งจิต เขาก็เป็นสามัญสัตว์ ความบริสุทธิ์ในภาวะที่แท้แห่งจิต ทำให้สามัญสัตว์เป็นพุทธะ ความไม่บริสุทธิ์ในภาวะที่แท้แห่งจิต ย่อมเปลี่ยนพุทธะให้เป็นสามัญสัตว์ เมื่อจิตของท่านคิดหรือเศร้าหมอง ท่านก็เป็นสามัญสัตว์ซึ่งมีธรรมชาติแห่งพุทธะแฝงอยู่ภายใน ตรงกันข้าม ถ้าท่านทำจิตให้บริสุทธิ์และตรงแน่ว แม้เพียงชั่วขณะเดียว ท่านก็เป็นพุทธะ"
ภายในจิตของเรามีพุทธะ และพุทธที่อยู่ภายในนั้น เป็นพุทธะที่แท้จริงได้จากไหน? อย่าสงสัยเลย เรื่องพุทธะภายในจิตของท่าน นอกจากที่นั่นแล้วไม่มีอะไรจะปรากฏขึ้นได้ เนื่องจากปรากฏการณ์หรือสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นผลิตผลมาจากจิตของเรา ในพระสูตรจึงกล่าวว่า เมื่ออาการของจิตเริ่มขึ้น สิ่งต่างๆ ก็ปรากฏ เมื่ออาการของจิตดับลง สรรพสิ่งทั้งหลายก็ดับ ก่อนที่จะจากท่าน ฉันจะกล่าวโศลกให้ท่านฟัง ชื่อว่า พุทธะอันแท้จริงของภาวะที่แท้แห่งจิต อนุชนรุ่นต่อไปในอนาคต ผู้เข้าใจในความหมายนี้ จะได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิต และบรรลุความเป็นพุทธะตามนัยนี้?
ฐิตา:
ภาวะที่แท้แห่งจิต หรือตถตา เป็นพุทธะอันแท้จริง
ส่วนมิจฉาทิฏฐิและธาตุอันเป็นพิษร้าย 3 ประการเป็นพญามาร
การบรรลุธรรมด้วยสัมมาทิฏฐิ เรามุ่งไปสู่พุทธะภายในตัวเรา
เมื่อธรรมชาติของเราถูกครอบงำ
ด้วยธาตุอันเป็นพิษร้าย สามประการ อันเป็นผลมาจากมิจฉาทิฏฐิ
เราก็มีชื่อว่า อยู่ภายใต้อำนาจพญามาร
เมื่อสัมมาทิฏฐิได้ขจัดธาตุอันเป็นพิษร้ายเหล่านี้ ไปจากจิตของเรา
พญามารก็กลายร่างเป็นพุทธะอันแท้จริง
ธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมานกาย
กายทั้งสามนี้ย่อมกำเนิดมาจากสิ่งหนึ่ง คือภาวะที่แท้แห่งจิต
ใครที่สามารถตระหนักชัดถึงความจริงข้อนี้ได้ด้วยปัญญาญาณ
ย่อมหว่านเมล็ดพืช และจะเก็บเกี่ยวผลถึงการตรัสรู้
จากนิรมานกายนี้แหละ
ที่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของเราได้ถือกำเนิดภายในนิรมานกายนั้นแหละ
จะพบธรรมชาติอันบริสุทธิ์และภายใต้การนำของธรรมชาติอันบริสุทธิ์นั่นเอง
นิรมานกาย จะดำเนินไปตามมรรคอันถูกต้อง
ซึ่งวันหนึ่งจะได้บรรลุถึงสัมโภคกายอย่างสมบูรณ์และไพศาล
ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ก็ถือกำเนิดมาจากสันดานในทางกามคุณ
เมื่อกำจัดความปรารถนาในทางกามคุณเสียได้ เราก็บรรลุธรรมกาย
อันบริสุทธิ์
เมื่ออารมณ์ของเราไม่เป็นทาสของวัตถุแห่งกามทั้งห้าอีกต่อไป
และเมื่อเราได้ตระหนักชัด
ถึงภาวะที่แท้แห่งจิตแม้เพียงขณะเดียว เมื่อนั้นเราก็แจ้งในสัจจะ
เมื่อเรามีโชคที่ได้ มาเป็นสานุศิษย์ของสำนักฉับพลันในชาตินี้
เราย่อมพบพระภควาของภาวะที่แท้แห่งจิตได้ในทันใด
ใครที่ค้นหาพุทธะ ด้วยการปฏิบัติตามลัทธิอื่น ย่อมไม่ทราบว่าจะพบ
พุทธะที่แท้จริงได้ที่ไหน
ใครที่สามารถตระหนักชัดถึงสัจจะ ภายในจิตเขาเอง ย่อมเป็นผู้หว่าน
เมล็ดพืชแห่งพุทธะ
ใครที่ไม่ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิต
และค้นหาพุทธะจากภายนอก ย่อมเป็นคนโง่ที่มีความปรารถนาผิดเป็นเครื่องกระตุ้น
โดยนัยนี้ ฉันได้มอบคำสอนของสำนักฉับพลัน ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังแล้ว
เพื่อเป็นการช่วยเหลือมวลสัตว์ ที่สนใจจะปฏิบัติธรรม
โปรดฟังฉัน บรรดาสานุศิษย์ในอนาคต
เวลาของท่านจะสิ้นไปอย่างเปลือยเปล่า ถ้าท่านเพิกเฉยไม่นำคำสอนนี้ไปปฏิบัติ
ฐิตา:
เมื่อโศลกจบลงแล้ว พระสังฆนายกกล่าวต่อไปว่า "จงรักษาตัวให้ดี
เมื่อฉันเข้าปรินิพพานแล้ว
จงอย่างเอาอย่างธรรมเนียมโลก อย่าร้องไห้ หรือโศกเศร้า
ไม่ควรปล่อยให้เกิดความเสียใจหรือคร่ำครวญ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่อง
ตรงข้ามกับคำสอนที่แท้ ใครที่ทำเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ศิษย์ของฉัน
สิ่งที่ควรทำก็คือ จงรู้จักจิตของท่านเอง และตระหนักชัดถึง
ธรรมชาติแห่งพุทธะของท่าน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ ไม่สงบนิ่งและไม่เคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่ไม่เกิดและไม่ดับ
เป็นสิ่งที่ไม่มาและไม่ไป เป็นสิ่งที่ไม่รับและไม่ปฏิเสธ
เป็นที่สิ่งที่ไม่คงอยู่และไม่จากไป มิฉะนั้นแล้วจิตของท่าน
จะถูกครอบงำด้วยความหลงผิด ทำให้ไม่อาจเข้าใจความหมายได้
ฉันทบทวนเรื่องนี้กับท่าน เพื่อทำตามคำสอนของฉันและนำไปปฏิบัติ การที่ฉันจากไป
ก็ไม่เป็นข้อประหลาดอย่างใด ตรงกันข้าม ถ้าท่านฝ่าฝืนคำสอนของฉัน
แม้ฉันจะอยู่ต่อไปก็ไม่เกิดคุณประโยชน์อันใด แล้วพระสังฆนายกก็กล่าวโศลกต่อไปว่า:-
ด้วยความเยือกเย็นและไม่กระวนกระวาย บุคคลชั้นเลิศไม่ต้องปฏิบัติความดี
ด้วยความเที่ยงธรรมเป็นตัวของตัวเอง ท่านไม่ต้องกระทำบาป
ด้วยความสงบและสงัด ท่านเพิกเฉยการดูและการฟัง
ด้วยความเสมอภาคและเที่ยงตรง จิตของท่านไม่ได้พำนัก ณ ที่ใด"
ฐิตา:
เมื่อจบโศลกแล้ว พระสังฆนายกก็นั่งสงบนิ่งจนกระทั่งยามสามของคืนนั้น ทันใดนั้น ท่านกล่าวแก่สานุศิษย์อย่างสั้นๆ ว่า "ฉันจะไปเดี๋ยวนี้" แล้วท่านก็เข้าปรินิพพานไปในขณะนั้น กลิ่นหอมอันประหลาดคลุ้งไปทั่วห้อง รุ้งจากแสงจันทร์ผุดขึ้นประดุจเชื่อมฟ้ากับดิน พรรณไม้ในป่ากลายเป็นสีขาว นกและสัตว์จตุบาทส่งเสียงระงม
ครั้นถึงเดือนสิบเอ็ด ในปีเดียวกันนั้น ปัญหาว่า จะเก็บพระสรีรร่างของพระสังฆนายกไว้ที่ไหน กลายเป็นข้อพิพาทระหว่างข้าราชการแห่งเมืองกวางเจา ชิวเจาและชุนเจา ต่างฝ่ายต่างต้องการให้เก็บไวในเมืองของตน แม้สานุศิษย์ของพระสังฆนายก รวมทั้งภิกษุและฆราวาสอื่นๆ ก็เข้าร่วมโต้แย้งในการนี้ด้วย เมื่อไม่อาจปรองดองกันได้ จึงพร้อมใจกันจุดเครื่องหอมและอธิษฐานขอให้พระสังฆนายกบอกทิศทาง โดยการถือเอาการลอยของควันเป็นเกณฑ์ คว้นนั้นลอยไปทางโซกาย ฉะนั้นในวันขึ้นสิบสามค่ำ เดือนสิบเอ็ดจึงได้อัญเชิญพระสรีรร่างพ้อมด้วยบาตรและจีวรของท่านไปยังโซกาย
ในปีรุ่งขึ้น วันแรมสิบค่ำ เดือนเจ็ด มีการอัญเชิญพระศพของท่านออกจากสถูป ท่านฟองปิน สานุศิษย์องค์หนึ่งของพระสังฆนายก ได้หุ้มร่างของท่านไว้ด้วยดินหอม เมี่อระลึกถึงคำทำนายของท่านว่า จะมีคนนำพระเศียรของท่านไปบรรดาสานุศิษย์จึงพร้อมใจกันเอาแผ่นเหล็กมาหุ้มคอของท่านไว้และพันร่างท่านด้วยผ้าอาบน้ำยา ก่อนจะอัญเชิญเข้าไว้ในสถูปตามเดิม ทันใดนั้นเกิดเป็นแสงสว่างสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากสถูปสู่ท้องฟ้า เป็นเวลาสามวันจึงหายไป บรรดาข้าราชการ แห่งเมืองชิวเจา จึงได้กราบทูลรายงานต่อพระมหาจักรพรรดิ พระมหาจักรพรรดิมีพระบรมราชโองการ ให้สร้างแผ่นจารึกบันทึกชีวประวัติของพระสังฆนายก
พระสังฆนายกได้รับมอบจีวรและบาตรเมื่ออายุ 24 ได้อุปสมบทเมื่ออายุ 39 และเข้าปรินิพพานเมื่ออายุ 76 ท่านได้เทศนาธรรม เพื่อประโยชน์แก่มวลสัตว์เป็นเวลา 37 ปี สานุศิษย์ของท่าน 43 องค์ ได้รับมอบธรรมและได้เป็นผู้สืบทอดจากท่านด้วยกรรมวาจา ส่วนผู้ที่เห็นแจ้งในธรรมจนละฆราวาสวิสัยนั้นมากมายเหลือคณานับ
จีวรและบาตรอันเป็นเสมือนสัญญลักษณ์แห่งความเป็นพระสังฆนายก ซึ่งพระโพธิธรรมท่านได้มอบตกทอดมา ตลอดจนจีวรโมลาและบาตรผลึก ซึ่งพระมหาจักรพรรดิจุงจุงได้ส่งมาถวาย ภาพสลักของพระสังฆนายกโดยท่านฟองปินและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆนั้น อยู่ความพิทักษ์รักษาของผู้เฝ้าสถูป เป็นสิ่งซึ่งจะต้องรักษาไว้ในวัดโปลัมชั่วกาลนาน เพื่อเป็นสวัสติมงคลแก่วัด พระสูตรที่ท่านได้เทศนา ก็นำมาพิมพ์และแจกจ่ายทั่วกัน เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงหลักการและจุดประสงค์ของสำนักธรรม งานต่างๆเหล่านี้ ได้จัดทำไป ก็เพื่อความรุ่งเรืองสถาพรของพระรัตนตรัย และเพื่อสวัสติมงคลทั่วไปแก่มวลสัตว์
จบพระสูตร
นำมาจาก :http://www.sookjai.com/index.php?topic=1135.80
Credit by :http://www.mahayana.in.th/พระสูตร/เวยหล่างสูตร.html
Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุค่ะ
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version