แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

มิลินทปัญหา

<< < (62/78) > >>

ฐิตา:

   สภาวะแดนนิพพาน

   " ขอถวายพระพร นิพพานธาตุ ธาตุคือนิพพานอันสงบ อันเป็นสุข อันประณีตนั้น มีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็กระทำให้แจ้งนิพพานธาตุด้วยปัญญา เหมือนกับศิษย์กระทำให้แจ้งวิชาตามคำสอนของอาจารย์ด้วยปัญญาฉะนั้น

   อันนิพพานนั้น บุคคลควรเห็นอย่างไร...ควรเห็นว่า เป็นของไม่มีเสนียดจัญไร ไม่มีอุปัทวะ เป็นของสงบ ไม่มีภัย ปลอดภัย สุขสบาย น่ายินดี เป็นของประณีต เป็นของสะอาด เป็นของเย็น ขอถวายพระพร

   เรื่องนี้เป็นเปรียบเหมือนอะไร...เปรียบเหมือนบุรุษที่ถูกล้อมด้วยกองไฟใหญ่เบียดเบียน ก็พยายามหนีจากกองไฟใหญ่ไปอยู่ในที่ไม่มีภัย แล้วเขาก็ได้สุขยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบ เร่าร้อนด้วยไฟ ๓ กองก็หนีจากไฟ ๓ กอง ด้วยโยนิโสมนสิการ ( ทำจิตไว้ด้วยอุบายอันชอบธรรม) เข้าไปอยู่ในที่ไม่มีไฟ ๓ กอง แล้วเขาก็กระทำให้แจ้งนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุขฉันนั้น ควรเห็นไฟ ๓ กองเหมือนกับกองไฟใหญ่ ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบ เหมือนกับผู้หนีกองไฟใหญ่ ควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีกองไฟใหญ่ฉะนั้น

   อีกประการหนึ่ง บุรุษผู้มีซากศพงู หรือซากสุนัข หรือซากมนุษย์ ผูกติดคอ แล้วพยายามสลัดซากศพนั้น ไปสู่ที่ไม่มีซากศพแล้วเขาก็ได้ความสุขอย่างยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบก็กระทำให้แจ้งนิพพาน อันเป็นบรมสุขอันไม่มีซากศพคือกิเลส ด้วยโยนิโสมนสิการฉันนั้น ควรเห็นกามคุณ ๕ เหมือนซากศพ ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบ เหมือนผู้พยายามหนีซากศพ ควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีซากศพฉะนั้น

   อีกอย่างหนึ่ง บุรุษผู้กลัวภัย ย่อมพยายามหนีจากที่มีภัย ไปสู่ที่ไม่มีภัย แล้วเขาก็ได้ความสุขอย่างยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบก็กระทำให้แจ้งนิพพานอันเป็นบรมสุข อันไม่มีภัย ไม่มีความสะดุ้ง ด้วยโยนิโสมนสิการนั้น ควรเห็นภัยอันมีเรื่อยไป เพราะอาศัยความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกับภัย ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบเหมือนกับผู้กลัวภัย ควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีภัยฉะนั้น

   อนึ่ง บุรุษผู้ตกเลนตกหล่ม ย่อมพยายามหนีจากเลนจากหล่ม ไปสู่ที่ไม่มีเลนไม่มีหล่ม แล้วเขาก็ได้ความสุขยิ่งฉันใดผู้ปฏิบัติชอบก็ได้สำเร็จนิพพานอันเป็นสุขยิ่งอันไม่มีเลนไม่มีหล่มคือกิเลส ด้วยโยนิโสมนสิการฉันนั้น ควรเห็นลาภสักการะสรรเสริญ เหมือนเลนเหมือนหล่ม ผู้ปฏิบัติชอบเหมือนผู้พยายามหนีเลนหนีหล่ม นิพพานเหมือนที่ไม่มีเลนมีหล่มฉะนั้น "

ฐิตา:

   วิธีกระทำให้แจ้งนิพพาน

   " ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานนั้น บุคคลกระทำให้แจ้งว่าอย่างไร? "
   " ขอถวายพระพร ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นย่อมเห็นความเป็นไปแห่ง สังขารทั้งหลาย ผู้เห็นความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมเห็นความคิด แก่ เจ็บ ตาย ในสังขารแล้วก็ไม่เห็นสิ่งใด ๆ ในสังขารว่าเป็นสุข ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด ไม่เห็นอะไรในร่างกายที่จะควรยึดถือไว้ เหมือนกับบุรุษที่ไม่เห็นสิ่งใดในเหล็กแดงที่ตนควรจะจับ ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดฉะนั้น

   เมื่อเห็นสังขารอันเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดถือ ความไม่ยินดีก็เกิดขึ้นในจิต ความเร่าร้อนก็ย่างลงในกาย ผู้นั้นเมื่อเห็นว่า ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่หลบหลีก ก็เบื่อหน่ายในภพทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษเข้าไปสู่กองไฟใหญ่ เห็นว่าไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อาศัย ก็เบื่อหน่ายกองไฟฉะนั้น

   ผู้ที่เห็นว่าน่ากลัวในสังขาร ก็คิดขึ้นได้ว่า สังขารที่เป็นไปนี้เป็นของเร่าร้อน แล้วก็เห็นความทุกข์มากความคับแค้นมาก ในภพทั้งหลายเห็นความดับสังขารทั้งปวง ความสละกิเลสทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายตัณหา ความดับตัณหา นิพพาน คือความไม่มีตัณหาว่าเป็นความสงบอย่างยิ่ง เมื่อเป็นอย่างนั้น จิตของผู้นั้นก็แล่นไปในความไม่เป็นไปแห่งสังขาร แล้วจิตใจก็ผ่องใสร่าเริง ยินดี เราได้ที่พึ่งแล้ว เปรียบเหมือนบุรุษที่หลงทาง ไปพบทางเกวียนที่พาตนไปถึงที่ประสงค์ จิตก็แล่นไปในทางนั้น แล้วก็สบายใจว่า เราได้ทางแล้วฉะนั้น

   ผู้เล็งเห็นความไม่เป็นไปแห่งสังขารว่าเป็นของหมดทุกข์ทั้งสิ้น แล้วก็อบรมความรู้ความเห็นนั้นในแรงกล้าเต็มที่ แล้วก็ตั้งสติ วิริยะ ปีติ ไว้ในความไม่เป็นไปแห่งสังขาร จิตของผู้นั้นก็ล่วงเลยความเป็นไปแห่งสังขาร ไปถึงความไม่เป็นไปแห่งสังขาร ผู้ไปถึงความไม่เป็นไปแห่งสังขารแล้วเรียกว่า ผู้ปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้ง นิพพาน ดังนี้แหละ ขอถวายพระพร "

   " ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "

ฐิตา:

   ปัญหาที่ ๗ ถามถึงที่ตั้งนิพพาน

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ทางบูรพาหรือทางทักษิณ ทางปัจฉิมหรือทางอุดร ทางเบื้องบน ทางเบื้องต่ำ ทางขวาง ที่นิพพานตั้งอยู่ มีอยู่หรือไม่ ? "
   " ไม่มี มหาบพิตร "

   พระเจ้ามิลินทร์ตรัสต่อไปว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าที่นิพพานตั้งอยู่ไม่มี นิพพานก็ไม่มี ข้อที่ว่าการกระทำให้แจ้งนิพพานก็ผิด ในเรื่องนี้โยมขออ้างเหตุว่า นาเป็นที่ตั้งแห่งข้าว ดอกไม้เป็นที่ตั้งแห่งกลิ่น กอไม้เป็นที่ตั้งแห่งดอกไม้ ต้นไม้เป็นที่ตั้งแห่งผลไม้ บ่อแก้วเป็นที่ตั้งแห่งแก้ว ผู้ต้องการสิ่งใด ๆ ในสิ่งนั้น ไปที่นั้นแล้วก็ได้สิ่งนั้น ๆ ฉันใด ถ้านิพพานมี ที่ตั้งแห่งนิพพานก็ควรมีฉันนั้น เพราะที่ตั้งแห่งนิพพานไม่มี โยมจึงว่านิพพานไม่มี คำที่ว่ากระทำให้แจ้งนิพพานนั้นก็ผิดไป

   "พระนาคเสนตอบว่า
   " ขอถวายพระพร ที่ตั้งแห่งนิพพานไม่มี แต่นิพพานมี

   ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อเห็นความตั้งขึ้นและเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลายด้วยโยนิโสนสิการแล้ว ก็กระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ไฟมีอยู่ แต่ที่ตั้งแห่งไฟไม่มี เมื่อบุคคลเอาไม้ ๒ อันมาสีกันเข้าก็ได้ไฟฉันใด นิพพานก็มีอยู่ แต่ว่าที่ตั้งนิพพานไม่มี เมื่อผู้ปฏิบัติชอบเล็งเห็นความตั้งขึ้น และเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลาย ด้วยโยนิโสมนสิการแล้ว ก็กระทำให้แจ้งนิพพานฉันนั้น

   อีกอย่างหนึ่ง แก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้วมีอยู่ แต่ที่ตั้งแห่งแก้ว ๗ ประการนั้นไม่มี กษัตริย์ผู้ปฏิบัติชอบย่อมได้แก้ว ๗ ประการนี้ ด้วยผลแห่งการปฏิบัติฉันใด นิพพานก็มีอยู่ แต่ที่ตั้งนิพพานไม่มีเมื่อผู้ปฏิบัติชอบ เล็งเห็นความสิ้นความเสื่อมแห่งสังขารทั้งหลาย ด้วยโยนิโสมนสิการ แล้วก็กระทำให้แจ้วนิพพานฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าที่ตั้งนิพพานไม่มี ผู้ปฏิบัติชอบตั้งอยู่ในที่ใด จึงกระทำให้แจ้งนิพพาน ที่นั้นมีอยู่หรือ ? "
   " ขอถวายพระพร มีอยู่ "

   " มีอยู่อย่างไร โยมขอฟัง ? "
   " ขอถวายพระพร มีอยู่อย่างนี้ คือที่ตั้งนั้นได้แก่ศีล ผู้ตั้งอยู่ในศีล ผู้มีโยนิโสมนสิการ คือตั้งใจไว้ด้วยอุบายที่ฉลาด ผู้ปฏิบัติชอบไม่ว่าอยู่ในที่ใด ๆ จะเป็นป่าสักกายวัน หรือจีนวิลาตวัน อลสันทนคร นิกุมพนคา กาสีโกศลนคร กัสมิรนคร คันธารนคร ยอดภูเขา พรหมโลกก็ตาม ก็กระทำให้แจ้งนิพพานได้ทั้งนั้น ขอถวายพระพร "

   " เป็นอันถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสนพระผู้เป็นเจ้าได้แสดงนิพพานไว้แล้ว ได้แสดงการกระทำให้แจ้งนิพพานไว้แล้ว ได้ยกธงชัยคือพระธรรมขึ้นไว้แล้ว ได้ตั้งเครื่องนำพระธรรมไว้แล้ว โยมขอรับว่าถูกต้องดี "

ฐิตา:

  ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องสิ่งที่ควรรู้ด้วยอนุมาน

   ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ผู้ตั้งอยู่ในสาราณียธรรม ( ข้อปฏิบัติที่ทำให้ระลึกถึงกัน ) กับผู้เป็นปราชญ์ด้วยกันแล้ว มีพระราชประสงค์จะทรงทราบ ทรงสดับ ทรงจำไว้ ทรงเห็นแสงสว่างแห่งญาณ ทรงทำลายความไม่มีญาณ ทรงทำให้ญาณเกิดขึ้น ทำให้อวิชชาหมดไป ก้าวล่วงเสียซึ่งกระแสสงสาร ตัดเสียซึ่งกระแสตัณหา ทรงปรารถนาจะถึงนิพพานจะถูกต้องนิพพาน จึงทรงปลุกฉันทะความพอใจ ความเพียร ปัญญา อุตสาหะ ตั้งสติสัมปชัญญะให้แรงเต็มที่ แล้วจึงถามพระนาคเสนเถระต่อไปว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? "
   " ขอถวายพระพร ไม่ได้เห็น "
   " ก็อาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าได้เห็นหรือไม่ ? "

   " ขอถวายพระพร ไม่ได้เห็น "
   " ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่เห็น อาจารย์ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าก็เป็นอันไม่มี "
   " ขอถวายพระพร กษัตริย์ทั้งหลายในปากก่อน ที่เป็นต้นวงศ์กษัตริย์มีอยู่หรือไม่ ? "
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้ทรงเห็นหรือไม่ ? "
   " ไม่เห็น พระผู้เป็นเจ้า "
   " พวกปุโรหิต เสนาบดี มหาอำมาตย์ราชบริพารของมหาบพิตร ได้เห็นหรือไม่ ? "
   " ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า "

   " ขอถวายพระพร ถ้าไม่มีผู้ได้เห็น กษัตริย์ก่อน ๆ ก็ต้องไม่มี "
   " มี พระผู้เป็นเจ้า เพราะเครื่องราชูปโภคของกษัตริย์ก่อน ๆ มีอยู่ คือ เศวตฉัตร พระมงกุฏ พัดวาลวิชนี ที่บรรทม พระขรรค์แก้ว อันทำให้โยมเชื่อว่ากษัตริย์ก่อน ๆ มีอยู่ "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ธรรมพุทธบริโภคของพระพุทธเจ้ามีอยู่ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ซึ่งทำให้รู้ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ พระพุทธเจ้านั้น บุคคลควรรู้ว่ามีอยู่ด้วยเหตุอันนี้ ด้วยปัจจัยอันนี้ ด้วยนัยอันนี้ ด้วยอนุมานอันนี้ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมา "

ฐิตา:

   " ขอถวายพระพร นายช่างผู้จะสร้างพระนคร ย่อมพิจารณาภูมิประเทศเสียก่อนเห็นว่าที่ใดเป็นที่เสมอ ไม่ลุ่มไม่ดอน ไม่มีหินมีกรวด ไม่มีเครื่องรบกวน ไม่มีโทษ เป็นที่น่ายินดี แล้วจึงทำพื้นที่นั้นให้ราบคาบ เพื่อให้ปราศจากเสี้ยนหนามหลักตอ แล้วจึงสร้างพระนคร อันสวยงามลงในที่นั้น การสร้างพระนครนั้น ได้แบ่งแยกเป็นส่วน ๆ มีคูและกำแพงล้อมรอบ มีป้อมประตูมั่นคง มีถนน ๔ แพร่ง ๓ แพร่ง มีถนนหลวงอันมีพื้นสะอาดเสมอดี มีตลาดค้าขาย มีสวนดอกไม้ผลไม้ บ่อน้ำ สระน้ำ ท่าน้ำไว้เป็นอันดี เมื่อพระนครนั้นสำเร็จพร้อมทุกประการแล้วนายช่างก็ไปสู่ที่อื่น

   ต่อมาภายหลัง พระนครนั้นเจริญกว้างขวางขึ้น บริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหารเกษมสุขสำราญ มีผู้คนเกลื่อนกล่น มากไปด้วยกษัตริย์ พราหมณ์ เวศย์ ศูทร นายช้าง นายม้า นายรถ พลเดินเท้า นายขมังธนู หมู่บัณเฑาะก์และกะเทย ลูกอำมาตย์ ลูกหลวง พลโยธาที่แกล้วกล้าสามารถ ลูกทาส ลูกคนรับจ้าง พวกมักมวย ช่างต่าง ๆ ช่างตัดผม ช่างทำผม ช่างดอกไม้ ช่างทอง ช่างเงิน ช่างดีบุก ช่างทองเหลือง ทองแดง ช่างเหล็ก ช่างแก้ว ช่างไม้ถือ ช่างไม้ค้อน ช่างเกราะ ช่างตุ้มหู ช่างเจียระไน ช่างขัดเกลา ช่างทำเงินสก ช่างหูก ช่างหม้อ ช่างคทา ช่างหอก ช่างแกะ ช่างหนัง ช่างเชือก ช่างทำฟัน ช่างหวี ช่างด้าย ช่างหญ้า ช่างทราย ช่างดินเหนียว ช่างดาบ ช่างหลาว ช่างเกาทัณฑ์ ช่างผ้ากัมพล ช่างดอกไม้ เป็นต้น

ช่างผู้ฉลาดได้สร้างเมืองไว้อย่างนี้ฉันใด พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ ผู้ล้ำเลิศ ผู้ไม่มีใครเหมือน ผู้ชั่งพระคุณไม่ได้ ผู้นับพระคุณไม่ได้ ผู้ประมาณพระคุณไม่ได้ ผู้บริสุทธิ์ด้วยพระคุณ ผู้มีพระปรีชา พระเดช พระกำลัง พระวิริยะ หาที่สุดมิได้ ผู้ถึงความสำเร็จแห่งกำลังของพระพุทธเจ้า ทรงทำลายมารพร้อมทั้งเสนา ทำลายข่ายคือทิฏฐิ ทำลายอวิชชา ทำให้วิชชาเกิด ทรงไว้ซึ่งพระธรรมจักร สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณชนะสงครามทั้งสิ้นแล้ว ก็ได้ทรงสร้างธรรมนครไว้ฉันนั้น

   ธรรมดานครของพระพุทธเจ้านั้น มีศีลเป็นกำแพง มีหิริเป็นคูน้ำรอบ มีสติเป็นนายประตู มีพระปรีชาญาณเป็นซุ้มประตู มีพระวินัยเป็นป้อม มีศรัทธาเป็นเสาระเนียด มีปัญญาเป็นปราสาท มีพระสูตรเป็นทางไปมา มีพระอภิธรรมเป็นทาง ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง มีพระวิริยะเป็นโรงวินิจฉัย มีสติปัฏฐานเป็นวิถี สองข้างวิถีคือสติปัฏฐานนั้น เต็มไปด้วยตลาดดอกไม้ ตลาดของหอม ตลาดผลไม้ ตลาดยาแก้ยาพิษ ตลาดยาทั่วไป ตลาดยาอมฤต ตลาดรัตนะ ตลาดสิ่งทั้งปวง "

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version