ประมวล เพ็งจันทร์
๑
จะทำน้ำหยดหนึ่งมิให้เหือดแห้งได้อย่างไร ?าพยนตร์เปิดฉากด้วยภาพของเหยี่ยวตัวหนึ่ง โฉบลงมาเอาหินก้อนหนึ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วปล่อยลงมาถูกหัวแกะจนถึงแก่ความตาย
คณะลามะ (พระภิกษุ) ที่มีท่านลามะเคนโป อาโป เป็นหัวหน้าคณะได้พยายามช่วยเหลือแกะตัวนั้นแต่ก็สุดวิสัย เพราะในที่สุด น้ำหยดหนึ่งคือชีวิตแกะก็เหือดหายไป ลามะน้อยที่รวมอยู่ในคณะน้ำตาซึมเพราะสงสารแกะตัวนั้น
คณะของท่านลามะอาโปกำลังเดินทางไปที่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำตัวลามะตาชิที่มาปฏิบัติธรรมบำเพ็ญภาวนาอยู่ภายในถ้ำกลับวัด เพราะได้บำเพ็ญภาวนามาครบ ๓ ปีตามที่กำหนดไว้
ลามะตาชิ เป็นศิษย์ของลามะอาโป ได้เข้ามาบวชเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมกับลามะอาโป ตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ บัดนี้ได้อายุครบ ๒๕ ปีแล้ว
ภายในถ้ำ ภาพของลามะตาชิที่ซูบผอม ผมยาว เล็บยาว เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นตั้งใจ ปรารถนาจะเข้าถึงโมกขธรรม ด้วยการปฏิบัติภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง โดยไม่ห่วงหาอาลัยกับร่างกายที่ซูบผอม จนแทบจะไม่มีเลือดและเนื้อเหลืออยู่
ลามะตาชิ ถูกนำตัวกลับวัดโดยให้นอนไปบนหลังม้า ในสภาพอ่อนระโหยโรยแรง ศีรษะห้อยลง และขณะที่ม้าซึ่งลามะตาชินอนอยู่บนหลัง ได้เดินผ่านพระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ สายตาของลามะตาชิได้สัมผัสกับแผ่นหินที่สลักบทมนต์ แล้วนำมาวางเรียงเป็นกำแพงรอบพระเจดีย์ เพื่อเป็นพุทธบูชา
ข้อความอันเป็นบทมนต์ที่ลามะตาชิมองเห็น ยามที่หัวห้อยอยู่บนหลังม้า มีความว่า
“จะทำน้ำหยดหนึ่งมิให้เหือดแห้งได้อย่างไร”
ความหมายของมนต์เพื่อการภาวนาบทนี้คือ เป้าหมายของผู้สร้าง ที่ต้องการให้ทุกบททุกตอนของภาพยนตร์ ได้เร้าผู้ชมให้เกิดโจทย์ขึ้นในใจว่า จะทำอย่างไรที่จะให้ชีวิตของเรา ที่ถูกเผาผลาญด้วยเปลวเพลิงแห่งราคะ โทสะ โมหะ ไม่เหือดแห้งหายไปดังเช่นที่น้ำหยดหนึ่ง แห้งเหือดไปเมื่อยามต้องแสงตะวัน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไปเพื่อไขปริศนาว่า จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้น้ำหยดหนึ่งแห้งเหือดหายไป
ชีวิตของตาชิ คือกรณีตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นถึงความเพียรพยายาม ที่จะรักษาน้ำหยดหนึ่งไว้มิให้เหือดแห้งไป
ด้วยวัยเพียง ๕ ขวบ เด็กน้อยตาชิ ได้ถูกนำเข้ามาสู่มรรคาแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยความเชื่อที่ว่า นี้คือหนทางแห่งการหลุดพ้นจากเปลวเพลิงแห่งราคะ โทสะ และโมหะ
ชีวิตแห่งความเป็นลามะของตาชิ คือช่วงเวลาแห่งการก้าวเดินไปสู่เป้าหมายคือ “โมกขธรรม” (ความหลุดพ้นจากการถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิงแห่ง ราคะ โทสะ และโมหะ)
ลามะตาชิ ได้ก้าวเดินไปบนหนทางนี้ด้วยความเชื่อมั่น ถึงระดับอุทิศชีวิตเพื่อการบำเพ็ญทุกรกิริยา (ทรมานร่างกาย) ในถ้ำนานถึง ๓ ปี จนเลือดและเนื้อเหือดแห้งไปจนเกือบหมดสิ้น
๓ ปีแห่งการบำเพ็ญสมณธรรม เป็น ๓ ปีแห่งการเผาผลาญเลือดและเนื้อให้เหือดแห้งไปจากร่างกาย แต่นั้นมิได้เป็นเวลาแห่งการเผาผลาญราคะ โทสะ และโมหะให้มอดไหม้ไปจากจิตใจของลามะตาชิ เพราะทันทีที่เลือดเนื้อกลับคืนสู่สภาวะสมบูรณ์ในร่างกาย ไฟแห่งราคะก็ได้ลุกโชนขึ้นในใจของลามะตาชิ เป็นเปลวไฟที่เร่าร้อนถึงกับนอนหลับฝันเปียก
ในทางคณะสงฆ์ ลามะตาชิได้รับการประกาศยกย่องให้เป็นลามะผู้มีเกียรติคุณดีเด่น ในฐานะที่สามารถปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จริงจัง เป็นเวลานานถึง ๓ ปี คำประกาศของประมุขแห่งลามะระดับ รินโปเช ที่กล่าวท่ามกลางการชุมนุมของบรรดาลามะ นับเป็นความปลาบปลื้มในหมู่เพื่อนสหธรรมิกของลามะตาชิ และบรรดาพุทธบริษัทผู้อุปถัมภ์บำรุงวัดที่ลามะตาชิพำนักอยู่
ขณะที่ภาพภายนอกของลามะตาชิเป็นภาพนักบวชผู้เจริญรุ่งเรืองในธรรม แต่ทว่าภายในจิตใจของลามะตาชิ กลับเร้าร้อนด้วยเปลวเพลิงแห่งราคะที่กำลังลุกโชนอยู่ภายใน ในขณะที่กำลังเต้นระบำหน้ากากเพื่อต้อนรับประมุขแห่งลามะสายตาของลามะตาชิ ที่ซ้อนอยู่ภายในหน้ากากได้มองเห็นภาพผู้หญิงแม่ลูกอ่อน ที่กำลังเปิดหน้าอกให้ลูกน้อยดื่มนมจากถันของเธอ ภาพนั้นได้สะกดลามะตาชิให้ยืนนิ่งจนลืมหน้าที่ในการเต้นระบำหน้ากาก เป็นเหตุให้ลามะอาโปซึ่งมองเห็นเหตุการณ์นั้นต้องเข้าไปดึงตัวลามะตาชิออกมาจากวงระบำหน้ากาก
เมื่อลามะอาโปได้รับนิมนต์ให้ไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านของชาวนาครอบครัวหนึ่ง ลามะตาชิได้เป็นหนึ่งในคณะลามะผู้ไปสวดมนต์ด้วย และในขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่ภายในบ้านนั้น สายตาของลามะตาชิได้สัมผัสกับรูปกายของลูกสาวเจ้าของบ้าน
ภาพของหญิงสาว เป็นเชื้อเพลิงที่ถูกโยนเข้าไปในกองเพลิงแห่งราคะในจิตใจของลามะหนุ่ม จนไม่มีสมาธิที่จะเจริญพระพุทธมนต์ได้
ในยามราตรีที่คณะลามะต้องพักค้างคืนที่บ้านชาวนา ลามะตาชิได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับลูกสาวเจ้าของบ้านในระยะใกล้ชิด สายตาของลามะหนุ่มและหญิงสาวที่ประสานกัน ต่างบอกให้รู้ว่า ในดวงตาของแต่ละฝ่ายมีประกายไฟแห่งราคะปรากฏอยู่
ในคืนนั้น ลามะตาชิไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝัน เมื่อรู้สึกว่าตนเองได้นอนแนบแอบอิงกับร่างกายอันอบอุ่นของลูกสาวเจ้าของบ้าน
หลังกลับมาจากบ้านของชาวนาแล้ว ลามะอาโปผู้เป็นอาจารย์ของลามะตาชิได้ประจักษ์ชัดแล้วว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับศิษย์ของตน จึงได้แนะนำให้ลามะตาชิเดินทางไปพบลามะอาวุโสผู้เชี่ยวชาญในการดับไฟแห่งราคะ
ลามะตาชิได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์ แต่ความรู้ ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญก็ไม่สามารถดับไฟแห่งราคะในใจของลามะตาชิได้
ในที่สุดลามะอาโป อาจารย์ผู้เมตตาต่อศิษย์ก็ได้รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ศิษย์กำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่ความฝันเสียแล้วหากแต่เป็นความจริง ท่านจึงได้แจ้งให้ลามะตาชิทราบว่า เหตุการณ์ยามค่ำคืนที่บ้านชาวนาหาใช่ความฝันดังที่ตาชิเคยเข้าใจไม่ หากแต่เป็นความจริงเพราะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในความฝันยามหลับ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วยังคิดถึงและพอใจในเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์นั้นก็เป็นความจริงมิใช่ความฝันอีกต่อไป
ลามะตาชิได้หันหลังให้พระนิพพานด้วยการหนีออกจากวัด และได้ละทิ้งเพศลามะไปสู่เพศคฤหัสถ์
เป้าหมายของตาชิ ไม่ได้อยู่ที่โมกขธรรมอีกต่อไป หากแต่อยู่ที่ เฮม่า ลูกสาวชาวนาผู้เป็นเชื้อเพลิงแห่งกามราคะ
ตาชิได้ไปสมัครรับจ้างเก็บเกี่ยวข้าวในทุ่งนาของครอบครัวเฮม่า และในที่สุดก็ได้แต่งงานอยู่กินกับเฮม่าจนมีลูกชายไว้สืบสกุล
ในวิถีแห่งคฤหัสถ์ ตาชิได้ประสบกับแรงบีบคั้นในกระแสของการแสวงหาโภคทรัพย์ เพื่อเป็นอุปกรณ์แห่งการเสพเสวยรสแห่งกาม
รสแห่งกามที่ทำให้ตาชิรู้สึกว่าเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตให้สดชื่น แต่ยิ่งเสพก็ยิ่งกระหาย และด้วยอำนาจแห่งกามรส ทำให้ตาชิต้องมองหาหญิงอื่นนอกจากเฮม่า มาเป็นเชื้อเพลิงแห่งกามราคะในใจของเขา
ความเร่าร้อน กระวนกระวาย ด้วยความกระหายในรสแห่งกาม ทำให้ตาชิต้องหาทางดับมันด้วยการนอกใจเฮม่าผู้เป็นภรรยา ภาพที่ตาชิประกอบกามกิจกับสุชาดาหญิงสาวผู้มาทำงานรับจ้างเกี่ยวข้าว เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความหมายแห่งชีวิตที่ดิ้นรนด้วยอำนาจแห่งความอยาก ความปรารถนา อันไม่มีจุดจบสิ้น
ความตกใจกลัวที่เกิดขึ้นขณะประกอบกามกิจ และรู้ว่าเฮม่ากำลังกลับมาถึงบ้าน เป็นภาพที่บอกให้รู้ถึงอารมณ์ของตาชิในขณะนั้น เป็นอารมณ์ของสามีที่นอกใจภรรยา เป็นอารมณ์ของผู้ชายที่ตะโกนไล่ผู้หญิงที่ตนเองเพิ่งเสร็จสมอารมณ์หมาย เป็นอารมณ์แห่งความกลัวของมนุษย์ที่รู้ว่าตนเองทำผิดครรลองคลองธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้นของอารมณ์เหล่านี้ ทำให้ได้นึกถึงภาพของลามะที่บำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานร่างกายภายในถ้ำนานถึง ๓ ปี เพื่อแสวงหาทางแห่งการหลุดพ้น
ตาชิรู้สึกสลดใจในการกระทำของตนเอง และในเวลาแห่งความรู้สึกเช่นนั้น เขาได้รับจดหมายจากลามะอาโปผู้เป็นอาจารย์ และบัดนี้ได้ละสังขารไปแล้วตามอายุขัย จดหมายของลามะอาโปที่เขียนขึ้นก่อนละสังขาร ได้แสดงถึงเมตตาธรรมที่มีให้กับตาชิเสมอมาไม่ว่าตาชิจะเป็นลามะหรือเป็นคฤหัสถ์ เมตตาธรรมที่ลามะอาโปบำเพ็ญเป็นเมตตาธรรมที่ไม่จำกัด เป็นเมตตาธรรมที่ทำให้ลามะอาโป ก้าวไปในสังสารวัฏฏ์นี้ด้วยจิตที่เบิกบาน และด้วยจิตที่เชื่อมั่นว่าประชาชนนับหมื่น นับแสนที่โน้มกายลงคารวะและน้อมใจระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ด้วยอำนาจแห่งเมตตาธรรมที่พระองค์ทรงแผ่ไปในหมู่สัตว์โดยไม่จำกัดว่าใครเป็นใคร เมตตาธรรมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำให้ความเป็นอื่นและคนอื่น ไม่มีอยู่ในพระทัยอันเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม และด้วยความเชื่อมั่นเช่นนี้ทำให้ลามะอาโปไม่ลังเลที่จะเดินตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จดหมายของลามะอาโปได้ฉุดดึงให้ตาชิได้ครุ่นคิด และในที่สุดเขาก็ได้หนีออกจากบ้าน โดยทิ้งเฮม่าผู้เป็นภรรยาและลูก ๆ ไว้ตามลำพังข้างหลัง โดยได้สลัดทิ้งชุดคฤหัสถ์หันมาสวมใส่ชุดลามะอีกครั้ง
ในวังวนแห่งสังสารวัฏฏ์ ตาชิในรูปแบบของลามะได้ย้อนกลับมาพบเฮม่าผู้ออกมาตามหาสามี และทั้งคู่ได้พบกันบริเวณเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์
เฮม่าได้เตือนให้ตาชิระลึกถึงพระพุทธเจ้าไปพร้อม ๆ กับระลึกถึงพระนางพิมพายโสธราและราหุล เพราะบุคคลเหล่านี้ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเข้าถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ในการบำเพ็ญบารมีอันเป็นเอนกชาติของพระโพธิสัตว์ พระนางพิมพาและราหุล ต่างได้ร่วมกันบำเพ็ญบารมี มาวันนี้ทำไมตาชิจึงระลึกถึงเพียงแค่พระพุทธเจ้า โดยได้ลืมเลือนความหมายและความสำคัญของพระนางพิมพาและราหุลไป ทั้งที่บุคคลเหล่านี้ต่างก็มุ่งหมายที่จะเข้าถึงโมกขธรรมเช่นเดียวกัน
ถ้อยคำของเฮม่า ทำให้ตาชิเข่าอ่อนทรุดลงบนพื้นดิน เฮม่าได้ยื่นห่อผ้าที่บรรจุเสบียงอาหาร อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความหมายว่านี้ คือส่วนร่วมแห่งการเดินทางตามคติประเพณีของชาวทิเบตที่เมื่อสามีเดินทางจากบ้านไป ภรรยาจะต้องมอบห่อเสบียงอาหารให้สามี เพื่อให้ระลึกรู้ว่าการเดินทางครั้งนั้นเป็นการร่วมมือกันทั้งสามีและภรรยา ความสำเร็จในการเดินทางย่อมจะหมายความได้ว่า ทั้งคู่ต่างเป็นผู้ร่วมกันสร้างความสำเร็จนั้น
เมื่อยื่นห่อเสบียงอาหารให้แล้ว เฮม่าก็จากไปทิ้งไว้แต่ตาชิผู้หมดเรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินต่อไป คำพูดทุกคำของเฮม่าทำให้ตาชิสูญเสียพลังแห่งการก้าวหนี
การปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดเป็นเวลา ๓ ปี ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นก็ไม่แตกต่างอะไรกับการที่ละทิ้งเพศลามะเพื่อไปหาเฮม่า เพราะทั้งคู่ต่างเป็นไปเพื่อสนองความอยาก ความต้องการส่วนตัวของตาชิเอง
ถ้าตาชิมีความซื่อสัตย์จริงใจต่อการปฏิบัติธรรม ตาชิก็ไม่ต้องหนีออกจากวัดเพื่อไปหาเฮม่า และเช่นเดียวกันถ้าตาชิซื่อสัตย์จริงใจต่อเฮม่า ตาชิก็ไม่ต้องหนีออกบวชโดยทิ้งลูกและภรรยาไว้ข้างหลัง แต่เพราะความเห็นแก่ตัวมุ่งสนองตอบความอยากแห่งตน จึงทำให้การปฏิบัติธรรมและการครองเรือนของตาชิไร้ค่า และไร้ความหมายทั้งคู่
ถ้อยคำของเฮม่าทำให้ตาชิหมดเรี่ยวแรงเหมือนครั้งเมื่อบำเพ็ญทุกรกิริยาในถ้ำ และในขณะที่กำลังหมดเรี่ยวแรงนั้นเอง สายตาของตาชิก็ได้สัมผัสกับหินก้อนเดิมที่เขาเคยมองเห็นขณะที่นอนอยู่บนหลังม้า หินก้อนที่สลักบทมนต์ที่ว่า
“จะทำน้ำหยดหนึ่งมิให้เหือดแห้งได้อย่างไร ?” ตาชิลุกขึ้นเดินไปหยิบหินก้อนนั้นมาพลิกดูอีกด้านหนึ่งของหิน พลันเขาก็ได้สัมผัสกับข้อความอีกด้านหนึ่งที่สลักจารึกไว้ว่า
“จงทำน้ำหยดหนึ่งให้เป็นทะเล” พลันที่ข้อความนี้ปรากฏแก่สายตาของตาชิ มนต์บทนี้ได้ทำให้ตาชิแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยจิตใจที่เบิกบาน
ภาพสุดท้ายของภาพยนตร์เป็นภาพพญาเหยี่ยว ที่บินหายไปในหมู่เมฆ